Masukแรกพบหน้าบุรุษผู้นั้นชิงชังไม่เคยยอมรับนางเป็นภรรยาของเขาแต่เมื่อนางเรียกร้องใบหย่าเหตุใดจึงยากนักที่จะยอมเขียนให้ ไม่เคยรักกันก็เพียงปล่อยนางไปต่างคนต่างเริ่มต้นชีวิตใหม่เหตุใดเขาจึงไม่เข้าใจเล่า?!
Lihat lebih banyakบทนำ
สายลมของต้นฤดูหนาวพัดกรรโชกมาเป็นระยะ แสงเทียนมงคลในห้องหอตำหนัก ‘เฟิ่งหนิง’ ของซู่จิ้งอ๋องแห่งดินแดนเทียนสุ่ยกำลังโยกไหวโอนเอนไปมาตามแรงลมที่พัดเข้ามาทางช่องหน้าต่าง จนบังเกิดแสงและเงาวูบวาบราวกับเปลวเทียนนั้นกำลังเริงระบำอยู่ก็มิปาน ยามจื่อแล้ว งานเลี้ยงด้านนอกยังคงแว่วเสียงร้องรำทำเพลง และเสียงสรวลเสเฮฮามาให้ผู้เป็นเจ้าสาวซึ่งอยู่ภายในห้องหอได้ยินอยู่เป็นระยะ ถึงอากาศจะหนาวเหน็บ แต่สุรามากมายดื่มได้ไม่จำกัดนั่นก็คงทำให้ทุกคนคลายหนาวไปได้ ดูท่างานเลี้ยงนี้คงยังอีกยาวไกล ท้องฟ้าไม่กระจ่างคงไม่เลิกราโดยง่ายเป็นแน่
ภายในห้องหอขณะนี้นั้นมีสาวน้อยผู้สวมชุดเจ้าสาวอย่างเต็มพิธีการของราชวงศ์จ้าว ผู้เป็นใหญ่อยู่เหนือผู้คนทั้งเทียนสุ่ยกำลังทอดสายตามองตรงไปยังโต๊ะอาหารมงคลสำหรับคู่บ่าวสาวที่อยู่กลางห้องผ่านผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงแสบตาเจิดจ้าอย่างยิ่ง นางมองอาหารน่ากินเหล่านั้นที่ยังไม่มีผู้ใดแตะต้องมันเลยแม้เพียงครึ่งคำด้วยสายตาละห้อย เพราะ ‘เจ้าบ่าว’ นั้นจนป่านนี้แม้แต่เงาก็ยังไม่ปรากฏกายให้ได้เห็น ขณะนั้นเองสายลมด้านนอกเริ่มพัดกรรโชกรุนแรงขึ้นอีกหลายส่วน คาดว่าอีกไม่นานหิมะแรกของต้นฤดูหนาวก็คงจะตกลงมาแล้วเป็นแน่ เด็กสาวหิวจนตาลาย หิวจนแสบท้อง แต่บุรุษผู้เป็นสวามีไม่มา นางก็มิอาจแตะต้องอาหารโอชะบนโต๊ะนั้นไปได้
หากแต่เลยยามจื่อมาราวหนึ่งก้านธูปกลับยังไร้เงาของคนผู้นั้น 'จ้าวเหลียงอี้' นั่นคือนามของบุรุษผู้ซึ่งเป็นเจ้าบ่าว และนับจากนี้ก็เขาก็คือสวามีของนางอย่างถูกต้องครบทั้งธรรมเนียมและพิธีการ แม้แต่กฎหมายของราชวงศ์แห่งเทียนสุ่ย นางกับเขาก็ถูกผูกมัดเอาไว้ด้วยกันอย่างเหนียวแน่นยากจะแยกจากกัน ต่อให้อยากแยกจากกันแทบตายก็ตาม
‘หานซางจื่อ’ ผู้มีนามรองว่า ‘เฉียนเกอ’ นั่งรอเจ้าบ่าวมากว่าสองชั่วยาม ผู้เป็นซู่จิ้งอ๋องนั้นกลับยังคงทอดทิ้งให้นางอยู่เฝ้าห้องหอรอเขาอยู่เพียงเดียวดายในราตรีที่คู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันคู่อื่นๆ นั้นสมควรหวงแหนช่วงเวลาดีนี้ดังทองคำพันชั่ง แต่จะเอาอันใดหนักหนากับคู่ของนาง เพราะระหว่างนางกับซู่จิ้งอ๋องผู้นั้นแรกเริ่มก็ล้วนฝืนใจด้วยกันทั้งสิ้น ที่แต่งงานก็เพราะถูกบีบบังคับทั้งนางเองและเขา ดังนั้นหากราตรีเข้าหอนี้นางต้องอดทนนั่งรอเขาจนก้นเป็นเหน็บชาจะแปลกอันใดเล่า? ...
“ถิงเฟย ขอน้ำนมแพะให้ข้าสักถ้วยเถิด ข้ารู้สึกหิวจนแสบท้องไปหมดแล้ว”
เมื่อหิวก็ต้องกิน จะให้นางหิ้วท้องรอคอยบุรุษใจคออำมหิตผู้นั้นเห็นทีจะเป็นการอกตัญญูกับท่านแม่ที่สู้อุตส่าห์อุ้มท้องตนเองมาสิบเดือนแล้วยังต้องคลอดนางออกมาอย่างยากลำบาก พร้อมกับเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่มาถึงสิบเจ็ดหนาวไม่ขาดไม่เกินในวันนี้เกินไปแล้ว นางเป็นเด็กกตัญญู ดังนั้นข้าวนั้นไม่อาจกินได้ แต่น้ำนมแพะสักหนึ่งถ้วยคงไม่ฝืนธรรมเนียมจนเกินไปเป็นแน่ นางทนหิ้วกระเพาะรอสวามีไม่ไหวอีกแล้ว ช่างหัวจ้าวเหลียงอี้ไปเถิด นางหิวจนสามารถกินไก่ได้ทั้งตัวแล้วขณะนี้
“เหตุใดจนป่านนี้ซู่จิ้งอ๋องจึงยังไม่มาอีกนะ เลยยามจื่อแล้วแท้ๆ หากเลยฤกษ์งามยามดีของราตรีเข้าหอไปแล้วจะทำอย่างไรเล่า?”
สาวใช้คนสนิทที่ถูกส่งให้ติดตามคุณหนูสามของสกุลหานมาเป็น
‘ซู่จิ้งหวางเฟย’หรือพระชายาเอกของซู่จิ้งอ๋องแห่งดินแดน ‘เทียนสุ่ย’ พึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก เพราะเพียงผู้เป็นนายของตนแต่งเข้ามาวันแรกก็ถูกผู้เป็นสวามีปฏิบัติเช่นนี้มิใช่สิ่งดีเลย หากเลยฤกษ์งามยามดีกำเนิดสายเลือดมังกรจะทำอย่างไร อนาคตของตำแหน่งพระชายาซู่จิ้งอ๋องดูแล้วมืดมนยิ่งกว่าท้องฟ้าในยามราตรีในขณะนี้ไปแล้วเจ็ดส่วนในความคิดของเด็กสาวนามว่า ‘ถิงเฟย’ ในยามนี้“ไม่รีบ ไม่รีบ เรื่องนี้ข้าไม่รีบร้อนสักนิดเลยถิงเฟย กว่าจะเลยฤกษ์งามยามดีเวลาเข้าหออันเป็นมงคลเหมาะแก่การให้กำเนิดทายาทสกุลจ้าวก็อีกราวหนึ่งชั่วยาม ซู่จิ้งอ๋องไม่รีบร้อน ข้าก็ไม่รีบร้อนอันใดเช่นกัน เจ้าเองก็อย่าได้ว้าวุ่นใจไปเลยนะ เอานมมาเถอะข้าหิวจนตาลายหมดแล้ว”
น้ำเสียงหวานกังวานไพเราะกล่าวเนิบนาบและแผ่วเบา ฟังราวกับเสียงของกระดิ่งลมกระทบกันผสานกันกับจังหวะที่เอ่ยไม่หนักและไม่เบา ฟังเช่นไรก็ชวนให้จิตใจสงบ หากแต่ถิงเฟยกลับสงบใจไม่ลงจริงๆ เพราะหากเลยฤกษ์งามยามดีสำหรับพิธีร่วมหอคราวนี้ ฝ่ายมารดาสามีคงยากจะญาติดีกับนายหญิงของนางเป็นแน่
ก๊อก!
ก๊อก!“ซู่จิ้งอ๋องใกล้จะมาถึงแล้ว ขอให้พระชายาซู่จิ้งอ๋องได้โปรดสำรวมกิริยาให้ดีด้วยเพคะ”
เสียงของแม่นมจางคนสนิทของเฝิงกุ้ยเฟย พระมารดาแท้ๆ ของซู่จิ้งอ๋องส่งเสียงกำชับเข้ามาย้ำเตือนผู้เป็นเจ้าสาว ก่อนที่เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งจะเริ่มชัดเจนขึ้นมาในหูของหานซางจื่อทุกขณะ เรียวปากงามจึงโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มไร้ความหมายออกมาหนึ่งสาย ฝ่ายถิงเฟยเองกลับร้อนรนเร่งตรงเข้ามาจัดแจงตรวจดูความเรียบร้อยของคุณหนูสามของตนเองอีกรอบทั้งที่ทุกสิ่งก็ไร้ข้อตำหนิอยู่แล้วโดยแท้
“ไม่ต้องร้อนรนไป สงบใจหน่อยถิงเฟย ร้อนรนไปจะเสียกิริยาแล้วไม่งาม เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าท่านแม่ของข้ากำชับเจ้าอยู่บ่อยครั้งก่อนงานแต่งงานนี้หรอกหรือเด็กดี”
ถิงเฟยนั้นบางครั้งนางก็อยากกรีดร้องให้กับความใจเย็นของผู้เป็นนายของตนเองยิ่งนัก แต่สิบเอ็ดหนาวที่นางติดตามรับใช้คุณหนูสามมาล้วนย่อมทราบดี ต่อให้ท้องฟ้าถล่มหรือปฐพีลุกไหม้ หานซางจื่อผู้นี้ก็ยังคงรักษากิริยาเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นไม่หลุดจนควบคุมไม่ได้ออกไปแม้เพียงธุลีเดียว แล้วแค่เพียงต้องเผชิญหน้ากับพระสวามีย่อมมิอาจสั่นสะเทือนใบหน้าของหานซางจื่อ จนบังเกิดการเปลี่ยนสีได้เป็นแน่ แต่สำหรับเด็กสาวเช่นนางมิอาจทำได้เช่นผู้เป็นนายนี่นา
“เอาละ พวกเราส่งน้องหกเพียงเท่านี้ก็แล้วกันพี่ใหญ่ พี่ห้าขอให้ราตรีนี้ของน้องหกกับน้องสะใภ้หกมีความสุขมากล้นนะ แล้วก็ขอให้พวกเจ้าเร่งมีหลานให้เฝิงกุ้ยเฟยได้ชื่นใจโดยเร็ว”
เสียงทุ่มที่หานซางจื่อพอจะจดจำได้ว่าคือผู้ใดลอยมาเข้าหู แววตาคู่งามสั่นไหวเพียงเล็กน้อย ซึ่งมันน้อยมาก จนหากมีผู้ใดสักคนผ่านมาเห็นก็คงจับสังเกตไม่ได้เด็ดขาด เพราะผู้เป็นเจ้าของนั้นควบคุมมันได้เป็นอย่างดีนั่นเอง
“ลำบากเว่ยเหยียนอ๋องและองค์ไท่จื่อให้ต้องใส่ใจอี้เอ๋อร์แล้ว”
เสียงของบุรุษผู้เป็นสวามีของนางกล่าวโต้ตอบฟังดูนุ่มนวลและนอบน้อมอย่างยิ่ง แต่ผู้ใดเล่าจะรู้แจ้งไปกว่าตัวผู้กล่าวออกไปว่า ที่แท้จริงแล้วเขารู้สึกเช่นนั้นหรือไม่ และแน่นอนหานซางจื่อเองนางก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่ผู้ใดสนใจเขากันเล่า
“ระหว่างพี่น้องเหตุใดน้องหกต้องกล่าวเกรงใจกันถึงเพียงนี้เล่า ฮ่า อ่า ฮ่า ใช่หรือไม่น้องห้า คืนนี้พวกเราล้วนเป็นคนกันเอง อย่าได้มากพิธีจะดีกว่านะน้องหก มาๆ ดื่มสุราอีกหน่อยค่อยเข้าหอก็ยังไม่สาย”
เสียงบุรุษอีกผู้ที่ค่อนข้างไปทางเมามายดังลอยมาเข้าหูของผู้เป็นเจ้าสาวอีกครั้ง คาดเดาได้ว่าบัดนี้หน้าห้องหอคงรวมตัวบุตรชายทั้งสามของฮ่องเต้แห่งเทียนสุ่ยแล้วเป็นแน่ นั่นก็คือไท่จื่อ ‘จ้าวหลงเฉิน’ และยังคงมี เว่ยเหยียนอ๋อง ‘จ้าวลู่ฉือ’ พี่ชายทั้งสองของจ้าวเหลียงอี้ ไม่นับรวมพี่สาวและน้องสาวของพวกเขาที่ไม่ได้สิทธิ์มาส่งเจ้าบ่าวเช่นพี่น้องผู้เป็นบุรุษ ซึ่งหานซางจื่อนั้นก็พอจะรู้มาบ้างว่า พวกเขาพี่ชายน้องชายทั้งสามนี้ออกจะมีความรักลึกซึ้งระหว่างพี่น้องชวนขวัญผวามากเชียวละ
“เอาละ นี่ก็ดึกมากแล้ว ขอเชิญไท่จื่อและเว่ยเหยียนอ๋องกลับไปพักผ่อนเถิดเพคะ ซู่จิ้งอ๋องเองคงต้องเข้าหอแล้ว ประเดี๋ยวจะเลยฤกษ์งามยามดีเหมาะสมกับการร่วมหอเอาได้ ขอทั้งสองท่านช่วยเข้าใจความลำบากใจนี้ของบ่าวด้วยนะเพคะ หากดึกไปกว่านี้คงจะเลยฤกษ์มงคลอันยอดเยี่ยมไปจริงๆ แล้ว”
เสียงนี้แน่นอนว่าจะต้องเป็นแม่นมจางผู้เคร่งครัดทุกพิธีการไม่ผิดไป ซึ่งหานซางจื่อรู้สึกขอบคุณสตรีสูงวัยผู้นั้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่รู้จักนางมา เพราะนี่เกือบปลายยามจื่อแล้ว นางทั้งเหนื่อย ทั้งหิว และง่วงนอนอย่างยิ่ง อยากเร่งให้จบสิ้นทุกพิธีการไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายแล้วเข้านอนเต็มทน ส่วนกิจกรรมหลังเข้าหอ นางยิ่งกว่าแน่ใจว่าจ้าวเหลียงอี้จะไม่มีวัน ‘ยุ่งเกี่ยว’ หรือ ‘เกินเลย’ กับตนเองเป็นแน่
“ได้สิ ในเมื่อแม่นมจางกล่าวถึงเพียงนี้ เช่นนั้นข้ากับน้องห้าก็ส่งเจ้าเท่านี้ก็แล้วกันนะน้องหก”
แอ๊ด…
พอสิ้นเสียงบอกลาพอเป็นพิธีของพี่น้องทั้งสามแล้วไม่นานประตูบานใหญ่ก็ถูกผลักเข้ามาเข้ามาด้วยฝีมือของแม่นมจางที่คอยควบคุมทุกพิธีการให้สำเร็จไปด้วยดี ไม่สิ สำหรับสตรีสูงวัยผู้นั้นคงมีแต่คำว่า ‘ยอดเยี่ยม’ อยู่สิ่งเดียวใจชีวิตเท่านั้นกระมัง
“แม่นมจางเร่งกลับไปดูแลเสด็จแม่เถิด ทางนี้ไม่มีอันใดแล้ว ที่เหลือเปิ่นหวางจัดการต่อเองได้ ท่านอย่าได้ว้าวุ่นไปเลย”
เสียงของซู่จิ้งอ๋องเอ่ยกับคนของพระมารดาของเขาเสียงราบเรียบยิ่งนัก หากแต่ ‘หานถิงเฟย’ กลับรู้สึกว่าไอ้กิริยาเอ่ยด้วยถ้อยคำราบเรียบเช่นนี้มันกลับน่าหวาดหวั่นเสียยิ่งกว่าเอ่ยวาจาดุดัน จนสาวใช้ตัวน้อยถึงกับเหงื่อกาฬพลันแตกซ่าน
ซึ่งน่าแปลกที่หานซางจื่อนั้นกลับรับรู้ได้ถึงอาการหวาดกลัวนั้นของคนสนิท นางจึงเอื้อมมือมากุมมือของสาวใช้คล้ายจะปลอบขวัญกันอยู่ในคราวเดียวกัน หวังไม่ให้อีกฝ่ายนั้นตื่นกลัวบุรุษผู้นั้นจนเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อนทุกสิ่งจะจบสิ้น
“แต่ว่า…”
“แม่นมจางเชิญ!”
“เพคะ!”
บทที่ 16ตลอดเส้นทางจนถึงรถม้าคราวนี้หานซางจื่อเดินได้เนิบช้ายิ่งนัก จนจ้าวเหลียงอี้ต้องรั้งฝีเท้ารอนางอยู่หลายครั้งพอขึ้นรถม้าได้สาวน้อยก็ปิดตาหลับทันที ใบหน้างดงามกลับเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อแต่ผิวกายของนางกลับซีดเซียวจนมีสีเริ่มออกม่วงใกล้ดำคล้ำทว่าพอนางไม่ปริปากบอกว่าตนเองเป็นอันใดออกไป ชายหนุ่มก็ไม่ติดใจสอบถามเช่นกัน เพราะคิดว่านางเย่อหยิ่งนักก็ปล่อยนางป่วยไปก็แล้วกัน คนเช่นเขามีสตรีเอาอกเอาใจมาทั้งชีวิต จะให้ลดตัวไปเอาใจสตรีก่อนสังหารเขาเสียยังจะง่ายกว่า ฝ่ายหานซางจื่อนั้นกระจ่างแล้วว่าพิษที่ซ่งฮองเฮาตั้งใจมอบให้กับจ้าวเหลียงอี้คือพิษกระเรียนแดงก็เมื่อเดินทางออกจากวังหลวงได้ครึ่งทางแล้วซึ่งพิษนี้จะไม่กำเริบเร็วและหนักถึงเพียงนี้ หากว่านางไม่เคยถูกพิษน้ำค้างเหมันต์มาก่อน พิษเย็นและพิษร้อนมารวมอยู่ในร่างของคนผู้เดียว หากว่าพอเหมาะก็ไม่เกิดอันใด แต่นางรับมามากทั้งสองที่ควบคุมจนไปถึงตำหนักซู่จิ้งอ๋องนางไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่า ตนเองจะสามารถควบคุมพิษนี้ไม่ให้แสดงให้จ้าวเหลียงอี้รู้แจ้งได้หรือไม่วรยุทธ์ขั้นเก้านี้มิอาจสะกดพิษทั้งสองไม่ให้ปะทะกันได้นานนัก“เจ้ากำลังไม่สบายหรือไม่ซางซาง”สุดท้
บทที่ 15กว่าถานจีเซียงจะคิดได้ว่า ตนเองผิดไปเสียแล้วก็เมื่อเห็นสายตาไม่พึงใจและกรุ่นโกรธของจ้าวหลงเฉินนั่นแหละมือไม้เรียวงามอย่างสตรีสูงศักดิ์พลันสั่นไหวขึ้นมาทันที ใบหน้าก็ซีดเผือดยิ่งกว่าหานซางจื่อเสียอีก เห็นแล้วทำเอาพระชายาหานให้นึกระอาสตรีโง่เขลาเช่นไท่จื่อเฟยถานอยู่ในใจเสียมิได้“พอดีว่าหม่อมฉันหน้ามืดระหว่างเดินผ่านศาลาที่ไท่จื่อเฟยนั่งพักอยู่ ไท่จื่อเฟยเมตตาจึงให้นางกำนัลข้างกายมาเชิญให้หม่อมฉันกับซู่จิ้งอ๋องแวะมานั่งพักเพคะไท่จื่อ”แน่นอนว่าหานซางจื่อเตรียมการมาก่อนแล้วจึงเอ่ยวาจาได้ไหลลื่นอย่างยิ่งไร้ข้อพิรุธให้คนขี้ระแวงเช่นจ้าวหลงเฉินได้กังขา“ต้องขอบพระทัยไท่จื่อเฟยที่เมตตาหม่อมฉันยิ่งนัก”กล่าวแล้วก็หันไปโค้งกายให้กับถานจีเซียงทั้งที่ยังนั่งอยู่ในอ้อมแขนของจ้าวเหลียงอี้ด้วยกิริยาอ่อนหวานยิ่งนัก ซึ่งขณะนั้นเจ้าของอ้อมแขนก็ไปสะดุดกับสายตาของจ้าวลู่ฉือที่ทอดมองมายังร่างในอ้อมแขนของตนเองเข้าพอดี ต่อให้เขาเป็นคนอ่อนด้อยในเรื่องสตรี แต่สายตาของบุรุษด้วยกันย่อมกระจ่างต่อสายตาของพี่ชายลำดับที่ห้าในทันใด“จริงหรือเซียงเอ๋อร์”จ้าวหลงเฉินถามถานจีเซียงด้วยใบหน้านิ่ง สายตาจับผิดจนพ
บทที่ 14หานซางจื่อหันไปเอ่ยกับหวังเฉาชุ่นด้วยใบหน้าสงบเยือกเย็น ทำเอาขันทีวัยยี่สิบเก้าหนาวรู้สึกยำเกรงเด็กสาววัยเพียงสิบเจ็ดหนาวได้อย่างน่าตกใจ ดวงตาหงส์ของพระชายาหานผู้นี้ดูมีอำนาจอย่างยิ่ง แถมในยามที่นางวางสีหน้าเรียบเฉยเช่นนี้กลับมีกลิ่นอายอำมหิตราวกับนักฆ่าขั้นสูงข้างกายองค์ฮ่องเต้ขึ้นมาอยู่หลายส่วน หวังเฉาชุ่นเห็นเช่นนั้นจึงยิ่งรู้สึกกดดัน“พ่ะย่ะค่ะพระชายาหาน”ดังนั้นจึงไม่ต้องรอให้นางกล่าวย้ำเป็นครั้งที่สองก็รีบออกไปคอยสังเกตการณ์ ระวังไม่ให้คนนอกได้มาพบเห็นภาพที่ซู่จิ้งอ๋องและไท่จื่อเฟยถานพบกันเพียงลำพังในอุทยานหลวงแห่งนี้โดยเด็ดขาดนั่นเอง“เฮ้อ! บุรุษผู้นี้ขยันก่อเรื่องให้ข้าเสียจริง”หานซางจื่อพึมพำออกมาด้วยอารมณ์เบื่อหน่ายอย่างยิ่ง สตรีทั่วเทียนสุ่ยใช่มีหญิงงามเพียงถานจีเซียง เหตุใดจ้าวเหลียงอี้เขาจึงคิดไม่ตกตัดใจไม่ลงกันเล่า สตรีมากมายจึงไม่ใฝ่ฝัน แต่กลับไปใฝ่ปองคนของพี่ชาย ผลไม้เลิศรสทั่วใต้หล้ากลับไม่ใส่ใจอยากชิม แต่ดันมาลักกินขโมยกินผลไม้ต้องห้ามมีพิษร้ายแรง“สมควรตายยิ่งนักนะจ้าวเหลียงอี้”สองแขนเรียวกอดอกเอาไว้หลวมๆ หันหลังให้กับหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีในศาลาแปดเหลี่ยมแห
บทที่ 13“นางกล่าวมาเพียงเท่านี้หรือ?”หลังจากหวังเฉาชุ่นกลับมารายงานถ้อยคำที่หานซางจื่อฝากมา จ้าวเหลียงอี้ที่กำลังตรวจดูแบบก่อสร้างโรงทานที่ฮ่องเต้มอบหมายให้เขาเป็นผู้ออกแบบ และควบคุมการก่อสร้างทั้งหมดถึงกับเงยหน้าขึ้นแล้วถามออกไปอย่างอดใจไม่ไหว เพราะที่เขาส่งหวังเฉาชุ่นไปก็เพื่อจะอ่อนข้อ คิดให้นางชวนเขากลับสกุลเดิมกับนาง เพราะอยากขอบใจอีกฝ่ายที่ช่วยเอ่ยเตือนสติของเขาบนรถม้า แต่ดูสตรีสมควรตายผู้นั้นกระทำเสียก่อนเนรคุณสิ้นดี!“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” ขันทีคนสนิทซู่จิ้งอ๋องก็ตอบพาซื่อ ตอบไปตรงมาไม่รู้ชะตากรรมของตนเองแม้แต่น้อย“ไสหัวไป!”หวังเฉาชุนที่เลี้ยงดู และเป็นเพื่อนเล่นมาตั้งแต่จ้าวเหลียงอี้ยังอายุสองหนาวมีหรือจะไม่เข้าใจผู้เป็นนายของตนเองว่า ผู้เป็นนายอยู่ในอารมณ์ใดหรือกำลังคิดสิ่งใดอยู่ จ้าวเหลียงอี้ผู้นี้อาจจะเอาแต่ใจไปสักหน่อย เพราะมีฮ่องเต้คอยปกป้อง เฝิงกุ้ยเฟยคอยให้ท้าย แต่นิสัยใจจริงเขานับว่าเป็นคนดีทีเดียว ติดก็แต่ปากแข็งเอาใจคนไม่เป็นต่อให้ตนเองผิดก็ไม่เคยขอโทษผู้ใด คราวนี้คาดว่าคงรู้สึกผิด แต่กลับไม่ยอมขอโทษพระชายาตนเองดีๆแต่กลับเลือกใช้เขาเป็นสะพาน สตรีคนใดจะเข้าใจ แต่เรื
บทที่ 12“อยากฆ่าเปิ่นหวางหรือ?”เมื่อขึ้นมาบนรถม้าแล้วจ้าวเหลียงอี้จึงเอ่ยถามออกมาอย่างอารมณ์ดี ไม่อาจทราบได้ว่า เหตุใดพอเห็นนางหลุดสีหน้าราวกับอยากฆ่าคนได้ออกมาเพียงเสี้ยวลมหายใจแล้วเขานั้นมองเห็นได้ทันเข้าพอดีนี้กลับทำให้จ้าวเหลียงอี้รู้สึกพึงใจราวกับตนเองเอาชนะหมากล้อมบิดาได้เช่นนี้ด้วย“มิกล้า มิกล้า!”ฟังอย่างไรเสียงคำตอบนี้จ้าวเหลียงอี้ก็คาดว่า นางพูดมันออกมาผ่านไรฟันเป็นแน่ ความสะใจนี้ช่างหอมหวานเสียจริง การที่เขาทำให้นางโกรธได้มิใช่ว่า เขาสามารถกระชากหน้ากากของนางปีศาจแมงมุมดำซ่งเพ่ยหนี่ว์ที่ชอบรังแกมารดาของเขาได้หรอกหรือ“คนฉลาดต้องรู้จักประมาณกำลังของตน ถอยเพื่อรุกฆาต มิทราบว่าซู่จิ้งอ๋องเคยได้ยินหรือไม่? สิ่งใดหากคล้อยตามแล้วเราไม่ขาดทุนก็สมควรคล้อยตาม ต้นหลิวยิ่งใหญ่เป็นเพราะไม่รู้จักหนักรู้จักเบาจึงหักหรือโค่นล้มได้โดยง่าย ทว่าต้นหญ้าบนพื้นดินพวกมันกลับอายุยืนกว่าต้นไม้ใหญ่มากนักเพราะพวกมันรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา”หานซางจื่อกล่าวเนิบช้า หากแต่หนักแน่นในทุกคำที่เอ่ยออกมา บางครั้งนางก็รู้สึกว่ามังกรเฒ่ารักใคร่บุตรชายได้ผิดไปมากจริงๆ หาไม่จ้าวเหลียงอี้อายุห่างจากนางนับแล้วหกห
บทที่ 11บันไดทอดยาวลงจากตำหนักหมิงเต๋อเต็มไปด้วยขุนนางที่เดินเกาะกลุ่มพูดคุยกันแยกเป็นพรรคพวกใครพรรคพวกมัน ภาพนี้หานซางจื่อมองแล้วยิ่งอ่อนล้า คิดว่าเพียงไม่กี่ชั่วยามในท้องพระโรงกลับทำนางสูญเสียพลังไปมากกว่าสังหารคนสักร้อยคนก็มิปาน สามหนาวยังอีกยาวไกล ยิ่งคิดหานซางจื่อก็ยิ่งท้อแท้ขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว ทว่าท้อได้หากแต่นางกลับถอยไม่ได้อีกแล้ว“ทำไม? ถอนหายใจเพราะไม่คิดว่า จะต้องไปตกระกำลำบากไกลถึงชายแดนตงหยางหรือ หากไม่อยากไปก็ลองไปขอร้องญาติผู้พี่ของเจ้าดูสิ เขานับเจ้าเป็น ‘ครอบครัว’ มิใช่หรือไร เจรจากับเขาคงง่ายดายเช่นที่มารดาของเขาส่งเจ้ามาอยู่ข้างกายเปิ่นหวางนั่นแหละ”คราวนี้จ้าวเหลียงอี้ไม่ได้เดินหนีอีกแล้ว แต่เขาตั้งใจจะเดินเคียงข้างกับผู้เป็นพระชายาของตนเองเลยทีเดียวดังนั้นตั้งแต่ก้าวเท้าออกมาจากท้องพระโรงถอนหายใจกี่ครั้งเขาจึงนับเอาไว้ทั้งหมด“ซู่จิ้งอ๋องคิดมากไปแล้ว สามีภรรยามีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมฝ่าฟันมิใช่หรือเพคะ ต่อให้พระองค์ชิงชังหม่อมฉัน ไม่เต็มใจรับหม่อมฉันมาเป็นพระชายา แต่ในเมื่อได้มาแล้วเช่นไรจะไล่ไปก็คาดว่าจะไม่ง่ายนะเพคะ”เท้าของจ้าวเหลียงอี้ถึงกับหยุดชะงักลงโดยพ


















Komen