"นายปล่อยฉันลงได้แล้วฉันเจ็บท้อง" มิลานเริ่มจุกท้องน้อย เพราะเวลาที่เขาเดิน ท้องของเธอเสียดสีกับไหล่แข็งๆ
"อย่าพูดมากใกล้จะถึงแล้ว" ฝนเริ่มลงเม็ดแรงขึ้น ชายหนุ่มก็เลยต้องได้เร่งฝีเท้า เพราะกลัวว่ากล้องในมือของเธอจะเปียก
"เบาๆ หน่อยได้ไหม! ฉันบอกว่าฉันเจ็บไง!" แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ฟังยิ่งบอกให้เบาๆ เขาก็ยิ่งเดินเร็วแทบจะกลายเป็นวิ่ง
"ถ้านายไม่หยุดฉันจะทิ้งกล้องลงตรงนี้"
"ก็ลองดูสิ!" ที่จริงเขาก็กลัวว่าเธอจะทำตามที่พูด แต่ถ้าให้เธอลงตรงนี้ คงต้องได้ทะเลาะกันก่อนกว่าจะถึงฝนคงตกแรงกว่านี้แน่
เดินมาอีกเพียงไม่นานก็ถึงบ้านไม้ 2-3 หลังอยู่ในพื้นที่เดียวกัน เป็นบ้านไม้..แบบไม้จริงๆ ชั้นบนเป็นไม้เก่าๆ ทรุดโทรม ส่วนชั้นล่างเปิดโล่ง มีแคร่ไว้นั่งรับลมเล่น
อึ๊บ! เสียงเขาวางเธอลงแคร่ไม้ "โอ๊ย!! นายช่วยวางฉันเบาๆ หน่อยไม่ได้หรือไง!"
"ไปกินช้างมาหรือไง"
"นายว่าฉันอ้วนเหรอ!"
"แล้วแต่จะคิดแล้วกัน! คนอะไรตัวแค่นี้แต่หนักฉิบหาย"
"ใครใช้ให้นายแบกฉันมาล่ะ!"
"ส่งกล้องคืนมา"
"ไม่!" หญิงสาวรีบจับกล้องซ่อนไว้ด้านหลังของตัวเอง
"บอกให้เอากล้องคืนมา!" เขายื่นมือออกไปด้วยใบหน้าถมึงทึงแทบจะกินเลือดกินเนื้อเธอให้ได้
"ถ้าฉันคืนกล้องให้นายแล้วนายจะปล่อยฉันไปไหมล่ะ"
"ถ้าไม่กลัวเสือคาบไปแดกก็ไปสิ"
สายตางามมองไปรอบๆ ตอนนี้เริ่มมืดมากแล้วแถมไม่มีไฟฟ้าอีก
หมั่บ!
"กรี๊ดดด" หญิงสาวตกใจในขณะที่เธอกำลังให้ความสนใจกับสิ่งรอบข้าง ก็ถูกเขาแย่งเอากล้องไปได้
"เสียงผู้หญิงที่ไหนมาร้องแถวนี้วะ" ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงคนดังขึ้นจากบ้านอีกหลัง มิลานรีบหันไปมอง ใบหน้างามเริ่มมีรอยยิ้มขึ้นมาเมื่อรู้ว่ายังมีคนอื่นอยู่แถวนี้
"ช่วย..อืมมม" จังหวะที่เธอกำลังจะตะโกนขอความช่วยเหลือก็ถูกเขาปิดปากไว้
"ถ้าเธออยากตายก็ร้องไปสิ..รู้ไหมว่าที่นี่คือซุ้มโจร" เขากระซิบพูดข้างใบหูจนเธอไม่กล้าร้อง เพราะถ้ามันเป็นซุ้มโจรจริง คนที่ลงมาก็เป็นพวกเดียวกับเขาน่ะสิ
"อ้าว..ลุงนึกว่าใคร ..กลับมาตั้งแต่เมื่อไรล่ะไอ้หำ"
"อึก..อึก..ฮ่าาาาา" จากที่กำลังเครียดอยู่ พอได้ยินลุงคนนั้นเรียกเขาว่าไอ้หำ มิลานถึงกับขำก๊ากออกมา
"แล้วนั่นผู้หญิงที่ไหนล่ะ"
"เมียผมเองครับลุง"
จากที่กำลังขำอยู่พอได้ยินเขาบอกว่าเธอเป็นเมีย..ใบหน้างามถึงกับหันขวับกลับมามองคนที่เอ่ยพูดออกมาเมื่อสักครู่
สามเดือนผ่านไปตอนนี้ท้องของมิลานก็เริ่มโตขึ้นจนโผล่พ้นออกมาให้เห็นมากแล้ว"ทำไมกลับบ้านเร็วล่ะคะ" หลายวันมานี้สามีกลับบ้านก่อนเวลาตลอด"ว่าจะไม่ไปทำงานด้วยซ้ำ""ทำไมล่ะ""ก็เป็นห่วงคุณไง ดูสิจะเดินจะนั่งก็ดูลำบากไปหมด" ชายหนุ่มพูดพร้อมกับประคองภรรยาค่อยๆ นั่งลงที่โซฟา"ฉันอยู่ที่บ้านกับคุณแม่ไม่เห็นมีอะไรต้องน่าเป็นห่วงเลยค่ะ"ถึงแม้ว่าแม่ของเขาจะดูแลเธอเป็นอย่างดี แต่ผู้เป็นสามีก็อดห่วงไม่ได้ เพราะอยากจะดูแลเธอเอง มือหนาลูบไล้หน้าท้องของภรรยาซึ่งตอนนี้เด็กดื้อที่อยู่ในนั้นกำลังดิ้นแรงมาก"เหลืออีกตั้งสี่เดือนกว่า ลูกถึงจะคลอด ถ้าไม่ไปทำงานใครจะดูงานให้ล่ะคะ""ก็ให้ท่านรองประธานดูไปสิ""คุณเสกสรรนะเหรอ""ไอ้เสกมันทำงานเก่งไม่เป็นแบบที่คุณคิดหรอกนะ" ใครจะคิดว่าเสกสรรจะเก่งในการทำงานขนาดนี้ เพราะเคยเห็นแต่สำมะเลเทเมาไปวันวานพอรู้ว่าโปรเจคงานที่ก่อปัญหาในครั้งนั้นเป็นผลงานของเสกสรร เหนือตะวัน และพ่อของมิลานก็มองเสกสรรใหม่ จนตอนนี้ให้ตำแหน่งเขาเป็นถึงท่านรองประธาน เพื่อที่จะมาดูงานช่วยกันอีกแรงแต่เสกสรรจะยอมรับตำแหน่งนั้น ถ้าให้ภรรยาของเขาเป็นเลขาส่วนตัว เพราะทีแรกจั๊กจั่นขอไปทำงานที่แ
เช้าวันต่อมา.."ถ้ามีโอกาส เราจะมาเที่ยวเล่นที่นี่อีกนะ" ประไพเอ่ยพูดขึ้นกับลุงพงษ์และป้าวรรณีที่เดินมาส่งตรงท้ายหมู่บ้านเพื่อจะขึ้นรถไปสนามบิน"เชิญพวกท่านทั้งสองได้เสมอเลยครับ" ลุงพงษ์ตอบกลับไปแบบนอบน้อม"ถ้าเมื่อไรอยากได้ถนน กับไฟฟ้า ให้บอกมาได้ตลอดเลยนะ เดี๋ยวให้คนมาจัดการให้" คำพูดนี้ท่านรัฐมนตรีเป็นคนพูดเอง เพราะถ้าเป็นคำสั่งของท่านคงใช้เวลาไม่นาน"ก็ไอ้หำน่ะสิ..เออ..ขอโทษครับ" ลุงพงษ์เผลอปากเรียกลูกชายท่านว่าหำต่อหน้า"ไม่เป็นไรหรอกครับลุง ลุงถนัดแบบไหนก็พูดแบบนั้นเถอะ" เหนือตะวันที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ได้พูดให้ลุงคลายกังวล"ลูกหลานมันอยากจะเก็บบรรยากาศแบบนี้ไว้ ก็ทำตามคนที่เขาอยู่อาศัยต่อเถอะครับท่าน" มันยิ่งทำให้ป้าและลุงรักหลานชายคนนี้เพิ่มขึ้น เพราะเขาไม่ใช่คนธรรมดา แต่ยังมาอาศัยอยู่กับพวกท่าน ถือว่าบุญเก่าเคยทำมาร่วมกัน"คุณพ่อกับคุณแม่กลับไปก่อนนะครับ ถ้าพ้นช่วงฮันนีมูนแล้วเดี๋ยวผมจะพาลูกสะใภ้กลับไปหาเอง" เหนือตะวันพูดพร้อมกับเปิดประตูให้ผู้เป็นพ่อกับแม่ได้ขึ้น"ฝากดูแลท่านทั้งสองด้วยนะเสก" เขายังหันไปพูดกับเสกสรรที่กำลังจะขึ้นรถอีกคัน"ได้สิ มึงอย่าลืมนะว่านี่ก็พ่อตาแม่ยายกูเ
"คิดถึง""คะ?" จะตกใจอะไรก่อนดี ระหว่าคำที่ท่านบอกว่าคิดถึง หรือมือที่ท่านยื่นมาโอบกอด สัมผัสแบบนี้ไม่เคยเจอมาเป็นสิบปีแล้ว ถึงแม้เวลามันจะยาวนาน แต่นางก็นับวันนับคืน ว่าเมื่อไรสามีจะหันหน้ากลับมาหา แต่ยิ่งท่านหันหลังให้ก็ยิ่งเดินห่างไกลออกไป วิ่งตามเท่าไรก็ตามไม่ทัน"ท่านไม่สบายหรือเปล่าคะ" ความคิดนี้พุ่งขึ้นมาในหัว ส่วนมากถ้าคนที่เป็นโรคร้าย ชอบจะกลับมาตายรังแบบนี้เสมอ เพราะอีหนูพวกนั้นคงดูแลไม่ได้"ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ""ก็ดูท่านเปลี่ยนไป" นอกจากคำว่าคุณแล้ว ประไพชอบเรียกสามีว่าท่าน เพราะยังไงนางก็อายุน้อยกว่าเป็นสิบปี"ถ้าผมไม่สบายจริง คุณจะดูแลไหม"เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงสะอื้นของภรรยาเก่า พร้อมกับมือที่ขยับขึ้นปาดน้ำตาตัวเองออก"คุณเป็นอะไร" สำราญตกใจ รีบลุกขึ้นนั่ง จะจุดไฟตะเกียงก็ทำไม่ได้แล้วเพราะทำไม่เป็น"คุณป่วยระยะที่เท่าไรแล้วคะ""ระยะที่เท่าไรหมายความว่ายังไง""คุณเป็นมะเร็งใช่ไหม คุณไปหาหมอมาหรือยัง แล้วทำไมคุณไม่รีบกลับมาหาฉัน" สิ้นประโยคคำพูดเสียงสะอื้นของนางก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ที่ประไพคิดแบบนี้ ก็เพราะมีไม่กี่โรคหรอกคนรุ่นราวคราวนี้ที่จะเจอ"ใจเย็นก่อนสิคุณ""ทำไมคุณไม่รี
ในเวลาเดียวกันนั้นที่บ้านปลายนา..หลังจากร่วมรับประทานอาหารเย็นกันเสร็จแล้ว ลุงพงษ์กับป้าวรรณี และคู่ที่มาฮันนีมูนก็ได้กลับบ้าน ซึ่งปล่อยให้ท่านรัฐมนตรีกับอดีตภรรยาได้อยู่ด้วยกันแค่สองคน ในบ้านหลังที่พ่อและแม่ของมิลานเคยอาศัยอยู่เรามารู้จักกับท่านรัฐมนตรีและภรรยาเก่ากันบ้าง สำราญ ชายวัย 57 ปี แต่รูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้เป็นไปตามอายุเท่าไร เพราะดูแลร่างกายดี ส่วนประไพ ซึ่งอายุน้อยกว่าสามีเก่าถึง 10 ปี ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยในปีนั้นนางก็ได้คว้าดาวมหาวิทยาลัยมาครอง ความสวยของนางก็ยังคงมีอยู่ แต่ด้วยความไม่พอของสามี จึงยังต้องการเด็กสาวเข้ามาเติมเต็ม"คุณนอนได้ไหมล่ะคะ""นอนได้สิ" สำราญพูดพร้อมกับค่อยๆ หย่อนกายมุดเข้าไปในมุ้งแบบลำบากเพราะไม่เคยนอนแบบนี้มาก่อน"หึ..มันก็สรรหาที่มาอยู่นะ""แต่ผัวเมียคู่นั้นก็ดูรักลูกเราดีนะคะ""อืมม..ชีวิตแบบนี้ก็ดีไปอีกแบบ""คุณนอนไปก่อนเลยนะคะ ฉันจะลงไปเล่นข้างล่าง" ว่าแล้วนางก็แยกตัวลงมาก่อน ..อายุปูนนี้แล้วทำไมหัวใจยังเต้นแรงอยู่อีกควรพอได้แล้วมั้งประไพ เข้าใกล้สามีเก่าแล้วรู้สึกหวั่นไหวจนต้องได้ตำหนิตัวเองพอลงมาถึงข้างล่างนางก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งตอนน
"คนเจ้าเล่ห์" ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรเพื่อแลกเปลี่ยน"เจ้าเล่ห์ที่ไหนอยากรู้ความลับก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนกันหน่อยสิ" ใบหน้าหล่อคมขยับเข้ามาใกล้ริมฝีปากบางแบบห้ามใจตัวเองไม่อยู่"ครั้งนี้พี่จะเป็นเหมือนครั้งที่แล้วไหม" หญิงสาวไม่ปฏิเสธแถมเธอยังหลับตาให้ แต่อดที่จะถามออกไปไม่ได้ เพราะกลัวว่าเรื่องแบบเดิมๆ มันจะกลับมาอีกครั้ง"ไม่แล้ว..และพี่จะไม่ขอโทษเราอีก แต่พี่จะทำให้เราเห็น" เสกสรรรู้ดีว่าเธอหมายถึงอะไร ตอนนั้นเขายังคึกคะนองในตัวเอง และเสียดายความโสดของตัวเอง จึงได้พยายามผลักไสเธอออกไป"พี่จะทำอะไรให้ฉันเห็น" ดวงตากลมเปิดขึ้นอีกครั้งเพื่อมองสบตา"ทำให้เห็นว่าพี่รักเราไง"น้ำตาได้ไหลลงมาจากดวงตางามคู่นั้น เธอสัมผัสได้ว่าที่เขาพูดมันออกมาจากใจจริง ไม่เหมือนครั้งก่อนที่เขาต้องการแค่ร่างกายของเธอ"ไม่ร้องนะคนเก่งของพี่" จากที่จะจูบก็เลยได้เปลี่ยนมาเป็นซับน้ำตาให้"ฉันเก่งที่ไหน""เก่งสิ..ถ้าจั๊กจั่นของพี่ไม่เก่งแล้วใครจะเก่งล่ะ" เสกสรรคว้าร่างบางเข้ามากอดไว้"ยังเจ็บอยู่ไหม"หญิงสาวตอบด้วยการส่ายหน้าเบาๆ สิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้เธอลืมความเจ็บปวดไปได้ เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะมีความ
"จะ..จะ..จริงเหรอวะ" อัมพรแม่ของจั๊กจั่นไม่ค่อยเชื่อ แต่พอมีคนไปตามก็รีบมาดู"ต่อไปนี้แม่จะไม่ให้ใครทำร้ายหนูได้อีกแล้ว เราจะกลับไปพร้อมกันนะ" ประไพพูดพร้อมกับลูบผมของจั๊กจั่นเบาๆ เพื่อปลอบใจหญิงสาวไม่ตอบแต่เธอพยักหน้าเพราะตื้นตันใจ ขนาดท่านไม่ใช่แม่แท้ๆ ยังเป็นห่วงเธอขนาดนี้"คนนี้บอกว่าเป็นแม่ของคุณจั๊กจั่นครับท่าน" ตำรวจที่ควบคุมสถานการณ์อยู่ข้างนอกได้พาผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามา"จั๊กจั่น" อัมพรตกใจที่เห็นลูกสาวอยู่ในอ้อมกอดของใครก็ไม่รู้"คนนี้ใช่ไหม" ประไพถามจั๊กจั่น แต่สายตามองไปที่อัมพร ซึ่งข้างกายของอัมพรก็มีผู้หญิงอีกคนที่รุ่นราวคราวเดียวกับจั๊กจั่นยืนอยู่ด้วยจั๊กจั่นทำได้แค่ส่ายหน้า เพราะเป็นห่วงแม่ ยังไงท่านก็เป็นแม่ที่ให้กำเนิด"บอกแม่มาตามตรง คนนี้ใช่ไหมคือแม่ใจร้ายที่ทำหนู""เกิดอะไรขึ้นน่ะน้า" ตั๊กแตนสะกิดข้างของน้าอัมพร แล้วถามเบาๆ สายตาก็ได้มองไปดูทั่วบริเวณบ้านของเสกสรร ซึ่งตอนนี้ผู้ชายที่แต่งตัวภูมิฐาน ต่างก็ยืนรอบล้อมอยู่แถวนั้น"ท่านนี้คือผู้ใหญ่ที่จะมาสู่ขอจั๊กจั่นให้ผมครับ" เสกสรรซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล ก็เดินเข้ามาแนะนำให้แม่ของจั๊กจั่นได้รู้จัก"ท่านคือ ท่านรัฐมนตรีสำร