ที่เรือนพักของเผิงเหยียนเฉิง ภายในห้องเรียน เผิงเหยียนเฉิงนั่งอยู่หน้าโต๊ะตำรา เขาสวมชุดผ้าฝ้ายสะอาดเรียบสีอ่อน ข้างตัวมีชาจีนร้อนกรุ่นวางไว้คู่กับกระดานหมาก และตำราขงจื๊อที่เปิดค้างไว้อยู่
เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น
“ข้าเอง ซือหนาน” เสียงนางเอกร้องเบาๆ จากนอกประตู เผิงเหยียนเฉิงหันไปยิ้มเล็กๆ เสียงของนางทำให้เขารู้สึกเหมือนยามเช้าอบอุ่นขึ้นทันที
“เข้ามาเถอะ” เขากล่าวเสียงนุ่ม
ลู่ซือหนานเปิดประตูเข้ามา นางสวมชุดผ้าแพรสีอ่อน ลายดอกไม้เล็กๆ ที่ดูอ่อนหวานพอดีตัว มือเรียวถือห่อผ้าไหมขาวเล็กๆ แนบไว้ตรงอก
“วันนี้เจ้ามาแต่เช้าเลย” เผิงเหยียนเฉิงกล่าวอย่างอ่อนโยน ขณะลุกขึ้นจากโต๊ะ นางก้มหน้ายิ้มน้อยๆ แก้มระเรื่อแดงอย่างห้ามไม่อยู่
“ข้า…ข้ามีของจะมอบให้เจ้าค่ะ” เสียงนางเบาราวกระซิบ
เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ให้ข้าหรือ”
นางพยักหน้าเบาๆ แล้วยื่นห่อผ้าไหมให้
“ลองเปิดดูนะเจ้าคะ” นางพูดแล้วเบือนหน้าหนี ไม่กล้ามองตรงๆ
เผิงเหยียนเฉิงค่อยๆ คลี่ผ้าอย่างนุ่มนวล ภายในเป็นถุงหอมเล็กๆ ปักชื่อ “เหยียน” อย่างประณีตด้วยไหมทอง ลวดลายเรียบง่
ขบวนเจ้าสาวเคลื่อนตัวเข้าสู่ประตูเมืองหลวงในยามสาย ขบวนมงคลยาวเหยียดนำโดยขบวนนักดนตรีส่งเสียงเป็นจังหวะรื่นเริง ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองที่ออกมายืนแน่นสองฝั่งถนนเพื่อชมขบวนเจ้าสาวอันทรงเกียรติของจวนโหวเผิงเกี้ยวเจ้าสาวสีแดงเข้มตัดขอบทองประดับด้วยพู่ไหมสีแดงสดและกระดิ่งเงินเบาๆ ที่สั่นไหว เคลื่อนไปอย่างช้าๆ ข้างเกี้ยวเผิงเหยียนเฉิงในชุดเจ้าบ่าวเต็มยศควบม้าคู่ใจอย่างมั่นคง ดวงตาแน่วแน่มุ่งหน้าสู่ประตูใหญ่ของจวนโหวซึ่งเพิ่งได้รับพระราชทานอย่างเป็นทางการจากฮ่องเต้เมื่อขบวนมาถึงหน้าเรือนโหว เสียงประทัดยาวชุดใหญ่ก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณต้อนรับเกี้ยวเจ้าสาว เสียงประทัดแดงปลิวว่อนเต็มพื้นประหนึ่งโรยด้วยกลีบดอกไม้แดง ตำรับพิธีแต่งงานของขุนนางชั้นสูงถูกปฏิบัติอย่างครบถ้วน เหล่าข้ารับใช้สกุลเผิงออกมายืนเรียงรายสองข้างประตูคารวะเจ้าสาวเมื่อถึงหน้าประตูจวน ขันทีหลวงที่รับมอบหมายจากในวังเดินออกมาเปิดม่านเกี้ยวชั้นนอก เสี่ยวหลานช่วยประคองลู่ซือหนานลงจากเกี้ยวในขณะที่นางยังคงคลุมหน้าเผิงเหยียนเฉิงเดินเข้ามาพร้อมถาดทองเล็กที่มีผลทับทิมสองผล และเชิญลู่ซือหนานเข้าเรือนด้วยตั
ขบวนเกี้ยวเคลื่อนออกจากเจียงเฉินท่ามกลางเสียงประโคมกลองมงคลและเสียงโห่ร้องอวยพรของชาวบ้าน ขบวนอันสง่างามเดินทางผ่านเส้นทางเลียบแม่น้ำและป่าเขาเป็นเวลาหนึ่งวัน จนกระทั่งถึงเมืองซินหลิน เมืองเล็กๆ ที่เป็นจุดพักระหว่างทางก่อนเข้าสู่เขตเมืองหลวงเมื่อถึงโรงเตี๊ยมใหญ่ใจกลางเมืองซินหลิน บ่าวไพร่ต่างช่วยกันจัดห้องพักให้คู่บ่าวสาวแยกกันอย่างเคร่งครัดตามธรรมเนียม ลู่ซือหนานถูกพาไปยังห้องฝั่งในที่ตกแต่งด้วยผ้าม่านสีแดงจาง กลิ่นกำยานหอมอ่อนๆ ลอยคลุ้ง เสี่ยวหลานจัดแจงทุกอย่างเสร็จก็ยิ้มแย้ม พลางแซวเบาๆ ด้วยเสียงขบขัน“คุณหนูเจ้าคะ อีกเพียงวันเดียวก็จะได้อยู่กับท่านโหวแล้วอดใจรออีกนิดเถิดเจ้าค่ะ อย่าทำตาเศร้าเช่นนั้นเลย”ลู่ซือหนานหัวเราะน้อยๆ แก้มแดงซ่านแต่ก็พยักหน้าเบาๆในอีกมุมหนึ่งของโรงเตี๊ยม ฝั่งห้องพักของเผิงเหยียนเฉิง อาหมิงยืนกอดอกมองนายตนเดินไปเดินมาอย่างกระสับกระส่าย ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความหงุดหงิด ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ อย่างคนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว“นายท่าน อย่าคิดอะไรแผลงๆ นะขอรับ”“เจ้าบอกว่าอะไร”
ภายในเรือนใหญ่ของสกุลลู่ อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้แห้งและกลิ่นไหมหอมอ่อนๆ จากผ้าชุดมงคลช่างฝีมือหลายคนกำลังเร่งมือตกแต่งเรือนให้สมเกียรติขบวนเกี้ยวเจ้าสาวที่กำลังจะมาถึง ทุกห้องทุกซุ้มถูกประดับด้วยผ้าสีแดงสด ปักลายเมฆมงคลด้วยด้ายทองลู่ซือหนานยืนอยู่หน้าชุดเจ้าสาวสีแดงเพลิงที่ถูกส่งมาพร้อมจดหมาย ลายปักบนไหมทำจากดิ้นทองและประดับอัญมณีเล็กละเอียดลออ เมื่อมือลูบผ่านผืนผ้า เนื้อสัมผัสนุ่มราวกับขนนกเสี่ยวหลานผู้ติดตามคนสนิทกำลังจัดเตรียมสินเดิมที่จะขนไปเมืองหลวงอย่างขะมักเขม้น พอเงยหน้าขึ้นเห็นลู่ซือหนานยืนนิ่งมองชุด ก็หัวเราะคิกพลางว่า“คุณหนูเจ้าขา ชุดนี้พอดีตัวท่านยิ่งกว่าช่างวัดเสียอีกเจ้าค่ะ มิทราบว่าท่านโหวเผิงสายตาดีถึงเพียงไหน ถึงรู้ว่าสะโพกท่านงามเท่าใด เอวคอดเท่าไร หรือว่าคืนที่ท่านอยู่เรือนจวนโหวนั้น...”ลู่ซือหนานหันขวับมาในทันที แก้มแดงปลั่งขึ้นมาทันตา“เสี่ยวหลาน เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล”“เหลวไหลหรือเจ้าคะ บ่าวยังไม่ได้พูดเลยว่าอะไร แต่ใบหน้าท่านแดงขนาดนี้ บ่าวก็พอดูออกแล้วเจ้าค่ะ&rd
หลายวันต่อมา รุ่งเช้าในเมืองเจียงเฉิน ขบวนราชโองการจากเมืองหลวงก็มาถึงหน้าประตูเรือนสกุลลู่ ขุนนางผู้นำราชโองการแต่งกายเต็มยศ ควบม้าขาวมาพร้อมขันทีหลวงและเหล่าทหารองครักษ์ ขบวนธงหลวงโบกสะบัดกลางลมเช้า เป็นที่จับตามองของชาวเมืองซึ่งต่างพากันออกมาดูด้วยความตื่นตระหนกเสียงฆ้องดังสามครั้ง ขันทีผู้ถือราชโองการลงจากรถม้า แล้วประกาศเสียงดังกังวาน“ราชโองการจากใต้หล้าผู้ยิ่งใหญ่ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งแคว้นสือทรงมีพระราชประสงค์ให้ประกาศแด่ สกุลลู่ เมืองเจียงเฉิน”คหบดีลู่หยวนฉีและภรรยาต่างรีบพาบุตรีออกมาต้อนรับ พอลู่ซือหนานคุกเข่าลงรับราชโองการ เสียงขันทีหลวงก็อ่านต่อด้วยเสียงมั่นคง“ด้วยลู่ซือหนาน บุตรีแห่งลู่หยวนฉี แม้เป็นสตรีแต่มีน้ำใจกล้าหาญ มุ่งมั่นเสียสละเพื่อบ้านเมือง ยอมลำบากไปยังเมืองเห่ยโจว ดูแลผู้ตรวจราชการเผิงเหยียนเฉิงยามเจ็บป่วยขณะสร้างเขื่อน และอุทิศกายใจดูแลผู้คน อีกทั้งมีปัญญา จัดตั้งสำนักศึกษาสำหรับเยาวชนในถิ่นกันดาร มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ต่อราชสำนัก” เสียงประกาศเกียรติคุณดังก้องไปทั่วถนนหน้าเรือน ก่
บ่ายวันหนึ่งในเมืองเจียงเฉิน ลู่ซือหนานเดินทอดน่องอย่างสงบอยู่ในตลาดกับเสี่ยวหลาน ผู้คนเริ่มหันมามองและกระซิบกันเบาๆ เมื่อนางผ่านไป ในน้ำเสียงนั้นมีทั้งชื่นชมและเหยียดหยามปะปนกันขณะนางยืนเลือกซื้อผ้าลายสวย เสียงใสของหญิงสาวผู้หนึ่งก็ดังขึ้นอย่างนอบน้อม“คุณหนูลู่”ลู่ซือหนานหันกลับไป ก็พบกับคุณหนูซุนบุตรีนายอำเภอเจียงเฉินในชุดผ้าสีเขียวอ่อน กิริยาเรียบร้อยและท่าทางนอบน้อมกว่าแต่ก่อนมาก“ข้าดีใจที่ได้พบท่านอีกครั้ง” คุณหนูซุนกล่าวพร้อมโค้งศีรษะเบาๆ“ข้าอยากกล่าวคำขอโทษอย่างจริงใจต่อสิ่งที่เคยเกิดขึ้น... ข้าเคยหลงกลและเป็นเครื่องมือของคุณหนูโจวโดยไม่รู้ตัว” นางกล่าวถึงเรื่องราวที่ผ่านมานานตั้งแต่ปีก่อน เพราะเพิ่งมีโอกาสได้เจอหน้ากันลู่ซือหนานพยักหน้าช้าๆ ก่อนคลี่ยิ้มบาง“เรื่องผ่านไปแล้ว หากท่านรู้ผิดและตั้งใจจะไม่ให้ซ้ำอีก ข้าก็ไม่ถือโทษ”ขณะทั้งสองยืนคุยกันอย่างสงบ เสียงกระซิบที่เคยแว่วมาก่อนหน้านี้ก็ดังชัดขึ้นจนเกินพอดี“นี่ใช่ไหมล่ะ นางที่ตามบุรุษไปอยู่เมืองอื
เช้าวันรุ่งขึ้น ม่านหมอกบางที่ปกคลุมจวนโหว ลู่ซือหนานสวมเสื้อคลุมผ้าต่วนสีอ่อนเรียบง่าย ท่ามกลางขบวนรถม้าที่เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางกลับเจียงเฉินเผิงเหยียนเฉิงยืนส่งนางอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ของจวน ท่ามกลางสายลมเย็นที่พัดปลายผ้าแพรปลิวไสว ดวงตาเขามองนางไม่กะพริบ ราวกับจะจดจำทุกเสี้ยวภาพของนางไว้ให้ลึกสุดหัวใจ“ท่านต้องดูแลตัวเองให้ดี อย่าฝืนงานหนักจนล้มป่วยอีก ข้าจะรอจดหมายจากท่าน” ลู่ซือหนานยิ้มอ่อน สายตานางหม่นเศร้าเล็กน้อยแต่เปี่ยมไปด้วยความอุ่นใจ“ข้ารู้” เขากล่าวเสียงเบา“รักษาตัวด้วย” พูดจบนางก็ขึ้นรถม้า เสี่ยวหลานยกม่านลงอย่างเงียบงัน ขบวนเดินทางค่อยๆ เคลื่อนออกจากจวนท่ามกลางเสียงกีบม้ากระทบพื้นและฝุ่นดินเบาๆเผิงเหยียนเฉิงยังคงยืนมองจนกระทั่งปลายขบวนลับสายตาไปนานแล้ว เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าจวนขณะเดินเข้าไปในลานกลาง อาหมิงที่ยืนรออยู่ด้านข้าง ก็เดินเข้ามาถามเสียงเบา“นายท่าน ในเมื่อท่านตั้งใจจะแต่งงานกับคุณหนูลู่หลังจากภารกิจสร้างเขื่อนเสร็จสิ้นอยู่แล้ว เหตุใดจึงกราบทูลข