LOGINนางรับงานสังหารรัชทายาทต้าฉินเพราะรู้มาว่าเขาเป็นชายรักชาย แม้จะเปลือยเปล่าต่อหน้าเขานางก็ได้หาอับอายไม่ แล้วไฉนเขาถึงทำราวกับว่ารู้จักสนิทสนมกับพี่ชายนางดีเช่นนี้
View Moreเมื่อครั้งที่เหมันต์คืบคลานเข้ามายังดินแดนที่ราบลุ่มแม่น้ำโลหิต[1] แคว้นที่อยู่ทางใต้ตั้งแต่หนานเยว่[2]ทางทิศตะวันออกรวมไปถึงดินแดน
ซื่อซวน[3]ทางทิศตะวันตกประสบปัญหาฤดูหนาวอันโหดร้าย จากดินแดนที่เคยอุดมสมบูรณ์ พืชพรรณธัญญาหารกลับขาดแคลนอย่างแสนสาหัส ประชาชนที่ยากไร้ต่างก็ลุกฮือต่อต้าน ก่อการจลาจลวุ่นวาย แคว้นฉินแต่เดิมเป็นแคว้นที่อยู่ในภาคกลาง อากาศย่อมหนาวเหน็บกว่าดินแดนลุ่มแม่น้ำ แต่กลับมีผลผลิตทางการเกษตรเพียงพอตลอดทั้งปี อาศัยช่วงเวลาที่บ้านเมืองของแคว้นลุ่มน้ำระส่ำระสายร่วมมือกับแคว้นเว่ยเข้าบุกยึดครอง ใช้กุศโลบายอย่าง ชาญฉลาดเพื่อยับยั้งความยากไร้ในยามนั้น อาศัยข่าวลือที่ว่าดินแดนภาคกลางแม้ไม่อุดมสมบูรณ์เท่าทางใต้ แต่กลับมีอาหารการกินเหลือเฟือไปอีกนับร้อยปี อีกทั้งเป็นเพราะความอ่อนแอจากภายในของแคว้นฉู่ สุดท้ายฉินและเว่ยจึงกำชัยเหนือพวกเขาได้อย่างดงามแคว้นฉู่ แต่เดิมเป็นแคว้นใหญ่ที่คอยช่วยเหลือให้ความดูแลแก่แคว้นเล็กๆ โดยรอบ ทว่ากลับเกิดความระส่ำระสายจากการแย่งชิงบัลลังก์ระหว่างวงศ์ญาติ ค่ำคืนของวันขึ้นปีใหม่ซึ่งหิมะตกหนักที่สุดในรอบปี เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ที่วางแผนการใหญ่ซึ่งกำลังมั่นใจในความสามารถของตนเกิดความชะล่าใจ กระทั่งหลังจากเสร็จสิ้นงานเฉลิมฉลองในวัง ยังสามารถวางใจและเฉลิมฉลองอย่างหรูหราในครัวเรือนของตนได้ ทว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ในกองทัพหนานฉู่ ที่คนเหล่านั้นคิดว่าสามารถใช้ต้านศัตรูที่เข้ามาประชิดเมืองกลับไม่สามารถนำออกมาใช้ได้ทันการ เรื่องนี้กลายเป็นหนามแหลมที่คอยทิ่มแทงใจบรรดาขุนนางในราชสำนักฉู่ไม่เสื่อมคลายในกาลต่อมา เพราะสุดท้ายจากความอ่อนแอของแคว้นก็ทำให้ถูกกองทัพของแคว้นเว่ยบุกยึดวังหลวงหนานฉู่ได้อย่างรวบรัดหมดจดเพียงแค่ชั่วข้ามคืน
กุญแจสำคัญของศึกนี้คือการที่แคว้นเว่ยได้รับความช่วยเหลือจากเผ่าหมาป่าซึ่งมอบแบบร่างอาวุธบุกประชิดเมืองชนิดใหม่ให้ เป็นรถลากที่ใช้แรงของม้าศึกในการน้าวยิงคันศรขนาดราวหนึ่งจั้ง[4] อานุภาพการทะลุทะลวงรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง จึงสามารถบุกประชิดเมืองหลวงหนานฉู่ได้อย่างรวดเร็ว
พลุไฟสว่างไสวในค่ำคืนเฉลิมฉลอง อันเป็นแรกก้าวเข้าสู่ฤดูวสันต์ที่แสนเหน็บหนาว เบื้องหลังบุปผาพราวพรั่งบนท้องฟ้าสีน้ำหมึก กลับซ่อนเร้นห่าธนูที่ผลิตจากเหล็กกล้าชั้นดี ความสว่างไสวอำพรางกลอุบายนี้อย่างแยบคาย นอกประตูเมืองห่างออกไปสามสิบลี้ ยังสามารถส่งอาวุธร้ายเข้าสู่เขตพระราชฐานของแคว้นฉู่โดยที่ชาวเมืองด้านนอกยังไม่ทันรู้ตัว
ห่าธนูนับสิบหมื่นพุ่งทะลวงสู่วังหลวง สังหารข้าทาสบริวารและ
เชื้อพระวงศ์ไปจำนวนหนึ่ง ฉู่หวางที่ยังคงสำเริงสำราญพระทัยกับเหล่าฟูเหริน[5] โดยมิได้สนถึงความเร้นแค้นของประชาชนชาวหนานฉู่ ในที่สุดก็ถูกธนูกลุ่มหนึ่งทำลายกระเบื้องตำหนักร่วงกราว ราวกับว่าอดีตผู้ครองแคว้นพระองค์นี้เป็นที่รังเกียจของสวรรค์ กระทั่งแค่เศษกระเบื้องที่ร่วงกระแทกพระเศียร ยังทำให้สิ้นพระทัยคาอกของเหล่าฟูเหรินได้เป็นฉากการสังหารที่น่าสังเวชใจยิ่งนัก
หลายปีต่อมาในแคว้นฉู่และแคว้นใกล้เคียงจึงมีละครล้อเลียนการสิ้นพระชนม์ของฉู่หวางพระองค์นี้อยู่ร่ำไป
หลังจากนั้นไม่นาน ฉู่หวางพระองค์ใหม่จึงขึ้นครองราชย์
แคว้นฉินร่วมมือกับแคว้นเว่ยแผ่ขยายแสนยานุภาพไปยังดินแดนภาคใต้ ท้ายที่สุดหนานฉู่ก็ยอมสวามิภักดิ์ แคว้นปาและแคว้นสู่ซึ่งอยู่ในดินแดน
ซื่อชวน รวมไปถึงดินแดนหนานเยว่ที่อยู่ติดกับทะเลตงไห่ก็ส่งบรรณาการมาแสดงความสวามิภักดิ์แต่โดยดีหนึ่งปีหลังจากนั้นฉินหวางได้เถลิงรัชศกใหม่ สถาปนาอาณาจักร เมื่อถึงกาลที่ฤดูเปลี่ยนผัน ปีเก่าย่างเข้าปีใหม่ ในที่สุดอาณาจักรฉินก็ถูกเรียกว่า
ต้าฉิน ฉินหวางจึงกลายเป็นฉินหวงตี้ ทรงพระนามฉินเยว่หวงตี้[6]ซึ่งเป็นปฐมจักรพรรดิ ต้าฉินกลายเป็นจักรวรรดิที่ทั่วทั้งแปดทิศให้ความสวามิภักดิ์โดยพร้อมเพรียงบรรดาผู้นำแคว้นต่างๆ เข้าร่วมดื่มน้ำปฏิญาณตน กำหนดให้
รัชศกเทียนจินที่หนึ่งเริ่มศักราชใหม่ ภายในยี่สิบปีห้ามแต่ละแคว้นผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์เกินกว่าที่กำหนดไว้ แร่โลหะที่มีค่าครึ่งหนึ่งต้องส่งมาบรรณาการ ต้าฉิน เริ่มการเปลี่ยนแปลงเงินตราที่แลกเปลี่ยนเป็นเหรียญทองแดงกลมที่เจาะรูสี่เหลี่ยมตรงกลางเรียกว่า ป้านเหลี่ยงเฉียน[7] มีกฎหมายให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหารโดยไม่สมัครใจ ยกเลิกการค้าทาสที่มาจากการทำสงครามโดยสมบูรณ์ ยกเว้นว่าจะเกิดจากความยินยอมจากผู้ขายแรงงานแคว้นเว่ยเป็นแคว้นใหญ่ที่เป็นพันธมิตรกับต้าฉินมาตั้งแต่แรกเริ่ม การบุกหนานฉู่เมื่อปีก่อนนั้นก็เป็นผลมาจากการทำนายอันแม่นยำของ
เว่ยหวางฝูหย่ง ฉินเยว่หวงตี้จึงแสร้งหลับพระเนตรข้างหนึ่ง มิได้เคร่งครัดเรื่องกำลังทหารของแคว้นเว่ยเท่ากับแคว้นอื่น อีกทั้งแร่ทองแดงที่ได้จากแคว้นเว่ยก็เป็นหลักประกันว่าจะไม่เกิดการซ่องสุมกำลังพลในภายหลัง ทว่าสิบเก้าปีต่อมา กลับเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น เมื่อฉินเยว่หวงตี้มีราชโองการให้ประทานยาพิษแก่ เว่ยหวางฝูหย่งในข้อหาก่อกบฏ ไม่มีใครกล้ายื่นฎีกาคัดค้าน แคว้นเล็กๆ มากมายต่างก็คิดว่าตนเป็นนกขมิ้น[8]ที่มองอยู่ภายนอกเพื่อรอฉกฉวยผลประโยชน์ โอรสที่ประสูติจากหวางเฟยจึงสืบราชสมบัตินับแต่นั้นมาขนานพระนามว่าเว่ยหวางฝูเจี้ยน
หนึ่งปีให้หลังมักมีเรื่องตลกที่แอบพูดคุยกันอย่างลับๆ ว่าฉินเยว่หวงตี้นั้นแท้จริงแล้วเมื่อเสร็จศึกก็ฆ่าขุนพล น่าสงสารแต่อดีตเว่ยหวางที่วางพระทัยผิดคน ทั้งชีวิตใช้เพียงดวงตาคู่หนึ่งเพื่อเปิดเผยความลับสวรรค์จนต้าฉินแผ่ขยายอำนาจเกรียงไกร
ทว่ากลับมิอาจล่วงรู้อนาคตของตนว่าจะถูกกำจัดทิ้งในกาลต่อมา
[1] ดินแดน แม่น้ำ และแคว้นในเรื่องนี้มีบางส่วนที่หยิบยกมาจากชื่อจริงในสมัยเจ็ดแคว้น แต่มิได้เอาประวัติศาสตร์ทั้งหมดมาอ้างอิงด้วย หลายส่วนเป็นจินตนาการของผู้เขียนเอง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ
[2] ผู้เขียนยกมาบางส่วน เนื้อหาไม่ได้สอดคล้องกับประวัติศาสตร์จริง ความจริงแล้วหนานเยฺว่(南越) หรือ นามเหวียต เป็นอาณาจักรโบราณที่มีอาณาเขตปกคลุมบริเวณมณฑลทางตอนใต้ของจีน อันได้แก่ กวางตุ้ง, กว่างซี และยูนนาน ไปจนถึงตอนเหนือของเวียดนามในปัจจุบัน
[3] ซื่อชวน หรือ เสฉวน เนื้อหาในนิยายบางส่วนไม่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์จริง
[4] หน่วยฉือในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาลถึงคริสต์ศตวรรษที่ 3 ช่วงเวลานี้ตรงกับช่วงยุคราชวงศ์ฉินถึงยุคสามก๊ก มีค่าประมาณ 23.1 – 24.3 เซนติเมตร 10 ฉือเท่ากับ 1 จั้ง หรือประมาณ 2.31 – 2.43 เมตร
[5] ในยุคสมัยนี้ ตำแหน่งภรรยาเล็กๆ ของบรรดาเจ้าผู้ครองเมืองหรือเชื้อพระวงศ์จะถูกเรียกว่าฟูเหริน รวมถึงตำแหน่งภรรยาขุนนางก็ด้วย
[6] เดิมจะใช้นามว่า ฉินซื่อหวง(秦始皇) ซึ่งอ้างอิงจากปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ฉินตามประวัติศาสตร์
[7] ป้านเหลี่ยงเฉียน (半两钱) หรือเงินครึ่งเหลียง อ้างอิงจากสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ เหลียง(ตำลึง) มีอีกหลายชื่อเรียกคือ หวนจิน (圜金) หวนเฉียน (环钱) หนึ่งเหลี่ยงมีค่าเท่ากับ เหรียญทองแดงหนึ่งก้วน หรือหนึ่งพวง เหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญเรียกว่าเหวิน
[8] มาจากสำนวนที่ว่าตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นรออยู่ข้างหลัง หมายถึงรอจังหวะเพื่อฉกฉวยผลประโยชน์
ดวงอาทิตย์แผดแสงสว่างเจิดจ้า ไอร้อนลามเลียผิวหน้าราวกับสามารถแผดเผาจนมอดไหม้ได้ทุกเมื่อ อาภรณ์บนกายที่หนักอึ้งทำให้ฝูซินเคลื่อนไหวไม่สะดวก จื่อเว่ยกำมือนางแน่น ทั้งผลักทั้งดันจากทางด้านหลัง มิให้ผู้ใดสามารถแตะต้องล่วงเกินนางได้ ขณะเดียวกันนางเองก็มองหาเสด็จพี่ของตนว่ายังอยู่รอดปลอดภัยดีหรือไม่ ซึ่งฝูเจี้ยนเองก็ถูกองครักษ์คุ้มครองแยกตัวออกไปจนลับสายตาความปั่นป่วนวุ่นวายอึกทึกครึกโครมเริ่มเบาลงเมื่อคนทั้งสองเดินจากมาไกลแล้ว แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดเส้นทางที่กำลังมุ่งไปนั้นไม่คุ้นตาเลยแม้แต่น้อย รอบด้านร้างไร้ผู้คนโดยสิ้นเชิง แม้แต่นางกำนัลหรือขันทีที่รับหน้าที่ทำงานกวาดพื้นก็ไม่มีจะว่าพวกเขาต่างไปร่วมงานมงคลก็ใช่ที่ ปกติแล้วถึงอย่างไรก็ต้องมีราชองครักษ์และทหารคอยเฝ้ายามอยู่ทุกจุดในวังหลวง โดยเฉพาะในวันสำคัญเช่นนี้ยิ่งไม่ควรผิดพลาดฝูซินค่อยๆ รั้งฝีเท้า นางบีบมือจื่อเว่ย พลันได้ยินเสียงกระซิบข้างหู“ตามน้ำไปก่อน”เพียงเท่านี้ก็ตระหนักได้แล้วว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นซีจื่อหลางและซีเจี้ยนหลางหายไปไหน?องครักษ์ประจำตัวองค์รัชทายาทหายไปในสถานการณ์เช่นนี้ มิใช่ว่าบกพร่องต่อหน้าที่หรอกหรือทั
กลิ่นกำยานหอมที่ลอยมาปะทะนาสิกทำให้แพขนตาหนาขยับไหว เผยให้เห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแสงซึ่งเจือความง่วงงุนเล็กน้อย เปลือกตาทั้งสองกะพริบไหวสองสามครา กระทั่งมองเห็นภาพทุกอย่างชัดเจนจึงจ้องมองไปด้านหน้าอย่างไร้จุดหมาย อากาศในตอนกลางวันร้อนอบอ้าวจนเรือนกายที่อยู่ภายใต้ผ้าห่มมีเหงื่อชื้น นางเอื้อมมือควานหาคนข้างตัว สัมผัสได้เพียงที่นอนเย็นเยียบเท่านั้นแม้ว่าฝูซินจะเพิ่งตื่นนอน แต่กระนั้นแล้วความคิดความอ่านก็ยังเฉียบคมอยู่บ้าง จื่อเว่ยไม่อยู่ในยามนี้ เห็นทีว่าคงร่วมปรึกษาหารือกับเสด็จพี่ของนางอยู่กระมัง เรื่องราวเกี่ยวกับกลการเมือง แต่ไหนแต่ไรมาฝูเจี้ยนก็กล่าวมาโดยตลอดว่าเป็นเรื่องของบุรุษนางอยากจะหัวร่อนัก การเมืองใดที่เกี่ยวข้องกับคนในครอบครัวมิใช่ว่าเกี่ยวข้องกับนางโดยตรงหรือกลายเป็นคนของจื่อเว่ยแล้วก็แล้วไป แต่เลือดในกายนางเล่า ต่อให้สมรสกับจื่อเว่ยจนกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกราชวงศ์ของต้าฉิน นางก็ยังถือว่าตนเองเป็นชาวเว่ยมิเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง ทัศนคติ ความคิด อุดมการณ์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา มีเพียงเลือดเนื้อที่ไหลเวียนในกายนางเท่านั้นที่ไม่เคยเจือจางลงแม้แต่น้อย คนอย่างนางเ
ฝูซินลุกขึ้น หันกายมาประจันหน้ากับเขา นางขยับไปหนึ่งก้าว เข้าก็ถอยหลังหนึ่งก้าว ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมหลบสายตากันแม้แต่น้อย กระทั่งเขาชนกับเสาเตียงจึงหยุดลง“เรื่องที่ท่านกับเสด็จพี่กำลังทำ ไม่ส่งผลร้ายต่อทั้งต้าฉินและแคว้นเว่ยใช่หรือไม่”ฝูซินยกมือแตะบ่าเปล่าเปลือยของจื่อเว่ย มือเรียวที่สากเล็กน้อยลากไล้ลงมายังอกแกร่ง ขนกายของจื่อเว่ยลุกชันไปทั่วทั้งกาย ครั้นสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็ใจสั่นหวิวอย่างไม่อาจบังคับตนเองได้“อืม”“เช่นนั้นช้าก็วางใจ”นางอมยิ้มบางเบา มือทั้งสองโอบรอบเอวสอบของเขา เกิดเสียงดังกรุ๋งกริ๋งของกระดิ่งบนกำไลหยก ใบหน้างดงามแนบชิดกับแผงอกเปลือยเปล่า ริมฝีปากบางจุมพิตเบาๆฟ้าดินพลิกกลับ จื่อเว่ยผลักนางลงบนเตียง เรือนร่างโปร่งบางกระแทกกับเตียงนุ่ม ผมเผ้าปรกใบหน้างามจนยุ่งเหยิง อาภรณ์ของนางถูกร่นขึ้นสูง เขาเคลื่อนกายคร่อมทับนาง มืออันร้อนรุ่มลูบไล้เรียวขาเนียนใต้กระโปรงที่ร่นขึ้นสูงลมหายใจของคนทั้งคู่หนักหน่วง ดวงตาสีน้ำตาลของนางเข้มขึ้นด้วยความปรารถนา มือทั้งสองข้างค่อยๆ ปลดอาภรณ์ตัวนอกของตนออกอย่างเต็มใจ เรียวขาของนางชันขึ้นสูง ปล่อยให้เขาบีบขยำอย่างถือสิทธิ์“ข้าจะทำ
เดินวนรอบสำนักคุ้มภัยจนฟ้าสาง ในที่สุดจวิ้นเหลียงก็สามารถสอบถามพ่อบ้านเฟิ่งที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกได้ เรือนพักของจื่อเว่ยอยู่ห่างจากเรือนรับรองของฝูเจี้ยนไม่ถึงร้อยก้าว จวิ้นเหลียงพานางเดินวนไปมาทั่วสำนักคุ้มภัยจนโทสะในอกสงบลง จนทำให้แผนการคิดบัญชีของนางนับได้ว่าผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วจวิ้นเหลียงลอบถอนหายใจ แท้จริงแล้วมิใช่เพราะเขาไม่ทราบว่าฉงเยว่ไท่จื่อพักอยู่ที่ใด ทว่าคนอย่างฝูซินใจร้อนเป็นทุนเดิม หากปล่อยให้นางหุนพันพลันแล่น คงไม่แคล้วเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นอย่างแน่นอน“พ่อบ้านเฟิ่ง ไม่ทราบว่าเรือนรับรองของข้าอยู่ที่ใด” นางถามชายชราที่เดินนำไปยังที่พำนักของจื่อเว่ยชายชรารั้งฝีเท้า หันกลับมาตอบอย่างนอบน้อม “เรียนคุณหนู นายน้อยบอกว่าคุณหนูเป็นว่าที่ภรรยาเขา ควรพักอยู่ที่เดียวกันขอรับ”พ่อบ้านเฟิ่งเป็นคนเก่าคนแก่ของเฟิงเสียนจี ต่อหน้าผู้อื่นเขาจะเรียกจื่อเว่ยว่านายน้อยเสมอ ครั้นทราบว่าฝูซินมีฐานะเช่นไรในสายตาจื่อเว่ย จึงให้ความนอบน้อมต่อนางมากเป็นพิเศษจวิ้นเหลียงเกือบสำลักน้ำลาย ทว่าเพราะถูกฝูซินเพ่งเล็งจึงต้องพยายามตีสีหน้าให้เรียบนิ่ง ในใจขององครักษ์หนุ่มไพล่นึกไปถึงเว่ยหว





