อ๋าวซีซวนหน้าเสียไปเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาเห็นแล้วว่าบุตรชายเพียงคนเดียวพยายามกินอาหารและออกกำลังให้ร่างกายแข็งแรงกว่าเดิมมาตลอด เมื่อวานเขายังเข้าไปพูดคุยกับบุตรชายอยู่เลยว่าให้แสร้งป่วยไปก่อนไม่จำเป็นต้องรีบออกมา
ไม่คิดว่าบุตรชายจะรีบออกมาปรากฏตัวตั้งแต่พิธียังไม่เริ่มด้วยซ้ำ ที่ผ่านมาการกระทำของอ๋าวหลวนหลงก็สร้างความไม่สบายใจให้ตนกับฟางฮูหยินไม่น้อย ด้วยเกรงว่าที่เขาเพียรพยายามออกกำลัง ก็คงทำเพื่อจะมาต่อยตีกับบรรดาพี่น้อง สุดท้ายก็ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปเสียทุกครั้งไป
กล่าวตามจริงอ๋าวหลวนหลงก็ไม่ได้มีความมั่นใจถึงเพียงนั้น แต่ตระกูลอ๋าวจะทำพิธีบูชาเทพประจำตระกูลทั้งที ตนจะไม่อยากรู้อยากเห็นวิถีชีวิตของมนุษย์ที่ไม่มีวันจะได้ข้องเกี่ยวกับเหล่าเทพแล้วได้อย่างไร
ยังมีเรื่องการเป็นผู้ฝึกตนอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่เขาตัดสินใจมาเข้าร่วมพิธีในวันนี้
“คำนับท่านย่า ผู้อาวุโส ท่านลุง ท่านอา…”
อ๋าวหลวนหลงเดินเรียงคำนับญาติพี่น้องในตระกูลโดยเริ่มจากผู้นำตระกูลคือกัวฮูหยินผู้เป็นท่านย่า จากนั้นก็เป็นบรรดาน้องชายของท่านปู่ที่เป็นบ้านสายรอง สายสาม สี่ ไล่เลียงไปจนถึงรุ่นบิดาที่ใช่ชื่อนำหน้าว่าซี
ถัดมาจากรุ่นที่ใช้ชื่อนำหน้าว่าซี ก็จะเป็นรุ่นของตนเองที่จะใช้คำนำหน้าว่าหลวน อย่างคุณชายใหญ่อ๋าวหลวนเซี่ย คุณชายรองอ๋าวหลวนตง คุณชายสามอ๋าวหลวนกัง
อ๋าวหลวนหลงคำนับพี่ชายพี่สะใภ้และพี่สาวที่อายุมากกว่าตนจนครบ ตามจริงเขาจะต้องหยุดที่ตรงนี้และนั่งลงบนเก้าอี้ที่บ่าวรับใช้เตรียมไว้ให้ตามลำดับการนั่งในพิธีบูชาเทพ
“ตรงนี้คือที่นั่งของข้า” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบกับเด็กหนุ่มวัยใกล้เคียงกับตน
จากที่เขารู้มาเด็กหนุ่มที่ตนกำลังพูดด้วยคือ คุณชายห้าอ๋าวหลวนหย่ง น้องชายร่วมสายเลือดของคุณชายใหญ่อ๋าวหลวนเซี่ยบุตรชายของท่านลุงใหญ่อ๋าวซีห่าว นอกจากนี้ที่เก้าอี้ตัวถัดไปก็ยังมีน้องสาวและน้องชายอยู่อีก 7 คน รวมแล้วในรุ่นเขามีคุณหนูคุณชายรวมทั้งพี่สะใภ้ 2 คน ก็เป็นทั้งหมด 14 คน แต่เก้าอี้ถูกจัดเอาไว้เพียง 13 ตัว เท่านั้นเวลานี้จึงไม่มีผู้ใดยินยอมลุกออกจากที่นั่ง
“เจ้าเต่า บางครั้งเจ้าก็ไม่ได้มาร่วมพิธี บางครั้งเจ้าก็มาช้าจนต้องไปยืนรวมกับพี่น้องสายรอง ผู้ใดจะรู้เล่าว่าเจ้าจะมาตั้งแต่หัววันในครั้งนี้ บ่าวไพร่ไม่มีโอกาสให้มาเข้าร่วมยังศาลบรรพชน ไม่มีคนยกเก้าอี้มาเพิ่มหรอก เช่นนั้นเจ้าก็ควรจะไปยืนที่เดิมของเจ้า” อ๋าวหลวนหย่งชี้มือไปยังกลุ่มทายาทสายรองรุ่นหลัง ที่อยู่ห่างจากลานพิธีมากพอสมควร
เสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากทั้งทายาทสายหลักและสายรองเยาว์วัย พวกเขารู้สึกสนุกยิ่งนักที่เจ้าเต่าโผล่หัวออกมาให้เหยียบย่ำเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ต้องรอให้พวกเขาวิ่งวุ่นหาตัวมากลั่นแกล้งหลังจบพิธี
“ข้าเป็นพี่ชายเจ้า ไม่เรียกให้พวกเจ้าที่เหลือมาน้อมคารวะก็ดีเท่าใดแล้ว จะพูดอะไรก็ให้นึกถึงหน้าตานายท่านใหญ่บิดาเจ้าบ้างผู้อื่นจะตำหนิได้ว่าบ้านสายหลักไม่รู้จักสั่งสอนมารยาท”
“เจ้า! เจ้ามันคู่ควรหรือ เจ้าดูเสียก่อนว่าในที่นี้มีผู้ใดต่ำต้อยเท่าเจ้าบ้างหลวนหลง!” อ๋าวหลวนหย่งแผดเสียงดังลั่น
อ๋าวซีห่าวได้ยินคำกล่าวของหลานชายเต็มสองหู เขาหันมาส่งสายตาตำหนิให้กับอ๋าวซีซวนทันที ด้วยไม่อยากแสดงตัวว่าไม่เป็นธรรมกับทายาทรุ่นหลัง
อ๋าวซีซวนหน้าเสียไปเล็กน้อยลอบกำหมัดแน่น พิธีบูชาเทพไม่ว่าบุตรชายหญิงแม้กระทั่งสะใภ้ก็มีสิทธิ์เข้าร่วมกันทุกคน แต่ทุกปีก็มักจะเกิดเหตุการณ์ดูหมิ่นดูแคลนกันเช่นนี้ ภรรยาของตนผู้ไม่มีพลังปราณจึงไม่เคยมาเข้าร่วมอีกเลย แต่นางเป็นเพียงสะใภ้ ต่างกับอ๋าวหลวนหลงที่ยากจะปฏิเสธและต้องมาทนรับคำเหยียดหยามเช่นนี้เป็นประจำ
“หากยุ่งยากนักก็มายกเก้าอี้ของข้าไป”
ก่อนที่อ๋าวซีซวนจะออกปากขอให้บุตรชายไปยืนรวมกับกลุ่มบ้านสายรอง เสียงของฮูหยินผู้เฒ่ากัวผู้เป็นมารดาก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“ท่านแม่ ท่านเป็นผู้นำตระกูล ท่านเองก็อายุไม่น้อยแล้วทำเช่นนั้นไม่สมควรขอรับ” นายท่านใหญ่อ๋าวซีห่าวรีบมาประคองร่างผู้เป็นมารดาเอาไว้ นึกเจ็บใจอยู่ลึกๆ ที่มารดาปกป้องอ๋าวหลวนหลง ทั้งที่อีกฝ่ายไม่สมควรจะได้รับความเอ็นดูเลยสักกระผีก
“หลวนหลิง เจ้าลุกขึ้นมานั่งกับแม่เจ้า” อ๋าวซีฮันนายท่านสี่ตัดสินใจยุติเรื่องไม่เป็นเรื่องในครั้งนี้เสีย เขาเรียกบุตรสาววัย 5 ขวบของตนที่นั่งเป็นอันดับสุดท้ายให้มานั่งรวมกับภรรยาแทน
เด็กหญิงตัวน้อยหันมายิ้มให้อ๋าวหลวนหลงคราวหนึ่ง “พี่สี่ ท่านมานั่งที่เก้าอี้ข้าก็ได้เจ้าค่ะ”
อ๋าวหลวนหลงยิ้มตอบคุณหนูหก น้องสาวคนเล็กสุดจากท่านอาอ๋าวซีฮัน หูกุ้ยเล่าให้ฟังว่าในบรรดาคุณชาย 6 คน กับคุณหนู 6 คน ก็มีเพียงบุตรชายหญิงจากท่านอาอ๋าวซีฮันนี้เท่านั้นที่ไม่ได้ทำตัวน่ารังเกียจนัก แต่เป็นเพราะอ๋าวหลวนหลงคนเก่าไม่ชอบสุงสิงกับผู้ใดจึงไม่ได้สนิทสนมกับพี่น้องจากท่านอาเท่าใดนัก
อ๋าวหลวนหลิงไม่เคยได้รับรอยยิ้มจากพี่ชายสี่ของนางเลยสักครั้ง แก้มของคุณหนูตัวน้อยขึ้นสีแดงจัดด้วยความขัดเขินแล้วรีบวิ่งไปหามารดาของนาง
“ไปสิ ก็มีที่นั่งแล้วมิใช่หรือ?” อ๋าวหลวนหย่งเอ่ยประชดประชัน ลอบส่งสายตากับพี่น้องหลายคนคิดว่าหลังจากจบพิธีเมื่อใดจะจัดการกับเจ้าเต่านี่ให้สาสม
“เจ้าต่างหากที่ต้องลุกออกไป เก้าอี้ตัวนี้คือที่นั่งของข้า! ขยับถอยไปให้หมดทุกคน!” อ๋าวหลวนหลงเปลี่ยนสีหน้าจากแย้มยิ้มเมื่อครู่มาเป็นใบหน้าเรียบเฉยเย็นชา ประสานสายตากับอ๋าวหลวนหย่งโดยตรงอย่างไม่กลัวเกรง
“สามหาว! เจ้าคิดจะมาก่อความวุ่นวายหรืออย่างไรหลวนหลง!” อ๋าวซีเค่อท่านลุงรองของเด็กหนุ่มไม่อาจนิ่งฟังอยู่เฉยได้ ที่นั่งด้านหลังยังมีบุตรีของตนอยู่อีกสองคน พวกนางล้วนเป็นทายาทที่รวบรวมปราณได้แล้ว ไหนเลยจะต้องยินยอมให้กับอ๋าวหลวนหลงคนไร้ความสามารถผู้นั้น
“พอกันเสียทีได้หรือยัง! วันนี้ต่อหน้าบรรพชนสกุลอ๋าวพวกเจ้ายังไม่รู้จักสำรวมกิริยากันแม้แต่น้อย จะให้ข้าต้องขุดร่างบิดาของพวกเจ้าขึ้นมาดูดีหรือไม่ว่าเวลานี้ทายาทของเขากระทำตัวกันเช่นไร!”
“ท่านแม่! เขา..”
“เขาอะไร? เขาไม่มีพลังปราณเช่นนี้หรือ? เขาไม่ใช่คนสกุลอ๋าว? หรือว่าเขาไม่ใช่หลานชายของเจ้า?”
เสียงของกัวฮูหยินผู้นำตระกูลไม่ได้เบาเลย ทายาทตระกูลอ๋าวทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสยันเด็กทารกต่างพากันเงียบกริบ ผู้ใดไม่รู้บ้างว่ากัวฮูหยินรักใคร่เอ็นดูอ๋าวหลวนหลงเป็นพิเศษ เสียดายก็แต่นางสงสารคนผิด คุณชายสี่ผู้นี้เข็นอย่างไรก็คงจะเข็นไม่ขึ้นแล้ว
“ขยับไปหลวนหย่ง อย่าให้พิธีบูชาเทพมังกรของเราในวันนี้ต้องมัวหมอง ท่านย่าของเจ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว ไม่ว่าหลวนหลงจะไร้ค่าเพียงใดเขาก็ยังเป็นหนึ่งในทายาทสกุลอ๋าวของเรา” อ๋าวซีห่าวกัดริมฝีปากข่มกลั้นโทสะเอาไว้เต็มที่
มารดาเห็นดีเห็นงามให้อีกฝ่ายหลงระเริงย่ามใจ ทะเลาะกันไปก็ต้องจบด้วยคำตัดสินของผู้นำตระกูลอยู่ดี เขาเอ่ยปากคลี่คลายสถานการณ์แต่ก็ยังไม่วายเหน็บแนมตอกย้ำความไร้ค่าและต่ำต้อยของหลานชายแท้ๆ
ผู้อาวุโสสี่คนซึ่งมีศักดิ์เป็นท่านปู่รองของอ๋าวหลวนหลงต่างก็พากันนิ่งเงียบไม่เอ่ยปาก เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นสะใภ้แต่งเข้าตระกูลอ๋าว นางไม่มีสิทธิ์เป็นผู้นำตระกูลด้วยซ้ำ
แต่เป็นเพราะนางมาจากตระกูลกัวผู้บูชาเทพหงส์แดงนางจึงมีวิชายุทธ์ติดตัวมาแต่เดิม กอปรกับอ๋าวอี้เจี๋ยพี่ชายคนโตผู้นำตระกูลตัวจริงผู้ล่วงลับ ถ่ายทอดวิชายุทธ์ตระกูลอ๋าวให้กับนาง สตรีผู้นี้จึงแข็งแกร่งกว่าพวกตนมากและกลายเป็นผู้นำตระกูลอ๋าวไปในที่สุด
ส่วนอ๋าวหลวนหลงทายาทไร้พลังปราณผู้นั้น ผู้อาวุโสทั้งห้าไม่คิดจะแบ่งแยกอันใดกับเด็กหนุ่ม ตระกูลอ๋าวและตระกูลกัวยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองหลงเทียนแล้ว ไม่ว่าอ๋าวหลวนหลงจะมีพลังหรือไม่มี ก็ไม่มีผู้ใดกล้าข่มเหงรังแกเขา มีเพียงความอิจฉาระหว่างพี่น้องในบ้านสายหลักเท่านั้นที่แก่งแย่งชิงดีกันเป็นที่สนุกปากของคนภายนอก
“ใกล้จะได้เวลาแล้ว จะทำอะไรก็ทำกันเสียให้เสร็จข้าจะได้เริ่มพิธีเสียที” ผู้อาวุโสหนึ่งจากตระกูลอ๋าวสายรองเอ่ยเสียงราบเรียบ
เด็กชายและเด็กหญิง 7 คน นับตั้งแต่อ๋าวหลวนหย่งลงไป จำต้องขยับถอยหลังไปคนละหนึ่งก้าว คืนเก้าอี้ให้กับคุณชายสี่ตามลำดับอาวุโสด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกันไป บางคนก็เห็นสมควรและแน่นอนบางคนก็ไม่ยินยอมอยู่ในใจ
“นี่พวกเจ้าไม่คิดจะทำสิ่งอื่นนอกจากเกี้ยวพาราสีกันทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้บ้างหรือไร!” เสียงหวานใสของซินหรูอี้ดังมาแต่ไกล“หรูอี้!! ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วให้พูดแต่คำหวานๆ รักษากิริยาให้สำรวมไว้หน่อยเถิด หากลูกในท้องติดนิสัยโผงผางเช่นเจ้ามาข้าคงต้องกลั้นใจตายสักวันเป็นแน่” เวยวั่งซูชักสีหน้าไม่พอใจแต่สองมือก็ประคองปกป้องร่างภรรยารักเอาไว้ราวกับไข่ในหิน“ท่านก็เลิกวุ่นวายกับชีวิตข้าเสียทีเวยวั่งซู!! ข้ามันคิดผิดจริงๆ ที่ยอมแต่งให้ท่าน ดูสิทุกวันนี้ข้าต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในแดนเหนือที่หนาวเย็นจนถึงกระดูก คลอดลูกออกมาเมื่อใดข้าจะย้ายมาอยู่กับเหยาจีที่ทางใต้เสียให้รู้แล้วรู้รอด”“ก็ข้าเป็นผู้ฝึกตนสายน้ำแข็งนี่นา ไม่อยู่กับหิมะจะให้ข้าไปอยู่ในกองเพลิงหรือไร แล้วเมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ? คลอดบุตรแล้วเจ้าจะมาอยู่ทางใต้ คิดจะทิ้งเราสองพ่อลูกไว้ทางเหนือเพียงลำพังเช่นนั้นหรือ? ฝันไปเถิด!!" “เจ้าจะหงุดหงิดอันใดนักหนาเล่าวั่งซู นางยังไม่ทันคลอดด้วยซ้ำ ข้าแนะนำให้เอง!! กลับไปแดนเหนือคราวนี้ไม่สู้เจ้าแช่แข็งนางเอาไว้เป็นไร นางจะได้ไม่หนีไปเที่ยวเล่นที่ใดได้อีก”ซินหรูอี้ใช้สองมือประคองท้องกลมโตเดินอาดๆ ม
หญิงสาวก้าวออกมายืนด้านหน้าผู้คนแทนที่อ๋าวหลวนหลง“ชัยชนะของพวกเราในครั้งนี้จะไม่สำเร็จโดยง่ายหากปราศจากพวกเขาเช่นกัน” มู่เหยาจีผายมือไปด้านขวาของนาง สายตามองไปยังสัตว์เลี้ยง 12 ตัวที่ยังรอดชีวิตอยู่“สัตว์ปราณทั้ง 12 ตัว ได้รับผลท้อไปแล้ว 5 ตัว ข้าจะไม่ลังเลเลยที่จะมอบผลท้อสวรรค์อีก 7 ผลให้กับพวกมันอย่างยุติธรรม วันใดที่มนุษย์ไม่อาจไว้วางใจกันเอง พวกท่านโปรดจำเอาไว้ว่าสัตว์ทั้ง 12 จะเป็นผู้ที่ปกป้องท่านจากภยันตรายทั้งปวง”สิ้นคำกล่าวของหญิงสาว ผีเสื้อเกล็ดแก้ว 7 ตัวก็โบยบินออกไปส่งมอบผลท้อสวรรค์ให้วานรสองตัว สุนัขจิ้งจอกสองตัว หวางผาง เต่าและปลาหมึก“ท้อสวรรค์ 7 ผลที่เหลือข้าจะให้ผีเสื้อเกล็ดแก้วเป็นผู้คัดเลือกผู้โชคดีขึ้นมาตามแบบอย่างที่เคยทำในแดนสวรรค์ และจากนี้ไปผลท้อที่สุกออกมาทั้งหมดก็จะใช้วิธีเดียวกันนี้เช่นกัน”มู่เหยาจีวาดเรียวแขนงามออกมาโบกสะบัดชายแขนเสื้อยาวกรุยกรายสยายออกเป็นวงกว้างในอากาศพร้อมกับมีร่างของผีเสื้อเกล็ดแก้วลำตัวใสกระจ่างระยิบระยับเจ็ดตัวโบยบินไปวนเวียนอยู่เหนือศีรษะกลุ่มผู้ฝึกตนที่รวมกลุ่มกันอยู่ผู้โชคดีทั้งเจ็ดคนมีทั้งอดีตเซียนที่ลงมาจากแดนสวรรค์และผู้ฝึกต
“ยามนี้บนเกาะลอยที่เหลือเพียงครึ่งไม่มีผลท้อธรรมดาที่สามารถช่วยรักษาอาการบาดเจ็บเลยสักผล ทำอย่างไรดีพี่สี่เสิน หวางเซี่ยเจ้าต้องหยุดพักรักษาตัวก่อน เราจะหาทางกลับไปเอาผลท้อมาช่วยเจ้ากันเอง!!” หญิงสาวละล่ำละลัก หันพูดทางนั้นทีทางนี้ทีตัดสินใจทำสิ่งใดไม่ถูก“น้องสาว ผลท้อธรรมดาไม่อาจรักษาอาการบาดเจ็บของหวางเซี่ยได้หรอก ต่อให้เจ้าฝืนเด็ดผลท้อสวรรค์ที่ยังไม่สุกหยิบยื่นให้เขาก็ยังไม่อาจรักษาบาดแผลที่สาหัสนั้นได้ ปล่อยให้เขาทำสิ่งที่เขาต้องการต่อไปเถิด”“ผลท้อช่วยไม่ได้ เช่นนั้นลูกแก้วมังกรของพี่หลวนหลงก็ต้องช่วยได้สิเจ้าคะ ท่านลองส่งสารบอกผีเสื้อเกล็ดแก้วดู ให้พวกเขาพาคุณชายสี่กลับมาที่นี่ก่อน” น้ำตาสองสายไหลออกมาเต็มใบหน้างาม อ้อนวอนร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าเวทนา“เจ้าตั้งสติให้ดีๆ อวัยวะภายในของหวางเซี่ยเสียหายรุนแรงเกินไป หาใช่ขาดแล้วเชื่อมต่อใหม่ได้เหมือนอย่างเส้นเอ็นของหลวนหลง เจ้าดูดวงตาของฝูซีสิ สิ่งที่ขาดหายไปแล้วน้ำลายมังกรไม่อาจสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้”ไม่ต้องอธิบายมากไปกว่านี้มู่เหยาจีก็รับรู้ได้ถึงความรุนแรงอันหนักหน่วงบนร่างกายสหายรักใต้น้ำสองพี่น้องเดินลงไปที่ชายหาดจุดเดิมที
การเคลื่อนไหวอันทรงพลังของนกอินทรียักษ์รวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าฟาด เพียงไม่นานมันก็พาอ๋าวหลวนหลงมาพบกับกลุ่มผีเสื้อเกล็ดแก้วที่กำลังรุมล้อมรอบเกาะลอยพุ่งโจมตีไส้เดือนปีศาจยี่สิบตัวกันไม่ยั้งมือ“นั่นมัน!!” ดวงตาคมกริบของอ๋าวหลวนหลงเบิกค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ คำพูดที่กำลังจะเอ่ยออกมาก็พลันถูกกลืนลงคอไปด้วยความตื่นตะลึงชายหนุ่มขยี้ตาซ้ำๆ อีกหลายครั้งและสุดท้ายก็ต้องเชื่ออย่างสนิทใจว่าเขาตาไม่ฝาด ยามนี้บนต้นท้อสวรรค์มีผลท้อสีเขียวอมชมพูส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลล่องลอยไปทั่วบริเวณ“เป็นไปได้อย่างไรกัน! ท้อสวรรค์ออกผลอีกแล้ว! ฮ่าๆๆๆ ผลงานของเหยาจีนี่ดูท่าจะลูกดกดีแท้!!” กล่าวจบชายหนุ่มก็ต้องรีบจับขนหลังคอนกอินทรีตัวเขื่องเอาไว้แน่น เจ้านกยักษ์แกล้งบินลงต่ำกะทันหันด้วยความหมั่นไส้กับคำพูดที่กำกวมของมนุษย์ไร้ขนที่ขี่หลังมันอยู่“ข้าหมายถึงผลท้อ เจ้าจะขัดเคืองอันใดนักหนา!!” อ๋าวหลวนหลงเอื้อมมือไปตบหัวนกอินทรีทีหนึ่งอย่างอดไม่ได้ แต่ใบหน้าคมกลับแดงก่ำที่ถูกจับได้ว่าแอบคิดนอกลู่นอกทางในยามคับขัน“พวกเขาจัดการเจ้าหนอนเหล่านี้ได้แน่นอน เราต้องไปช่วยทางนั้น” อ๋าวหลวนหลงชี้มือไปยังบริเวณชายหาดเพิกเฉยกับการต
“ข้ายังมีพลังอ่อนด้อยเกินไป ไม่สามารถติดต่อกับผีเสื้อเกล็ดแก้วที่อยู่ทางใต้ไม่ได้ แต่การที่หวางเซี่ยและคู่ของมันลุกขึ้นมาสู้สุดใจเช่นนี้อาจเกิดเรื่องกับทางหลวนหลง” ฝูซีเอ่ยปากอย่างร้อนรน“คุณชายสี่อยู่ทางนั้นเพียงลำพังหรือเจ้าคะ” มู่เหยาจีก็เพิ่งรู้ว่าอ๋าวหลวนหลงไม่ได้อยู่ร่วมการต่อสู้ทางชายหาดบริเวณนี้“ใช่ เขาต้องรีบผนึกรอยแยกใต้ทะเล ทางนี้พวกเราตกลงกันแล้วว่าจะปล่อยให้พวกมันขึ้นมาบริเวณน้ำตื้นเพื่อจัดการมันได้ง่ายหน่อย แต่จะไม่ยอมปล่อยให้มันขึ้นฝั่ง การที่หวางเซี่ยพาเกาะลอยกลับลงทะเลลึกอยู่นอกเหนือจากที่เราตกลงกันไว้”“เช่นนั้นข้าจะส่งนกอินทรีออกไปสืบข่าว” ต้าโหวจื้อกระโดดลงจากหลังนกอินทรี แล้วปล่อยให้นกยักษ์บินกลับไปเพียงลำพังเพราะตัวเขายังมีประโยชน์ในการสู้รบกับกลุ่มปีศาจมากมายที่มารวมตัวกันบริเวณนี้ไม่มีเวลาให้ทุกคนได้ไตร่ตรองสิ่งใดต่อไป สัตว์ปีศาจที่เล็ดลอดออกจากรอยแยกใต้ทะเลรวมกับกลุ่มที่หลอกล่อให้มนุษย์หลงไปผิดทางก็มีไม่น้อย พวกเขายังไม่สามารถจัดการมันได้ทั้งหมดหากปราศจากความช่วยเหลือจากผีเสื้อเกล็ดแก้วที่แข็งแกร่งทั้งหกพันตัวอินทรียักษ์บินเลยผ่านหวางเซี่ยที่เคลื่อนตัวไปได้
เมื่อเห็นหวางเซี่ยพยายามชิงพื้นที่การควบคุมเกาะลอยใต้น้ำไว้อย่างยากลำบาก ผู้ฝึกตนระดับสูงทั้งหกคนก็มุ่งเข้ามาช่วยเหลือปูยักษ์สองสามีภรรยาโดยพร้อมเพรียงกัน“เหยาจี!! เป็นอย่างไรบ้าง” มู่สี่เสินทะยานขึ้นไปบนเกาะไปหาน้องสาวเป็นคนแรก“พี่สี่เสินข้าปลอดภัย พวกมันกำลังพยายามจะขึ้นไปบนฝั่งเจ้าค่ะ”“ฝูซีก็คาดเดาเรื่องนี้ไว้แล้วเช่นกัน เราจะไม่ยอมให้พวกมันเอาต้นท้อสวรรค์กลับลงไปยังแดนปีศาจได้สำเร็จแน่นอน”“พวกเราต้องช่วยหวางเซี่ย ไส้เดือนปีศาจเหล่านั้นแข็งแกร่งมากอีกไม่นานหวางเซี่ยอาจจะทนต่อไปไม่ไหวเจ้าค่ะ”หญิงสาวสงสารและเป็นห่วงปูยักษ์จับใจ ขาทั้งแปดของหวางเซี่ยขยับเขยื้อนได้เพียงเล็กน้อย ความสามารถในการป้องกันตัวแทบจะเป็นศูนย์ แต่โชคดีที่มันมีร่างกายใหญ่โตกว่าไส้เดือนตาบอดเหล่านั้นจึงยังใช้กระดองดันไส้เดือนปีศาจให้อยู่รอบนอกโดยมันควบคุมพื้นที่ใต้เกาะลอยส่วนใหญ่เอาไว้ได้พอดิบพอดีมู่สี่เสินคว้ามือของน้องสาวย่อตัวลงเล็กน้อยและออกแรงกระโดดขึ้นไปอยู่บนร่างของวานรทั้งสองตัวเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้กับปีศาจไส้เดือนที่กำลังพยายามยึดเอาเกาะลอยกลับคืนมาจากหวางเซี่ย……….รอยแยกใต้ทะเลลึกผีเสื้อเกล็ดแก้