Masukครั้งก่อนเพราะมิอาจปล่อยวางจากรักทำให้นางพลั้งเผลอทำร้ายคู่หมั้นของเขา จนทำให้บุรุษที่ตนรักเกลียดชังน้ำหน้าราวกับว่ามิเคยรักใคร่กันมาก่อน หวนคืนครานี้นางจะลืมเลือนทุกสิ่ง...ไม่เว้นกระทั่งเขา
Lihat lebih banyakจวนตระกูลอี้
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งเดินย่ำเท้าไปมาที่หน้าห้องเกินกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว ในใจทั้งรู้สึกหวั่นวิตกและตื่นเต้นในคราวเดียวกัน เหตุเพราะฮูหยินของตนกำลังจะคลอดบุตร
“ยินดีกับนายท่าน ฮูหยินคลอดลูกสาวเจ้าค่ะ” เสียงหมอตำแยเอ่ยบอก ขณะที่อ้อมแขนกำลังโอบอุ้มเด็กทารกใบหน้าจิ้มลิ้มทั้งยังมีผิวขาวราวกับหิมะก็มิปาน อี้เฉียวลู่จ้องมองบุตรสาวตัวเองด้วยรอยยิ้ม แม้จะผิดคาดที่ไม่ได้บุตรชายก็ตามที
“ฮูหยินของข้าปลอดภัยดีรึไม่”
“เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นข้าจะเข้าไปด้านใน” เขาว่าพลางอุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมอก
“เข้าไปไม่ได้นะเจ้าคะ ข้างในนั้นมีแต่เลือด” สาวใช้วัยชราเอ่ยขัด
“ข้าต้องไปเห็นกับตาว่านางสบายดี” ว่าจบก็เดินพรวดพราดเข้าไปข้างในทันที ไม่สนใจเสียงคัดค้านอันใด
“ท่านพี่” เสียงแหบแห้งเรียกผู้เป็นสามี
“ฮูหยิน เจ้าดูลูกของเราสิ นางช่างละม้ายคล้ายกับเจ้ายิ่งนัก” เขาบอกพร้อมกับขยับเข้าไปใกล้เพื่อให้นางดูหน้าบุตรสาวได้ถนัด
“ผิดหวังไหมเจ้าคะที่ข้าไม่ได้ลูกชาย”
“ถึงครานี้ไม่ได้ลูกชายก็ไม่เป็นไร ได้ลูกสาวก็ดีเช่นกัน” ชายหนุ่มปลอบภรรยา
“ข้ากลัวว่าท่านแม่จะผิดหวังน่ะสิเจ้าคะ”
“ไม่หรอก ท่านแม่ต้องเข้าใจอยู่แล้วเจ้าอย่าได้กังวลไป”
แม้สามีจะเอ่ยปลอบแต่ทว่าฟู่ซิวหาได้คลายความกังวลลงเพราะแต่ไหนแต่ไรมามารดาของสามีหาได้ชอบพอนางในฐานะลูกสะใภ้ ทั้งยังยัดเยียดให้ลูกชายตัวเองแต่งแม่นางจากตระกูลเมิ่งมาเป็นอนุถึงแม้ว่าตอนนี้นางจะยังไม่มีลูกก็ตามที
ไม่นานนักข่าวที่ฮูหยินของตระกูลคลอดบุตรสาวได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งจวนรวมถึงเรือนอดีตฮูหยินของตระกูลที่บัดนี้กลายเป็นฮูหยินผู้เฒ่าตามวัยที่ร่วงโรย
“เจ้าว่าอย่างไรนะ นางคลอดลูกสาวงั้นรึ!” หยิงชราถามย้ำด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“เจ้าค่ะ”
“ช่างไร้ประโยชน์ยิ่งนัก! ถ้าหากตอนนั้นข้าขัดขวางไม่ให้นางแต่งเข้าจวนมาอย่างถึงที่สุดแล้วล่ะก็ คงไม่เกิดเรื่องน่าผิดหวังเช่นนี้”
“นายหญิงโปรดใจเย็น ๆ เรายังมีคุณชายชางสืออยู่นะเจ้าคะ”
“มีแล้วอย่างไร มารดาของหลานชายข้าคนนี้มีชาติกำเนิดต่ำต้อยไม่พอหนำซ้ำยังเป็นเพียงสาวใช้จะคู่ควรเป็นผู้สืบทอดตระกูลอี้ได้เช่นไร”
“แม้คุณชายใหญ่จะมีชาติกำเนิดต่ำต้อย แต่ว่าฮูหยินรับเขาเป็นลูกทั้งยังรักและดูแลดั่งลูกแท้ ๆ ก็มิปาน บ่าวว่าไม่มีอันใดน่าเป็นห่วง อีกอย่างยังมีอนุเมิ่งอีกคนนะเจ้าคะ”
“ดูทีเถิด ข้าเลือกเมิ่งไป่ซูให้เป็นฮูหยินเอกของเขา แต่เขากลับไปเลือกคนจากตระกูลฟู่แทนเสียได้ น่าเจ็บใจนัก สุดท้ายคุณหนูสูงศักดิ์อย่างนางกลายเป็นเพียงอนุภรรยาของผู้อื่น พูดถึงนางทีไรข้ายังนึกเห็นใจทุกที”
หลายวันมานี้ฟู่ซิวคอยประคบประหงมดูแลบุตรสาวของตนเป็นอย่างดี
“ฮูหยิน เจ้ามีชื่อยู่ในใจแล้วรึไม่” เขาถามภรรยา แต่เดิมทั้งคู่คิดว่าเด็กในครรภ์เป็นชายถึงได้ไม่เคยคิดชื่อสตรีไว้ในใจ
“ให้นางชื่อเหม่ยเหรินดีไหมเจ้าคะ”
“เหม่ยเหริน อี้เหม่ยเหริน เป็นชื่อที่ดี”
“ท่านพี่ข้าได้ยินว่าท่านแม่ล้มป่วย นางเป็นอันใดมากรึไม่”
“เท่าที่ข้าไปเยี่ยม ท่านหมอบอกข้าว่าเป็นเพราะอากาศเปลี่ยนเลยทำให้ไม่สบายก็เท่านั้น”
“ดีแล้วเจ้าค่ะ ที่ท่านแม่ไม่เป็นอะไรมาก”
นางใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้เพียงเดือนเศษเท่านั้น จู่ ๆ ก็ได้ยินข่าวร้ายฟาดเข้ากลางใจจนทำให้รู้สึกแตกสลาย
“ท่านแม่ ท่านมาเยี่ยมฮูหยินหรือขอรับ” อี้เฉียวลู่ถามมารดา ยามเห็นร่างสตรีวัยชรากำลังจะเดินเข้าไปในห้องที่ฮูหยินกับลูกน้อยอาศัยอยู่
“หึ! ข้าน่ะหรือจะมาเยี่ยมเด็กกาลกิณีเช่นนาง”
“ท่านแม่ ท่านพูดเรื่องอะไรกันข้าฟังไม่เข้าใจ”
“ข้าให้เหลียนถงเอาวันเดือนปีเกิดลูกสาวเจ้าไปที่วัดก่านเยว่เพื่อตรวจดูดวงชะตาก็พบว่านางกับข้ามีชะตาขัดแย้งกัน ข้าถึงได้ป่วยออด ๆ แอด ๆ ไม่หายเสียที หากให้นางอยู่ที่จวนต่อไปไม่ข้าก็นางต้องมีคนใดคนหนึ่งตาย”
“เรื่องงมงายทั้งนั้น ท่านหมอบอกแล้วมิใช่หรือขอรับว่าเป็นเพราะท่านอายุมากแล้วจะให้แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อนคงจะเป็นไปไม่ได้”
“ใช่สิ พอเจ้าแต่งงานมีครอบครัวแล้วแม่คนนี้ก็หมดความหมาย” นางร่ำไห้บอกลูกชายด้วยความน้อยอกน้อยใจ
“แล้วท่านจะให้ลูกทำเช่นไรเล่า”
“ให้นางออกไปจากจวนเสีย แล้วห้ามคนในจวนไปพบหน้านางเด็ดขาด”
“หากไม่ได้เป็นดังที่ข้าคิด แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้เอามือมาลูบปากข้ากัน” เขายกยิ้มไปพลางถามไปพลาง จนคนใต้ร่างเริ่มรู้สึกเขินอายอยู่ไม่น้อย “ข้าแค่อยากรู้ว่าริมฝีปากของบุรุษจะอ่อนนุ่มหรือหยาบกร้านถึงได้เผลอไผลทำเรื่องเช่นนั้นไป” “งั้นหรือ” เขาแสร้งเห็นด้วย จากนั้นค่อย ๆ โน้มใบหน้าลงมาเรื่อย ๆ จนลมหายใจเป่ารดหน้านางเข้า “ท่านจะทำอะไรหรือเจ้าคะ” ว่าพลางดันหน้าอกชายหนุ่มให้ออกห่าง แต่ทว่ากายแกร่งไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว “เจ้าอยากรู้นักไม่ใช่หรือว่าริมฝีปากข้าจะอ่อนนุ่มหรือไม่ แทนที่จะใช้มือ มิสู้ใช้ปากไม่ดีกว่าหรือ” เอ่ยจบก็ทาบทับริมฝีปากลงไปแผ่วเบา ก่อนขบเม้มเข้าที่ริมฝีปากล่างของนางเพื่อหยอกล้อ “อื้อ” ซ่งอันเว่ยพร่ำจูบนางจนพอใจถึงได้ปล่อยริมฝีปากของนางให้เป็นอิสระ ขณะที่มืออีกข้างปลดเปลื้องอาภรณ์จนร่างของหญิงสาวเปลือยเปล่าไร้ซึ่งสิ่งใด ไม่นานนักร่างกายของเขาก็เปลือยเปล่าไม่ต่างจากนาง... อี้ชางสือมองภาพเบื้องหน้าทั้งรอยยิ้ม ยามเห็นภาพคู่สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว “ท่านพี่ ท่านฝึกซ้อมมาหลายชั่วยามแ
ทางด้านของฮูหยินผู้เฒ่าที่อาการป่วยทรุดลงเรื่อย ๆ จนไม่อาจลุกจากเตียงได้แต่นอนเป็นผักเท่านั้น “อาการของท่านแม่ เป็นเช่นไรบ้าง” เขาถามสาวใช้ข้างกายมารดา “อาการของฮูหยินผู้เฒ่าแย่ลงเรื่อย ๆ เลยเจ้าค่ะ” “ไปตามท่านหมอมาเร็วเข้า” “ตามไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ ท่านหมอเพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้เอง ทั้งยังบอกว่าอาการของฮูหยินผู้เฒ่าไร้หนทางรักษาแล้ว” อนุเมิ่งบอกสามี “จะ...เจ้า นางคนเนรคุณ” เสียงแหบแห้งหมดเรี่ยวแรงพูดขึ้น “พักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะดูแลท่านเอง” นอกจากนางจะไม่โกรธแล้ว นางยังส่งยิ้มให้หญิงชราด้วยซ้ำไป ฝั่งของฟู่ซิวแวะมาเยี่ยมมารดาสามีบ้างบางครั้ง เพราะอนุเมิ่งขอเป็นคนดูแลเอง “ฮูหยิน ตั้งแต่อนุเมิ่งไปดูแลฮูหยินผู้เฒ่าอาการของนางก็แย่ลงเรื่อย ๆ เลยนะเจ้าคะ หรือว่านางจะ...” “เจ้าอย่าได้เสียงดังไป เพราะถ้าหากนางไม่ได้ทำเช่นนั้นจริงคนที่เดือดร้อนคงกลายเป็นพวกเราแทน” นางบอกเสียงเบา ทั้งที่ในใจรู้อยู่แล้วว่าเมิ่งไป่ซูวางยาพิษฮูหยินผู้เฒ่า แต่นางไม่คิดเปิดโปงเรื่องนี้ เพราะเห็นสมควรว่าสตรีว
ชายหนุ่มถอดรองเท้าของนางออกหนึ่งข้าง ซึ่งเป็นข้างที่นางได้รับบาดเจ็บ แล้วฉีกชายเสื้อของตัวเองมาพันข้อเท้านางไว้ ก่อนอุ้มหญิงสาวไว้ในอ้อมกอดด้วยความหวงแหน จากนั้นเดินกลับกระโจมไป แม่ทัพซ่งวางร่างของนางลงบนเก้าอี้ด้วยความทนุถนอม ก่อนออกไปสั่งให้คนสนิทเรียกท่านหมอมาดูอาการ ทว่าไม่ทันจะได้ทำเช่นนั้นเขาถูกมือของหญิงสาวชุดรั้งแขนไว้เสียก่อน “จะไปไหนหรือเจ้าคะ” “ข้าจะให้คนไปตามท่านหมอมารักษาเจ้า” “ข้าไม่ต้องการหมอ” “ถ้าไม่ต้องการหมอ แล้วเจ้าต้องการอะไร” “ข้าต้องการท่าน” นางบอกทั้งใบหน้าแดงซ่านอย่างปิดไม่มิด “…” “ทำไมไม่ตอบข้าล่ะเจ้าคะ” “ปล่อยก่อน” “ท่านอยากรู้ใช่รึไม่ว่าคนที่ข้ารักคือใคร เช่นนั้นข้าจะบอก” “ไม่ต้อง ข้าไม่อยากรู้” เขาปฏิเสธทันควัน เพราะยังไม่พร้อมรับฟัง “ซ่งอันเว่ย ท่านฟังข้าพูดให้ดี ๆ ข้าจะพูดแค่ครั้งเดียว” “ข้าไม่....” “คนที่ข้ารักคือท่าน ไม่ใช่ใครอื่น” นางแทรกขึ้น พร้อมกับลุกขึ้นสวมกอดจากด้านหลัง “ที่เจ้าพูด...จริงหรือ ไม่ใช่เ
“น้องพี่ ใครเป็นคนทำให้เจ้าอารมณ์เสียหรือถึงได้ทำสีหน้าบึ้งตึงเช่นนี้” “เปล่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้เป็นอะไร” “เจ้าปิดบังพี่ไม่ได้หรอก เมื่อครู่ข้าเห็นรถม้าของตระกูลซ่งมาส่งเจ้า ดูทีว่าต้นเหตุคงเป็นซ่งอันเว่ย พี่จะไปจัดการเขาให้เอง” “พี่ชางสือ ท่านจะทำอะไรเขางั้นหรือ” “ข้าจะเตะเขาสักสิบครั้ง ต่อยสักหมัดสองหมัด ให้คนผู้นั้นรู้เสียบ้างว่าอย่าริอาจมารังแกน้องสาวของข้า” “ท่านพี่ จะทำเช่นนั้นไม่ได้นะเจ้าคะ อีกไม่นานข้ากับท่านแม่ทัพต้องแต่งงานแล้ว หากใบหน้าเขาบอบช้ำ ข้าคงทนเห็นไม่ได้” “เจ้านี่ช่างเป็นห่วงเขาเสียเหลือเกิน ไหนเจ้าบอกพี่ว่าไม่ได้คิดอันใดกับเขาเล่า” “ขะ...ข้าแค่เป็นห่วงเท่านั้น อีกอย่างท่านแม่ทัพไม่ได้รักข้าเช่นกัน” “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้รักเจ้า” “อะ...เอ่อ” “ข้าจะบอกความจริงให้เจ้าฟัง เจ้าคิดว่าคนเย็นชาอย่างซ่งอันเว่ยจะเสียเวลาไปรับสตรีที่ไม่รู้จักกลับเมืองหลวงด้วยตัวเองงั้นหรือ ทั้งยังคอยคุ้มกันจนถึงจวนอีก” “เรื่องนั้นท่านแม่ทัพบอกข้าว่า เป็นเพราะท่านไหว้ว

















