ถนนสายเช้ายังคงว่างเปล่า มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวลอดผ่านตรอกแคบ ๆ ที่ทอดยาวเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด ฉันเร่งก้าวเท้าไปตามทาง ลมหายใจเปลี่ยนเป็นไอขาวลอยวูบวาบในอากาศหนาวเหน็บ ทั้งที่ปฏิทินบอกว่ากำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วแท้ ๆ
มือข้างหนึ่งกอดกระเป๋าส่งอาหารแน่น ขณะที่อีกข้างกำเสื้อแจ็กเก็ตไว้แน่นเพื่อกันลมที่เย็นเฉียบแทงทะลุเข้ามาในทุกอณูผิว
‘Omnibite...นั่นไง’
ฉันหยุดยืนหน้าร้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง — มันดูธรรมดาจนน่าเหลือเชื่อว่าที่นี่คือศูนย์กลางการส่งอาหารทะลุมิติ
ป้ายหน้าร้านเป็นกระจกสีดำเรียบลื่น ไม่มีโลโก้ ไม่มีชื่อร้าน ไม่มีแม้แต่ตัวอักษรใด ๆ ที่บอกว่านี่คืออะไร นอกจากเส้นสายแสงเงินบางเบาที่ไหลวูบไหวไปมาใต้ผิวกระจก ราวกับเป็นลมหายใจของบางสิ่งที่หลับใหลอยู่ภายใน
แสงนั้นสั่นระริก เหมือนเส้นทางของแม่น้ำบนท้องฟ้า พริบพรายอย่างเงียบงันในยามเช้ามืด
ฉันกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ ก่อนจะยื่นมือออกไปผลักประตูกระจกเบา ๆ —
ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสบานประตู โลกทั้งใบก็เหมือนพลิกตัวไปอีกมิติหนึ่ง
ประตูเปิดออกอย่างไร้เสียง
แสงสีเงินจาง ๆ พร่างพรายออกมา
และทันทีที่ก้าวข้ามธรณีประตู...
"ยินดีต้อนรับสู่ Omnibite จ้าาา~!"
เสียงใส ๆ ดังขึ้นกลางอากาศ ทำเอาฉันสะดุ้งเล็กน้อย
ฉันกวาดตามองรอบตัวอย่างระแวดระวัง — ห้องโถงกว้างโล่ง ทว่าผนังกลับดูเหมือนไม่มีขอบเขตแน่นอน ลวดลายแสงสีเงินบนพื้นและเพดานไหลเคลื่อนไหวไปช้า ๆ ราวกับคลื่นทะเลในคืนเดือนมืด
แล้วทันใดนั้น ร่างโฮโลแกรมก็กะพริบขึ้นตรงหน้าฉัน
เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ใส่เสื้อยืดตัวโคร่งสีเทา ลวดลายบนเสื้อเป็นภาพชามราเมนใหญ่โตที่มีเส้นราเมนเด้งดึ๋งลอยออกมาจากถ้วย — หน้าตาขี้เล่นเสียจนชวนหัวเราะ
บนอกเสื้อมีป้ายชื่อเรืองแสงเป็นตัวหนังสือคันจิประหลาด ๆ ที่แปลความได้ว่า "พี่ยำ" พร้อมกับไอคอนยิ้มแฉ่งข้าง ๆ
"พี่ยำ? ..." ฉันกะพริบตาปริบ ๆ พึมพำอย่างงุนงง
"ใช่จ้า พี่ยำเอง!"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงสดใสราวกับนกกระจิบ พร้อมทั้งชูสองนิ้วเป็นสัญลักษณ์ V อย่างร่าเริง
"ระบบ AI อัจฉริยะ ประจำ Omnibite คนเดียว คนเดิม ไม่มีสำรอง!"
เขาหัวเราะเสียงใส ก่อนจะหมุนรอบตัวเองหนึ่งทีอย่างโอเวอร์แอ็กติ้งจนเส้นแสงบนพื้นสะท้อนกับร่างโฮโลแกรมวูบวาบไปหมด
พี่ยำดูเหมือนจะไม่รู้จักคำว่าความเครียดเลยสักนิด รอยยิ้มกว้างเกินจริงของเขาเหมือนจะฉีกจนสุดใบหน้า
แต่ลึก ๆ ในใจฉันรู้สึกได้ถึงบางอย่าง...
บางอย่างที่ไม่ใช่แค่ "ความน่ารัก" ธรรมดา...
"ขอสแกนตัวตนหน่อยนะจ๊ะ~"
เสียงใส ๆ ของพี่ยำดังขึ้นไม่ทันขาดคำ
ก่อนที่ฉันจะได้เอ่ยอะไรตอบ แสงสีฟ้าอ่อน ๆ ก็พุ่งวูบผ่านตัวฉันไปเหมือนแถบเลเซอร์สแกนอย่างรวดเร็ว
[ยืนยันตัวตน: เอลาเรีย เวลเลนไฮม์]
[ออเดอร์ที่ได้รับ: ราเมนเพลิงจันทร์ลาวา]
[สถานะ: พร้อมจัดส่ง]
ข้อความเรืองแสงลอยขึ้นกลางอากาศตรงหน้า สว่างชัดจนฉันต้องกะพริบตาไล่แสง
"โอ้โห...เธอกดรับออเดอร์สุดหินเลยนะเนี่ย!"
พี่ยำยิ้มกว้างจนตาโค้งเป็นเสี้ยวพระจันทร์ มือหนึ่งท้าวเอว มืออีกข้างชูนิ้วโป้งอย่างสุดพลัง
ฉันยังไม่แน่ใจนักว่าควรหัวเราะ หรือควรกังวลกันแน่
"เอ่อ...แล้วต้องไปส่งที่ไหนเหรอคะ?"
ฉันถามอย่างไม่แน่ใจ พลางเหลือบมองประตูหลังร้านที่ดูเหมือนไม่มีอะไรพิเศษเลยนอกจากเป็นบานไม้ธรรมดาทาสีเทาเก่า ๆ
"ง่ายมากเลยจ้า!" พี่ยำทำมือเป็นรูปตัว L แล้วดีดขึ้นเป็นนิ้วโป้งอย่างร่าเริง
"แค่เดินไปที่ประตูหลังร้าน...เปิดมัน แล้วเดินตรงไปโลด!"
ฉันเลิกคิ้วสูง ความรู้สึกขนลุกซ่าเริ่มก่อตัวขึ้นที่ต้นคอ
"...มันจะไม่เกิดอะไรแปลก ๆ ใช่ไหมคะ?"
"รับประกันความปลอดภัย 90%!" พี่ยำพูดเสียงใส ตบอกตัวเองเบา ๆ ราวกับจะย้ำความมั่นใจ
แล้วก็เสริมเสียงเบา ๆ จนแทบไม่ได้ยิน
"...ถ้าไม่เดินตกหลุมอากาศกลางทางนะจ๊ะ~"
ฉันกลอกตาอย่างเหนื่อยใจ แต่ก็อดยิ้มขำกับท่าทางเกินจริงของเขาไม่ได้
"แล้วนี่...?" ฉันชี้ไปที่เสื้อแจ็กเก็ตสีเงินมันวาวกับกางเกงหนา ๆ ที่พี่ยำยื่นมาให้
"ชุดกันหนาวไฮเทคจ้า!" พี่ยำตอบอย่างร่าเริง พลางกะพริบตาโฮโลแกรมวิ้ง ๆ
"กันลม กันหนาว กันเวทมนตร์! เหมาะสำหรับทุกสภาพอากาศข้ามมิติ! ใส่เถอะ รับรองไม่แข็งตายกลางทาง~"
ฉันถอนหายใจยาวอย่างยอมแพ้ รับชุดจากเขามา
เสื้อแจ็กเก็ตสีเงินอ่อนเนื้อผ้าเงางามนั้นเบาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่พอลองสัมผัส ก็รู้สึกได้ถึงชั้นผ้าซ้อนกันแน่นหนาเหมือนรังไหม ชุดนี้ถูกออกแบบให้แนบกระชับไปกับร่างกายโดยไม่บีบรัด เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วแม้จะต้องวิ่งฝ่าหิมะหรือปีนข้ามซากปรักหักพัง
กางเกงกันหนาวเข้าชุดกัน ตัดเย็บด้วยผ้าเทคนิคอลล้ำยุค เคลือบเส้นใยป้องกันเวทมนตร์โดยเฉพาะ ผิวสัมผัสเหมือนขนนกผสานโลหะเบา ๆ อ่อนนุ่มแต่แข็งแรง พร้อมรองเท้าบูทเบาเป็นพิเศษที่ยึดเกาะพื้นได้แม้กระทั่งน้ำแข็งลื่น ๆ
เมื่อสวมใส่เสร็จ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นนักผจญภัยจากโลกไซไฟ — ทั้งเบา ทั้งอบอุ่น ทั้งพร้อมสู้กับพายุหิมะที่ไม่รู้จะโหมกระหน่ำมาจากทิศไหน
ฉันคว้ากล่องอาหารที่เพิ่งลอยมาเข้ามือ มันเป็นกล่องขนาดพอดีมือ ผิวเรียบลื่น มีเส้นแสงสีทองอ่อนพาดผ่านผิวด้านบน กล่องเปล่งความร้อนอบอุ่นออกมาเบา ๆ พอให้รู้สึกว่าด้านในยังรักษาอุณหภูมิอย่างดี
แม้กล่องจะปิดสนิท แต่กลิ่นราเมนหอมกรุ่นก็ยังเล็ดลอดออกมา อบอวลไปทั่วจนทำให้ท้องของฉันร้องเสียงดังจนน่าอาย
พี่ยำยิ้มแฉ่ง โบกมือไปมาอย่างกับเจ้าหน้าที่ส่งตัวนักสำรวจไปดาวใหม่
"โชคดีนะจ๊ะน้อง~!"
ฉันสูดหายใจลึก รวบรวมความกล้า แล้วก้าวไปยังประตูหลังร้าน
มือสั่นเบา ๆ ขณะจับลูกบิดที่เย็นเฉียบอย่างกับมันถูกแช่แข็งไว้เป็นร้อยปี ปลายนิ้วชาไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่ฉันจะตั้งสติ
"...เอาน่า เอลาเรีย เธอเคยแย่กว่านี้มาแล้ว..."
ฉันกระซิบให้กำลังใจตัวเองเสียงเบา ๆ
แล้วหมุนลูกบิด
กึก—
บานประตูค่อย ๆ เปิดออก
ลมเย็นยะเยือกกรูกระหน่ำเข้ามาแทบทำให้ฉันเซถลาไปข้างหลัง
ข้างหน้า...
ไม่ใช่ซอยหลังร้านที่ฉันคาดหวังเอาไว้
แต่เป็น...
ทุ่งหิมะขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา
แสงสีฟ้าจาง ๆ จากท้องฟ้าหม่นสาดลงบนผืนหิมะที่ไม่มีที่สิ้นสุด หิมะโปรยปรายลงมาราวกับละอองน้ำแข็งเล็ก ๆ ที่สะท้อนแสงระยิบระยับเหมือนดาวตก
ท่ามกลางความว่างเปล่านั้น มีแต่เสียงลมพัดหวิว กับอากาศหนาวเย็นที่กัดกินเข้ามาจนชั้นขนแกะในชุดกันหนาวสะท้านเบา ๆ
ฉันยกมือบังหน้า สายตาเพ่งมองหาจุดหมาย แต่มีเพียงม่านหิมะขาวโพลนที่ทอดยาวออกไป — เหมือนโลกทั้งใบกลืนหายไปในความหนาวนี้
ข้างหลัง คือบานประตูของ Omnibite ที่ยังค้างอยู่ในอากาศ — ครึ่งหนึ่งในโลกเก่า ครึ่งหนึ่งในโลกใหม่
ข้างหน้า คือการเดินทางที่ไม่มีแผนที่ และออเดอร์ราเมนที่กำลังอุ่นมือฉันไว้เบา ๆ
ขณะที่ฉันยืนตะลึง และกำลังจะก้าวพ้นธรณีประตูไป พี่ยำก็ร้องเรียกขึ้นมาเสียงใส
"อ๊ะ ๆๆๆ เดี๋ยวสิจ๊ะน้อง! เกือบลืมของสำคัญไปแล้ว~!"
ฉันชะงักเท้า หันกลับไปมองทันที
พี่ยำยิ้มกว้าง แล้วล้วงมือลงไปในกระเป๋าโฮโลแกรมด้านหลังที่ฉันไม่ทันสังเกตเห็นมาก่อน ก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างออกมาแล้วโยนมาให้
มันคือ กระเป๋าแคปซูลขนาดเล็ก — ขนาดไม่ใหญ่ไปกว่ากำปั้น รูปทรงรี ทรงคล้ายเมล็ดถั่วลันเตาเรืองแสงสีเงินอ่อน
ฉันยื่นมือรับไว้โดยสัญชาตญาณ น้ำหนักมันเบาจนแทบไม่รู้สึกอะไรเลย
"ของจำเป็นจ้า!" พี่ยำพูดเสียงสดใส
"ในนั้นมีของที่เธออาจต้องใช้ตอนฉุกเฉิน เช่น
• สเปรย์ป้องกันมอนสเตอร์ — ฉีดแล้วศัตรูแสบตา หลงทิศหลงทาง
• เจลปฐมพยาบาลพิเศษ — ทาแล้วสมานบาดแผลเบื้องต้นทันที
• แผ่นพลังงานฉุกเฉิน — ทานแล้วฟื้นพลังงานได้ทันทีภายใน 10 นาที!"
เขายกนิ้วขึ้นนับพลางยิ้มกว้างตลอดเวลาเหมือนกำลังขายของอยู่
"แล้วก็...สำคัญสุด ๆ"
พี่ยำล้วงลงไปอีกครั้ง คราวนี้หยิบอุปกรณ์อีกชิ้นออกมา มันเป็นเหมือน มือถือพกพาขนาดเล็ก ดีไซน์แปลกตา ทรงสี่เหลี่ยมมน ๆ สีดำด้าน มีหน้าจอโปร่งใส และเส้นแสงสีรุ้งวูบไหวไปมาตามขอบเครื่อง
"นี่คือ OmniLink — มือถือติดต่อข้ามมิติ!"
พี่ยำกล่าวด้วยน้ำเสียงภูมิใจสุด ๆ
"โทรศัพท์ธรรมดาน่ะใช้ไม่ได้หรอกนะในมิติอื่น ๆ เพราะคลื่นสัญญาณมันไม่เหมือนกัน~ แต่ตัวนี้ติดต่อได้ทุกที่ ทุกมิติ ทุกความถี่! โทรเข้า-ออกได้ตลอด แถมยังมีระบบนำทางฉุกเฉินกับส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือได้ด้วย!"
พี่ยำยื่น OmniLink ให้ฉัน
"พี่ยำเองก็จะอยู่ในรายชื่อด่วนพิเศษด้วยนะ! ถ้าเจออะไรฉุกเฉิน กดปุ่มแดงปุ๊บ พี่ยำจะโผล่มาในรูปโฮโลแกรมเพื่อช่วยเหลือทันทีเลย~"
ฉันรับมันมาไว้ในมือ น้ำหนักกำลังพอดี อุ่นเล็ก ๆ ราวกับมันมีหัวใจเต้นอยู่ภายใน
"โอเค...ขอบคุณค่ะ"
ฉันพึมพำเบา ๆ รู้สึกว่ามีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย
"สู้ ๆ นะจ๊ะน้องเอลาเรีย!"
พี่ยำชูสองนิ้วเป็นสัญญาณ V ให้อีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มกว้างที่เหมือนจะสว่างกว่าแสงของทุ่งหิมะข้างหน้าเสียอีก
ฉันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด กระชับกระเป๋าแคปซูลห้อยข้างเอว และเก็บ OmniLink ไว้ในช่องเก็บพิเศษบนแขนเสื้อชุดกันหนาว
คราวนี้...ฉันพร้อมแล้วจริง ๆ ก้าวแรกของการเดินทาง... สู่โลกที่ไม่รู้จัก กำลังเริ่มต้นขึ้น
'โอเค...เดินตรงไปโลด...'
ฉันกัดฟันแน่น กระชับกระเป๋าอาหาร แล้วก้าวออกไปสู่ทุ่งหิมะแห่งมิติใหม่
ลมหิมะพัดกรูอย่างบ้าคลั่ง ใต้ท้องฟ้าสีหม่นเทาอมฟ้า
เบื้องไกล เหนือม่านหิมะขาว — ฉันมองเห็นเงาร่างของ วังน้ำแข็งมหึมา ที่ตั้งตระหง่านกลางขอบฟ้าหัวใจฉันเต้นตึกตักแรงผิดปกติ ทั้งจากความกลัว และความตื่นเต้นปนกัน
"...ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ" ฉันพึมพำกับตัวเอง พลางก้าวเท้าแรกออกจากประตู —
เข้าสู่โลกที่หิมะไม่มีวันละลาย...
❄️❄️❄️❄️❄️
เสียงคำรามของเนรูไซร์ระเบิดขึ้นอีกครั้ง หางขนาดยักษ์กวาดทำลายผนังถ้ำเวทเหมือนกระดาษชื้น เวทแสงและเงาปะทะกันกลางอากาศจนเกิดการสั่นสะเทือนระลอกใหญ่ฝุ่นเวทปลิวว่อน—เสียงเวทร้องดังก้องในทุกสรรพางค์ของโลกเวทหลงอวิ๋นยังคงยืนอยู่ตรงหน้าแท่นเวท ร่างกายบาดเจ็บจากการรับเวทแทนเอลาเรียดวงตาสีฟ้าของเขาเรืองแสงเย็นราวน้ำแข็งที่กำลังแตกร้าว เขากำมือแน่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเนรูไซร์ที่คำรามลั่นกลางอากาศ“...พอแล้ว”เสียงเขาดังแน่น…แต่ราบเรียบราวหิมะที่กำลังตก พลังเวทเริ่มปะทุจากใต้ฝ่าเท้า—วงเวทมังกรน้ำแข็งเรืองแสงใต้พื้นหิน“เอลิอาน”“ดูแลเอลาเรีย...จนกว่าข้าจะหยุดมันได้”เอลิอานสบตาเขานิ่ง ก่อนพยักหน้ารับหลงอวิ๋นยื่นมือแตะอกตนเอง—จุดที่พลังแก่นมังกรหลับใหล เวทน้ำแข็งทะลักออกจากผิวหนัง กลายเป็นเกล็ดสีฟ้าระยับ เสื้อคลุมของเขาฉีกออก—เผยร่างที่ค่อย ๆ ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดมังกร เสียงกระดูกและกล้ามเนื้อแปรสภาพดังกรอบแกรบแสงเวทแตกกระจาย—ปีกกว้างกางออกกลางอากาศ
เสียงคำรามของมังกรดึกดำบรรพ์ เนรูไซร์ ดังสะท้านห้องเวททั้งมวล แท่นผนึกกลางถ้ำใต้ทะเลสาบจันทราสั่นไหวเหมือนจะพังทลายลงในทุกวินาที แสงเวทบนพื้นแตกร้าวเป็นทางยาว หินศิลาโบราณสะเทือนจนผงธุลีร่วงเหมือนน้ำตาของกาลเวลาหางมังกรยาวสีเงินดำของมันตวัดกวาดแนวกำแพงเวท กระแทกผนังเวทที่เจิ้งอู่สร้างไว้แตกเป็นเสี่ยงเสียง ครืน!! ดังสนั่นจนหูแทบชาฉันหอบหายใจ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะพลังเวทในตัวกำลังเดือดพล่านเหมือนถูกกระชากให้ตื่นขึ้นสุดขีด มือทั้งสองข้างสั่น—แต่ยังยืนอยู่ตรงหน้าแท่นเวทดวงตาของเนรูไซร์…เป็นสีเงินมืดที่ไม่มีประกายชีวิตแต่ในแววตานั้นแฝงไว้ด้วยบางอย่าง—เศษเสี้ยวของความทรงจำพันปีที่ยังถูกผนึกอยู่“...มังกรตื่นแล้ว”เสียงของเอลิอานดังขึ้นข้างตัวฉัน เขามีบาดแผลที่ไหล่ แต่ยังคงยืนมั่น ดาบเวทยังคงเรืองแสงอยู่ในมือเซรีฟิน่าเงยหน้าขึ้นมองเนรูไซร์ที่กำลังอาละวาด ดวงตาของนางเป็นประกายเรืองแสงสีม่วงเข้ม พลังเงาดำแผ่ออกจากร่างอย่างบ้าคลั่ง“ใจเย็น…ที่รักข
แสงจากไพ่ทาโรห์ใบสุดท้าย— “The Star” ลอยขึ้นเหนือฝ่ามือฉัน มันส่องประกายสีเงินอ่อน กระเพื่อมช้า ๆ ไปตามแรงเวทจากแท่นศิลาเบื้องล่างณ วินาทีนั้น…โลกทั้งใบคล้ายถูกแช่แข็งลงชั่วขณะ รอบกายเงียบงันราวกับกาลเวลาเองก็หยุดหายใจฉันยืนข้างหลงอวิ๋น มือของเราประสานกันแนบแน่น พลังเวทของเราค่อย ๆ ไหลซึมผ่านปลายนิ้ว—หลอมรวมกันเป็นสายใยเรืองแสงที่โยงถึงจิตวิญญาณเสียงหัวใจของเขา...ประสานกับจังหวะหัวใจของฉันอย่างไร้รอยต่อ“จงผนึกซากจันทรา…”เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นจากริมฝีปากของเขา แสงเวทสีเยือกแข็งเริ่มเรืองขึ้นจากปลายนิ้ว ค่อย ๆ ลากเป็นเส้นเวทรอบแท่นกลาง ลวดลายเวทพันกันวนซ้อน กลายเป็น ‘อักขระมังกรพันธะ’ โบราณ—อักขระที่ไม่มีผู้ใดยุคนี้อ่านออก…นอกจากเขาเพียงผู้เดียวฉันหลับตาลง ปล่อยให้จิตเงียบลงจนหมด เหลือเพียงหนึ่งเดียว—ภาพของเขาที่ชัดเจนที่สุดในใจเส้นเวทวนทบซ้อนกันเป็นรูป ‘อักขระมังกรพันธะ’ ซึ่งไม่เคยมีใครในยุคนี้อ่านออกได้นอกจากเขา“ด้วยเส้นชะตาที่ผูกพัน…”“ด้วยหัวใจที่มิได้เลือกเพียงชาตินี้…”“จงคื
ลมหิมะยามเช้าเอื่อยพัดผ่านช่องหน้าต่าง แสงอ่อนจากผลึกเวทสีเงินวาวสาดลงบนผืนพรมขนสัตว์สีเทาอ่อนที่ปูอยู่กลางห้อง ฉันยืนนิ่งอยู่หน้ากระจกทรงสูง บิดตัวน้อย ๆ ให้มั่นใจว่าเกราะเวทเบาเข้ารูปสีขาวเงินที่สวมอยู่แนบตัวพอดีทุกส่วนสายคาดเอวสีเทาอ่อนปักลายจันทร์เสี้ยวไขว้ทับด้านหน้า ผ้าคลุมยาวสีเงินชายผ้าคลุมยาวจนแตะข้อเท้า พาดจากไหล่ซ้ายลงไปด้านหลังอย่างสง่างาม ถุงมือเวทสีขาวไข่มุกสวมเฉพาะมือขวา เพื่อเปิดการสัมผัสเวทร่วม และปลายผมของฉันถูกรวบด้วยปิ่นเวทผลึกสีฟ้า...ที่เขาเป็นคนสวมให้ฉันเมื่อคืน...แค่คิดถึงสัมผัสของเขาบนเส้นผม ฉันก็เผลอยิ้มเสียงขยับผ้าเบา ๆ ด้านหลังทำให้ฉันหันกลับไปมอง—ภาพที่เห็นคือเขา...หลงอวิ๋นกำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะไม้แกะสลัก จัดเกราะชิ้นสุดท้ายเข้าที่อย่างเงียบ ๆเขาสวมเสื้อคลุมเวทชั้นในสีดำแนบตัว พาดทับด้วยเกราะหน้าอกสีเงินเข้มที่สลักอักขระเวทน้ำแข็ง และเสื้อคลุมสีเทาน้ำแข็งชายยาวลากพื้น ด้านในเป็นเส้นด้ายเวทสีฟ้าประกายปลอกแขนและถุงมือเวทสีน้ำเงินเข้มแนบข้อมือ และผ้าคาดเอวปักตราประจำตระกูลมังกรน้ำแข็งทับด้วยดาบประจำตัวสีเงิ
หลงอวิ๋นกวาดสายตามองไปรอบห้องโถงประชุม ดวงตาสีฟ้าของเขานิ่งลึก ยากจะคาดเดาได้ว่าภายในใจเขากำลังสั่นไหวเพียงใด“มีผู้ใดสงสัยในแผนหรือไม่”น้ำเสียงของเขาดังชัดในห้องประชุมหินน้ำแข็ง ความเงียบโรยตัวลงอีกครั้ง ราวกับแม้แต่ลมหายใจก็ลังเลที่จะดังขึ้นแม่ทัพเถาอู่ขยับตัวเล็กน้อย แต่เพียงแค่พยักหน้า ก่อนกล่าวเสียงหนักแน่น“กองกำลังพร้อมแล้วพะยะค่ะ ไม่มีข้อสงสัยใด”เจิ้งอู่ที่ยืนอยู่ใกล้แผนภาพเวทบนโต๊ะเอ่ยขึ้นเสริม“กองรบแนวหน้าจะเริ่มเคลื่อนพลล่วงหน้าในคืนนี้ ส่วนหน่วยซึมลึกผ่านอุโมงค์ จะเริ่มลงจุดตามแผนตั้งแต่ยามก่อนรุ่งอรุณ”หลงอวิ๋นพยักหน้า ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงต่ำเยือกเย็น—แต่มั่นคง“ถ้าแผนหลักล้มเหลว…”เขาหยุดมองหน้าทุกคนทีละคน—รวมถึงฉัน“แผนสำรองคือการเร่ง ‘พันธะผนึก’ ระหว่างข้ากับเอลาเรียทันที”“นั่นจะทำให้พลังของเราเชื่อมถึงกันได้ลึกยิ่งขึ้น แม้จะยังไม่สมบูรณ์ แต่พลังสั่นสะเทือนของข้าอาจทำลายแท่นเวทก่อนมันจะกลืนข้า”เสียงฮือฮาเบา ๆ ดังขึ้นจากมุมแม่ทัพสายเวท แต่ก็เงียบลงทันทีเมื่อหลงอวิ๋นปรายตามอง
ห้องประชุมเงียบไปอีกครั้งความกล้าของฉันอาจดูบ้าบิ่นในสายตาใครหลายคนแต่ไม่มีใครรู้...ว่าหัวใจฉันมันดื้อแค่ไหนแล้วทันใดนั้นเอง—“ดูเหมือนการประชุมจะเข้มข้นขึ้นนะ…”เสียงทุ้มต่ำและเรียบนิ่งดังขึ้นจากประตูด้านในบานประตูน้ำแข็งที่ควรจะถูกผนึกไว้ด้วยเวทรุนแรง…กลับเปิดออกอย่างไร้เสียง ด้วยแรงเวทที่หนักแน่นแต่แผ่วเบาเงาร่างสูงระหงในชุดคลุมดำล้วนก้าวเข้ามาอย่างสงบนิ่งผ้าคลุมของเขาทอดยาวสะบัดเบา ๆ กับพื้นหินเย็นเยียบ ปักลายมังกรดำด้วยด้ายเงินวาววับ เงามันราวกับสะท้อนแสงจากห้วงอเวจีต่างหูข้างเดียวที่เขาสวมไว้สะท้อนแสงเทียนเป็นประกาย...และดวงตาสีแดงเข้มราวเถ้าถ่านจับจ้องมาที่ฉัน—เพียงคนเดียว“เจ้าช่างกล้าจริง ๆ ...เจ้ามนุษย์น้อย”ไคเซอร์ ดราโคนิส—องค์ชายดำแห่งแดนเหนือเขาก้าวผ่านเหล่าแม่ทัพอย่างไม่แม้แต่จะปรายตามองใคร ร่างสูงสง่าของเขาหยุดลงหน้าฉัน พร้อมแรงกดดันที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ทั่วห้อง“อย่าได้หลงคิดว่า