ถนนสายเช้ายังคงว่างเปล่า มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวลอดผ่านตรอกแคบ ๆ ที่ทอดยาวเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด ฉันเร่งก้าวเท้าไปตามทาง ลมหายใจเปลี่ยนเป็นไอขาวลอยวูบวาบในอากาศหนาวเหน็บ ทั้งที่ปฏิทินบอกว่ากำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วแท้ ๆ
มือข้างหนึ่งกอดกระเป๋าส่งอาหารแน่น ขณะที่อีกข้างกำเสื้อแจ็กเก็ตไว้แน่นเพื่อกันลมที่เย็นเฉียบแทงทะลุเข้ามาในทุกอณูผิว
‘Omnibite...นั่นไง’
ฉันหยุดยืนหน้าร้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง — มันดูธรรมดาจนน่าเหลือเชื่อว่าที่นี่คือศูนย์กลางการส่งอาหารทะลุมิติ
ป้ายหน้าร้านเป็นกระจกสีดำเรียบลื่น ไม่มีโลโก้ ไม่มีชื่อร้าน ไม่มีแม้แต่ตัวอักษรใด ๆ ที่บอกว่านี่คืออะไร นอกจากเส้นสายแสงเงินบางเบาที่ไหลวูบไหวไปมาใต้ผิวกระจก ราวกับเป็นลมหายใจของบางสิ่งที่หลับใหลอยู่ภายใน
แสงนั้นสั่นระริก เหมือนเส้นทางของแม่น้ำบนท้องฟ้า พริบพรายอย่างเงียบงันในยามเช้ามืด
ฉันกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ ก่อนจะยื่นมือออกไปผลักประตูกระจกเบา ๆ —
ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสบานประตู โลกทั้งใบก็เหมือนพลิกตัวไปอีกมิติหนึ่ง
ประตูเปิดออกอย่างไร้เสียง
แสงสีเงินจาง ๆ พร่างพรายออกมา
และทันทีที่ก้าวข้ามธรณีประตู...
"ยินดีต้อนรับสู่ Omnibite จ้าาา~!"
เสียงใส ๆ ดังขึ้นกลางอากาศ ทำเอาฉันสะดุ้งเล็กน้อย
ฉันกวาดตามองรอบตัวอย่างระแวดระวัง — ห้องโถงกว้างโล่ง ทว่าผนังกลับดูเหมือนไม่มีขอบเขตแน่นอน ลวดลายแสงสีเงินบนพื้นและเพดานไหลเคลื่อนไหวไปช้า ๆ ราวกับคลื่นทะเลในคืนเดือนมืด
แล้วทันใดนั้น ร่างโฮโลแกรมก็กะพริบขึ้นตรงหน้าฉัน
เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ใส่เสื้อยืดตัวโคร่งสีเทา ลวดลายบนเสื้อเป็นภาพชามราเมนใหญ่โตที่มีเส้นราเมนเด้งดึ๋งลอยออกมาจากถ้วย — หน้าตาขี้เล่นเสียจนชวนหัวเราะ
บนอกเสื้อมีป้ายชื่อเรืองแสงเป็นตัวหนังสือคันจิประหลาด ๆ ที่แปลความได้ว่า "พี่ยำ" พร้อมกับไอคอนยิ้มแฉ่งข้าง ๆ
"พี่ยำ? ..." ฉันกะพริบตาปริบ ๆ พึมพำอย่างงุนงง
"ใช่จ้า พี่ยำเอง!"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงสดใสราวกับนกกระจิบ พร้อมทั้งชูสองนิ้วเป็นสัญลักษณ์ V อย่างร่าเริง
"ระบบ AI อัจฉริยะ ประจำ Omnibite คนเดียว คนเดิม ไม่มีสำรอง!"
เขาหัวเราะเสียงใส ก่อนจะหมุนรอบตัวเองหนึ่งทีอย่างโอเวอร์แอ็กติ้งจนเส้นแสงบนพื้นสะท้อนกับร่างโฮโลแกรมวูบวาบไปหมด
พี่ยำดูเหมือนจะไม่รู้จักคำว่าความเครียดเลยสักนิด รอยยิ้มกว้างเกินจริงของเขาเหมือนจะฉีกจนสุดใบหน้า
แต่ลึก ๆ ในใจฉันรู้สึกได้ถึงบางอย่าง...
บางอย่างที่ไม่ใช่แค่ "ความน่ารัก" ธรรมดา...
"ขอสแกนตัวตนหน่อยนะจ๊ะ~"
เสียงใส ๆ ของพี่ยำดังขึ้นไม่ทันขาดคำ
ก่อนที่ฉันจะได้เอ่ยอะไรตอบ แสงสีฟ้าอ่อน ๆ ก็พุ่งวูบผ่านตัวฉันไปเหมือนแถบเลเซอร์สแกนอย่างรวดเร็ว
[ยืนยันตัวตน: เอลาเรีย เวลเลนไฮม์]
[ออเดอร์ที่ได้รับ: ราเมนเพลิงจันทร์ลาวา]
[สถานะ: พร้อมจัดส่ง]
ข้อความเรืองแสงลอยขึ้นกลางอากาศตรงหน้า สว่างชัดจนฉันต้องกะพริบตาไล่แสง
"โอ้โห...เธอกดรับออเดอร์สุดหินเลยนะเนี่ย!"
พี่ยำยิ้มกว้างจนตาโค้งเป็นเสี้ยวพระจันทร์ มือหนึ่งท้าวเอว มืออีกข้างชูนิ้วโป้งอย่างสุดพลัง
ฉันยังไม่แน่ใจนักว่าควรหัวเราะ หรือควรกังวลกันแน่
"เอ่อ...แล้วต้องไปส่งที่ไหนเหรอคะ?"
ฉันถามอย่างไม่แน่ใจ พลางเหลือบมองประตูหลังร้านที่ดูเหมือนไม่มีอะไรพิเศษเลยนอกจากเป็นบานไม้ธรรมดาทาสีเทาเก่า ๆ
"ง่ายมากเลยจ้า!" พี่ยำทำมือเป็นรูปตัว L แล้วดีดขึ้นเป็นนิ้วโป้งอย่างร่าเริง
"แค่เดินไปที่ประตูหลังร้าน...เปิดมัน แล้วเดินตรงไปโลด!"
ฉันเลิกคิ้วสูง ความรู้สึกขนลุกซ่าเริ่มก่อตัวขึ้นที่ต้นคอ
"...มันจะไม่เกิดอะไรแปลก ๆ ใช่ไหมคะ?"
"รับประกันความปลอดภัย 90%!" พี่ยำพูดเสียงใส ตบอกตัวเองเบา ๆ ราวกับจะย้ำความมั่นใจ
แล้วก็เสริมเสียงเบา ๆ จนแทบไม่ได้ยิน
"...ถ้าไม่เดินตกหลุมอากาศกลางทางนะจ๊ะ~"
ฉันกลอกตาอย่างเหนื่อยใจ แต่ก็อดยิ้มขำกับท่าทางเกินจริงของเขาไม่ได้
"แล้วนี่...?" ฉันชี้ไปที่เสื้อแจ็กเก็ตสีเงินมันวาวกับกางเกงหนา ๆ ที่พี่ยำยื่นมาให้
"ชุดกันหนาวไฮเทคจ้า!" พี่ยำตอบอย่างร่าเริง พลางกะพริบตาโฮโลแกรมวิ้ง ๆ
"กันลม กันหนาว กันเวทมนตร์! เหมาะสำหรับทุกสภาพอากาศข้ามมิติ! ใส่เถอะ รับรองไม่แข็งตายกลางทาง~"
ฉันถอนหายใจยาวอย่างยอมแพ้ รับชุดจากเขามา
เสื้อแจ็กเก็ตสีเงินอ่อนเนื้อผ้าเงางามนั้นเบาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่พอลองสัมผัส ก็รู้สึกได้ถึงชั้นผ้าซ้อนกันแน่นหนาเหมือนรังไหม ชุดนี้ถูกออกแบบให้แนบกระชับไปกับร่างกายโดยไม่บีบรัด เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วแม้จะต้องวิ่งฝ่าหิมะหรือปีนข้ามซากปรักหักพัง
กางเกงกันหนาวเข้าชุดกัน ตัดเย็บด้วยผ้าเทคนิคอลล้ำยุค เคลือบเส้นใยป้องกันเวทมนตร์โดยเฉพาะ ผิวสัมผัสเหมือนขนนกผสานโลหะเบา ๆ อ่อนนุ่มแต่แข็งแรง พร้อมรองเท้าบูทเบาเป็นพิเศษที่ยึดเกาะพื้นได้แม้กระทั่งน้ำแข็งลื่น ๆ
เมื่อสวมใส่เสร็จ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นนักผจญภัยจากโลกไซไฟ — ทั้งเบา ทั้งอบอุ่น ทั้งพร้อมสู้กับพายุหิมะที่ไม่รู้จะโหมกระหน่ำมาจากทิศไหน
ฉันคว้ากล่องอาหารที่เพิ่งลอยมาเข้ามือ มันเป็นกล่องขนาดพอดีมือ ผิวเรียบลื่น มีเส้นแสงสีทองอ่อนพาดผ่านผิวด้านบน กล่องเปล่งความร้อนอบอุ่นออกมาเบา ๆ พอให้รู้สึกว่าด้านในยังรักษาอุณหภูมิอย่างดี
แม้กล่องจะปิดสนิท แต่กลิ่นราเมนหอมกรุ่นก็ยังเล็ดลอดออกมา อบอวลไปทั่วจนทำให้ท้องของฉันร้องเสียงดังจนน่าอาย
พี่ยำยิ้มแฉ่ง โบกมือไปมาอย่างกับเจ้าหน้าที่ส่งตัวนักสำรวจไปดาวใหม่
"โชคดีนะจ๊ะน้อง~!"
ฉันสูดหายใจลึก รวบรวมความกล้า แล้วก้าวไปยังประตูหลังร้าน
มือสั่นเบา ๆ ขณะจับลูกบิดที่เย็นเฉียบอย่างกับมันถูกแช่แข็งไว้เป็นร้อยปี ปลายนิ้วชาไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่ฉันจะตั้งสติ
"...เอาน่า เอลาเรีย เธอเคยแย่กว่านี้มาแล้ว..."
ฉันกระซิบให้กำลังใจตัวเองเสียงเบา ๆ
แล้วหมุนลูกบิด
กึก—
บานประตูค่อย ๆ เปิดออก
ลมเย็นยะเยือกกรูกระหน่ำเข้ามาแทบทำให้ฉันเซถลาไปข้างหลัง
ข้างหน้า...
ไม่ใช่ซอยหลังร้านที่ฉันคาดหวังเอาไว้
แต่เป็น...
ทุ่งหิมะขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา
แสงสีฟ้าจาง ๆ จากท้องฟ้าหม่นสาดลงบนผืนหิมะที่ไม่มีที่สิ้นสุด หิมะโปรยปรายลงมาราวกับละอองน้ำแข็งเล็ก ๆ ที่สะท้อนแสงระยิบระยับเหมือนดาวตก
ท่ามกลางความว่างเปล่านั้น มีแต่เสียงลมพัดหวิว กับอากาศหนาวเย็นที่กัดกินเข้ามาจนชั้นขนแกะในชุดกันหนาวสะท้านเบา ๆ
ฉันยกมือบังหน้า สายตาเพ่งมองหาจุดหมาย แต่มีเพียงม่านหิมะขาวโพลนที่ทอดยาวออกไป — เหมือนโลกทั้งใบกลืนหายไปในความหนาวนี้
ข้างหลัง คือบานประตูของ Omnibite ที่ยังค้างอยู่ในอากาศ — ครึ่งหนึ่งในโลกเก่า ครึ่งหนึ่งในโลกใหม่
ข้างหน้า คือการเดินทางที่ไม่มีแผนที่ และออเดอร์ราเมนที่กำลังอุ่นมือฉันไว้เบา ๆ
ขณะที่ฉันยืนตะลึง และกำลังจะก้าวพ้นธรณีประตูไป พี่ยำก็ร้องเรียกขึ้นมาเสียงใส
"อ๊ะ ๆๆๆ เดี๋ยวสิจ๊ะน้อง! เกือบลืมของสำคัญไปแล้ว~!"
ฉันชะงักเท้า หันกลับไปมองทันที
พี่ยำยิ้มกว้าง แล้วล้วงมือลงไปในกระเป๋าโฮโลแกรมด้านหลังที่ฉันไม่ทันสังเกตเห็นมาก่อน ก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างออกมาแล้วโยนมาให้
มันคือ กระเป๋าแคปซูลขนาดเล็ก — ขนาดไม่ใหญ่ไปกว่ากำปั้น รูปทรงรี ทรงคล้ายเมล็ดถั่วลันเตาเรืองแสงสีเงินอ่อน
ฉันยื่นมือรับไว้โดยสัญชาตญาณ น้ำหนักมันเบาจนแทบไม่รู้สึกอะไรเลย
"ของจำเป็นจ้า!" พี่ยำพูดเสียงสดใส
"ในนั้นมีของที่เธออาจต้องใช้ตอนฉุกเฉิน เช่น
• สเปรย์ป้องกันมอนสเตอร์ — ฉีดแล้วศัตรูแสบตา หลงทิศหลงทาง
• เจลปฐมพยาบาลพิเศษ — ทาแล้วสมานบาดแผลเบื้องต้นทันที
• แผ่นพลังงานฉุกเฉิน — ทานแล้วฟื้นพลังงานได้ทันทีภายใน 10 นาที!"
เขายกนิ้วขึ้นนับพลางยิ้มกว้างตลอดเวลาเหมือนกำลังขายของอยู่
"แล้วก็...สำคัญสุด ๆ"
พี่ยำล้วงลงไปอีกครั้ง คราวนี้หยิบอุปกรณ์อีกชิ้นออกมา มันเป็นเหมือน มือถือพกพาขนาดเล็ก ดีไซน์แปลกตา ทรงสี่เหลี่ยมมน ๆ สีดำด้าน มีหน้าจอโปร่งใส และเส้นแสงสีรุ้งวูบไหวไปมาตามขอบเครื่อง
"นี่คือ OmniLink — มือถือติดต่อข้ามมิติ!"
พี่ยำกล่าวด้วยน้ำเสียงภูมิใจสุด ๆ
"โทรศัพท์ธรรมดาน่ะใช้ไม่ได้หรอกนะในมิติอื่น ๆ เพราะคลื่นสัญญาณมันไม่เหมือนกัน~ แต่ตัวนี้ติดต่อได้ทุกที่ ทุกมิติ ทุกความถี่! โทรเข้า-ออกได้ตลอด แถมยังมีระบบนำทางฉุกเฉินกับส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือได้ด้วย!"
พี่ยำยื่น OmniLink ให้ฉัน
"พี่ยำเองก็จะอยู่ในรายชื่อด่วนพิเศษด้วยนะ! ถ้าเจออะไรฉุกเฉิน กดปุ่มแดงปุ๊บ พี่ยำจะโผล่มาในรูปโฮโลแกรมเพื่อช่วยเหลือทันทีเลย~"
ฉันรับมันมาไว้ในมือ น้ำหนักกำลังพอดี อุ่นเล็ก ๆ ราวกับมันมีหัวใจเต้นอยู่ภายใน
"โอเค...ขอบคุณค่ะ"
ฉันพึมพำเบา ๆ รู้สึกว่ามีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย
"สู้ ๆ นะจ๊ะน้องเอลาเรีย!"
พี่ยำชูสองนิ้วเป็นสัญญาณ V ให้อีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มกว้างที่เหมือนจะสว่างกว่าแสงของทุ่งหิมะข้างหน้าเสียอีก
ฉันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด กระชับกระเป๋าแคปซูลห้อยข้างเอว และเก็บ OmniLink ไว้ในช่องเก็บพิเศษบนแขนเสื้อชุดกันหนาว
คราวนี้...ฉันพร้อมแล้วจริง ๆ ก้าวแรกของการเดินทาง... สู่โลกที่ไม่รู้จัก กำลังเริ่มต้นขึ้น
'โอเค...เดินตรงไปโลด...'
ฉันกัดฟันแน่น กระชับกระเป๋าอาหาร แล้วก้าวออกไปสู่ทุ่งหิมะแห่งมิติใหม่
ลมหิมะพัดกรูอย่างบ้าคลั่ง ใต้ท้องฟ้าสีหม่นเทาอมฟ้า
เบื้องไกล เหนือม่านหิมะขาว — ฉันมองเห็นเงาร่างของ วังน้ำแข็งมหึมา ที่ตั้งตระหง่านกลางขอบฟ้าหัวใจฉันเต้นตึกตักแรงผิดปกติ ทั้งจากความกลัว และความตื่นเต้นปนกัน
"...ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ" ฉันพึมพำกับตัวเอง พลางก้าวเท้าแรกออกจากประตู —
เข้าสู่โลกที่หิมะไม่มีวันละลาย...
❄️❄️❄️❄️❄️
ท่ามกลางทุ่งหิมะขาวโพลนที่แผ่กว้างสุดลูกหูลูกตา ลมหิมะเย็นเฉียบพัดกรูใส่หน้าแบบไม่ปรานีเกล็ดหิมะละเอียดปลิวว่อนอยู่ในอากาศหนาแน่นจนแทบมองไม่เห็นเส้นขอบฟ้า ทุกย่างก้าวที่ฉันเดินเหมือนเหยียบลงไปในมหาสมุทรเย็นเยียบที่ไม่รู้จุดจบ"ฮ่าาา...อะไรกันเนี่ย..."ฉันกัดฟันแน่น เสียงลมหายใจของตัวเองกลายเป็นไอขาวพวยพุ่งออกมาเป็นจังหวะ ยกแขนปิดหน้าบังลม และก้าวเท้าออกไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นที่รวบรวมมาแทบหมดทั้งชีวิตข้างหลัง —ประตูเชื่อมต่อกับโลกเดิม ที่ครั้งหนึ่งยังมองเห็นเป็นบานประตูไม้ธรรมดา บัดนี้ค่อย ๆ เลือนหายไปเหมือนเงาฝันจาง ๆ ถูกลบหายไปกับหิมะเหมือนไม่เคยมีอยู่เลยตั้งแต่แรกทิ้งฉันไว้กลางโลกที่ไม่รู้จักตอนนี้...ฉันมีแค่ตัวเอง กับ...กล่องราเมนที่อบอุ่นในมือเท่านั้นมือข้างที่กอดกล่องไว้แน่นรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นเล็ก ๆมันเหมือนจุดไฟเล็ก ๆ ในทะเลน้ำแข็งนี้ กลิ่นหอมกรุ่นที่แทรกออกมาจากกล่อง ยังช่วยเตือนว่าฉันมีภารกิจ — มีเป้าหมาย — และยังมีอะไรบางอย่างที่ต้องไปให้ถึงเสียงลมหิมะพัดหวิวดังครืนครางอยู่รอบตัว — มันไม่ใช่แค่เสียงลมธรรมดา แต่ฟังดูเหมือนเสียงคำรามอันแผ่วเบาของบางสิ่งที่ซ่อน
ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มยังคงจ้องฉันนิ่ง ๆ ไม่ไหวติง สายตาของเขาเย็นเยียบ ปราศจากอารมณ์เหมือนผืนน้ำแข็งโบราณที่ไม่เคยละลายตลอดกาลฉันยืนเกร็งอยู่ท่ามกลางลมหิมะที่กระหน่ำใส่ราวกับจะพัดฉันปลิวได้ทุกเมื่อกอดกล่องราเมนแนบอกไว้แน่นจนแทบจะฝังเข้าไปในร่าง ราวกับมันคือโล่ป้องกันตัวสุดท้ายที่ฉันมีในโลกใบนี้'ยิ้มเข้าไว้เอลาเรีย...อย่างน้อยก็ตายอย่างมีมารยาท...'ฉันพยายามยิ้มแหย ๆ แต่ริมฝีปากสั่นระริกจนแทบเก็บไม่อยู่ ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจได้ว่าจะหนีหรือสู้...เสียงฝีเท้าหนัก ๆ หลายคู่ก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงจากด้านหลังวังน้ำแข็งกึก กึก กึก กึก!ชายในชุดเกราะสีเงินวาววับวิ่งกรูออกมา เสียงเกราะกระทบกันดังแกรก ๆ ลั่นสะท้อนในอากาศเย็นจัดพวกเขาล้อมฉันไว้ในพริบตา ท่าทางแข็งกร้าวเหมือนหินน้ำแข็งที่ไม่มีวันแตก"บุกรุกพื้นที่หวงห้าม!"เสียงหนึ่งตะโกนกร้าว"จับตัวไว้!"อีกเสียงตะโกนซ้ำ ขณะที่มือข้างหนึ่งหยิบเชือกเวทย์ที่เรืองแสงสีฟ้าอ่อนออกมา"หาาาา?! เดี๋ยว ๆ ฉันแค่ส่งราเมนนะ!"ฉันโบกไม้โบกมือรัว ๆ จนกล่องราเมนแทบหลุดจากมือ พยายามถอยหลังหนีโดยไม่คิดชีวิตแต่พื้นหิมะลื่นอย่างร้ายกาจ เท้าที่จมหายอยู่ในห
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของฉันก้าวย่ำลงบนหิมะกรอบกรับในความเงียบเสียงนั้นเล็กน้อยนัก เมื่อเทียบกับความกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตของลานหิมะที่แผ่ขยายอยู่รอบตัวฉันกอดกระเป๋าส่งอาหารแนบตัวแน่น เดินตามหลังชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีครามเข้มที่ปลิวลู่ตามแรงลมเบา ๆ อย่างสง่างามร่างสูงโปร่งของเขาเป็นเหมือนเส้นทางนำทางเดียวในโลกที่ไร้จุดหมายนี้ลมหิมะที่เคยเกรี้ยวกราด ราวกับโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่ บัดนี้กลับสงบนิ่งอย่างประหลาด ราวกับธรรมชาติเองยังยอมสยบให้กับการปรากฏตัวของเขาหลงอวิ๋น — ฉันยังไม่รู้จักชื่อจริงของเขาในตอนนี้แต่ในใจของฉัน...ได้ตั้งชื่อให้เขาเงียบ ๆ ว่า "เจ้าชายน้ำแข็ง"เมื่อก้าวผ่านประตูวังเข้าไป...ฉันเผลออ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัวภายในวังน้ำแข็ง...ไม่ได้เยือกเย็นน่ากลัวเหมือนที่ฉันเคยจินตนาการเอาไว้เลยตรงกันข้าม — มันสวยงามจนแทบหยุดหายใจห้องโถงใหญ่เบื้องหน้าสูงเสียดเพดาน ราวกับแผ่นฟ้าถูกยกมาครอบวังแห่งนี้เสาหินน้ำแข็งบริสุทธิ์ตั้งตระหง่านแต่ละต้นแกะสลักลวดลายอย่างประณีต —มังกรน้ำแข็ง พันตัวลอยละลิ่วขึ้นไปสู่ความสูง ราวกับจะทะยานสู่ท้องฟ้าเพดานประดับด้วย คริสตัลน้ำแข็งนับพันแต่ละเม็ดเจียระไน
วังน้ำแข็งเบื้องหน้าเงียบสงบเหมือนความฝันผนังน้ำแข็งใสราวกระจกสะท้อนแสงคริสตัลระยิบระยับ ดั่งหมื่นดวงดาวแขวนอยู่ในคืนหนาวแต่หัวใจของฉัน...กำลังเต้นสับสนและร้อนรุ่มอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนหลังจากส่งราเมนเสร็จ ฉันคิดว่างานจบแล้วแค่กดเปิดระบบ Omnibite แล้วกลับบ้านเหมือนทุกครั้งฉันกวาดนิ้วลงบนหน้าจอนาฬิกาอย่างคล่องแคล่วด้วยความเคยชิน ใจเฝ้าฝันถึงห้องเช่าอันคับแคบ ผ้าห่มขาด ๆ และกลิ่นกาแฟที่เก่าจนขมขื่นแต่...[Error: ไม่สามารถเชื่อมต่อมิติปกติ][ระบบเสียหาย: โปรดรอการรีเซ็ตพลังงานใน 7 วัน]ฉันกะพริบตาปริบ ๆมองข้อความนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับมันจะเปลี่ยนคำตอบได้ถ้าฉันจ้องนานพอ“...หา?”มือไม้เย็นเฉียบจนแทบไม่รู้ตัวฉันกดรีเซ็ต กดสแกน กดทุกอย่างที่จำได้จากคู่มือฉุกเฉิน แต่ไม่ว่าอย่างไร...ข้อความเดิมก็ยังคงสว่างอยู่บนหน้าจอ[คุณติดอยู่ในโลกนี้ 7 วัน]“...ฉันติดอยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอ?”เสียงตัวเองเบาเสียย
เช้าวันใหม่ในวังน้ำแข็งเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด แสงเงินบาง ๆ จากดวงอาทิตย์ที่ไม่เคยส่องแรงเกินไปในดินแดนหิมะ ทอผ่านหน้าต่างน้ำแข็งหนาเป็นลำแสงอ่อน ๆ คลี่ตัวลงบนพื้นพรมขนสัตว์หนานุ่มฉันขยับตัวใต้ผ้าห่มขนสัตว์ สูดกลิ่นอุ่น ๆ ของไฟเวทย์ที่ยังคงลุกโชนในเตาผิงก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นอย่างสุภาพ“คุณผู้มาเยือน...”เสียงอ่อนโยนของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากหลังบานประตู“ข้ามีนามว่า เสี่ยวหนิง มาดูแลท่านตามบัญชาขององค์ชาย”ฉันสะดุ้งเล็กน้อย รีบลุกขึ้นจากเตียง กอดผ้าห่มขนสัตว์แนบอกด้วยความเคยชินของคนแปลกที่แล้วตอบเสียงเบา ๆ“เข้ามาได้ค่ะ”บานประตูเปิดออกเบา ๆ อย่างนุ่มนวลหญิงสาวร่างเล็กในชุดสีขาวสะอาดก้าวเข้ามาใบหน้าของเธออ่อนหวาน ดวงตากลมโค้งรับรอยยิ้มสุภาพ ทำให้บรรยากาศแข็งกร้าวของวังน้ำแข็งดูนุ่มนวลลงทันทีที่เธอปรากฏตัว“ข้ามีหน้าที่นำอาหาร เครื่องใช้ และช่วยดูแลท่านระหว่างที่พักอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ”เสี่ยวหน
เสียงหัวเราะเยาะ... เสียงซุบซิบกระซิบกระซาบ... และเสียงก่นด่าอันแสบแก้วหู ดังก้องสะท้อนอยู่ในความฝันอันพร่าเลือนเอลาเรีย เวลเลนไฮม์ ยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางจัตุรัสเมืองเก่า ที่ครั้งหนึ่งเคยอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของขนมปังสดใหม่และเสียงหัวเราะของผู้คนที่แวะเวียนมาเยี่ยมชม ตลาดที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับกลายเป็นเวทีประจานเย้ยหยันเธอยืนอยู่ตรงนั้น ร่างกายสั่นสะท้านในเสื้อคลุมสีกรมท่าขาดรุ่งริ่ง ผมสีน้ำตาลเข้มแห้งกรอบปิดใบหน้าที่สวยสด สายลมหนาวกรูกราวพัดกระโชกจนชายเสื้อของเธอสะบัดฟาดไปมาเหมือนธงแห่งความพ่ายแพ้ผู้คนมากมายรายล้อมเธอเป็นวงกลม แววตาที่เคยมองเธอด้วยความเลื่อมใส บัดนี้กลับเปลี่ยนเป็นสายตาแข็งกร้าว เคลือบด้วยความโกรธและความผิดหวังโต๊ะไพ่ตัวเดิมที่เธอเคยนั่งประจำ ถูกพลิกคว่ำกลางลานหิน เสียงไม้กระแทกพื้นดังกึกก้อง ไพ่ทาโรต์สีสดปลิวกระจัดกระจายไปตามแรงลม ราวกับนกน้อยที่สิ้นแรงบิน พร็อพเวทมนตร์—ลูกแก้วพยากรณ์ กระดิ่งเงิน และเครื่องรางสีหม่น—กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น เหยียบย่ำจนแทบไม่เหลือสภาพแผ่นป้ายไม้ที่สลักคำว่า "เอลาเรีย เวลเลนไฮม์ - หมอดูผู้หยั่งรู้โชคชะตา" ถูกเหยียบซ้ำแล้
เช้าวันใหม่ในวังน้ำแข็งเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด แสงเงินบาง ๆ จากดวงอาทิตย์ที่ไม่เคยส่องแรงเกินไปในดินแดนหิมะ ทอผ่านหน้าต่างน้ำแข็งหนาเป็นลำแสงอ่อน ๆ คลี่ตัวลงบนพื้นพรมขนสัตว์หนานุ่มฉันขยับตัวใต้ผ้าห่มขนสัตว์ สูดกลิ่นอุ่น ๆ ของไฟเวทย์ที่ยังคงลุกโชนในเตาผิงก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นอย่างสุภาพ“คุณผู้มาเยือน...”เสียงอ่อนโยนของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากหลังบานประตู“ข้ามีนามว่า เสี่ยวหนิง มาดูแลท่านตามบัญชาขององค์ชาย”ฉันสะดุ้งเล็กน้อย รีบลุกขึ้นจากเตียง กอดผ้าห่มขนสัตว์แนบอกด้วยความเคยชินของคนแปลกที่แล้วตอบเสียงเบา ๆ“เข้ามาได้ค่ะ”บานประตูเปิดออกเบา ๆ อย่างนุ่มนวลหญิงสาวร่างเล็กในชุดสีขาวสะอาดก้าวเข้ามาใบหน้าของเธออ่อนหวาน ดวงตากลมโค้งรับรอยยิ้มสุภาพ ทำให้บรรยากาศแข็งกร้าวของวังน้ำแข็งดูนุ่มนวลลงทันทีที่เธอปรากฏตัว“ข้ามีหน้าที่นำอาหาร เครื่องใช้ และช่วยดูแลท่านระหว่างที่พักอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ”เสี่ยวหน
วังน้ำแข็งเบื้องหน้าเงียบสงบเหมือนความฝันผนังน้ำแข็งใสราวกระจกสะท้อนแสงคริสตัลระยิบระยับ ดั่งหมื่นดวงดาวแขวนอยู่ในคืนหนาวแต่หัวใจของฉัน...กำลังเต้นสับสนและร้อนรุ่มอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนหลังจากส่งราเมนเสร็จ ฉันคิดว่างานจบแล้วแค่กดเปิดระบบ Omnibite แล้วกลับบ้านเหมือนทุกครั้งฉันกวาดนิ้วลงบนหน้าจอนาฬิกาอย่างคล่องแคล่วด้วยความเคยชิน ใจเฝ้าฝันถึงห้องเช่าอันคับแคบ ผ้าห่มขาด ๆ และกลิ่นกาแฟที่เก่าจนขมขื่นแต่...[Error: ไม่สามารถเชื่อมต่อมิติปกติ][ระบบเสียหาย: โปรดรอการรีเซ็ตพลังงานใน 7 วัน]ฉันกะพริบตาปริบ ๆมองข้อความนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับมันจะเปลี่ยนคำตอบได้ถ้าฉันจ้องนานพอ“...หา?”มือไม้เย็นเฉียบจนแทบไม่รู้ตัวฉันกดรีเซ็ต กดสแกน กดทุกอย่างที่จำได้จากคู่มือฉุกเฉิน แต่ไม่ว่าอย่างไร...ข้อความเดิมก็ยังคงสว่างอยู่บนหน้าจอ[คุณติดอยู่ในโลกนี้ 7 วัน]“...ฉันติดอยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอ?”เสียงตัวเองเบาเสียย
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของฉันก้าวย่ำลงบนหิมะกรอบกรับในความเงียบเสียงนั้นเล็กน้อยนัก เมื่อเทียบกับความกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตของลานหิมะที่แผ่ขยายอยู่รอบตัวฉันกอดกระเป๋าส่งอาหารแนบตัวแน่น เดินตามหลังชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีครามเข้มที่ปลิวลู่ตามแรงลมเบา ๆ อย่างสง่างามร่างสูงโปร่งของเขาเป็นเหมือนเส้นทางนำทางเดียวในโลกที่ไร้จุดหมายนี้ลมหิมะที่เคยเกรี้ยวกราด ราวกับโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่ บัดนี้กลับสงบนิ่งอย่างประหลาด ราวกับธรรมชาติเองยังยอมสยบให้กับการปรากฏตัวของเขาหลงอวิ๋น — ฉันยังไม่รู้จักชื่อจริงของเขาในตอนนี้แต่ในใจของฉัน...ได้ตั้งชื่อให้เขาเงียบ ๆ ว่า "เจ้าชายน้ำแข็ง"เมื่อก้าวผ่านประตูวังเข้าไป...ฉันเผลออ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัวภายในวังน้ำแข็ง...ไม่ได้เยือกเย็นน่ากลัวเหมือนที่ฉันเคยจินตนาการเอาไว้เลยตรงกันข้าม — มันสวยงามจนแทบหยุดหายใจห้องโถงใหญ่เบื้องหน้าสูงเสียดเพดาน ราวกับแผ่นฟ้าถูกยกมาครอบวังแห่งนี้เสาหินน้ำแข็งบริสุทธิ์ตั้งตระหง่านแต่ละต้นแกะสลักลวดลายอย่างประณีต —มังกรน้ำแข็ง พันตัวลอยละลิ่วขึ้นไปสู่ความสูง ราวกับจะทะยานสู่ท้องฟ้าเพดานประดับด้วย คริสตัลน้ำแข็งนับพันแต่ละเม็ดเจียระไน
ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มยังคงจ้องฉันนิ่ง ๆ ไม่ไหวติง สายตาของเขาเย็นเยียบ ปราศจากอารมณ์เหมือนผืนน้ำแข็งโบราณที่ไม่เคยละลายตลอดกาลฉันยืนเกร็งอยู่ท่ามกลางลมหิมะที่กระหน่ำใส่ราวกับจะพัดฉันปลิวได้ทุกเมื่อกอดกล่องราเมนแนบอกไว้แน่นจนแทบจะฝังเข้าไปในร่าง ราวกับมันคือโล่ป้องกันตัวสุดท้ายที่ฉันมีในโลกใบนี้'ยิ้มเข้าไว้เอลาเรีย...อย่างน้อยก็ตายอย่างมีมารยาท...'ฉันพยายามยิ้มแหย ๆ แต่ริมฝีปากสั่นระริกจนแทบเก็บไม่อยู่ ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจได้ว่าจะหนีหรือสู้...เสียงฝีเท้าหนัก ๆ หลายคู่ก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงจากด้านหลังวังน้ำแข็งกึก กึก กึก กึก!ชายในชุดเกราะสีเงินวาววับวิ่งกรูออกมา เสียงเกราะกระทบกันดังแกรก ๆ ลั่นสะท้อนในอากาศเย็นจัดพวกเขาล้อมฉันไว้ในพริบตา ท่าทางแข็งกร้าวเหมือนหินน้ำแข็งที่ไม่มีวันแตก"บุกรุกพื้นที่หวงห้าม!"เสียงหนึ่งตะโกนกร้าว"จับตัวไว้!"อีกเสียงตะโกนซ้ำ ขณะที่มือข้างหนึ่งหยิบเชือกเวทย์ที่เรืองแสงสีฟ้าอ่อนออกมา"หาาาา?! เดี๋ยว ๆ ฉันแค่ส่งราเมนนะ!"ฉันโบกไม้โบกมือรัว ๆ จนกล่องราเมนแทบหลุดจากมือ พยายามถอยหลังหนีโดยไม่คิดชีวิตแต่พื้นหิมะลื่นอย่างร้ายกาจ เท้าที่จมหายอยู่ในห
ท่ามกลางทุ่งหิมะขาวโพลนที่แผ่กว้างสุดลูกหูลูกตา ลมหิมะเย็นเฉียบพัดกรูใส่หน้าแบบไม่ปรานีเกล็ดหิมะละเอียดปลิวว่อนอยู่ในอากาศหนาแน่นจนแทบมองไม่เห็นเส้นขอบฟ้า ทุกย่างก้าวที่ฉันเดินเหมือนเหยียบลงไปในมหาสมุทรเย็นเยียบที่ไม่รู้จุดจบ"ฮ่าาา...อะไรกันเนี่ย..."ฉันกัดฟันแน่น เสียงลมหายใจของตัวเองกลายเป็นไอขาวพวยพุ่งออกมาเป็นจังหวะ ยกแขนปิดหน้าบังลม และก้าวเท้าออกไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นที่รวบรวมมาแทบหมดทั้งชีวิตข้างหลัง —ประตูเชื่อมต่อกับโลกเดิม ที่ครั้งหนึ่งยังมองเห็นเป็นบานประตูไม้ธรรมดา บัดนี้ค่อย ๆ เลือนหายไปเหมือนเงาฝันจาง ๆ ถูกลบหายไปกับหิมะเหมือนไม่เคยมีอยู่เลยตั้งแต่แรกทิ้งฉันไว้กลางโลกที่ไม่รู้จักตอนนี้...ฉันมีแค่ตัวเอง กับ...กล่องราเมนที่อบอุ่นในมือเท่านั้นมือข้างที่กอดกล่องไว้แน่นรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นเล็ก ๆมันเหมือนจุดไฟเล็ก ๆ ในทะเลน้ำแข็งนี้ กลิ่นหอมกรุ่นที่แทรกออกมาจากกล่อง ยังช่วยเตือนว่าฉันมีภารกิจ — มีเป้าหมาย — และยังมีอะไรบางอย่างที่ต้องไปให้ถึงเสียงลมหิมะพัดหวิวดังครืนครางอยู่รอบตัว — มันไม่ใช่แค่เสียงลมธรรมดา แต่ฟังดูเหมือนเสียงคำรามอันแผ่วเบาของบางสิ่งที่ซ่อน
ถนนสายเช้ายังคงว่างเปล่า มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวลอดผ่านตรอกแคบ ๆ ที่ทอดยาวเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด ฉันเร่งก้าวเท้าไปตามทาง ลมหายใจเปลี่ยนเป็นไอขาวลอยวูบวาบในอากาศหนาวเหน็บ ทั้งที่ปฏิทินบอกว่ากำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วแท้ ๆมือข้างหนึ่งกอดกระเป๋าส่งอาหารแน่น ขณะที่อีกข้างกำเสื้อแจ็กเก็ตไว้แน่นเพื่อกันลมที่เย็นเฉียบแทงทะลุเข้ามาในทุกอณูผิว‘Omnibite...นั่นไง’ฉันหยุดยืนหน้าร้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง — มันดูธรรมดาจนน่าเหลือเชื่อว่าที่นี่คือศูนย์กลางการส่งอาหารทะลุมิติป้ายหน้าร้านเป็นกระจกสีดำเรียบลื่น ไม่มีโลโก้ ไม่มีชื่อร้าน ไม่มีแม้แต่ตัวอักษรใด ๆ ที่บอกว่านี่คืออะไร นอกจากเส้นสายแสงเงินบางเบาที่ไหลวูบไหวไปมาใต้ผิวกระจก ราวกับเป็นลมหายใจของบางสิ่งที่หลับใหลอยู่ภายในแสงนั้นสั่นระริก เหมือนเส้นทางของแม่น้ำบนท้องฟ้า พริบพรายอย่างเงียบงันในยามเช้ามืดฉันกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ ก่อนจะยื่นมือออกไปผลักประตูกระจกเบา ๆ —ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสบานประตู โลกทั้งใบก็เหมือนพลิกตัวไปอีกมิติหนึ่งประตูเปิดออกอย่างไร้เสียงแสงสีเงินจาง ๆ พร่างพรายออกมาและทันทีที่ก้าวข้ามธรณีประตู..."ยินดีต้อนรับสู่ Omnibite
เสียงหัวเราะเยาะ... เสียงซุบซิบกระซิบกระซาบ... และเสียงก่นด่าอันแสบแก้วหู ดังก้องสะท้อนอยู่ในความฝันอันพร่าเลือนเอลาเรีย เวลเลนไฮม์ ยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางจัตุรัสเมืองเก่า ที่ครั้งหนึ่งเคยอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของขนมปังสดใหม่และเสียงหัวเราะของผู้คนที่แวะเวียนมาเยี่ยมชม ตลาดที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับกลายเป็นเวทีประจานเย้ยหยันเธอยืนอยู่ตรงนั้น ร่างกายสั่นสะท้านในเสื้อคลุมสีกรมท่าขาดรุ่งริ่ง ผมสีน้ำตาลเข้มแห้งกรอบปิดใบหน้าที่สวยสด สายลมหนาวกรูกราวพัดกระโชกจนชายเสื้อของเธอสะบัดฟาดไปมาเหมือนธงแห่งความพ่ายแพ้ผู้คนมากมายรายล้อมเธอเป็นวงกลม แววตาที่เคยมองเธอด้วยความเลื่อมใส บัดนี้กลับเปลี่ยนเป็นสายตาแข็งกร้าว เคลือบด้วยความโกรธและความผิดหวังโต๊ะไพ่ตัวเดิมที่เธอเคยนั่งประจำ ถูกพลิกคว่ำกลางลานหิน เสียงไม้กระแทกพื้นดังกึกก้อง ไพ่ทาโรต์สีสดปลิวกระจัดกระจายไปตามแรงลม ราวกับนกน้อยที่สิ้นแรงบิน พร็อพเวทมนตร์—ลูกแก้วพยากรณ์ กระดิ่งเงิน และเครื่องรางสีหม่น—กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น เหยียบย่ำจนแทบไม่เหลือสภาพแผ่นป้ายไม้ที่สลักคำว่า "เอลาเรีย เวลเลนไฮม์ - หมอดูผู้หยั่งรู้โชคชะตา" ถูกเหยียบซ้ำแล้