ถนนสายเช้ายังคงว่างเปล่า มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวลอดผ่านตรอกแคบ ๆ ที่ทอดยาวเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด ฉันเร่งก้าวเท้าไปตามทาง ลมหายใจเปลี่ยนเป็นไอขาวลอยวูบวาบในอากาศหนาวเหน็บ ทั้งที่ปฏิทินบอกว่ากำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วแท้ ๆ
มือข้างหนึ่งกอดกระเป๋าส่งอาหารแน่น ขณะที่อีกข้างกำเสื้อแจ็กเก็ตไว้แน่นเพื่อกันลมที่เย็นเฉียบแทงทะลุเข้ามาในทุกอณูผิว
‘Omnibite...นั่นไง’
ฉันหยุดยืนหน้าร้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง — มันดูธรรมดาจนน่าเหลือเชื่อว่าที่นี่คือศูนย์กลางการส่งอาหารทะลุมิติ
ป้ายหน้าร้านเป็นกระจกสีดำเรียบลื่น ไม่มีโลโก้ ไม่มีชื่อร้าน ไม่มีแม้แต่ตัวอักษรใด ๆ ที่บอกว่านี่คืออะไร นอกจากเส้นสายแสงเงินบางเบาที่ไหลวูบไหวไปมาใต้ผิวกระจก ราวกับเป็นลมหายใจของบางสิ่งที่หลับใหลอยู่ภายใน
แสงนั้นสั่นระริก เหมือนเส้นทางของแม่น้ำบนท้องฟ้า พริบพรายอย่างเงียบงันในยามเช้ามืด
ฉันกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ ก่อนจะยื่นมือออกไปผลักประตูกระจกเบา ๆ —
ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสบานประตู โลกทั้งใบก็เหมือนพลิกตัวไปอีกมิติหนึ่ง
ประตูเปิดออกอย่างไร้เสียง
แสงสีเงินจาง ๆ พร่างพรายออกมา
และทันทีที่ก้าวข้ามธรณีประตู...
"ยินดีต้อนรับสู่ Omnibite จ้าาา~!"
เสียงใส ๆ ดังขึ้นกลางอากาศ ทำเอาฉันสะดุ้งเล็กน้อย
ฉันกวาดตามองรอบตัวอย่างระแวดระวัง — ห้องโถงกว้างโล่ง ทว่าผนังกลับดูเหมือนไม่มีขอบเขตแน่นอน ลวดลายแสงสีเงินบนพื้นและเพดานไหลเคลื่อนไหวไปช้า ๆ ราวกับคลื่นทะเลในคืนเดือนมืด
แล้วทันใดนั้น ร่างโฮโลแกรมก็กะพริบขึ้นตรงหน้าฉัน
เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ใส่เสื้อยืดตัวโคร่งสีเทา ลวดลายบนเสื้อเป็นภาพชามราเมนใหญ่โตที่มีเส้นราเมนเด้งดึ๋งลอยออกมาจากถ้วย — หน้าตาขี้เล่นเสียจนชวนหัวเราะ
บนอกเสื้อมีป้ายชื่อเรืองแสงเป็นตัวหนังสือคันจิประหลาด ๆ ที่แปลความได้ว่า "พี่ยำ" พร้อมกับไอคอนยิ้มแฉ่งข้าง ๆ
"พี่ยำ? ..." ฉันกะพริบตาปริบ ๆ พึมพำอย่างงุนงง
"ใช่จ้า พี่ยำเอง!"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงสดใสราวกับนกกระจิบ พร้อมทั้งชูสองนิ้วเป็นสัญลักษณ์ V อย่างร่าเริง
"ระบบ AI อัจฉริยะ ประจำ Omnibite คนเดียว คนเดิม ไม่มีสำรอง!"
เขาหัวเราะเสียงใส ก่อนจะหมุนรอบตัวเองหนึ่งทีอย่างโอเวอร์แอ็กติ้งจนเส้นแสงบนพื้นสะท้อนกับร่างโฮโลแกรมวูบวาบไปหมด
พี่ยำดูเหมือนจะไม่รู้จักคำว่าความเครียดเลยสักนิด รอยยิ้มกว้างเกินจริงของเขาเหมือนจะฉีกจนสุดใบหน้า
แต่ลึก ๆ ในใจฉันรู้สึกได้ถึงบางอย่าง...
บางอย่างที่ไม่ใช่แค่ "ความน่ารัก" ธรรมดา...
"ขอสแกนตัวตนหน่อยนะจ๊ะ~"
เสียงใส ๆ ของพี่ยำดังขึ้นไม่ทันขาดคำ
ก่อนที่ฉันจะได้เอ่ยอะไรตอบ แสงสีฟ้าอ่อน ๆ ก็พุ่งวูบผ่านตัวฉันไปเหมือนแถบเลเซอร์สแกนอย่างรวดเร็ว
[ยืนยันตัวตน: เอลาเรีย เวลเลนไฮม์]
[ออเดอร์ที่ได้รับ: ราเมนเพลิงจันทร์ลาวา]
[สถานะ: พร้อมจัดส่ง]
ข้อความเรืองแสงลอยขึ้นกลางอากาศตรงหน้า สว่างชัดจนฉันต้องกะพริบตาไล่แสง
"โอ้โห...เธอกดรับออเดอร์สุดหินเลยนะเนี่ย!"
พี่ยำยิ้มกว้างจนตาโค้งเป็นเสี้ยวพระจันทร์ มือหนึ่งท้าวเอว มืออีกข้างชูนิ้วโป้งอย่างสุดพลัง
ฉันยังไม่แน่ใจนักว่าควรหัวเราะ หรือควรกังวลกันแน่
"เอ่อ...แล้วต้องไปส่งที่ไหนเหรอคะ?"
ฉันถามอย่างไม่แน่ใจ พลางเหลือบมองประตูหลังร้านที่ดูเหมือนไม่มีอะไรพิเศษเลยนอกจากเป็นบานไม้ธรรมดาทาสีเทาเก่า ๆ
"ง่ายมากเลยจ้า!" พี่ยำทำมือเป็นรูปตัว L แล้วดีดขึ้นเป็นนิ้วโป้งอย่างร่าเริง
"แค่เดินไปที่ประตูหลังร้าน...เปิดมัน แล้วเดินตรงไปโลด!"
ฉันเลิกคิ้วสูง ความรู้สึกขนลุกซ่าเริ่มก่อตัวขึ้นที่ต้นคอ
"...มันจะไม่เกิดอะไรแปลก ๆ ใช่ไหมคะ?"
"รับประกันความปลอดภัย 90%!" พี่ยำพูดเสียงใส ตบอกตัวเองเบา ๆ ราวกับจะย้ำความมั่นใจ
แล้วก็เสริมเสียงเบา ๆ จนแทบไม่ได้ยิน
"...ถ้าไม่เดินตกหลุมอากาศกลางทางนะจ๊ะ~"
ฉันกลอกตาอย่างเหนื่อยใจ แต่ก็อดยิ้มขำกับท่าทางเกินจริงของเขาไม่ได้
"แล้วนี่...?" ฉันชี้ไปที่เสื้อแจ็กเก็ตสีเงินมันวาวกับกางเกงหนา ๆ ที่พี่ยำยื่นมาให้
"ชุดกันหนาวไฮเทคจ้า!" พี่ยำตอบอย่างร่าเริง พลางกะพริบตาโฮโลแกรมวิ้ง ๆ
"กันลม กันหนาว กันเวทมนตร์! เหมาะสำหรับทุกสภาพอากาศข้ามมิติ! ใส่เถอะ รับรองไม่แข็งตายกลางทาง~"
ฉันถอนหายใจยาวอย่างยอมแพ้ รับชุดจากเขามา
เสื้อแจ็กเก็ตสีเงินอ่อนเนื้อผ้าเงางามนั้นเบาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่พอลองสัมผัส ก็รู้สึกได้ถึงชั้นผ้าซ้อนกันแน่นหนาเหมือนรังไหม ชุดนี้ถูกออกแบบให้แนบกระชับไปกับร่างกายโดยไม่บีบรัด เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วแม้จะต้องวิ่งฝ่าหิมะหรือปีนข้ามซากปรักหักพัง
กางเกงกันหนาวเข้าชุดกัน ตัดเย็บด้วยผ้าเทคนิคอลล้ำยุค เคลือบเส้นใยป้องกันเวทมนตร์โดยเฉพาะ ผิวสัมผัสเหมือนขนนกผสานโลหะเบา ๆ อ่อนนุ่มแต่แข็งแรง พร้อมรองเท้าบูทเบาเป็นพิเศษที่ยึดเกาะพื้นได้แม้กระทั่งน้ำแข็งลื่น ๆ
เมื่อสวมใส่เสร็จ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นนักผจญภัยจากโลกไซไฟ — ทั้งเบา ทั้งอบอุ่น ทั้งพร้อมสู้กับพายุหิมะที่ไม่รู้จะโหมกระหน่ำมาจากทิศไหน
ฉันคว้ากล่องอาหารที่เพิ่งลอยมาเข้ามือ มันเป็นกล่องขนาดพอดีมือ ผิวเรียบลื่น มีเส้นแสงสีทองอ่อนพาดผ่านผิวด้านบน กล่องเปล่งความร้อนอบอุ่นออกมาเบา ๆ พอให้รู้สึกว่าด้านในยังรักษาอุณหภูมิอย่างดี
แม้กล่องจะปิดสนิท แต่กลิ่นราเมนหอมกรุ่นก็ยังเล็ดลอดออกมา อบอวลไปทั่วจนทำให้ท้องของฉันร้องเสียงดังจนน่าอาย
พี่ยำยิ้มแฉ่ง โบกมือไปมาอย่างกับเจ้าหน้าที่ส่งตัวนักสำรวจไปดาวใหม่
"โชคดีนะจ๊ะน้อง~!"
ฉันสูดหายใจลึก รวบรวมความกล้า แล้วก้าวไปยังประตูหลังร้าน
มือสั่นเบา ๆ ขณะจับลูกบิดที่เย็นเฉียบอย่างกับมันถูกแช่แข็งไว้เป็นร้อยปี ปลายนิ้วชาไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่ฉันจะตั้งสติ
"...เอาน่า เอลาเรีย เธอเคยแย่กว่านี้มาแล้ว..."
ฉันกระซิบให้กำลังใจตัวเองเสียงเบา ๆ
แล้วหมุนลูกบิด
กึก—
บานประตูค่อย ๆ เปิดออก
ลมเย็นยะเยือกกรูกระหน่ำเข้ามาแทบทำให้ฉันเซถลาไปข้างหลัง
ข้างหน้า...
ไม่ใช่ซอยหลังร้านที่ฉันคาดหวังเอาไว้
แต่เป็น...
ทุ่งหิมะขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา
แสงสีฟ้าจาง ๆ จากท้องฟ้าหม่นสาดลงบนผืนหิมะที่ไม่มีที่สิ้นสุด หิมะโปรยปรายลงมาราวกับละอองน้ำแข็งเล็ก ๆ ที่สะท้อนแสงระยิบระยับเหมือนดาวตก
ท่ามกลางความว่างเปล่านั้น มีแต่เสียงลมพัดหวิว กับอากาศหนาวเย็นที่กัดกินเข้ามาจนชั้นขนแกะในชุดกันหนาวสะท้านเบา ๆ
ฉันยกมือบังหน้า สายตาเพ่งมองหาจุดหมาย แต่มีเพียงม่านหิมะขาวโพลนที่ทอดยาวออกไป — เหมือนโลกทั้งใบกลืนหายไปในความหนาวนี้
ข้างหลัง คือบานประตูของ Omnibite ที่ยังค้างอยู่ในอากาศ — ครึ่งหนึ่งในโลกเก่า ครึ่งหนึ่งในโลกใหม่
ข้างหน้า คือการเดินทางที่ไม่มีแผนที่ และออเดอร์ราเมนที่กำลังอุ่นมือฉันไว้เบา ๆ
ขณะที่ฉันยืนตะลึง และกำลังจะก้าวพ้นธรณีประตูไป พี่ยำก็ร้องเรียกขึ้นมาเสียงใส
"อ๊ะ ๆๆๆ เดี๋ยวสิจ๊ะน้อง! เกือบลืมของสำคัญไปแล้ว~!"
ฉันชะงักเท้า หันกลับไปมองทันที
พี่ยำยิ้มกว้าง แล้วล้วงมือลงไปในกระเป๋าโฮโลแกรมด้านหลังที่ฉันไม่ทันสังเกตเห็นมาก่อน ก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างออกมาแล้วโยนมาให้
มันคือ กระเป๋าแคปซูลขนาดเล็ก — ขนาดไม่ใหญ่ไปกว่ากำปั้น รูปทรงรี ทรงคล้ายเมล็ดถั่วลันเตาเรืองแสงสีเงินอ่อน
ฉันยื่นมือรับไว้โดยสัญชาตญาณ น้ำหนักมันเบาจนแทบไม่รู้สึกอะไรเลย
"ของจำเป็นจ้า!" พี่ยำพูดเสียงสดใส
"ในนั้นมีของที่เธออาจต้องใช้ตอนฉุกเฉิน เช่น
• สเปรย์ป้องกันมอนสเตอร์ — ฉีดแล้วศัตรูแสบตา หลงทิศหลงทาง
• เจลปฐมพยาบาลพิเศษ — ทาแล้วสมานบาดแผลเบื้องต้นทันที
• แผ่นพลังงานฉุกเฉิน — ทานแล้วฟื้นพลังงานได้ทันทีภายใน 10 นาที!"
เขายกนิ้วขึ้นนับพลางยิ้มกว้างตลอดเวลาเหมือนกำลังขายของอยู่
"แล้วก็...สำคัญสุด ๆ"
พี่ยำล้วงลงไปอีกครั้ง คราวนี้หยิบอุปกรณ์อีกชิ้นออกมา มันเป็นเหมือน มือถือพกพาขนาดเล็ก ดีไซน์แปลกตา ทรงสี่เหลี่ยมมน ๆ สีดำด้าน มีหน้าจอโปร่งใส และเส้นแสงสีรุ้งวูบไหวไปมาตามขอบเครื่อง
"นี่คือ OmniLink — มือถือติดต่อข้ามมิติ!"
พี่ยำกล่าวด้วยน้ำเสียงภูมิใจสุด ๆ
"โทรศัพท์ธรรมดาน่ะใช้ไม่ได้หรอกนะในมิติอื่น ๆ เพราะคลื่นสัญญาณมันไม่เหมือนกัน~ แต่ตัวนี้ติดต่อได้ทุกที่ ทุกมิติ ทุกความถี่! โทรเข้า-ออกได้ตลอด แถมยังมีระบบนำทางฉุกเฉินกับส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือได้ด้วย!"
พี่ยำยื่น OmniLink ให้ฉัน
"พี่ยำเองก็จะอยู่ในรายชื่อด่วนพิเศษด้วยนะ! ถ้าเจออะไรฉุกเฉิน กดปุ่มแดงปุ๊บ พี่ยำจะโผล่มาในรูปโฮโลแกรมเพื่อช่วยเหลือทันทีเลย~"
ฉันรับมันมาไว้ในมือ น้ำหนักกำลังพอดี อุ่นเล็ก ๆ ราวกับมันมีหัวใจเต้นอยู่ภายใน
"โอเค...ขอบคุณค่ะ"
ฉันพึมพำเบา ๆ รู้สึกว่ามีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย
"สู้ ๆ นะจ๊ะน้องเอลาเรีย!"
พี่ยำชูสองนิ้วเป็นสัญญาณ V ให้อีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มกว้างที่เหมือนจะสว่างกว่าแสงของทุ่งหิมะข้างหน้าเสียอีก
ฉันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด กระชับกระเป๋าแคปซูลห้อยข้างเอว และเก็บ OmniLink ไว้ในช่องเก็บพิเศษบนแขนเสื้อชุดกันหนาว
คราวนี้...ฉันพร้อมแล้วจริง ๆ ก้าวแรกของการเดินทาง... สู่โลกที่ไม่รู้จัก กำลังเริ่มต้นขึ้น
'โอเค...เดินตรงไปโลด...'
ฉันกัดฟันแน่น กระชับกระเป๋าอาหาร แล้วก้าวออกไปสู่ทุ่งหิมะแห่งมิติใหม่
ลมหิมะพัดกรูอย่างบ้าคลั่ง ใต้ท้องฟ้าสีหม่นเทาอมฟ้า
เบื้องไกล เหนือม่านหิมะขาว — ฉันมองเห็นเงาร่างของ วังน้ำแข็งมหึมา ที่ตั้งตระหง่านกลางขอบฟ้าหัวใจฉันเต้นตึกตักแรงผิดปกติ ทั้งจากความกลัว และความตื่นเต้นปนกัน
"...ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ" ฉันพึมพำกับตัวเอง พลางก้าวเท้าแรกออกจากประตู —
เข้าสู่โลกที่หิมะไม่มีวันละลาย...
❄️❄️❄️❄️❄️
💫ลูกมังกรตัวจิ๋วคนแรก!? 🐣💕สถานที่ : วังเทียนหลง — หอจันทราเสียงลมหนาวอ่อน ๆ พัดผ่านม่านบางสีเงินที่พลิ้วไหวอย่างเงียบงัน แสงจันทร์ยามค่ำคืนนี้นุ่มนวลเป็นพิเศษ ราวกับโลกทั้งใบกำลังหยุดหายใจ…เพื่อเฝ้าดูเหตุการณ์บางอย่างฉันนั่งอยู่กลางเตียงผ้าไหม กลางอ้อมแขนของหลงอวิ๋น — ที่เวลานี้ดูจะตื่นเต้นยิ่งกว่าฉันเสียอีกเพราะในอ้อมแขนของเรา…คือ ‘ลูกมังกร’ ตัวจิ๋วที่เพิ่งถือกำเนิดใช่ค่ะ... ลูกของเราเจ้าตัวน้อยมีผมสีเงินจางราวแสงจันทร์ เปลือกตาหลับพริ้ม ริมฝีปากเล็กจิ๋วขยับเบา ๆ ขณะที่ลมหายใจอุ่นนุ่มพ่นออกมาเป็นหมอกจิ๋ว ๆ ทุกครั้งที่หายใจนิ้วมือจิ๋วนั่น…กำมือเล็ก ๆ ไว้แน่น และมีเกล็ดบาง ๆ สีเงินอมฟ้าปรากฏจาง ๆ บนหลังมือ“เขามีเกล็ด…” ฉันกระซิบ ขณะวางมือลงบนผ้าห่มผืนน้อยหลงอวิ๋นที่นั่งอยู่ข้างฉันเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะโน้มตัวลงจูบหน้าผากลูกเบา ๆ ดวงตาสีฟ้าของเขาสั่นระริกด้วยความตื้นตันที่เขาไม่เคยแสดงออกแบบนี้มาก่อน“
💎 ราชินีแห่งเทียนหลง...ผู้ไม่กินเผ็ดฉันคือคือเอลาเรีย...ราชินีผู้กุมพลังมังกรจันทรา ผู้ผนึกมังกรทองด้วยเวทโบราณ...และผู้ที่พ่ายแพ้อย่างหมดรูปให้กับ...เพลิงเกล็ดมังกรหนึ่งเม็ด พริกในตำนานที่แค่ได้กลิ่น ลิ้นก็เหมือนโดนเปลวเพลิงว่ากันว่า ‘เพลิงเกล็ดมังกร’ เกิดขึ้นเมื่อเปลวไฟจากมังกรบรรพกาลตกกระทบเมล็ดพืชธรรมดาในสงครามเมื่อพันปีก่อน เมล็ดนั้นดูดซับพลังและกลายพันธุ์ จนกลายเป็นพริกต้องห้ามที่ แม้แต่มังกรไฟบางตนยังหลีกเลี่ยง“ฉันแค่ถามว่า ‘เผ็ดมากมั้ย’ ไม่ได้หมายความว่า ‘ขอเผ็ดที่สุดในโลก’ นะค้า!!”ฉันตะโกนลั่นกลางโต๊ะทรงกลมที่ตั้งอยู่ในห้องทานอาหารส่วนตัวของราชวังราอูลกับไคเซอร์แทบจะกลิ้งลงจากเก้าอี้ด้วยความขำเอลิอานยื่นน้ำเย็นให้พร้อมสีหน้าที่ดูเหมือนพยายามกลั้นหัวเราะอย่างยิ่งยวดแต่คนที่แย่ที่สุด—คือ หลงอวิ๋นท่านชายสุดหล่อที่นั่งกินพริกเผ็ดระดับมังกรไฟด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แล้วหันมาถามฉันเสียงเรียบม
ร่างของฉันยังหอบสะท้านไม่หายหลงอวิ๋นค่อย ๆ เลื่อนตัวขึ้นมา ร่างเปลือยเปล่าทาบทับฉันอย่างมั่นคง ปลายลิ้นเขายังไล้เล็มริมฝีปากฉันแผ่วเบา ก่อนกระซิบเสียงพร่าที่ข้างหู“เจ้าพร้อมหรือยัง...”ยังไม่ทันให้ฉันตอบ ร่างกายฉันก็รับรู้ถึงแก่นกายของเขา ที่ร้อนจัดและแข็งแกร่งกำลังแนบอยู่ตรงกลางกลีบเนื้อที่ชื้นฉ่ำ ปลายหัวดันเบา ๆ อย่างมีจังหวะ ขณะที่มือของเขาจับสะโพกฉันไว้มั่น“อ๊ะ...หลงอวิ๋น...!”ฉันครางเผลอเมื่อเขาค่อย ๆ ดันเข้ามาทีละน้อย ผนังด้านในตอดรัดแท่งร้อนของเขาอย่างแน่นหนึบ จนเขาต้องขมวดคิ้วและกัดฟันนิด ๆ“แน่นเหลือเกิน...”เสียงของเขาต่ำและกระเส่า ก่อนจะกระซิบข้างหูฉัน“แต่ข้าจะเข้าไปให้หมด...”พูดจบ เขาก็กระแทกเข้ามาจนสุดในจังหวะเดียว“อ๊าาาาา!!”ฉันร้องเสียงหลง เมื่อแก่นกายของเขาถูกดันเข้ามาลึกสุดทาง มิดชิดแนบชิดจนสัมผัสได้ถึงชีพจรที่เต้นจากร่างเขา...ในตัวฉันเขาผงกตัวขึ้น มือสองข้างยันกับเตียง ปล่อยให้ท่อนล่างขยับได้อย่างเต็มแรงจากนั้น...ตึง ตึง ตึง!เขาเริ่มกร
พระราชพิธีแต่งงาน ณ พระราชวังเทียนหลงเสียงขลุ่ยหยกโบราณดังแผ่วไปทั่วหุบเขา และเสียงระฆังเงินก็ดังขึ้นเจ็ดครั้งตามจังหวะลมหายใจของมังกรทั้งเจ็ดแห่งสภาฟ้าดอกหิมะโปรยปรายจากฟากฟ้าอย่างสงบ แต่มือของฉันเย็นเฉียบไม่ใช่เพราะอากาศ...แต่เพราะใจเต้นแรงยิ่งกว่าครั้งไหนในชีวิตฉันไม่เคยคิดว่า ‘งานแต่งงาน’ ของตัวเองจะจัดขึ้นในวังของมังกร…และยิ่งไม่เคยคิดเลยว่าคนที่ยืนรออยู่ปลายทางเดินคือมังกรน้ำแข็งผู้เยือกเย็นที่สุดในตำนานวันนี้ไม่ใช่แค่วันแต่งงานธรรมดาแต่มันคือ “พิธีเสกสมรสระหว่างราชามังกรในอนาคต” กับมนุษย์ต่างโลก—หญิงสาวที่ไม่มีสายเลือดสูงศักดิ์ ไม่มีอำนาจทางการเมืองใด ๆ ...มีเพียงหัวใจที่กล้ารัก และยืนหยัดเคียงข้างณ ท้องพระโรงใหญ่ของวังเทียนหลงหอแก้วทั้งหลังถูกประดับด้วยแผ่นผลึกน้ำแข็งสลักมือ เรียงรายเป็นเสาโค้งล้อมแท่นพิธีตรงกลาง — พื้นหินใสราวกระจก สะท้อนเงาแสงจันทราเต็มดวง พร้อมภาพของฉันที่กำลังเดินก้าวเข้าไปทีละก้าวชุดเจ้าสาวของฉันในวันนี้...คือชุดที่รังสรรค์ขึ้นด้วย
สวนหิมะนิรันดร์ — ยามค่ำของฤดูจันทราวสันต์แสงจันทร์ทอประกายอ่อนนุ่มลงบนหิมะขาวทั่วทั้งสวน เสียงน้ำแข็งแตกรินเบา ๆ จากลำธารเล็กที่เพิ่งละลายจากมนตราแห่งฤดูใหม่ กลีบเกล็ดหิมะโปรยลงมาช้า ๆ จากท้องฟ้า สะท้อนแสงจันทร์ราวเกล็ดเงินลอยละล่องในห้วงความฝันพุ่มไม้หิมะรอบสวนยังคงเงียบงัน ราวกับเฝ้ารอสิ่งใดอยู่...เช่นเดียวกับฉัน ที่ยืนอยู่หน้ากุหลาบน้ำแข็งซึ่งยังคงหลับใหล ไม่ยอมแย้มกลีบในค่ำคืนนี้เสียงฝีเท้าทุ้มหนักนุ่มนวลดังขึ้นจากด้านหลัง ก่อนจะมีเสียงที่ฉันจำได้แม่นดังขึ้น“ข้าคิดว่าเจ้าหลับไปแล้ว”ฉันไม่ตอบในทันที แต่หันไปมองร่างสูงในชุดคลุมเรียบง่าย ไม่ใช่เครื่องราชพิธี ไม่ใช่ฐานะผู้ครองแผ่นดิน“ข้าคิดว่าเจ้าหลับไปแล้ว”“ฉันนอนไม่หลับค่ะ”เราสองคนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ฉันจะหันไปมองเขา...ใบหน้าของหลงอวิ๋นอยู่ใต้เงาจันทร์ครึ่งดวง แสงสีเงินอ่อนสะท้อนบนเสี้ยวหน้าด้านขวา—เผยผิวขาวนวลประหนึ่งหินหยกสลัก ลมหายใจเย็น ๆ ของเขาละลายเป็นไอควันเบา ๆ ยามกระทบอากาศเย็น
“เพราะเมื่อหัวใจของผู้คนเปลี่ยน...ดินแดนก็เปลี่ยนตาม”แสงแรกของราตรีวันใหม่...ไม่ใช่แสงอาทิตย์แต่เป็นแสงจันทร์อ่อนละมุน ที่ทอประกายลงมาจากฟากฟ้า—อ่อนโยน...เจิดจ้ายิ่งกว่าเคยดินแดนแห่งหิมะที่เคยเงียบงัน...กำลังมีการเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งแรกในรอบพันปีเสียง ‘หยดน้ำ’ หยดแรก—ดังกระทบผืนน้ำแข็ง เบาเสียจนราวกับโลกทั้งใบต้องหยุดฟังหยดล็ก ๆ นั้น ไม่ได้เกิดจากอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง แต่มาจากเวทของ ‘ใครบางคน’ ที่เปลี่ยนความเยือกเย็นให้กลายเป็นพลังแห่งการเยียวยาทั่วทั้งแนวทุ่งหิมะ ดอกไม้สีฟ้าขาวเริ่มโผล่ขึ้นจากผิวดิน กลีบใสราวกับหยดจันทร์ ละลานตาราวกับดวงดาวที่หยั่งรากบนพื้นโลก—คือ ‘กุหลาบจันทรานิรันดร์’ดอกไม้ในตำนานที่เคยต้องใช้เวลาหนึ่งศตวรรษในการเบ่งบานแต่วันนี้…มันกำลังผลิบานพร้อมกันทั้งทุ่ง ด้วยเวทจันทราที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความรักและการให้อภัยหิมะ...ไม่ได้ละลายหายไปแต่หลอมรวมเป็นสายน้ำใสไหลเอื่อย เหนือยอดต้นเข็มสน ใบ