🌙❄️ใครจะคิดว่าการสมัครงาน "ส่งอาหาร" จะพาฉันข้ามมิติมายังโลกที่หิมะไม่เคยละลาย — และเจอกับ "องค์ชายมังกรน้ำแข็ง" ผู้เย็นชาราวกับไม่เคยรู้จักความรัก ในมือฉันมีเพียงกล่องราเมนร้อน ๆ และหัวใจที่กำลังเต้นแรงไม่หยุด... เขา ผู้ควบคุมหิมะและพายุ ฉัน เด็กสาวจากโลกที่แสนธรรมดา ...เมื่อเส้นทางของเราเกี่ยวพันกันด้วยคำสาป และพันธะเลือด จะมีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น — ละลายหัวใจที่เย็นยะเยือกนี้... หรือถูกกักขังใต้หิมะไปตลอดกาล 【❄️ระวัง...เมื่อราเมนหนึ่งชาม อาจละลายทั้งดวงใจของมังกรน้ำแข็ง❄️】
Lihat lebih banyakเสียงหัวเราะเยาะ... เสียงซุบซิบกระซิบกระซาบ... และเสียงก่นด่าอันแสบแก้วหู ดังก้องสะท้อนอยู่ในความฝันอันพร่าเลือน
เอลาเรีย เวลเลนไฮม์ ยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางจัตุรัสเมืองเก่า ที่ครั้งหนึ่งเคยอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของขนมปังสดใหม่และเสียงหัวเราะของผู้คนที่แวะเวียนมาเยี่ยมชม ตลาดที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับกลายเป็นเวทีประจานเย้ยหยัน
เธอยืนอยู่ตรงนั้น ร่างกายสั่นสะท้านในเสื้อคลุมสีกรมท่าขาดรุ่งริ่ง ผมสีน้ำตาลเข้มแห้งกรอบปิดใบหน้าที่สวยสด สายลมหนาวกรูกราวพัดกระโชกจนชายเสื้อของเธอสะบัดฟาดไปมาเหมือนธงแห่งความพ่ายแพ้
ผู้คนมากมายรายล้อมเธอเป็นวงกลม แววตาที่เคยมองเธอด้วยความเลื่อมใส บัดนี้กลับเปลี่ยนเป็นสายตาแข็งกร้าว เคลือบด้วยความโกรธและความผิดหวัง
โต๊ะไพ่ตัวเดิมที่เธอเคยนั่งประจำ ถูกพลิกคว่ำกลางลานหิน เสียงไม้กระแทกพื้นดังกึกก้อง ไพ่ทาโรต์สีสดปลิวกระจัดกระจายไปตามแรงลม ราวกับนกน้อยที่สิ้นแรงบิน พร็อพเวทมนตร์—ลูกแก้วพยากรณ์ กระดิ่งเงิน และเครื่องรางสีหม่น—กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น เหยียบย่ำจนแทบไม่เหลือสภาพ
แผ่นป้ายไม้ที่สลักคำว่า "เอลาเรีย เวลเลนไฮม์ - หมอดูผู้หยั่งรู้โชคชะตา" ถูกเหยียบซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนตัวอักษรแทบเลือนหาย เหลือเพียงเศษไม้ผุ ๆ เปื้อนโคลน
เธอโดนใส่ร้าย!!
คู่แข่งที่ประสงค์ร้ายต่อเธอใส่ร้ายป้ายสีผ่านโลกโซเชียลที่เต็มไปด้วยความหลอกลวง ส่งผลให้เธอถูกประณาม
"เธอก็แค่ต้มตุ๋น!" เสียงหนึ่งตะโกนขึ้น ทะลุทะลวงหมอกหนาในหัวของเธอ
"คำพยากรณ์ไม่มีจริง!" อีกเสียงแหลมสูงแทรกขึ้นมา ตามด้วยเสียงโห่ไล่อีกระลอก
"เราถูกหลอก!" เสียงสุดท้าย รุนแรงจนเหมือนตบหน้าด้วยฝ่ามือเย็นเฉียบ
เสียงเหล่านั้นโหมกระหน่ำใส่เธอไม่หยุดหย่อน ไล่ล่าเธอเหมือนเงามืดที่ไม่มีวันหลุดพ้น
เอลาเรียพยายามอ้าปากตะโกนอธิบาย พยายามเรียกคืนศรัทธาที่หายไป แต่คำพูดของเธอกลับกลืนหายไปในหมอกหนาทึบ ราวกับโลกนี้ไม่เหลือใครฟังเธออีกต่อไป
เธอเหวี่ยงแขน คว้าไพ่ใบหนึ่งที่ลอยละลิ่วในอากาศ—แต่ปลายนิ้วของเธอกลับสัมผัสได้เพียงอากาศว่างเปล่า ไพ่กลับลอยหนีไป ราวกับเธอไม่มีตัวตน
ขาของเธอเริ่มจมลงในหมอกหนา เย็นเยียบ และเหนียวหนืด ราวกับจะกลืนร่างของเธอทั้งเป็น ความรู้สึกโดดเดี่ยว ความสิ้นหวัง และความหวาดกลัว ท่วมท้นขึ้นมาจนแทบหายใจไม่ออก
ในห้วงวินาทีนั้น เอลาเรียรู้สึกได้ว่า... เธอกำลังถูกโลกทั้งใบลืมเลือน
แล้ว...
ตี้ง! ตี้ง! ตี้ง!
เสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือดังก้องแสบแก้วหู ราวกับระฆังเร่งเร้าให้ลืมเลือนฝันร้าย เสียงนั้นกระชากเอลาเรียให้ผงะตื่นจากห้วงหลอนในพริบตา
เธอสะดุ้งโหยง ลมหายใจติดขัด ดวงตาเบิกโพลง มองไปรอบห้องเช่าเล็ก ๆ ของตัวเองด้วยหัวใจที่ยังเต้นระรัว ผนังสีเทาหม่นแตกร้าวเป็นเส้น ๆ ด้านข้าง ผ้าม่านเก่าขาดวิ่นปลิวไหวไปมาตามกระแสลมอ่อนยามเช้า แสงแดดสีซีดส่องลอดผ่านรูตะเข็บเข้ามา ฉายเงาสั่นไหวบนพื้นไม้เก่า ๆ ที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดตามแรงลม
กลิ่นอับชื้นและกลิ่นไม้เก่าผสมปนเปกันในอากาศ แต่มันกลับให้ความรู้สึกจริงยิ่งกว่าฝันเมื่อครู่หลายเท่า
เอลาเรียหอบหายใจแรงราวกับวิ่งหนีฝันร้ายมาทั้งคืน เธอยกมือขึ้นนวดขมับเบา ๆ เพื่อบรรเทาความปวดหนึบที่เล่นงานราวกับจะตอกย้ำว่าฝันนั้นทิ้งร่องรอยไว้ในความจริง
"ฝันบ้า ๆ ... อีกแล้ว..." เธอพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงแหบพร่า ริมฝีปากแห้งแตกแทบไม่มีน้ำเสียงเหลือ
มือของเธอลูบผ่านข้างเตียง สัมผัสเจอโต๊ะไม้เก่า ๆ ที่วางของเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้บนมัน ทั้งกองไพ่ทาโรต์เก่า กล่องไม้เก็บเครื่องราง และเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญที่เป็นเงินทุนก้อนสุดท้าย
เธอสูดหายใจลึก กลืนก้อนแข็ง ๆ ที่ค้างอยู่ในลำคอลงไป ก่อนจะค่อย ๆ พาตัวเองลุกขึ้นจากเตียงผ้าใบเก่า ๆ ที่ส่งเสียงดังเอี๊ยดเบา ๆ
วันนี้เป็นวันแรก — วันที่เธอไม่มีสิทธิ์ล้มเหลวอีกแล้ว
เธอเหลือบมองไพ่ทาโรต์ที่วางกองอยู่ ขอบไพ่หลุดลุ่ยจนแทบจับไม่ติดกันแล้ว แต่เธอกลับยื่นมือไปหยิบมันขึ้นมาแนบอกแน่น ราวกับมันคือเศษเสี้ยวสุดท้ายของตัวตนที่เธอไม่ยอมปล่อยมือ
ไม่ว่าโลกจะพังทลายลงกี่ครั้ง
วันนี้... เธอจะต้องเริ่มต้นใหม่ให้ได้
หลังจากลุกขึ้นอาบน้ำ ล้างหน้าล้างตาจนความง่วงหายไป เอลาเรียเช็ดผมเปียกหมาด ๆ ด้วยผ้าขนหนูเก่า แล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเล็ก ๆ ข้างเตียง
บนราวไม้แขวนเก่า ๆ มีชุดใหม่ล่าสุดแขวนอยู่ — ยูนิฟอร์มที่เพิ่งได้รับมาจากบริษัท Omnibite เมื่อวานนี้
เธอยื่นมือไปสัมผัสเนื้อผ้า พลางอดยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากไม่ได้ ความรู้สึกตื่นเต้นน้อย ๆ จาง ๆ ผุดขึ้นในอก
ยูนิฟอร์มของ Omnibite ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันจนเกินกว่าที่ใครจะคาดคิดว่ามันเป็นเพียง "ชุดทำงาน"
เสื้อแจ็กเก็ตน้ำหนักเบา สีดำด้าน โครงเสื้อเข้ารูปเล็กน้อยเพื่อให้คล่องตัว ตัดเย็บด้วยผ้าที่ทั้งกันน้ำและระบายอากาศได้ดี พื้นผิวแต่งลายสะท้อนแสงสีเงินเป็นเส้นสายบาง ๆ พาดผ่านเหมือนรอยร้าวของอวกาศ ทว่าในแสงธรรมดามองแทบไม่เห็น เส้นสายเหล่านี้จะเปล่งแสงวาววับก็ต่อเมื่อสะท้อนกับแสงไฟยามค่ำคืน
ตรงอกซ้ายปักตราสัญลักษณ์ตัว "O" รูปประตูมิติบิดเบี้ยวซ้อนกับภาพราเมนถ้วยเล็ก ปักด้วยด้ายสีขาวสะอาดตา ลายเส้นละเอียดจนดูเหมือนภาพมีชีวิต
ด้านในเป็นเสื้อยืดสีเทาเข้มเนื้อผ้านุ่ม เบา และยืดหยุ่น รองรับการขยับตัวได้อย่างอิสระ
กางเกงขาสามส่วนทรงแอคทีฟ ตัดเย็บด้วยผ้าเทคนิคอลชนิดพิเศษ ที่ทั้งกันน้ำ กันลม และยืดหยุ่นได้ดี แม้ต้องเผชิญฝนห่าใหญ่หรือวิ่งไล่ส่งอาหารในตรอกแคบ ๆ ก็ไม่มีอะไรหยุดยั้งได้
รองเท้าผ้าใบดีไซน์โฉบเฉี่ยว สีดำขลิบเส้นเงินสะท้อนแสง บริเวณข้อเท้ามีชิประบุตัวตนฝังอยู่เป็นมาตรฐานใหม่ของบริษัท เพื่อความปลอดภัยและการเช็กอินแบบไร้สัมผัส
เมื่อสวมใส่ครบชุด เอลาเรียยืนพิจารณาตัวเองหน้ากระจกบานเล็กที่มีรอยแตกตรงมุมหนึ่ง
ใครเห็นก็คงคิดว่าเธอเป็นสมาชิกของหน่วยปฏิบัติการลับจากองค์กรลึกลับ...ไม่ใช่แค่พนักงานส่งอาหารธรรมดาแน่นอน
"อย่างน้อย...ก็ดูเท่ล่ะนะ"
เอลาเรียหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง เสียงหัวเราะนั้นเจือด้วยความขมอมหวานและความหวังเล็ก ๆ ที่ก่อตัวขึ้นท่ามกลางความเปราะบางของชีวิตใหม่
เธอยืนอยู่หน้ากระจกบานเล็ก จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ ดึงซิปเสื้อแจ็กเก็ตขึ้นจนสุดคออย่างตั้งใจ ก่อนจะเอื้อมไปคว้ากระเป๋าส่งอาหารพิเศษของ Omnibite ที่แขวนอยู่ข้างประตู
กระเป๋าใบนั้นมีผิวสัมผัสเนียนลื่น ลวดลายบาง ๆ เรืองแสงจาง ๆ บนพื้นผิวเหมือนเส้นทางในจักรวาลไกลโพ้น มันทั้งแข็งแรง กันกระแทก และดูเหมือนมีชีวิตในตัวเอง
เอลาเรียสะพายกระเป๋าขึ้นบนหลัง จัดท่าทางให้มั่นใจอีกครั้ง เธอมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก ผมสีน้ำตาลเข้มถูกรวบขึ้นลวก ๆ ใบหน้าซีดเซียวเต็มไปด้วยร่องรอยความเหนื่อยล้า แต่ในดวงตาคู่นั้น—มีประกายของความกล้าอยู่ลึก ๆ
"ส่งอาหารทะลุมิติ...เหรอ?"
เธอนึกถึงตอนที่เห็นประกาศรับสมัครครั้งแรกทางออนไลน์ ภาพโฆษณาสีฉูดฉาด บอกว่างานนี้คือโอกาสสำหรับ "ผู้กล้าที่พร้อมเดินทางข้ามพรมแดนแห่งจักรวาล" มันฟังดูไร้สาระเสียจนเธอหัวเราะออกมาในตอนนั้น
'ส่งอาหารข้ามมิติ...ต้องบ้าแน่ ๆ'
เธอเคยคิดแบบนั้นจริง ๆ — และก็ยังคิดอยู่นิดหน่อย
แต่ตอนนี้ เธอกลับยืนอยู่ตรงนี้ สวมชุดยูนิฟอร์มเท่ ๆ และพร้อมจะก้าวออกไปสู่โลกใบใหม่ ที่แม้จะยังมืดมน...แต่ก็เต็มไปด้วยความเป็นไปได้ไม่สิ้นสุด
ตี้ง!
เสียงแจ้งเตือนจากนาฬิกาข้อมือดังขึ้น ดึงเธอออกจากภวังค์
[คุณมีออเดอร์ใหม่จาก Omnibite : "โลเคชั่นไม่สามารถระบุได้"]
เอลาเรียกะพริบตาปริบ ๆ มองข้อความที่กระพริบอยู่บนนาฬิกา ก่อนจะหลุดหัวเราะขม ๆ ออกมา
"ไม่รู้โลเคชั่นงั้นเหรอ..."
เธอพูดกับตัวเองเบา ๆ ราวกับจะถามโลกนี้กลับไป
“เอาสิ...อยากรู้เหมือนกันว่าจะไปมิติไหน”
เสียงหัวเราะของเธอเบาแต่จริงใจ คราวนี้ไม่มีความกลัวเจืออยู่เลย
เอลาเรียยกนิ้วจิ้มปุ่ม "ตกลงรับงาน" อย่างไม่ลังเล —
โดยไม่รู้เลยว่า การตัดสินใจครั้งนี้ จะนำพาเธอไปสู่การผจญภัยที่ไม่อาจหวนกลับ และจะเปลี่ยนชีวิตของเธอ...ตลอดกาล
🧊 🧊 🧊 🧊 🧊
ฉันยืนอยู่ตรงระเบียงด้านตะวันออกของหอจันทราลมเย็นพัดผ่านแผ่วเบา กลิ่นหิมะบาง ๆ ลอยมากับอากาศ เจ้าหยกหิมะกลิ้งตัวหลับข้างหมอน ขณะที่หลงอวิ๋นยืนเงียบอยู่ข้างหน้าต่าง มองท้องฟ้าสีเงินนิ่งงัน“ข้าอยากฟังคำทำนายของเจ้า”เสียงของเขาทุ้มต่ำแต่นุ่มนวล“เจ้าบอกว่ามีบางสิ่ง...กำลังจะตื่นขึ้น?”ฉันพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเล่าให้เขาฟังถึงไพ่สามใบที่ฉันเปิดเมื่อเช้า ภาพแสงวาบจากไพ่ยังติดตา และเสียงก้องในหัวฉันก็ยังไม่หายไปไหน“มีบางอย่างที่ถูกผนึกไว้...มันไม่ควรถูกปลุกขึ้นมา” ฉันพูดเสียงแผ่ว“แต่ตอนนี้...มันเริ่มสั่นไหวแล้ว”หลงอวิ๋นนิ่งไปชั่วขณะ นิ้วเรียวยาวของเขาประสานกันแน่นอยู่เบื้องหน้า ดวงตาสีฟ้าของเขามีแววครุ่นคิดลึกซึ้ง และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นก็เปล่งประกายอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน“ข้าเคยได้ยิน...ตำนานของมังกรดึกดำบรรพ์ตัวหนึ่ง”“ถูกผนึกไว้ใต้ทะเลสาปจันทรา ตั้งแต่ยุคแห่งความแตกแยก”ฉันเงยหน้าขึ้น ดวงตาเบิกกว้างทะเลสาปจันทร
เช้าวันถัดมาพระราชวังเทียนหลงยังคงงดงามดั่งภาพวาด—แต่ภายใต้หลังคาแก้วน้ำแข็งที่ส่องประกายกลับเต็มไปด้วยแรงสั่นสะเทือนที่มองไม่เห็นหลงอวิ๋นออกจากหอจันทราตั้งแต่ยามเช้ามืด เพื่อเข้าประชุมลับร่วมกับเหล่าผู้นำทางการทหารเรื่องเดียวที่ทำให้เขาไม่อาจวางใจได้ คือ ‘การเคลื่อนไหวของนักล่ามังกร’ ที่เริ่มรุกคืบเข้ามาใกล้ดินแดนฝั่งใต้และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น...ฉันนั่งอยู่ที่เก้าอี้ใกล้หน้าต่างในห้องพัก บรรยากาศรอบตัวอบอุ่นจากเตาผิงเวท และกลิ่นดอกไวโอเล็ตจาง ๆ จากพรมขนนุ่มแสงแดดสีขาวนวลลอดผ่านม่านโปร่งเบา...แต่ภายในใจฉันยังไม่สงบเหมือนอากาศในห้องเลย“ความฝันเมื่อคืน...มันไม่ใช่แค่ฝัน”ฉันพึมพำกับตัวเอง ขณะที่หลงจื่อ วางถ้วยชาอุ่นไว้ข้างมือฉันอย่างเงียบ ๆ“คุณหนูต้องการอะไรเพิ่มเติมไหมเจ้าคะ?”“ไม่ล่ะ ขอบใจนะหลงจื่อ”ฉันยิ้มอ่อนให้เธอ แล้วค่อย ๆ เปิดกล่องกำมะหยี่สีม่วงที่วางอยู่ข้างเตียง ก่อนที่ฉันจะเปิดไพ่เสียง...“คิ้ว~”เจ้าก้อนกลมสี
ณ ห้องผนึกคริสตัลน้ำแข็งชั้นใต้ดินลึกสุดของหอเวทน้ำแข็ง เขตหวงห้ามแห่งราชสภาเทียนหลง—สถานที่เร้นลับ ที่แม้แต่ผู้ครองบัลลังก์ก็ยังไม่อาจเหยียบย่างเข้ามาโดยไร้คำอนุญาตที่นั่นไร้เปลวไฟ ไร้แสงเทียน มีเพียงแสงเรืองรองจากผลึกคริสตัลทรงกลมที่ลอยอยู่เหนือแท่นหินน้ำแข็งโบราณ แสงนั้นไม่ใช่แสงธรรมดา... แต่มาจาก ‘แสงจากจิต’ ที่ถูกสกัดไว้จากจิตวิญญาณผู้มีพลังสูงสุดแห่งเผ่ามังกรน้ำแข็งเสาหินสิบสองต้นล้อมรอบ สลักอักขระมังกรโบราณรอบตัวเป็นวงเวทคุ้มผนึก อักษรเปล่งแสงจาง ๆ ราวกับยังหายใจอยู่ในจิตของใครบางคนรอบโต๊ะหินกลางห้อง สมาชิกสูงสุดของราชสภาเทียนหลงนั่งประจำตำแหน่ง พวกเขาไร้ชื่อ ไร้ยศ ไม่ปรากฏในจารึกของราชวงศ์—แต่คือผู้อยู่เบื้องหลังทุกพระราชกฤษฎีกา ทุกคำบัญชาสมาชิกบางคนสวมผ้าคลุมสีเงินดั่งหิมะเก่า หรือสวมผ้าคลุมสีดำดั่งเงาใต้ธารน้ำแข็ง และบางคนก็สวมผ้าคลุมสีน้ำเงินจางดั่งท้องฟ้าในคืนหิมะตก พวกเขาเหล่านั้น คือมือที่มองเขียนกฎของโลกแห่งนี้กลางห้อง—ภาพเคลื่อนไหวในคริสตัลเผยให้เห็นเอลาเรี
ในความเย็นของค่ำคืนนี้…ภาพอดีตยังหลับใหลอยู่ใต้ผืนหิมะ“ในวันที่หัวใจของเขาเยือกเย็นที่สุด...กลับเป็นวันที่อันตรายที่สุดของโลก”ผืนป่าเขตต้องห้าม ทิศเหนือของแดนน้ำแข็ง — เมื่อหลายร้อยปีก่อนดวงจันทร์เต็มดวงลอยอยู่เหนือยอดไม้แต่แสงของมันส่องไม่ถึงพื้นดิน...เพราะหมอกหิมะที่ปั่นป่วน ทุกอย่างสงบนิ่งจนดูเหมือนเวลาได้หยุดลง — เว้นแต่เสียงหอบหายใจอ่อนแรงของหญิงสาวผู้หนึ่งเธอนอนอยู่ในอ้อมแขนของหลงอวิ๋น เลือดสีแดงเปื้อนชุดสีขาวของเธอจนแทบไม่เห็นลายผ้าดั้งเดิม เส้นผมสีน้ำตาลเข้มของเธอพันกับนิ้วของเขา ราวกับว่าเธอยังไม่อยากปล่อย“อวิ๋น...” เสียงของเธอแผ่วเบา“ไม่ใช่ความผิดของท่าน...”“เงียบเถอะ” เสียงของหลงอวิ๋นแข็ง แต่สั่นเครือมือของเขากดแผลที่ท้องของเธอไว้แน่น พยายามจะหยุดเลือดที่ยังคงไหลไม่หยุด“ข้าจะพาเจ้าไปรักษา ข้า...ข้าไม่ยอมให้เจ้าตายที่นี่”“มัน...สายเกินไปแล้ว…&rd
หลงอวิ๋นนำฉันออกจากห้องจัดเลี้ยงอย่างแนบเนียน ผ่านระเบียงหินน้ำแข็งที่ทอดยาวไร้ผู้คน แสงจากโคมแก้วน้ำแข็งที่ห้อยเรียงรายส่องแสงสีฟ้าอ่อน ราวกับดวงดาวนำทางในรัตติกาลเมื่อเราก้าวเข้าสู่สวนน้ำแข็งชั้นใน ฉันก็ต้องหยุดมองภาพเบื้องหน้าที่นี่เงียบสงบจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเองบ่อน้ำแข็งสะท้อนแสงจันทร์ ราวกับกระจกเงาของท้องฟ้า ต้นไม้หิมะเรืองแสงสีอ่อน ๆ ท่ามกลางความเงียบ และกลิ่นเย็นที่ชวนให้นึกถึงค่ำคืนในดินแดนที่ไม่มีใครกล้าเหยียบย่างฉันค่อย ๆ เดินไปช้า ๆ ก่อนจะหยุดลง หันมาทางเขา“องค์ชาย...” ฉันพูดเสียงนุ่ม“ฉันไม่ได้คิดจะเล่นเกมอะไรทั้งนั้นหรอกค่ะ” ฉันยิ้มเล็กน้อย สายตายังจับจ้องเขาอย่างแน่วแน่“ฉันแค่ไม่ชอบให้ใครมาข่มเหง โดยเฉพาะด้วยสายตาที่มองมนุษย์อย่างกับเป็นของเล่น”ฉันหันหน้าไปทางจันทร์ครึ่งดวงเบื้องบน น้ำเสียงของฉันจริงจังทุกคำพูด“ในโลกของท่าน ฉันไม่รู้หรอกค่ะว่ากฎเป็นยังไง ต้องก้มหัวให้ใคร หรือปล่อยผ่านคำพูดเย็นชาร้าย ๆ ไปบ้าง”ฉันสูดลมหายใจลึก แล้วพูดเสียงหน
สองวันผ่านไปนับจากวันที่ดอกกุหลาบน้ำแข็งเบ่งบาน ในที่สุด วันจัดงานเลี้ยงต้อนรับฉันในฐานะ “ผู้พิทักษ์แห่งคำทำนาย” ก็มาถึงฉันถูกแต่งตัวในชุดราตรีสีฟ้าอ่อน เนื้อผ้าโปร่งเบาราวหมอกเช้า ปักประดับด้วยไข่มุกและเส้นเงินถักทอเป็นลวดลายเกล็ดหิมะที่ไหลลื่นไปตามชายกระโปรงสร้อยคอรูปจันทราเสี้ยว ประดับอัญมณีสีฟ้าระยับ ถูกคล้องลงบนลำคอขาวของข้า—ของขวัญจากหลงอวิ๋น ที่บอกว่า“มันจะคุ้มครองฉัน…แม้ยามเขาไม่อยู่ข้างกาย”เมื่อฉันก้าวเข้าสู่ห้องจัดเลี้ยง...เสียงสนทนารอบห้องเงียบลงชั่วครู่ ราวกับลมหายใจทั้งวังหยุดนิ่งสายตาทุกคู่หันมามองฉัน ราวกับภาพสะท้อนจากผลึกน้ำแข็งนับพันชิ้นห้องจัดเลี้ยงยิ่งใหญ่ตระการตา—ประดับประดาด้วยเสาน้ำแข็งแกะสลัก แสงเทียนนับร้อยสะท้อนกับผลึกใสราวกับหมู่ดาวตกต้องหิมะและตรงนั้น—เขากำลังยืนรออยู่หลงอวิ๋นในชุดราชองครักษ์สีน้ำเงินเข้ม ปักลายมังกรเงินที่เลื้อยตามสาบเสื้อไปจนถึงชายเสื้อคลุม ใบหน้าคมเข้มยังคงเรียบนิ่ง...แต่แววตาสีฟ้าเยือกเย็นนั
Komen