🌙❄️ใครจะคิดว่าการสมัครงาน "ส่งอาหาร" จะพาฉันข้ามมิติมายังโลกที่หิมะไม่เคยละลาย — และเจอกับ "องค์ชายมังกรน้ำแข็ง" ผู้เย็นชาราวกับไม่เคยรู้จักความรัก ในมือฉันมีเพียงกล่องราเมนร้อน ๆ และหัวใจที่กำลังเต้นแรงไม่หยุด... เขา ผู้ควบคุมหิมะและพายุ ฉัน เด็กสาวจากโลกที่แสนธรรมดา ...เมื่อเส้นทางของเราเกี่ยวพันกันด้วยคำสาป และพันธะเลือด จะมีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น — ละลายหัวใจที่เย็นยะเยือกนี้... หรือถูกกักขังใต้หิมะไปตลอดกาล 【❄️ระวัง...เมื่อราเมนหนึ่งชาม อาจละลายทั้งดวงใจของมังกรน้ำแข็ง❄️】
더 보기เสียงหัวเราะเยาะ... เสียงซุบซิบกระซิบกระซาบ... และเสียงก่นด่าอันแสบแก้วหู ดังก้องสะท้อนอยู่ในความฝันอันพร่าเลือน
เอลาเรีย เวลเลนไฮม์ ยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางจัตุรัสเมืองเก่า ที่ครั้งหนึ่งเคยอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของขนมปังสดใหม่และเสียงหัวเราะของผู้คนที่แวะเวียนมาเยี่ยมชม ตลาดที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับกลายเป็นเวทีประจานเย้ยหยัน
เธอยืนอยู่ตรงนั้น ร่างกายสั่นสะท้านในเสื้อคลุมสีกรมท่าขาดรุ่งริ่ง ผมสีน้ำตาลเข้มแห้งกรอบปิดใบหน้าที่สวยสด สายลมหนาวกรูกราวพัดกระโชกจนชายเสื้อของเธอสะบัดฟาดไปมาเหมือนธงแห่งความพ่ายแพ้
ผู้คนมากมายรายล้อมเธอเป็นวงกลม แววตาที่เคยมองเธอด้วยความเลื่อมใส บัดนี้กลับเปลี่ยนเป็นสายตาแข็งกร้าว เคลือบด้วยความโกรธและความผิดหวัง
โต๊ะไพ่ตัวเดิมที่เธอเคยนั่งประจำ ถูกพลิกคว่ำกลางลานหิน เสียงไม้กระแทกพื้นดังกึกก้อง ไพ่ทาโรต์สีสดปลิวกระจัดกระจายไปตามแรงลม ราวกับนกน้อยที่สิ้นแรงบิน พร็อพเวทมนตร์—ลูกแก้วพยากรณ์ กระดิ่งเงิน และเครื่องรางสีหม่น—กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น เหยียบย่ำจนแทบไม่เหลือสภาพ
แผ่นป้ายไม้ที่สลักคำว่า "เอลาเรีย เวลเลนไฮม์ - หมอดูผู้หยั่งรู้โชคชะตา" ถูกเหยียบซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนตัวอักษรแทบเลือนหาย เหลือเพียงเศษไม้ผุ ๆ เปื้อนโคลน
เธอโดนใส่ร้าย!!
คู่แข่งที่ประสงค์ร้ายต่อเธอใส่ร้ายป้ายสีผ่านโลกโซเชียลที่เต็มไปด้วยความหลอกลวง ส่งผลให้เธอถูกประณาม
"เธอก็แค่ต้มตุ๋น!" เสียงหนึ่งตะโกนขึ้น ทะลุทะลวงหมอกหนาในหัวของเธอ
"คำพยากรณ์ไม่มีจริง!" อีกเสียงแหลมสูงแทรกขึ้นมา ตามด้วยเสียงโห่ไล่อีกระลอก
"เราถูกหลอก!" เสียงสุดท้าย รุนแรงจนเหมือนตบหน้าด้วยฝ่ามือเย็นเฉียบ
เสียงเหล่านั้นโหมกระหน่ำใส่เธอไม่หยุดหย่อน ไล่ล่าเธอเหมือนเงามืดที่ไม่มีวันหลุดพ้น
เอลาเรียพยายามอ้าปากตะโกนอธิบาย พยายามเรียกคืนศรัทธาที่หายไป แต่คำพูดของเธอกลับกลืนหายไปในหมอกหนาทึบ ราวกับโลกนี้ไม่เหลือใครฟังเธออีกต่อไป
เธอเหวี่ยงแขน คว้าไพ่ใบหนึ่งที่ลอยละลิ่วในอากาศ—แต่ปลายนิ้วของเธอกลับสัมผัสได้เพียงอากาศว่างเปล่า ไพ่กลับลอยหนีไป ราวกับเธอไม่มีตัวตน
ขาของเธอเริ่มจมลงในหมอกหนา เย็นเยียบ และเหนียวหนืด ราวกับจะกลืนร่างของเธอทั้งเป็น ความรู้สึกโดดเดี่ยว ความสิ้นหวัง และความหวาดกลัว ท่วมท้นขึ้นมาจนแทบหายใจไม่ออก
ในห้วงวินาทีนั้น เอลาเรียรู้สึกได้ว่า... เธอกำลังถูกโลกทั้งใบลืมเลือน
แล้ว...
ตี้ง! ตี้ง! ตี้ง!
เสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือดังก้องแสบแก้วหู ราวกับระฆังเร่งเร้าให้ลืมเลือนฝันร้าย เสียงนั้นกระชากเอลาเรียให้ผงะตื่นจากห้วงหลอนในพริบตา
เธอสะดุ้งโหยง ลมหายใจติดขัด ดวงตาเบิกโพลง มองไปรอบห้องเช่าเล็ก ๆ ของตัวเองด้วยหัวใจที่ยังเต้นระรัว ผนังสีเทาหม่นแตกร้าวเป็นเส้น ๆ ด้านข้าง ผ้าม่านเก่าขาดวิ่นปลิวไหวไปมาตามกระแสลมอ่อนยามเช้า แสงแดดสีซีดส่องลอดผ่านรูตะเข็บเข้ามา ฉายเงาสั่นไหวบนพื้นไม้เก่า ๆ ที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดตามแรงลม
กลิ่นอับชื้นและกลิ่นไม้เก่าผสมปนเปกันในอากาศ แต่มันกลับให้ความรู้สึกจริงยิ่งกว่าฝันเมื่อครู่หลายเท่า
เอลาเรียหอบหายใจแรงราวกับวิ่งหนีฝันร้ายมาทั้งคืน เธอยกมือขึ้นนวดขมับเบา ๆ เพื่อบรรเทาความปวดหนึบที่เล่นงานราวกับจะตอกย้ำว่าฝันนั้นทิ้งร่องรอยไว้ในความจริง
"ฝันบ้า ๆ ... อีกแล้ว..." เธอพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงแหบพร่า ริมฝีปากแห้งแตกแทบไม่มีน้ำเสียงเหลือ
มือของเธอลูบผ่านข้างเตียง สัมผัสเจอโต๊ะไม้เก่า ๆ ที่วางของเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้บนมัน ทั้งกองไพ่ทาโรต์เก่า กล่องไม้เก็บเครื่องราง และเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญที่เป็นเงินทุนก้อนสุดท้าย
เธอสูดหายใจลึก กลืนก้อนแข็ง ๆ ที่ค้างอยู่ในลำคอลงไป ก่อนจะค่อย ๆ พาตัวเองลุกขึ้นจากเตียงผ้าใบเก่า ๆ ที่ส่งเสียงดังเอี๊ยดเบา ๆ
วันนี้เป็นวันแรก — วันที่เธอไม่มีสิทธิ์ล้มเหลวอีกแล้ว
เธอเหลือบมองไพ่ทาโรต์ที่วางกองอยู่ ขอบไพ่หลุดลุ่ยจนแทบจับไม่ติดกันแล้ว แต่เธอกลับยื่นมือไปหยิบมันขึ้นมาแนบอกแน่น ราวกับมันคือเศษเสี้ยวสุดท้ายของตัวตนที่เธอไม่ยอมปล่อยมือ
ไม่ว่าโลกจะพังทลายลงกี่ครั้ง
วันนี้... เธอจะต้องเริ่มต้นใหม่ให้ได้
หลังจากลุกขึ้นอาบน้ำ ล้างหน้าล้างตาจนความง่วงหายไป เอลาเรียเช็ดผมเปียกหมาด ๆ ด้วยผ้าขนหนูเก่า แล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเล็ก ๆ ข้างเตียง
บนราวไม้แขวนเก่า ๆ มีชุดใหม่ล่าสุดแขวนอยู่ — ยูนิฟอร์มที่เพิ่งได้รับมาจากบริษัท Omnibite เมื่อวานนี้
เธอยื่นมือไปสัมผัสเนื้อผ้า พลางอดยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากไม่ได้ ความรู้สึกตื่นเต้นน้อย ๆ จาง ๆ ผุดขึ้นในอก
ยูนิฟอร์มของ Omnibite ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันจนเกินกว่าที่ใครจะคาดคิดว่ามันเป็นเพียง "ชุดทำงาน"
เสื้อแจ็กเก็ตน้ำหนักเบา สีดำด้าน โครงเสื้อเข้ารูปเล็กน้อยเพื่อให้คล่องตัว ตัดเย็บด้วยผ้าที่ทั้งกันน้ำและระบายอากาศได้ดี พื้นผิวแต่งลายสะท้อนแสงสีเงินเป็นเส้นสายบาง ๆ พาดผ่านเหมือนรอยร้าวของอวกาศ ทว่าในแสงธรรมดามองแทบไม่เห็น เส้นสายเหล่านี้จะเปล่งแสงวาววับก็ต่อเมื่อสะท้อนกับแสงไฟยามค่ำคืน
ตรงอกซ้ายปักตราสัญลักษณ์ตัว "O" รูปประตูมิติบิดเบี้ยวซ้อนกับภาพราเมนถ้วยเล็ก ปักด้วยด้ายสีขาวสะอาดตา ลายเส้นละเอียดจนดูเหมือนภาพมีชีวิต
ด้านในเป็นเสื้อยืดสีเทาเข้มเนื้อผ้านุ่ม เบา และยืดหยุ่น รองรับการขยับตัวได้อย่างอิสระ
กางเกงขาสามส่วนทรงแอคทีฟ ตัดเย็บด้วยผ้าเทคนิคอลชนิดพิเศษ ที่ทั้งกันน้ำ กันลม และยืดหยุ่นได้ดี แม้ต้องเผชิญฝนห่าใหญ่หรือวิ่งไล่ส่งอาหารในตรอกแคบ ๆ ก็ไม่มีอะไรหยุดยั้งได้
รองเท้าผ้าใบดีไซน์โฉบเฉี่ยว สีดำขลิบเส้นเงินสะท้อนแสง บริเวณข้อเท้ามีชิประบุตัวตนฝังอยู่เป็นมาตรฐานใหม่ของบริษัท เพื่อความปลอดภัยและการเช็กอินแบบไร้สัมผัส
เมื่อสวมใส่ครบชุด เอลาเรียยืนพิจารณาตัวเองหน้ากระจกบานเล็กที่มีรอยแตกตรงมุมหนึ่ง
ใครเห็นก็คงคิดว่าเธอเป็นสมาชิกของหน่วยปฏิบัติการลับจากองค์กรลึกลับ...ไม่ใช่แค่พนักงานส่งอาหารธรรมดาแน่นอน
"อย่างน้อย...ก็ดูเท่ล่ะนะ"
เอลาเรียหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง เสียงหัวเราะนั้นเจือด้วยความขมอมหวานและความหวังเล็ก ๆ ที่ก่อตัวขึ้นท่ามกลางความเปราะบางของชีวิตใหม่
เธอยืนอยู่หน้ากระจกบานเล็ก จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ ดึงซิปเสื้อแจ็กเก็ตขึ้นจนสุดคออย่างตั้งใจ ก่อนจะเอื้อมไปคว้ากระเป๋าส่งอาหารพิเศษของ Omnibite ที่แขวนอยู่ข้างประตู
กระเป๋าใบนั้นมีผิวสัมผัสเนียนลื่น ลวดลายบาง ๆ เรืองแสงจาง ๆ บนพื้นผิวเหมือนเส้นทางในจักรวาลไกลโพ้น มันทั้งแข็งแรง กันกระแทก และดูเหมือนมีชีวิตในตัวเอง
เอลาเรียสะพายกระเป๋าขึ้นบนหลัง จัดท่าทางให้มั่นใจอีกครั้ง เธอมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก ผมสีน้ำตาลเข้มถูกรวบขึ้นลวก ๆ ใบหน้าซีดเซียวเต็มไปด้วยร่องรอยความเหนื่อยล้า แต่ในดวงตาคู่นั้น—มีประกายของความกล้าอยู่ลึก ๆ
"ส่งอาหารทะลุมิติ...เหรอ?"
เธอนึกถึงตอนที่เห็นประกาศรับสมัครครั้งแรกทางออนไลน์ ภาพโฆษณาสีฉูดฉาด บอกว่างานนี้คือโอกาสสำหรับ "ผู้กล้าที่พร้อมเดินทางข้ามพรมแดนแห่งจักรวาล" มันฟังดูไร้สาระเสียจนเธอหัวเราะออกมาในตอนนั้น
'ส่งอาหารข้ามมิติ...ต้องบ้าแน่ ๆ'
เธอเคยคิดแบบนั้นจริง ๆ — และก็ยังคิดอยู่นิดหน่อย
แต่ตอนนี้ เธอกลับยืนอยู่ตรงนี้ สวมชุดยูนิฟอร์มเท่ ๆ และพร้อมจะก้าวออกไปสู่โลกใบใหม่ ที่แม้จะยังมืดมน...แต่ก็เต็มไปด้วยความเป็นไปได้ไม่สิ้นสุด
ตี้ง!
เสียงแจ้งเตือนจากนาฬิกาข้อมือดังขึ้น ดึงเธอออกจากภวังค์
[คุณมีออเดอร์ใหม่จาก Omnibite : "โลเคชั่นไม่สามารถระบุได้"]
เอลาเรียกะพริบตาปริบ ๆ มองข้อความที่กระพริบอยู่บนนาฬิกา ก่อนจะหลุดหัวเราะขม ๆ ออกมา
"ไม่รู้โลเคชั่นงั้นเหรอ..."
เธอพูดกับตัวเองเบา ๆ ราวกับจะถามโลกนี้กลับไป
“เอาสิ...อยากรู้เหมือนกันว่าจะไปมิติไหน”
เสียงหัวเราะของเธอเบาแต่จริงใจ คราวนี้ไม่มีความกลัวเจืออยู่เลย
เอลาเรียยกนิ้วจิ้มปุ่ม "ตกลงรับงาน" อย่างไม่ลังเล —
โดยไม่รู้เลยว่า การตัดสินใจครั้งนี้ จะนำพาเธอไปสู่การผจญภัยที่ไม่อาจหวนกลับ และจะเปลี่ยนชีวิตของเธอ...ตลอดกาล
🧊 🧊 🧊 🧊 🧊
💫ลูกมังกรตัวจิ๋วคนแรก!? 🐣💕สถานที่ : วังเทียนหลง — หอจันทราเสียงลมหนาวอ่อน ๆ พัดผ่านม่านบางสีเงินที่พลิ้วไหวอย่างเงียบงัน แสงจันทร์ยามค่ำคืนนี้นุ่มนวลเป็นพิเศษ ราวกับโลกทั้งใบกำลังหยุดหายใจ…เพื่อเฝ้าดูเหตุการณ์บางอย่างฉันนั่งอยู่กลางเตียงผ้าไหม กลางอ้อมแขนของหลงอวิ๋น — ที่เวลานี้ดูจะตื่นเต้นยิ่งกว่าฉันเสียอีกเพราะในอ้อมแขนของเรา…คือ ‘ลูกมังกร’ ตัวจิ๋วที่เพิ่งถือกำเนิดใช่ค่ะ... ลูกของเราเจ้าตัวน้อยมีผมสีเงินจางราวแสงจันทร์ เปลือกตาหลับพริ้ม ริมฝีปากเล็กจิ๋วขยับเบา ๆ ขณะที่ลมหายใจอุ่นนุ่มพ่นออกมาเป็นหมอกจิ๋ว ๆ ทุกครั้งที่หายใจนิ้วมือจิ๋วนั่น…กำมือเล็ก ๆ ไว้แน่น และมีเกล็ดบาง ๆ สีเงินอมฟ้าปรากฏจาง ๆ บนหลังมือ“เขามีเกล็ด…” ฉันกระซิบ ขณะวางมือลงบนผ้าห่มผืนน้อยหลงอวิ๋นที่นั่งอยู่ข้างฉันเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะโน้มตัวลงจูบหน้าผากลูกเบา ๆ ดวงตาสีฟ้าของเขาสั่นระริกด้วยความตื้นตันที่เขาไม่เคยแสดงออกแบบนี้มาก่อน“
💎 ราชินีแห่งเทียนหลง...ผู้ไม่กินเผ็ดฉันคือคือเอลาเรีย...ราชินีผู้กุมพลังมังกรจันทรา ผู้ผนึกมังกรทองด้วยเวทโบราณ...และผู้ที่พ่ายแพ้อย่างหมดรูปให้กับ...เพลิงเกล็ดมังกรหนึ่งเม็ด พริกในตำนานที่แค่ได้กลิ่น ลิ้นก็เหมือนโดนเปลวเพลิงว่ากันว่า ‘เพลิงเกล็ดมังกร’ เกิดขึ้นเมื่อเปลวไฟจากมังกรบรรพกาลตกกระทบเมล็ดพืชธรรมดาในสงครามเมื่อพันปีก่อน เมล็ดนั้นดูดซับพลังและกลายพันธุ์ จนกลายเป็นพริกต้องห้ามที่ แม้แต่มังกรไฟบางตนยังหลีกเลี่ยง“ฉันแค่ถามว่า ‘เผ็ดมากมั้ย’ ไม่ได้หมายความว่า ‘ขอเผ็ดที่สุดในโลก’ นะค้า!!”ฉันตะโกนลั่นกลางโต๊ะทรงกลมที่ตั้งอยู่ในห้องทานอาหารส่วนตัวของราชวังราอูลกับไคเซอร์แทบจะกลิ้งลงจากเก้าอี้ด้วยความขำเอลิอานยื่นน้ำเย็นให้พร้อมสีหน้าที่ดูเหมือนพยายามกลั้นหัวเราะอย่างยิ่งยวดแต่คนที่แย่ที่สุด—คือ หลงอวิ๋นท่านชายสุดหล่อที่นั่งกินพริกเผ็ดระดับมังกรไฟด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แล้วหันมาถามฉันเสียงเรียบม
ร่างของฉันยังหอบสะท้านไม่หายหลงอวิ๋นค่อย ๆ เลื่อนตัวขึ้นมา ร่างเปลือยเปล่าทาบทับฉันอย่างมั่นคง ปลายลิ้นเขายังไล้เล็มริมฝีปากฉันแผ่วเบา ก่อนกระซิบเสียงพร่าที่ข้างหู“เจ้าพร้อมหรือยัง...”ยังไม่ทันให้ฉันตอบ ร่างกายฉันก็รับรู้ถึงแก่นกายของเขา ที่ร้อนจัดและแข็งแกร่งกำลังแนบอยู่ตรงกลางกลีบเนื้อที่ชื้นฉ่ำ ปลายหัวดันเบา ๆ อย่างมีจังหวะ ขณะที่มือของเขาจับสะโพกฉันไว้มั่น“อ๊ะ...หลงอวิ๋น...!”ฉันครางเผลอเมื่อเขาค่อย ๆ ดันเข้ามาทีละน้อย ผนังด้านในตอดรัดแท่งร้อนของเขาอย่างแน่นหนึบ จนเขาต้องขมวดคิ้วและกัดฟันนิด ๆ“แน่นเหลือเกิน...”เสียงของเขาต่ำและกระเส่า ก่อนจะกระซิบข้างหูฉัน“แต่ข้าจะเข้าไปให้หมด...”พูดจบ เขาก็กระแทกเข้ามาจนสุดในจังหวะเดียว“อ๊าาาาา!!”ฉันร้องเสียงหลง เมื่อแก่นกายของเขาถูกดันเข้ามาลึกสุดทาง มิดชิดแนบชิดจนสัมผัสได้ถึงชีพจรที่เต้นจากร่างเขา...ในตัวฉันเขาผงกตัวขึ้น มือสองข้างยันกับเตียง ปล่อยให้ท่อนล่างขยับได้อย่างเต็มแรงจากนั้น...ตึง ตึง ตึง!เขาเริ่มกร
พระราชพิธีแต่งงาน ณ พระราชวังเทียนหลงเสียงขลุ่ยหยกโบราณดังแผ่วไปทั่วหุบเขา และเสียงระฆังเงินก็ดังขึ้นเจ็ดครั้งตามจังหวะลมหายใจของมังกรทั้งเจ็ดแห่งสภาฟ้าดอกหิมะโปรยปรายจากฟากฟ้าอย่างสงบ แต่มือของฉันเย็นเฉียบไม่ใช่เพราะอากาศ...แต่เพราะใจเต้นแรงยิ่งกว่าครั้งไหนในชีวิตฉันไม่เคยคิดว่า ‘งานแต่งงาน’ ของตัวเองจะจัดขึ้นในวังของมังกร…และยิ่งไม่เคยคิดเลยว่าคนที่ยืนรออยู่ปลายทางเดินคือมังกรน้ำแข็งผู้เยือกเย็นที่สุดในตำนานวันนี้ไม่ใช่แค่วันแต่งงานธรรมดาแต่มันคือ “พิธีเสกสมรสระหว่างราชามังกรในอนาคต” กับมนุษย์ต่างโลก—หญิงสาวที่ไม่มีสายเลือดสูงศักดิ์ ไม่มีอำนาจทางการเมืองใด ๆ ...มีเพียงหัวใจที่กล้ารัก และยืนหยัดเคียงข้างณ ท้องพระโรงใหญ่ของวังเทียนหลงหอแก้วทั้งหลังถูกประดับด้วยแผ่นผลึกน้ำแข็งสลักมือ เรียงรายเป็นเสาโค้งล้อมแท่นพิธีตรงกลาง — พื้นหินใสราวกระจก สะท้อนเงาแสงจันทราเต็มดวง พร้อมภาพของฉันที่กำลังเดินก้าวเข้าไปทีละก้าวชุดเจ้าสาวของฉันในวันนี้...คือชุดที่รังสรรค์ขึ้นด้วย
สวนหิมะนิรันดร์ — ยามค่ำของฤดูจันทราวสันต์แสงจันทร์ทอประกายอ่อนนุ่มลงบนหิมะขาวทั่วทั้งสวน เสียงน้ำแข็งแตกรินเบา ๆ จากลำธารเล็กที่เพิ่งละลายจากมนตราแห่งฤดูใหม่ กลีบเกล็ดหิมะโปรยลงมาช้า ๆ จากท้องฟ้า สะท้อนแสงจันทร์ราวเกล็ดเงินลอยละล่องในห้วงความฝันพุ่มไม้หิมะรอบสวนยังคงเงียบงัน ราวกับเฝ้ารอสิ่งใดอยู่...เช่นเดียวกับฉัน ที่ยืนอยู่หน้ากุหลาบน้ำแข็งซึ่งยังคงหลับใหล ไม่ยอมแย้มกลีบในค่ำคืนนี้เสียงฝีเท้าทุ้มหนักนุ่มนวลดังขึ้นจากด้านหลัง ก่อนจะมีเสียงที่ฉันจำได้แม่นดังขึ้น“ข้าคิดว่าเจ้าหลับไปแล้ว”ฉันไม่ตอบในทันที แต่หันไปมองร่างสูงในชุดคลุมเรียบง่าย ไม่ใช่เครื่องราชพิธี ไม่ใช่ฐานะผู้ครองแผ่นดิน“ข้าคิดว่าเจ้าหลับไปแล้ว”“ฉันนอนไม่หลับค่ะ”เราสองคนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ฉันจะหันไปมองเขา...ใบหน้าของหลงอวิ๋นอยู่ใต้เงาจันทร์ครึ่งดวง แสงสีเงินอ่อนสะท้อนบนเสี้ยวหน้าด้านขวา—เผยผิวขาวนวลประหนึ่งหินหยกสลัก ลมหายใจเย็น ๆ ของเขาละลายเป็นไอควันเบา ๆ ยามกระทบอากาศเย็น
“เพราะเมื่อหัวใจของผู้คนเปลี่ยน...ดินแดนก็เปลี่ยนตาม”แสงแรกของราตรีวันใหม่...ไม่ใช่แสงอาทิตย์แต่เป็นแสงจันทร์อ่อนละมุน ที่ทอประกายลงมาจากฟากฟ้า—อ่อนโยน...เจิดจ้ายิ่งกว่าเคยดินแดนแห่งหิมะที่เคยเงียบงัน...กำลังมีการเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งแรกในรอบพันปีเสียง ‘หยดน้ำ’ หยดแรก—ดังกระทบผืนน้ำแข็ง เบาเสียจนราวกับโลกทั้งใบต้องหยุดฟังหยดล็ก ๆ นั้น ไม่ได้เกิดจากอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง แต่มาจากเวทของ ‘ใครบางคน’ ที่เปลี่ยนความเยือกเย็นให้กลายเป็นพลังแห่งการเยียวยาทั่วทั้งแนวทุ่งหิมะ ดอกไม้สีฟ้าขาวเริ่มโผล่ขึ้นจากผิวดิน กลีบใสราวกับหยดจันทร์ ละลานตาราวกับดวงดาวที่หยั่งรากบนพื้นโลก—คือ ‘กุหลาบจันทรานิรันดร์’ดอกไม้ในตำนานที่เคยต้องใช้เวลาหนึ่งศตวรรษในการเบ่งบานแต่วันนี้…มันกำลังผลิบานพร้อมกันทั้งทุ่ง ด้วยเวทจันทราที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความรักและการให้อภัยหิมะ...ไม่ได้ละลายหายไปแต่หลอมรวมเป็นสายน้ำใสไหลเอื่อย เหนือยอดต้นเข็มสน ใบ
댓글