ท่ามกลางทุ่งหิมะขาวโพลนที่แผ่กว้างสุดลูกหูลูกตา ลมหิมะเย็นเฉียบพัดกรูใส่หน้าแบบไม่ปรานี
เกล็ดหิมะละเอียดปลิวว่อนอยู่ในอากาศหนาแน่นจนแทบมองไม่เห็นเส้นขอบฟ้า ทุกย่างก้าวที่ฉันเดินเหมือนเหยียบลงไปในมหาสมุทรเย็นเยียบที่ไม่รู้จุดจบ
"ฮ่าาา...อะไรกันเนี่ย..."
ฉันกัดฟันแน่น เสียงลมหายใจของตัวเองกลายเป็นไอขาวพวยพุ่งออกมาเป็นจังหวะ ยกแขนปิดหน้าบังลม และก้าวเท้าออกไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นที่รวบรวมมาแทบหมดทั้งชีวิต
ข้างหลัง —
ประตูเชื่อมต่อกับโลกเดิม ที่ครั้งหนึ่งยังมองเห็นเป็นบานประตูไม้ธรรมดา บัดนี้ค่อย ๆ เลือนหายไป
เหมือนเงาฝันจาง ๆ ถูกลบหายไปกับหิมะ
เหมือนไม่เคยมีอยู่เลยตั้งแต่แรก
ทิ้งฉันไว้กลางโลกที่ไม่รู้จัก
ตอนนี้...
ฉันมีแค่ตัวเอง กับ...กล่องราเมนที่อบอุ่นในมือเท่านั้น
มือข้างที่กอดกล่องไว้แน่นรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นเล็ก ๆ
มันเหมือนจุดไฟเล็ก ๆ ในทะเลน้ำแข็งนี้ กลิ่นหอมกรุ่นที่แทรกออกมาจากกล่อง ยังช่วยเตือนว่าฉันมีภารกิจ — มีเป้าหมาย — และยังมีอะไรบางอย่างที่ต้องไปให้ถึงเสียงลมหิมะพัดหวิวดังครืนครางอยู่รอบตัว — มันไม่ใช่แค่เสียงลมธรรมดา แต่ฟังดูเหมือนเสียงคำรามอันแผ่วเบาของบางสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ใต้พรมหิมะหนานุ่มนี้
ชุดกันหนาวไฮเทคที่พี่ยำให้มา แม้จะปกป้องความหนาวไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่อาจหยุดความสั่นไหวที่ไหลมาจากข้างในตัวฉันเอง
สั่นด้วยหนาว หรือสั่นด้วยความกลัว...ฉันเองก็แยกไม่ออกแล้ว
ทุกย่างก้าวที่ฝ่าไป รอยเท้าของฉันจมหายลงในหิมะหนาเกือบถึงหัวเข่า ทิ้งร่องรอยบางเบาที่ถูกลมหิมะกลบทับอย่างรวดเร็ว ราวกับโลกนี้ไม่ต้องการให้มีหลักฐานว่าฉันเคยมาเหยียบย่างที่นี่
'แค่เดินตรงไป...เดินตรงไป...'
ฉันท่องอยู่ในหัวซ้ำ ๆ อย่างกับคาถาคุ้มครอง
ทั้งที่ในความเป็นจริง...โลกใบนี้ไม่มีแม้แต่เส้นทางให้เดินตาม มีเพียงสีขาวโพลนของหิมะ กับความเงียบงันที่หนาวเหน็บกินลึกเข้าไปถึงกระดูก
ลมพัดแรงจนแทบก้าวเท้าไม่ออก หิมะปกคลุมถึงข้อเท้า หนักอึ้งจนทุกย่างก้าวต้องใช้แรงลากขาไปทีละก้าว ทีละก้าว
ความหนาวแทรกซึมเข้ามาแม้จะมีชุดกันหนาวชั้นเยี่ยมปกคลุมตัวอยู่ก็ตาม
"ถ้าใครคิดว่าส่งอาหารในกรุงตอนรถติดแย่แล้ว...ลองมาส่งในพายุหิมะดูมั้ย..."
ฉันพึมพำใส่ลมอย่างหงุดหงิด มือที่กอดกล่องราเมนไว้แนบอกสั่นระริกเพราะต้องฝืนสู้กับทั้งความเหน็บหนาวและแรงลมบ้าคลั่ง
"แค่สั่งราเมน...ถึงขั้นต้องส่งข้ามมิติเลยหรือไง?!"
เสียงพึมพำนั้นปลิวหายไปกับลม — ไม่มีใครได้ยิน นอกจากตัวฉันเอง
กล่องราเมนในมือเป็นเหมือนแหล่งความอบอุ่นเดียวในโลกใบนี้ ความร้อนน้อย ๆ จากมันช่วยให้มือของฉันไม่แข็งจนสูญเสียความรู้สึก แม้จะต้องจับมันด้วยปลายนิ้วแข็งชาจนแทบไม่รู้ตัวแล้วก็ตาม
ตึง!
บางอย่างลื่นไถลเข้ามาชนขาข้างหนึ่งเบา ๆ จนฉันสะดุ้ง
"เฮ้ย?! อะไรน่ะ!"
ฉันรีบก้มลงมอง ระแวงว่าอาจเป็นสัตว์ประหลาดจากมิติประหลาดนี้
แต่สิ่งที่เห็น...กลับเป็นก้อนกลม ๆ เล็ก ๆ สีขาว ที่กลิ้งอยู่ข้างรองเท้าของฉัน
ก้อนเล็กนั่นติดหิมะเกาะพราวทั้งตัว ดูเหมือนเศษก้อนน้ำแข็งในตอนแรก...แต่เมื่อฉันเพ่งมองดี ๆ ถึงเห็นว่ามันหายใจเบา ๆ จนไหล่เล็ก ๆ นั่นสั่นไหว
มันคือ ลูกสัตว์ตัวน้อย — คล้ายลูกจิ้งจอก แต่ขนของมันเหมือนทำจากเกล็ดน้ำแข็งเล็ก ๆ ระยิบระยับเคลือบทั่วร่าง ดวงตาสีฟ้าอ่อนเปิดปิดช้า ๆ ราวกับกำลังใกล้หมดแรงเต็มที
"โอ๋ย...ตัวจ้อยเอ๊ย..."
หัวใจฉันบีบรัดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ฉันรีบหย่อนตัวลง ประคองเจ้าก้อนน้อยขึ้นจากหิมะอย่างเบามือ ตัวมันเบาจนเหมือนเศษขนมสายไหมเล็ก ๆ และสั่นระริกจนฉันรู้สึกได้ผ่านปลายนิ้วที่ชา
"สงสัยพลัดหลงกับแม่ล่ะสิ..."
ฉันพึมพำ มองซ้ายมองขวา แต่มีเพียงหิมะว่างเปล่า — ไม่มีเสียง ไม่มีร่องรอย ไม่มีเงาอื่นใด
ใจหนึ่งอยากอุ้มเจ้าตัวน้อยกลับบ้านไปดูแลให้ปลอดภัยเต็มที่ แต่อีกใจ...ฉันมีภารกิจในมือ — กล่องราเมนที่ต้องส่งให้ทันก่อนที่ความร้อนจะสลายไปกับพายุหิมะ
"โอเค ฟังนะ เจ้าก้อนหิมะน้อย"
ฉันก้มหน้าลงกระซิบใกล้หูเล็ก ๆ ของมัน ขณะที่มันพยายามลืมตาขึ้นมามองฉันด้วยสายตาเปียกชื้น
"ฉันต้องไปส่งราเมนก่อน ไม่งั้นนายกับฉันได้แข็งตายพร้อมกันแน่"
ฉันควานหาผ้าพันคอผืนหนาในกระเป๋าแคปซูล ลากมันออกมาด้วยมือที่สั่นเทา แล้วค่อย ๆ ห่อเจ้าจิ้งจอกน้ำแข็งน้อยไว้แนบอกอีกข้าง ข้างเดียวกับหัวใจของฉัน
ข้างหนึ่งคือกล่องราเมนที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
ข้างหนึ่งคือชีวิตน้อย ๆ ที่ให้ความอบอุ่นแก่หัวใจ
สองชีวิต สองภารกิจ...สู้โว้ย!
ฉันกัดฟันแน่นอีกครั้ง
รวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือ ก้าวเท้าออกไปในทุ่งหิมะอันโหดร้ายด้วยหัวใจที่หนักแน่นขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
ฉันลากขาเดินฝ่าหิมะต่อไปเรื่อย ๆ รู้สึกเหมือนก้าวเท้าในฝันที่ไม่มีวันไปถึงจุดหมาย
จนกระทั่ง...
เงาร่างขนาดมหึมา ปรากฏขึ้นในม่านหิมะเบื้องหน้า ราวกับภาพลวงตาที่ค่อย ๆ ชัดขึ้นทีละนิด
มันคือ วังน้ำแข็ง — ปราสาทสีขาวเงินตั้งตระหง่านท่ามกลางทุ่งหิมะรกร้าง
เสาหินน้ำแข็งขนาดมหึมาเรียงตัวเป็นแนวโค้งอย่างวิจิตรตระการตา แกะสลักอย่างละเอียดเหมือนลมหายใจของโลกได้ปั้นแต่งมันขึ้นมาเอง
กำแพงสูงตระหง่านเป็นแผ่นน้ำแข็งใสบริสุทธิ์ที่สะท้อนประกายแสงจากฟากฟ้าให้สว่างไสวราวกับก้อนเมฆเรืองแสง
ความงดงามนั้น...แทบทำให้ฉันลืมหายใจไปชั่วขณะ
หน้าประตูวังขนาดใหญ่ที่ปิดสนิท มีใครบางคนยืนอยู่
ชายคนหนึ่ง —
สูง สง่า และเยือกเย็นจนบรรยากาศรอบตัวดูสงบนิ่งผิดธรรมชาติ
เส้นผมยาวสีครามเข้มปลิวไหวตามแรงลมราวม่านน้ำหมึก ชุดคลุมสีเทาเงินแนบไปตามร่างสูงโปร่ง แข็งแรง ประหนึ่งรูปสลักจากหินน้ำแข็งเก่าแก่
ร่างของเขาดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของวังน้ำแข็งเบื้องหลัง — เย็นเยียบ งดงาม และน่าเกรงขามอย่างไม่น่าเชื่อ
และที่สำคัญที่สุด...
เขากำลังจ้องมาที่ฉัน —
ไม่ใช่ที่ใบหน้าฉัน แต่จ้องไปยังกล่องอาหารราเมนในมืออย่างแน่วแน่
ดวงตาสีฟ้าเข้มลึกเหมือนบ่อบาดาลใต้ธารน้ำแข็งพันปี จับจ้องกล่องราเมนเรืองแสงในอ้อมแขนฉันด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก — ความสงสัย? ความไม่เชื่อ? หรือความสนใจที่แทบจะมองเห็นได้ชัดเจน?
หัวใจฉันกระตุกวูบ — ร่างแข็งค้างอยู่ตรงนั้นเหมือนรูปปั้นอีกชิ้นหนึ่งของวังน้ำแข็ง
'ไม่ใช่แค่หล่อ...นี่มันตัวอันตรายชัด ๆ!'
ฉันพยายามกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอ แล้วฝืนยิ้มเกร็ง ๆ ยกกล่องราเมนขึ้นสูงนิดหน่อยเป็นสัญญาณแบบงก ๆ
"อะ...เอ่อ...ออมนิไบท์เดลิเวอรี่ค่ะ ราเมนเพลิงจันทร์ลาวา...สำหรับคุณ?"
เสียงของฉันถูกลมหนาวกลืนหายไปเกือบครึ่ง แต่เขาก็ยังได้ยิน
ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วขณะ ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคมกริบใต้แพขนตายาวพริ้มจับจ้องกล่องราเมนราวกับกำลังวิเคราะห์มันทุกอณู
เขาไม่พูดอะไร
ไม่ถาม ไม่ขานรับ
แค่...
ก้าวเข้ามาใกล้
ช้า ๆ แน่วแน่
ลมหิมะที่พัดกรูรอบตัวดูเหมือนจะสงบลงเล็กน้อยทันทีที่เขาขยับตัว
อากาศหนาวรอบกายคล้ายจางลงอย่างผิดธรรมชาติ ราวกับฤทธิ์แห่งพลังบางอย่างแผ่ออกมาจากตัวเขา
ฝีเท้าของเขาเบาและนิ่งสงบ แต่กลับเต็มไปด้วยแรงกดดันที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะจมลงไปในหิมะ
'โอ้พระเจ้า...'
ฉันกลืนน้ำลายเหนียวหนืด รู้สึกเหมือนร่างกายไม่ตอบสนองอีกต่อไป
'ฉันส่งอาหารให้ใครกันแน่เนี่ย...เทพน้ำแข็งเรอะ?!'
ในขณะที่หัวใจเต้นระรัวจนน่ากลัวว่าจะได้ยินจากภายนอก
ฉันยืนแข็งอยู่กับที่...
ทำได้แค่ภาวนาในใจว่า "เทพเจ้าน้ำแข็ง" ตรงหน้านี้...จะไม่หิวราเมนมากเสียจนเป่าฉันให้กลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งไปด้วยอีกคนหรอกนะ
❄️❄️❄️❄️❄️❄️
ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มยังคงจ้องฉันนิ่ง ๆ ไม่ไหวติง สายตาของเขาเย็นเยียบ ปราศจากอารมณ์เหมือนผืนน้ำแข็งโบราณที่ไม่เคยละลายตลอดกาลฉันยืนเกร็งอยู่ท่ามกลางลมหิมะที่กระหน่ำใส่ราวกับจะพัดฉันปลิวได้ทุกเมื่อกอดกล่องราเมนแนบอกไว้แน่นจนแทบจะฝังเข้าไปในร่าง ราวกับมันคือโล่ป้องกันตัวสุดท้ายที่ฉันมีในโลกใบนี้'ยิ้มเข้าไว้เอลาเรีย...อย่างน้อยก็ตายอย่างมีมารยาท...'ฉันพยายามยิ้มแหย ๆ แต่ริมฝีปากสั่นระริกจนแทบเก็บไม่อยู่ ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจได้ว่าจะหนีหรือสู้...เสียงฝีเท้าหนัก ๆ หลายคู่ก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงจากด้านหลังวังน้ำแข็งกึก กึก กึก กึก!ชายในชุดเกราะสีเงินวาววับวิ่งกรูออกมา เสียงเกราะกระทบกันดังแกรก ๆ ลั่นสะท้อนในอากาศเย็นจัดพวกเขาล้อมฉันไว้ในพริบตา ท่าทางแข็งกร้าวเหมือนหินน้ำแข็งที่ไม่มีวันแตก"บุกรุกพื้นที่หวงห้าม!"เสียงหนึ่งตะโกนกร้าว"จับตัวไว้!"อีกเสียงตะโกนซ้ำ ขณะที่มือข้างหนึ่งหยิบเชือกเวทย์ที่เรืองแสงสีฟ้าอ่อนออกมา"หาาาา?! เดี๋ยว ๆ ฉันแค่ส่งราเมนนะ!"ฉันโบกไม้โบกมือรัว ๆ จนกล่องราเมนแทบหลุดจากมือ พยายามถอยหลังหนีโดยไม่คิดชีวิตแต่พื้นหิมะลื่นอย่างร้ายกาจ เท้าที่จมหายอยู่ในห
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของฉันก้าวย่ำลงบนหิมะกรอบกรับในความเงียบเสียงนั้นเล็กน้อยนัก เมื่อเทียบกับความกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตของลานหิมะที่แผ่ขยายอยู่รอบตัวฉันกอดกระเป๋าส่งอาหารแนบตัวแน่น เดินตามหลังชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีครามเข้มที่ปลิวลู่ตามแรงลมเบา ๆ อย่างสง่างามร่างสูงโปร่งของเขาเป็นเหมือนเส้นทางนำทางเดียวในโลกที่ไร้จุดหมายนี้ลมหิมะที่เคยเกรี้ยวกราด ราวกับโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่ บัดนี้กลับสงบนิ่งอย่างประหลาด ราวกับธรรมชาติเองยังยอมสยบให้กับการปรากฏตัวของเขาหลงอวิ๋น — ฉันยังไม่รู้จักชื่อจริงของเขาในตอนนี้แต่ในใจของฉัน...ได้ตั้งชื่อให้เขาเงียบ ๆ ว่า "เจ้าชายน้ำแข็ง"เมื่อก้าวผ่านประตูวังเข้าไป...ฉันเผลออ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัวภายในวังน้ำแข็ง...ไม่ได้เยือกเย็นน่ากลัวเหมือนที่ฉันเคยจินตนาการเอาไว้เลยตรงกันข้าม — มันสวยงามจนแทบหยุดหายใจห้องโถงใหญ่เบื้องหน้าสูงเสียดเพดาน ราวกับแผ่นฟ้าถูกยกมาครอบวังแห่งนี้เสาหินน้ำแข็งบริสุทธิ์ตั้งตระหง่านแต่ละต้นแกะสลักลวดลายอย่างประณีต —มังกรน้ำแข็ง พันตัวลอยละลิ่วขึ้นไปสู่ความสูง ราวกับจะทะยานสู่ท้องฟ้าเพดานประดับด้วย คริสตัลน้ำแข็งนับพันแต่ละเม็ดเจียระไน
วังน้ำแข็งเบื้องหน้าเงียบสงบเหมือนความฝันผนังน้ำแข็งใสราวกระจกสะท้อนแสงคริสตัลระยิบระยับ ดั่งหมื่นดวงดาวแขวนอยู่ในคืนหนาวแต่หัวใจของฉัน...กำลังเต้นสับสนและร้อนรุ่มอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนหลังจากส่งราเมนเสร็จ ฉันคิดว่างานจบแล้วแค่กดเปิดระบบ Omnibite แล้วกลับบ้านเหมือนทุกครั้งฉันกวาดนิ้วลงบนหน้าจอนาฬิกาอย่างคล่องแคล่วด้วยความเคยชิน ใจเฝ้าฝันถึงห้องเช่าอันคับแคบ ผ้าห่มขาด ๆ และกลิ่นกาแฟที่เก่าจนขมขื่นแต่...[Error: ไม่สามารถเชื่อมต่อมิติปกติ][ระบบเสียหาย: โปรดรอการรีเซ็ตพลังงานใน 7 วัน]ฉันกะพริบตาปริบ ๆมองข้อความนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับมันจะเปลี่ยนคำตอบได้ถ้าฉันจ้องนานพอ“...หา?”มือไม้เย็นเฉียบจนแทบไม่รู้ตัวฉันกดรีเซ็ต กดสแกน กดทุกอย่างที่จำได้จากคู่มือฉุกเฉิน แต่ไม่ว่าอย่างไร...ข้อความเดิมก็ยังคงสว่างอยู่บนหน้าจอ[คุณติดอยู่ในโลกนี้ 7 วัน]“...ฉันติดอยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอ?”เสียงตัวเองเบาเสียย
เช้าวันใหม่ในวังน้ำแข็งเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด แสงเงินบาง ๆ จากดวงอาทิตย์ที่ไม่เคยส่องแรงเกินไปในดินแดนหิมะ ทอผ่านหน้าต่างน้ำแข็งหนาเป็นลำแสงอ่อน ๆ คลี่ตัวลงบนพื้นพรมขนสัตว์หนานุ่มฉันขยับตัวใต้ผ้าห่มขนสัตว์ สูดกลิ่นอุ่น ๆ ของไฟเวทย์ที่ยังคงลุกโชนในเตาผิงก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นอย่างสุภาพ“คุณผู้มาเยือน...”เสียงอ่อนโยนของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากหลังบานประตู“ข้ามีนามว่า เสี่ยวหนิง มาดูแลท่านตามบัญชาขององค์ชาย”ฉันสะดุ้งเล็กน้อย รีบลุกขึ้นจากเตียง กอดผ้าห่มขนสัตว์แนบอกด้วยความเคยชินของคนแปลกที่แล้วตอบเสียงเบา ๆ“เข้ามาได้ค่ะ”บานประตูเปิดออกเบา ๆ อย่างนุ่มนวลหญิงสาวร่างเล็กในชุดสีขาวสะอาดก้าวเข้ามาใบหน้าของเธออ่อนหวาน ดวงตากลมโค้งรับรอยยิ้มสุภาพ ทำให้บรรยากาศแข็งกร้าวของวังน้ำแข็งดูนุ่มนวลลงทันทีที่เธอปรากฏตัว“ข้ามีหน้าที่นำอาหาร เครื่องใช้ และช่วยดูแลท่านระหว่างที่พักอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ”เสี่ยวหน
เสียงหัวเราะเยาะ... เสียงซุบซิบกระซิบกระซาบ... และเสียงก่นด่าอันแสบแก้วหู ดังก้องสะท้อนอยู่ในความฝันอันพร่าเลือนเอลาเรีย เวลเลนไฮม์ ยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางจัตุรัสเมืองเก่า ที่ครั้งหนึ่งเคยอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของขนมปังสดใหม่และเสียงหัวเราะของผู้คนที่แวะเวียนมาเยี่ยมชม ตลาดที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับกลายเป็นเวทีประจานเย้ยหยันเธอยืนอยู่ตรงนั้น ร่างกายสั่นสะท้านในเสื้อคลุมสีกรมท่าขาดรุ่งริ่ง ผมสีน้ำตาลเข้มแห้งกรอบปิดใบหน้าที่สวยสด สายลมหนาวกรูกราวพัดกระโชกจนชายเสื้อของเธอสะบัดฟาดไปมาเหมือนธงแห่งความพ่ายแพ้ผู้คนมากมายรายล้อมเธอเป็นวงกลม แววตาที่เคยมองเธอด้วยความเลื่อมใส บัดนี้กลับเปลี่ยนเป็นสายตาแข็งกร้าว เคลือบด้วยความโกรธและความผิดหวังโต๊ะไพ่ตัวเดิมที่เธอเคยนั่งประจำ ถูกพลิกคว่ำกลางลานหิน เสียงไม้กระแทกพื้นดังกึกก้อง ไพ่ทาโรต์สีสดปลิวกระจัดกระจายไปตามแรงลม ราวกับนกน้อยที่สิ้นแรงบิน พร็อพเวทมนตร์—ลูกแก้วพยากรณ์ กระดิ่งเงิน และเครื่องรางสีหม่น—กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น เหยียบย่ำจนแทบไม่เหลือสภาพแผ่นป้ายไม้ที่สลักคำว่า "เอลาเรีย เวลเลนไฮม์ - หมอดูผู้หยั่งรู้โชคชะตา" ถูกเหยียบซ้ำแล้
ถนนสายเช้ายังคงว่างเปล่า มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวลอดผ่านตรอกแคบ ๆ ที่ทอดยาวเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด ฉันเร่งก้าวเท้าไปตามทาง ลมหายใจเปลี่ยนเป็นไอขาวลอยวูบวาบในอากาศหนาวเหน็บ ทั้งที่ปฏิทินบอกว่ากำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วแท้ ๆมือข้างหนึ่งกอดกระเป๋าส่งอาหารแน่น ขณะที่อีกข้างกำเสื้อแจ็กเก็ตไว้แน่นเพื่อกันลมที่เย็นเฉียบแทงทะลุเข้ามาในทุกอณูผิว‘Omnibite...นั่นไง’ฉันหยุดยืนหน้าร้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง — มันดูธรรมดาจนน่าเหลือเชื่อว่าที่นี่คือศูนย์กลางการส่งอาหารทะลุมิติป้ายหน้าร้านเป็นกระจกสีดำเรียบลื่น ไม่มีโลโก้ ไม่มีชื่อร้าน ไม่มีแม้แต่ตัวอักษรใด ๆ ที่บอกว่านี่คืออะไร นอกจากเส้นสายแสงเงินบางเบาที่ไหลวูบไหวไปมาใต้ผิวกระจก ราวกับเป็นลมหายใจของบางสิ่งที่หลับใหลอยู่ภายในแสงนั้นสั่นระริก เหมือนเส้นทางของแม่น้ำบนท้องฟ้า พริบพรายอย่างเงียบงันในยามเช้ามืดฉันกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ ก่อนจะยื่นมือออกไปผลักประตูกระจกเบา ๆ —ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสบานประตู โลกทั้งใบก็เหมือนพลิกตัวไปอีกมิติหนึ่งประตูเปิดออกอย่างไร้เสียงแสงสีเงินจาง ๆ พร่างพรายออกมาและทันทีที่ก้าวข้ามธรณีประตู..."ยินดีต้อนรับสู่ Omnibite
เช้าวันใหม่ในวังน้ำแข็งเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด แสงเงินบาง ๆ จากดวงอาทิตย์ที่ไม่เคยส่องแรงเกินไปในดินแดนหิมะ ทอผ่านหน้าต่างน้ำแข็งหนาเป็นลำแสงอ่อน ๆ คลี่ตัวลงบนพื้นพรมขนสัตว์หนานุ่มฉันขยับตัวใต้ผ้าห่มขนสัตว์ สูดกลิ่นอุ่น ๆ ของไฟเวทย์ที่ยังคงลุกโชนในเตาผิงก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นอย่างสุภาพ“คุณผู้มาเยือน...”เสียงอ่อนโยนของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากหลังบานประตู“ข้ามีนามว่า เสี่ยวหนิง มาดูแลท่านตามบัญชาขององค์ชาย”ฉันสะดุ้งเล็กน้อย รีบลุกขึ้นจากเตียง กอดผ้าห่มขนสัตว์แนบอกด้วยความเคยชินของคนแปลกที่แล้วตอบเสียงเบา ๆ“เข้ามาได้ค่ะ”บานประตูเปิดออกเบา ๆ อย่างนุ่มนวลหญิงสาวร่างเล็กในชุดสีขาวสะอาดก้าวเข้ามาใบหน้าของเธออ่อนหวาน ดวงตากลมโค้งรับรอยยิ้มสุภาพ ทำให้บรรยากาศแข็งกร้าวของวังน้ำแข็งดูนุ่มนวลลงทันทีที่เธอปรากฏตัว“ข้ามีหน้าที่นำอาหาร เครื่องใช้ และช่วยดูแลท่านระหว่างที่พักอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ”เสี่ยวหน
วังน้ำแข็งเบื้องหน้าเงียบสงบเหมือนความฝันผนังน้ำแข็งใสราวกระจกสะท้อนแสงคริสตัลระยิบระยับ ดั่งหมื่นดวงดาวแขวนอยู่ในคืนหนาวแต่หัวใจของฉัน...กำลังเต้นสับสนและร้อนรุ่มอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนหลังจากส่งราเมนเสร็จ ฉันคิดว่างานจบแล้วแค่กดเปิดระบบ Omnibite แล้วกลับบ้านเหมือนทุกครั้งฉันกวาดนิ้วลงบนหน้าจอนาฬิกาอย่างคล่องแคล่วด้วยความเคยชิน ใจเฝ้าฝันถึงห้องเช่าอันคับแคบ ผ้าห่มขาด ๆ และกลิ่นกาแฟที่เก่าจนขมขื่นแต่...[Error: ไม่สามารถเชื่อมต่อมิติปกติ][ระบบเสียหาย: โปรดรอการรีเซ็ตพลังงานใน 7 วัน]ฉันกะพริบตาปริบ ๆมองข้อความนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับมันจะเปลี่ยนคำตอบได้ถ้าฉันจ้องนานพอ“...หา?”มือไม้เย็นเฉียบจนแทบไม่รู้ตัวฉันกดรีเซ็ต กดสแกน กดทุกอย่างที่จำได้จากคู่มือฉุกเฉิน แต่ไม่ว่าอย่างไร...ข้อความเดิมก็ยังคงสว่างอยู่บนหน้าจอ[คุณติดอยู่ในโลกนี้ 7 วัน]“...ฉันติดอยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอ?”เสียงตัวเองเบาเสียย
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของฉันก้าวย่ำลงบนหิมะกรอบกรับในความเงียบเสียงนั้นเล็กน้อยนัก เมื่อเทียบกับความกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตของลานหิมะที่แผ่ขยายอยู่รอบตัวฉันกอดกระเป๋าส่งอาหารแนบตัวแน่น เดินตามหลังชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีครามเข้มที่ปลิวลู่ตามแรงลมเบา ๆ อย่างสง่างามร่างสูงโปร่งของเขาเป็นเหมือนเส้นทางนำทางเดียวในโลกที่ไร้จุดหมายนี้ลมหิมะที่เคยเกรี้ยวกราด ราวกับโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่ บัดนี้กลับสงบนิ่งอย่างประหลาด ราวกับธรรมชาติเองยังยอมสยบให้กับการปรากฏตัวของเขาหลงอวิ๋น — ฉันยังไม่รู้จักชื่อจริงของเขาในตอนนี้แต่ในใจของฉัน...ได้ตั้งชื่อให้เขาเงียบ ๆ ว่า "เจ้าชายน้ำแข็ง"เมื่อก้าวผ่านประตูวังเข้าไป...ฉันเผลออ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัวภายในวังน้ำแข็ง...ไม่ได้เยือกเย็นน่ากลัวเหมือนที่ฉันเคยจินตนาการเอาไว้เลยตรงกันข้าม — มันสวยงามจนแทบหยุดหายใจห้องโถงใหญ่เบื้องหน้าสูงเสียดเพดาน ราวกับแผ่นฟ้าถูกยกมาครอบวังแห่งนี้เสาหินน้ำแข็งบริสุทธิ์ตั้งตระหง่านแต่ละต้นแกะสลักลวดลายอย่างประณีต —มังกรน้ำแข็ง พันตัวลอยละลิ่วขึ้นไปสู่ความสูง ราวกับจะทะยานสู่ท้องฟ้าเพดานประดับด้วย คริสตัลน้ำแข็งนับพันแต่ละเม็ดเจียระไน
ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มยังคงจ้องฉันนิ่ง ๆ ไม่ไหวติง สายตาของเขาเย็นเยียบ ปราศจากอารมณ์เหมือนผืนน้ำแข็งโบราณที่ไม่เคยละลายตลอดกาลฉันยืนเกร็งอยู่ท่ามกลางลมหิมะที่กระหน่ำใส่ราวกับจะพัดฉันปลิวได้ทุกเมื่อกอดกล่องราเมนแนบอกไว้แน่นจนแทบจะฝังเข้าไปในร่าง ราวกับมันคือโล่ป้องกันตัวสุดท้ายที่ฉันมีในโลกใบนี้'ยิ้มเข้าไว้เอลาเรีย...อย่างน้อยก็ตายอย่างมีมารยาท...'ฉันพยายามยิ้มแหย ๆ แต่ริมฝีปากสั่นระริกจนแทบเก็บไม่อยู่ ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจได้ว่าจะหนีหรือสู้...เสียงฝีเท้าหนัก ๆ หลายคู่ก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงจากด้านหลังวังน้ำแข็งกึก กึก กึก กึก!ชายในชุดเกราะสีเงินวาววับวิ่งกรูออกมา เสียงเกราะกระทบกันดังแกรก ๆ ลั่นสะท้อนในอากาศเย็นจัดพวกเขาล้อมฉันไว้ในพริบตา ท่าทางแข็งกร้าวเหมือนหินน้ำแข็งที่ไม่มีวันแตก"บุกรุกพื้นที่หวงห้าม!"เสียงหนึ่งตะโกนกร้าว"จับตัวไว้!"อีกเสียงตะโกนซ้ำ ขณะที่มือข้างหนึ่งหยิบเชือกเวทย์ที่เรืองแสงสีฟ้าอ่อนออกมา"หาาาา?! เดี๋ยว ๆ ฉันแค่ส่งราเมนนะ!"ฉันโบกไม้โบกมือรัว ๆ จนกล่องราเมนแทบหลุดจากมือ พยายามถอยหลังหนีโดยไม่คิดชีวิตแต่พื้นหิมะลื่นอย่างร้ายกาจ เท้าที่จมหายอยู่ในห
ท่ามกลางทุ่งหิมะขาวโพลนที่แผ่กว้างสุดลูกหูลูกตา ลมหิมะเย็นเฉียบพัดกรูใส่หน้าแบบไม่ปรานีเกล็ดหิมะละเอียดปลิวว่อนอยู่ในอากาศหนาแน่นจนแทบมองไม่เห็นเส้นขอบฟ้า ทุกย่างก้าวที่ฉันเดินเหมือนเหยียบลงไปในมหาสมุทรเย็นเยียบที่ไม่รู้จุดจบ"ฮ่าาา...อะไรกันเนี่ย..."ฉันกัดฟันแน่น เสียงลมหายใจของตัวเองกลายเป็นไอขาวพวยพุ่งออกมาเป็นจังหวะ ยกแขนปิดหน้าบังลม และก้าวเท้าออกไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นที่รวบรวมมาแทบหมดทั้งชีวิตข้างหลัง —ประตูเชื่อมต่อกับโลกเดิม ที่ครั้งหนึ่งยังมองเห็นเป็นบานประตูไม้ธรรมดา บัดนี้ค่อย ๆ เลือนหายไปเหมือนเงาฝันจาง ๆ ถูกลบหายไปกับหิมะเหมือนไม่เคยมีอยู่เลยตั้งแต่แรกทิ้งฉันไว้กลางโลกที่ไม่รู้จักตอนนี้...ฉันมีแค่ตัวเอง กับ...กล่องราเมนที่อบอุ่นในมือเท่านั้นมือข้างที่กอดกล่องไว้แน่นรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นเล็ก ๆมันเหมือนจุดไฟเล็ก ๆ ในทะเลน้ำแข็งนี้ กลิ่นหอมกรุ่นที่แทรกออกมาจากกล่อง ยังช่วยเตือนว่าฉันมีภารกิจ — มีเป้าหมาย — และยังมีอะไรบางอย่างที่ต้องไปให้ถึงเสียงลมหิมะพัดหวิวดังครืนครางอยู่รอบตัว — มันไม่ใช่แค่เสียงลมธรรมดา แต่ฟังดูเหมือนเสียงคำรามอันแผ่วเบาของบางสิ่งที่ซ่อน
ถนนสายเช้ายังคงว่างเปล่า มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวลอดผ่านตรอกแคบ ๆ ที่ทอดยาวเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด ฉันเร่งก้าวเท้าไปตามทาง ลมหายใจเปลี่ยนเป็นไอขาวลอยวูบวาบในอากาศหนาวเหน็บ ทั้งที่ปฏิทินบอกว่ากำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วแท้ ๆมือข้างหนึ่งกอดกระเป๋าส่งอาหารแน่น ขณะที่อีกข้างกำเสื้อแจ็กเก็ตไว้แน่นเพื่อกันลมที่เย็นเฉียบแทงทะลุเข้ามาในทุกอณูผิว‘Omnibite...นั่นไง’ฉันหยุดยืนหน้าร้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง — มันดูธรรมดาจนน่าเหลือเชื่อว่าที่นี่คือศูนย์กลางการส่งอาหารทะลุมิติป้ายหน้าร้านเป็นกระจกสีดำเรียบลื่น ไม่มีโลโก้ ไม่มีชื่อร้าน ไม่มีแม้แต่ตัวอักษรใด ๆ ที่บอกว่านี่คืออะไร นอกจากเส้นสายแสงเงินบางเบาที่ไหลวูบไหวไปมาใต้ผิวกระจก ราวกับเป็นลมหายใจของบางสิ่งที่หลับใหลอยู่ภายในแสงนั้นสั่นระริก เหมือนเส้นทางของแม่น้ำบนท้องฟ้า พริบพรายอย่างเงียบงันในยามเช้ามืดฉันกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ ก่อนจะยื่นมือออกไปผลักประตูกระจกเบา ๆ —ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสบานประตู โลกทั้งใบก็เหมือนพลิกตัวไปอีกมิติหนึ่งประตูเปิดออกอย่างไร้เสียงแสงสีเงินจาง ๆ พร่างพรายออกมาและทันทีที่ก้าวข้ามธรณีประตู..."ยินดีต้อนรับสู่ Omnibite
เสียงหัวเราะเยาะ... เสียงซุบซิบกระซิบกระซาบ... และเสียงก่นด่าอันแสบแก้วหู ดังก้องสะท้อนอยู่ในความฝันอันพร่าเลือนเอลาเรีย เวลเลนไฮม์ ยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางจัตุรัสเมืองเก่า ที่ครั้งหนึ่งเคยอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของขนมปังสดใหม่และเสียงหัวเราะของผู้คนที่แวะเวียนมาเยี่ยมชม ตลาดที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับกลายเป็นเวทีประจานเย้ยหยันเธอยืนอยู่ตรงนั้น ร่างกายสั่นสะท้านในเสื้อคลุมสีกรมท่าขาดรุ่งริ่ง ผมสีน้ำตาลเข้มแห้งกรอบปิดใบหน้าที่สวยสด สายลมหนาวกรูกราวพัดกระโชกจนชายเสื้อของเธอสะบัดฟาดไปมาเหมือนธงแห่งความพ่ายแพ้ผู้คนมากมายรายล้อมเธอเป็นวงกลม แววตาที่เคยมองเธอด้วยความเลื่อมใส บัดนี้กลับเปลี่ยนเป็นสายตาแข็งกร้าว เคลือบด้วยความโกรธและความผิดหวังโต๊ะไพ่ตัวเดิมที่เธอเคยนั่งประจำ ถูกพลิกคว่ำกลางลานหิน เสียงไม้กระแทกพื้นดังกึกก้อง ไพ่ทาโรต์สีสดปลิวกระจัดกระจายไปตามแรงลม ราวกับนกน้อยที่สิ้นแรงบิน พร็อพเวทมนตร์—ลูกแก้วพยากรณ์ กระดิ่งเงิน และเครื่องรางสีหม่น—กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น เหยียบย่ำจนแทบไม่เหลือสภาพแผ่นป้ายไม้ที่สลักคำว่า "เอลาเรีย เวลเลนไฮม์ - หมอดูผู้หยั่งรู้โชคชะตา" ถูกเหยียบซ้ำแล้