ท่ามกลางทุ่งหิมะขาวโพลนที่แผ่กว้างสุดลูกหูลูกตา ลมหิมะเย็นเฉียบพัดกรูใส่หน้าแบบไม่ปรานี
เกล็ดหิมะละเอียดปลิวว่อนอยู่ในอากาศหนาแน่นจนแทบมองไม่เห็นเส้นขอบฟ้า ทุกย่างก้าวที่ฉันเดินเหมือนเหยียบลงไปในมหาสมุทรเย็นเยียบที่ไม่รู้จุดจบ
"ฮ่าาา...อะไรกันเนี่ย..."
ฉันกัดฟันแน่น เสียงลมหายใจของตัวเองกลายเป็นไอขาวพวยพุ่งออกมาเป็นจังหวะ ยกแขนปิดหน้าบังลม และก้าวเท้าออกไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นที่รวบรวมมาแทบหมดทั้งชีวิต
ข้างหลัง —
ประตูเชื่อมต่อกับโลกเดิม ที่ครั้งหนึ่งยังมองเห็นเป็นบานประตูไม้ธรรมดา บัดนี้ค่อย ๆ เลือนหายไป
เหมือนเงาฝันจาง ๆ ถูกลบหายไปกับหิมะ
เหมือนไม่เคยมีอยู่เลยตั้งแต่แรก
ทิ้งฉันไว้กลางโลกที่ไม่รู้จัก
ตอนนี้...
ฉันมีแค่ตัวเอง กับ...กล่องราเมนที่อบอุ่นในมือเท่านั้น
มือข้างที่กอดกล่องไว้แน่นรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นเล็ก ๆ
มันเหมือนจุดไฟเล็ก ๆ ในทะเลน้ำแข็งนี้ กลิ่นหอมกรุ่นที่แทรกออกมาจากกล่อง ยังช่วยเตือนว่าฉันมีภารกิจ — มีเป้าหมาย — และยังมีอะไรบางอย่างที่ต้องไปให้ถึงเสียงลมหิมะพัดหวิวดังครืนครางอยู่รอบตัว — มันไม่ใช่แค่เสียงลมธรรมดา แต่ฟังดูเหมือนเสียงคำรามอันแผ่วเบาของบางสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ใต้พรมหิมะหนานุ่มนี้
ชุดกันหนาวไฮเทคที่พี่ยำให้มา แม้จะปกป้องความหนาวไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่อาจหยุดความสั่นไหวที่ไหลมาจากข้างในตัวฉันเอง
สั่นด้วยหนาว หรือสั่นด้วยความกลัว...ฉันเองก็แยกไม่ออกแล้ว
ทุกย่างก้าวที่ฝ่าไป รอยเท้าของฉันจมหายลงในหิมะหนาเกือบถึงหัวเข่า ทิ้งร่องรอยบางเบาที่ถูกลมหิมะกลบทับอย่างรวดเร็ว ราวกับโลกนี้ไม่ต้องการให้มีหลักฐานว่าฉันเคยมาเหยียบย่างที่นี่
'แค่เดินตรงไป...เดินตรงไป...'
ฉันท่องอยู่ในหัวซ้ำ ๆ อย่างกับคาถาคุ้มครอง
ทั้งที่ในความเป็นจริง...โลกใบนี้ไม่มีแม้แต่เส้นทางให้เดินตาม มีเพียงสีขาวโพลนของหิมะ กับความเงียบงันที่หนาวเหน็บกินลึกเข้าไปถึงกระดูก
ลมพัดแรงจนแทบก้าวเท้าไม่ออก หิมะปกคลุมถึงข้อเท้า หนักอึ้งจนทุกย่างก้าวต้องใช้แรงลากขาไปทีละก้าว ทีละก้าว
ความหนาวแทรกซึมเข้ามาแม้จะมีชุดกันหนาวชั้นเยี่ยมปกคลุมตัวอยู่ก็ตาม
"ถ้าใครคิดว่าส่งอาหารในกรุงตอนรถติดแย่แล้ว...ลองมาส่งในพายุหิมะดูมั้ย..."
ฉันพึมพำใส่ลมอย่างหงุดหงิด มือที่กอดกล่องราเมนไว้แนบอกสั่นระริกเพราะต้องฝืนสู้กับทั้งความเหน็บหนาวและแรงลมบ้าคลั่ง
"แค่สั่งราเมน...ถึงขั้นต้องส่งข้ามมิติเลยหรือไง?!"
เสียงพึมพำนั้นปลิวหายไปกับลม — ไม่มีใครได้ยิน นอกจากตัวฉันเอง
กล่องราเมนในมือเป็นเหมือนแหล่งความอบอุ่นเดียวในโลกใบนี้ ความร้อนน้อย ๆ จากมันช่วยให้มือของฉันไม่แข็งจนสูญเสียความรู้สึก แม้จะต้องจับมันด้วยปลายนิ้วแข็งชาจนแทบไม่รู้ตัวแล้วก็ตาม
ตึง!
บางอย่างลื่นไถลเข้ามาชนขาข้างหนึ่งเบา ๆ จนฉันสะดุ้ง
"เฮ้ย?! อะไรน่ะ!"
ฉันรีบก้มลงมอง ระแวงว่าอาจเป็นสัตว์ประหลาดจากมิติประหลาดนี้
แต่สิ่งที่เห็น...กลับเป็นก้อนกลม ๆ เล็ก ๆ สีขาว ที่กลิ้งอยู่ข้างรองเท้าของฉัน
ก้อนเล็กนั่นติดหิมะเกาะพราวทั้งตัว ดูเหมือนเศษก้อนน้ำแข็งในตอนแรก...แต่เมื่อฉันเพ่งมองดี ๆ ถึงเห็นว่ามันหายใจเบา ๆ จนไหล่เล็ก ๆ นั่นสั่นไหว
มันคือ ลูกสัตว์ตัวน้อย — คล้ายลูกจิ้งจอก แต่ขนของมันเหมือนทำจากเกล็ดน้ำแข็งเล็ก ๆ ระยิบระยับเคลือบทั่วร่าง ดวงตาสีฟ้าอ่อนเปิดปิดช้า ๆ ราวกับกำลังใกล้หมดแรงเต็มที
"โอ๋ย...ตัวจ้อยเอ๊ย..."
หัวใจฉันบีบรัดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ฉันรีบหย่อนตัวลง ประคองเจ้าก้อนน้อยขึ้นจากหิมะอย่างเบามือ ตัวมันเบาจนเหมือนเศษขนมสายไหมเล็ก ๆ และสั่นระริกจนฉันรู้สึกได้ผ่านปลายนิ้วที่ชา
"สงสัยพลัดหลงกับแม่ล่ะสิ..."
ฉันพึมพำ มองซ้ายมองขวา แต่มีเพียงหิมะว่างเปล่า — ไม่มีเสียง ไม่มีร่องรอย ไม่มีเงาอื่นใด
ใจหนึ่งอยากอุ้มเจ้าตัวน้อยกลับบ้านไปดูแลให้ปลอดภัยเต็มที่ แต่อีกใจ...ฉันมีภารกิจในมือ — กล่องราเมนที่ต้องส่งให้ทันก่อนที่ความร้อนจะสลายไปกับพายุหิมะ
"โอเค ฟังนะ เจ้าก้อนหิมะน้อย"
ฉันก้มหน้าลงกระซิบใกล้หูเล็ก ๆ ของมัน ขณะที่มันพยายามลืมตาขึ้นมามองฉันด้วยสายตาเปียกชื้น
"ฉันต้องไปส่งราเมนก่อน ไม่งั้นนายกับฉันได้แข็งตายพร้อมกันแน่"
ฉันควานหาผ้าพันคอผืนหนาในกระเป๋าแคปซูล ลากมันออกมาด้วยมือที่สั่นเทา แล้วค่อย ๆ ห่อเจ้าจิ้งจอกน้ำแข็งน้อยไว้แนบอกอีกข้าง ข้างเดียวกับหัวใจของฉัน
ข้างหนึ่งคือกล่องราเมนที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
ข้างหนึ่งคือชีวิตน้อย ๆ ที่ให้ความอบอุ่นแก่หัวใจ
สองชีวิต สองภารกิจ...สู้โว้ย!
ฉันกัดฟันแน่นอีกครั้ง
รวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือ ก้าวเท้าออกไปในทุ่งหิมะอันโหดร้ายด้วยหัวใจที่หนักแน่นขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
ฉันลากขาเดินฝ่าหิมะต่อไปเรื่อย ๆ รู้สึกเหมือนก้าวเท้าในฝันที่ไม่มีวันไปถึงจุดหมาย
จนกระทั่ง...
เงาร่างขนาดมหึมา ปรากฏขึ้นในม่านหิมะเบื้องหน้า ราวกับภาพลวงตาที่ค่อย ๆ ชัดขึ้นทีละนิด
มันคือ วังน้ำแข็ง — ปราสาทสีขาวเงินตั้งตระหง่านท่ามกลางทุ่งหิมะรกร้าง
เสาหินน้ำแข็งขนาดมหึมาเรียงตัวเป็นแนวโค้งอย่างวิจิตรตระการตา แกะสลักอย่างละเอียดเหมือนลมหายใจของโลกได้ปั้นแต่งมันขึ้นมาเอง
กำแพงสูงตระหง่านเป็นแผ่นน้ำแข็งใสบริสุทธิ์ที่สะท้อนประกายแสงจากฟากฟ้าให้สว่างไสวราวกับก้อนเมฆเรืองแสง
ความงดงามนั้น...แทบทำให้ฉันลืมหายใจไปชั่วขณะ
หน้าประตูวังขนาดใหญ่ที่ปิดสนิท มีใครบางคนยืนอยู่
ชายคนหนึ่ง —
สูง สง่า และเยือกเย็นจนบรรยากาศรอบตัวดูสงบนิ่งผิดธรรมชาติ
เส้นผมยาวสีครามเข้มปลิวไหวตามแรงลมราวม่านน้ำหมึก ชุดคลุมสีเทาเงินแนบไปตามร่างสูงโปร่ง แข็งแรง ประหนึ่งรูปสลักจากหินน้ำแข็งเก่าแก่
ร่างของเขาดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของวังน้ำแข็งเบื้องหลัง — เย็นเยียบ งดงาม และน่าเกรงขามอย่างไม่น่าเชื่อ
และที่สำคัญที่สุด...
เขากำลังจ้องมาที่ฉัน —
ไม่ใช่ที่ใบหน้าฉัน แต่จ้องไปยังกล่องอาหารราเมนในมืออย่างแน่วแน่
ดวงตาสีฟ้าเข้มลึกเหมือนบ่อบาดาลใต้ธารน้ำแข็งพันปี จับจ้องกล่องราเมนเรืองแสงในอ้อมแขนฉันด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก — ความสงสัย? ความไม่เชื่อ? หรือความสนใจที่แทบจะมองเห็นได้ชัดเจน?
หัวใจฉันกระตุกวูบ — ร่างแข็งค้างอยู่ตรงนั้นเหมือนรูปปั้นอีกชิ้นหนึ่งของวังน้ำแข็ง
'ไม่ใช่แค่หล่อ...นี่มันตัวอันตรายชัด ๆ!'
ฉันพยายามกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอ แล้วฝืนยิ้มเกร็ง ๆ ยกกล่องราเมนขึ้นสูงนิดหน่อยเป็นสัญญาณแบบงก ๆ
"อะ...เอ่อ...ออมนิไบท์เดลิเวอรี่ค่ะ ราเมนเพลิงจันทร์ลาวา...สำหรับคุณ?"
เสียงของฉันถูกลมหนาวกลืนหายไปเกือบครึ่ง แต่เขาก็ยังได้ยิน
ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วขณะ ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคมกริบใต้แพขนตายาวพริ้มจับจ้องกล่องราเมนราวกับกำลังวิเคราะห์มันทุกอณู
เขาไม่พูดอะไร
ไม่ถาม ไม่ขานรับ
แค่...
ก้าวเข้ามาใกล้
ช้า ๆ แน่วแน่
ลมหิมะที่พัดกรูรอบตัวดูเหมือนจะสงบลงเล็กน้อยทันทีที่เขาขยับตัว
อากาศหนาวรอบกายคล้ายจางลงอย่างผิดธรรมชาติ ราวกับฤทธิ์แห่งพลังบางอย่างแผ่ออกมาจากตัวเขา
ฝีเท้าของเขาเบาและนิ่งสงบ แต่กลับเต็มไปด้วยแรงกดดันที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะจมลงไปในหิมะ
'โอ้พระเจ้า...'
ฉันกลืนน้ำลายเหนียวหนืด รู้สึกเหมือนร่างกายไม่ตอบสนองอีกต่อไป
'ฉันส่งอาหารให้ใครกันแน่เนี่ย...เทพน้ำแข็งเรอะ?!'
ในขณะที่หัวใจเต้นระรัวจนน่ากลัวว่าจะได้ยินจากภายนอก
ฉันยืนแข็งอยู่กับที่...
ทำได้แค่ภาวนาในใจว่า "เทพเจ้าน้ำแข็ง" ตรงหน้านี้...จะไม่หิวราเมนมากเสียจนเป่าฉันให้กลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งไปด้วยอีกคนหรอกนะ
❄️❄️❄️❄️❄️❄️
เสียงคำรามของเนรูไซร์ระเบิดขึ้นอีกครั้ง หางขนาดยักษ์กวาดทำลายผนังถ้ำเวทเหมือนกระดาษชื้น เวทแสงและเงาปะทะกันกลางอากาศจนเกิดการสั่นสะเทือนระลอกใหญ่ฝุ่นเวทปลิวว่อน—เสียงเวทร้องดังก้องในทุกสรรพางค์ของโลกเวทหลงอวิ๋นยังคงยืนอยู่ตรงหน้าแท่นเวท ร่างกายบาดเจ็บจากการรับเวทแทนเอลาเรียดวงตาสีฟ้าของเขาเรืองแสงเย็นราวน้ำแข็งที่กำลังแตกร้าว เขากำมือแน่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเนรูไซร์ที่คำรามลั่นกลางอากาศ“...พอแล้ว”เสียงเขาดังแน่น…แต่ราบเรียบราวหิมะที่กำลังตก พลังเวทเริ่มปะทุจากใต้ฝ่าเท้า—วงเวทมังกรน้ำแข็งเรืองแสงใต้พื้นหิน“เอลิอาน”“ดูแลเอลาเรีย...จนกว่าข้าจะหยุดมันได้”เอลิอานสบตาเขานิ่ง ก่อนพยักหน้ารับหลงอวิ๋นยื่นมือแตะอกตนเอง—จุดที่พลังแก่นมังกรหลับใหล เวทน้ำแข็งทะลักออกจากผิวหนัง กลายเป็นเกล็ดสีฟ้าระยับ เสื้อคลุมของเขาฉีกออก—เผยร่างที่ค่อย ๆ ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดมังกร เสียงกระดูกและกล้ามเนื้อแปรสภาพดังกรอบแกรบแสงเวทแตกกระจาย—ปีกกว้างกางออกกลางอากาศ
เสียงคำรามของมังกรดึกดำบรรพ์ เนรูไซร์ ดังสะท้านห้องเวททั้งมวล แท่นผนึกกลางถ้ำใต้ทะเลสาบจันทราสั่นไหวเหมือนจะพังทลายลงในทุกวินาที แสงเวทบนพื้นแตกร้าวเป็นทางยาว หินศิลาโบราณสะเทือนจนผงธุลีร่วงเหมือนน้ำตาของกาลเวลาหางมังกรยาวสีเงินดำของมันตวัดกวาดแนวกำแพงเวท กระแทกผนังเวทที่เจิ้งอู่สร้างไว้แตกเป็นเสี่ยงเสียง ครืน!! ดังสนั่นจนหูแทบชาฉันหอบหายใจ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะพลังเวทในตัวกำลังเดือดพล่านเหมือนถูกกระชากให้ตื่นขึ้นสุดขีด มือทั้งสองข้างสั่น—แต่ยังยืนอยู่ตรงหน้าแท่นเวทดวงตาของเนรูไซร์…เป็นสีเงินมืดที่ไม่มีประกายชีวิตแต่ในแววตานั้นแฝงไว้ด้วยบางอย่าง—เศษเสี้ยวของความทรงจำพันปีที่ยังถูกผนึกอยู่“...มังกรตื่นแล้ว”เสียงของเอลิอานดังขึ้นข้างตัวฉัน เขามีบาดแผลที่ไหล่ แต่ยังคงยืนมั่น ดาบเวทยังคงเรืองแสงอยู่ในมือเซรีฟิน่าเงยหน้าขึ้นมองเนรูไซร์ที่กำลังอาละวาด ดวงตาของนางเป็นประกายเรืองแสงสีม่วงเข้ม พลังเงาดำแผ่ออกจากร่างอย่างบ้าคลั่ง“ใจเย็น…ที่รักข
แสงจากไพ่ทาโรห์ใบสุดท้าย— “The Star” ลอยขึ้นเหนือฝ่ามือฉัน มันส่องประกายสีเงินอ่อน กระเพื่อมช้า ๆ ไปตามแรงเวทจากแท่นศิลาเบื้องล่างณ วินาทีนั้น…โลกทั้งใบคล้ายถูกแช่แข็งลงชั่วขณะ รอบกายเงียบงันราวกับกาลเวลาเองก็หยุดหายใจฉันยืนข้างหลงอวิ๋น มือของเราประสานกันแนบแน่น พลังเวทของเราค่อย ๆ ไหลซึมผ่านปลายนิ้ว—หลอมรวมกันเป็นสายใยเรืองแสงที่โยงถึงจิตวิญญาณเสียงหัวใจของเขา...ประสานกับจังหวะหัวใจของฉันอย่างไร้รอยต่อ“จงผนึกซากจันทรา…”เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นจากริมฝีปากของเขา แสงเวทสีเยือกแข็งเริ่มเรืองขึ้นจากปลายนิ้ว ค่อย ๆ ลากเป็นเส้นเวทรอบแท่นกลาง ลวดลายเวทพันกันวนซ้อน กลายเป็น ‘อักขระมังกรพันธะ’ โบราณ—อักขระที่ไม่มีผู้ใดยุคนี้อ่านออก…นอกจากเขาเพียงผู้เดียวฉันหลับตาลง ปล่อยให้จิตเงียบลงจนหมด เหลือเพียงหนึ่งเดียว—ภาพของเขาที่ชัดเจนที่สุดในใจเส้นเวทวนทบซ้อนกันเป็นรูป ‘อักขระมังกรพันธะ’ ซึ่งไม่เคยมีใครในยุคนี้อ่านออกได้นอกจากเขา“ด้วยเส้นชะตาที่ผูกพัน…”“ด้วยหัวใจที่มิได้เลือกเพียงชาตินี้…”“จงคื
ลมหิมะยามเช้าเอื่อยพัดผ่านช่องหน้าต่าง แสงอ่อนจากผลึกเวทสีเงินวาวสาดลงบนผืนพรมขนสัตว์สีเทาอ่อนที่ปูอยู่กลางห้อง ฉันยืนนิ่งอยู่หน้ากระจกทรงสูง บิดตัวน้อย ๆ ให้มั่นใจว่าเกราะเวทเบาเข้ารูปสีขาวเงินที่สวมอยู่แนบตัวพอดีทุกส่วนสายคาดเอวสีเทาอ่อนปักลายจันทร์เสี้ยวไขว้ทับด้านหน้า ผ้าคลุมยาวสีเงินชายผ้าคลุมยาวจนแตะข้อเท้า พาดจากไหล่ซ้ายลงไปด้านหลังอย่างสง่างาม ถุงมือเวทสีขาวไข่มุกสวมเฉพาะมือขวา เพื่อเปิดการสัมผัสเวทร่วม และปลายผมของฉันถูกรวบด้วยปิ่นเวทผลึกสีฟ้า...ที่เขาเป็นคนสวมให้ฉันเมื่อคืน...แค่คิดถึงสัมผัสของเขาบนเส้นผม ฉันก็เผลอยิ้มเสียงขยับผ้าเบา ๆ ด้านหลังทำให้ฉันหันกลับไปมอง—ภาพที่เห็นคือเขา...หลงอวิ๋นกำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะไม้แกะสลัก จัดเกราะชิ้นสุดท้ายเข้าที่อย่างเงียบ ๆเขาสวมเสื้อคลุมเวทชั้นในสีดำแนบตัว พาดทับด้วยเกราะหน้าอกสีเงินเข้มที่สลักอักขระเวทน้ำแข็ง และเสื้อคลุมสีเทาน้ำแข็งชายยาวลากพื้น ด้านในเป็นเส้นด้ายเวทสีฟ้าประกายปลอกแขนและถุงมือเวทสีน้ำเงินเข้มแนบข้อมือ และผ้าคาดเอวปักตราประจำตระกูลมังกรน้ำแข็งทับด้วยดาบประจำตัวสีเงิ
หลงอวิ๋นกวาดสายตามองไปรอบห้องโถงประชุม ดวงตาสีฟ้าของเขานิ่งลึก ยากจะคาดเดาได้ว่าภายในใจเขากำลังสั่นไหวเพียงใด“มีผู้ใดสงสัยในแผนหรือไม่”น้ำเสียงของเขาดังชัดในห้องประชุมหินน้ำแข็ง ความเงียบโรยตัวลงอีกครั้ง ราวกับแม้แต่ลมหายใจก็ลังเลที่จะดังขึ้นแม่ทัพเถาอู่ขยับตัวเล็กน้อย แต่เพียงแค่พยักหน้า ก่อนกล่าวเสียงหนักแน่น“กองกำลังพร้อมแล้วพะยะค่ะ ไม่มีข้อสงสัยใด”เจิ้งอู่ที่ยืนอยู่ใกล้แผนภาพเวทบนโต๊ะเอ่ยขึ้นเสริม“กองรบแนวหน้าจะเริ่มเคลื่อนพลล่วงหน้าในคืนนี้ ส่วนหน่วยซึมลึกผ่านอุโมงค์ จะเริ่มลงจุดตามแผนตั้งแต่ยามก่อนรุ่งอรุณ”หลงอวิ๋นพยักหน้า ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงต่ำเยือกเย็น—แต่มั่นคง“ถ้าแผนหลักล้มเหลว…”เขาหยุดมองหน้าทุกคนทีละคน—รวมถึงฉัน“แผนสำรองคือการเร่ง ‘พันธะผนึก’ ระหว่างข้ากับเอลาเรียทันที”“นั่นจะทำให้พลังของเราเชื่อมถึงกันได้ลึกยิ่งขึ้น แม้จะยังไม่สมบูรณ์ แต่พลังสั่นสะเทือนของข้าอาจทำลายแท่นเวทก่อนมันจะกลืนข้า”เสียงฮือฮาเบา ๆ ดังขึ้นจากมุมแม่ทัพสายเวท แต่ก็เงียบลงทันทีเมื่อหลงอวิ๋นปรายตามอง
ห้องประชุมเงียบไปอีกครั้งความกล้าของฉันอาจดูบ้าบิ่นในสายตาใครหลายคนแต่ไม่มีใครรู้...ว่าหัวใจฉันมันดื้อแค่ไหนแล้วทันใดนั้นเอง—“ดูเหมือนการประชุมจะเข้มข้นขึ้นนะ…”เสียงทุ้มต่ำและเรียบนิ่งดังขึ้นจากประตูด้านในบานประตูน้ำแข็งที่ควรจะถูกผนึกไว้ด้วยเวทรุนแรง…กลับเปิดออกอย่างไร้เสียง ด้วยแรงเวทที่หนักแน่นแต่แผ่วเบาเงาร่างสูงระหงในชุดคลุมดำล้วนก้าวเข้ามาอย่างสงบนิ่งผ้าคลุมของเขาทอดยาวสะบัดเบา ๆ กับพื้นหินเย็นเยียบ ปักลายมังกรดำด้วยด้ายเงินวาววับ เงามันราวกับสะท้อนแสงจากห้วงอเวจีต่างหูข้างเดียวที่เขาสวมไว้สะท้อนแสงเทียนเป็นประกาย...และดวงตาสีแดงเข้มราวเถ้าถ่านจับจ้องมาที่ฉัน—เพียงคนเดียว“เจ้าช่างกล้าจริง ๆ ...เจ้ามนุษย์น้อย”ไคเซอร์ ดราโคนิส—องค์ชายดำแห่งแดนเหนือเขาก้าวผ่านเหล่าแม่ทัพอย่างไม่แม้แต่จะปรายตามองใคร ร่างสูงสง่าของเขาหยุดลงหน้าฉัน พร้อมแรงกดดันที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ทั่วห้อง“อย่าได้หลงคิดว่า