ถ้าพ่อ ไม่อยู่แล้วมนสัญญากับพ่อได้ไหม ว่าจะดูแลน้องกับแม่แทนพ่อ แค่กๆ”
เสียงของชายวัยกลางคนที่นอนป่วยติดเตียงที่พยายามสั่งเสียบุตรสาวคนโตของบ้าน จากนั้นก็ดึงสร้อยคอที่มีจี้รูปทรงกลมขนาดเล็ก ตรงกลางประดับด้วยเพชรสีน้ำเงินออกมาให้
“สร้อยเส้นนี้ มันเป็นของลูกมาตั้งแต่เกิด จงเก็บรักษามันไว้ให้ดี แล้วมันจะพามนไปเจอกับคนที่ดี”
พูดเสร็จชายชราก็หายใจด้วยความเหนื่อยหอบ พร้อมกับไอออกมาเป็นเลือด ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงแล้วจากไปอย่างสงบ มนสิชาที่ยืนอยู่ข้างเตียงไม่ห่างได้แต่ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนจะขาดใจตามคนเป็นพ่อไป
“พ่อ พ่อคะ พ่ออย่าทิ้งมนไป พ่อ!!”
เสียงละเมอตะโกนเรียกคนเป็นพ่อออกมา มนสิชาสะดุ้งตื่น พร้อมกับลุกขึ้นนั่ง
ถึงแม้ภายในห้องจะมีอุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศที่หนาวเย็นแต่ใบหน้าเรียวก็มีเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นตามหน้าผากจนเปียกไปยังไรผม พ่อจะบอกอะไรมนคะ ตอนนี้มนคิดถึงพ่อมากเลยค่ะ
มนสิชากำสร้อยที่ห้อยติดคอตลอดเวลาแล้วบ่นคิดถึงคนเป็นพ่อที่ตายจากไปเมื่อปีที่แล้ว ตั้งแต่ท่านจากไปมนสิชาเองก็รู้สึกเคว้งคว้าง เพราะเธอสนิทกับพ่อมาก แตกต่างจากแม่ตั้งแต่จำความได้ก็คอยแต่ตั้งแง่ด่าทอ ลงมือทำร้ายเธอไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแต่ยังดีที่พ่อคอยมาห้ามปราม เอาไว้เสมอ
มนสิชาเองก็ไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้มารดาไม่พอใจหรือเกลียดชังนัก คนเป็นแม่ถึงได้เอาแต่ตั้งแง่ใส่แบบนี้ มนสิชาเองก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยอมรับชะตากรรม
“สวัสดีครับท่านผู้โดยสาร สายการบินไทยดรีม ยินดีต้อนรับท่านสู่บริการวิหคหลวง เที่ยวบินที่ ทีจี 600 ซึ่งจะนำท่านเดินทางไปยังสนามบินนานาชาติฮ่องกง ครับ โดยเราจะใช้เวลาบิน 2 ชั่วโมง 50 นาทีครับ อีกสักครู่เชิญชมภาพยนตร์สาธิตเกี่ยวกับความปลอดภัยบนเครื่องบินครับ กัปตันและลูกเรือทุกคนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านคงได้รับความสะดวกสบายตลอดเที่ยวบินนี้ครับ ขอบคุณครับ”
เสียงประกาศของกัปตันบนเครื่องบินประกาศเมื่อเครื่องบินได้บินไต่ระดับความสูงขึ้นมาในระดับปกติแล้ว
ทุกคนก็ต่างดูการสาธิตของเจ้าหน้าที่อย่างตั้งอกตั้งใจ เมื่อการสาธิตจบลง ก็ต่างก็พักผ่อน บางคนก็หลับ ดูหนังบ้าง แตกต่างกันออกไป
ขณะที่คิดอะไรไปเรื่อยๆ เธอก็สังเกตเห็นผู้ชายสองคน ที่นั่งอยู่ไม่ไกลนักแล้วมองไปยังแม่ กับ น้องสาวของตนเองตลอดเวลา แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าก็คือท่าทีแม่ของเธอดูลุกลนแปลกๆ เมื่อหันไปเห็นผู้ชายสองคนนั้น
“ขอโทษนะคะ”
มนสิชาตัดสินใจเดินไปหาพร้อมกับเอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษออกไป เพราะดูจากท่าทางแล้วไม่น่าจะใช่คนไทย ชายหน้าตี๋แต่ใบหน้าเคร่งขรึม ตวัดสายตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า
“มีอะไร”
“ไม่ทราบว่าคุณมองอะไรน้องกับ.....”
พูดยังไม่ทันจะจบประโยค มนสิชาก็ถูกกระชากแขนจากศจี ที่หันมาเห็นว่าลูกสาวคนโตที่เดินดุ่มๆ เข้าไปหาผู้ชายที่ท่าทางคล้ายมาเฟีย
“ยัยมน แกทำอะไร”
“มนไม่ได้ทำอะไรนะแม่ ก็แค่จะถามเขาว่ามองอะไรยัยตานักหนา แล้วแม่ก็ทำท่าลุกลี้ลุกลน มนก็เลยคิดว่าเขาจะทำอะไรหรืออาจจะเป็นพวกโรคจิต ก็ได้”
สองคนแม่ลูกยืนคุยกันโดยที่ผู้ชายทั้งสองหันมองสลับไปมาเพราะไม่ค่อยเข้าใจภาษาไทย
ศจีเห็นท่าไม่ดีจึงโค้งคำนับขอโทษแล้วลากมนสิชากลับมานั่งที่ โดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ อาการที่มารดาแสดงออกมา ยิ่งทำให้มนสิชาสงสัยว่าแม่มีอะไรปิดบังหรือเปล่า แล้วทำท่าทางเหมือนจะรู้จักผู้ชายสองคนนี้ด้วย
เมื่อเดินทางมาถึงสนามบินนานาชาติฮ่องกง ศจีลากแขนลูกสาวทั้งสองออกมา แล้วตรงดิ่งไปยังสถานีรถไฟเพื่อต่อรถไปยังเมืองฮ่องกง โดยใช้เวลาเดินทางเพียงแค่25นาทีก็มาถึง ซึ่งเป็นสถานีสุดท้าย เดินออกมาไม่นานก็เจอกับโรงแรมหรูระดับห้าดาวที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง
“ไหนแม่ บอกไม่มีเงินไง แล้วทำไมต้องมาอยู่โรงแรมหรูขนาดนี้ด้วย”
“แกจะถามอะไรให้มากความหึ!! ยัยมน ฉันได้บัตรกำนัลจากเพื่อนมาเลยได้อยู่ฟรี พอใจแกหรือยัง”
“พี่มนเป็นไรมากปะเนี่ย ตั้งแต่อยู่บ้านแล้วตาเห็นพี่มนเอาแต่จ้องจับผิดแม่อยู่ได้”
กวิตาแสดงสีหน้าท่าทางไม่พอใจมนสิชา แล้วก็ลากกระเป๋าไปนั่งรอศจีที่ไปเช็คอินกับเคาน์เตอร์โรงแรม ระหว่างที่นั่งรอ ด้วยความสวยขาว หน้าตาจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย ทำให้กวิตาตกเป็นเป้าสายตาของหนุ่มๆ ชาวฮ่องกงทันที
กว่าจะขึ้นห้องมาได้ ก็ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ศจีเลือกที่จะพักห้องเดียวกับกวิตา แล้วยื่น คีการ์ดห้องพักอีกห้องที่อยู่อีกชั้นให้กับมนสิชา แล้วเดินออกจากลิฟต์ไป
ห้องพักริมสุดตั้งอยู่บนชั้นที่69ของโรงแรม ซึ่งถือว่าเป็นชั้นสุดท้ายก็ว่าได้ ชั้นนี้มีห้องพักแค่ไม่กี่ห้อง มนสิชากวาดสายตามองไปรอบๆ การตกแต่งออกสไตร์ทรงยุโรป และการจัดของตกแต่งที่เป็นระเบียบ ทำให้มนสิชารู้ได้ทันทีว่าคนที่ออกแบบต้องเป็นคนเจ้าระเบียบ และเนี๊ยบทุกกระเบียดนิ้วอย่างแน่นอน
เปิดประตูห้องพักเข้ามาได้มนสิชายิ่งตกตะลึงกับความโอ่อ่าและกว้างขวางของห้อง โยนกระเป๋าลงพื้นได้เธอก็วิ่งกระโดดขึ้นเตียง ดีดดิ้นเหมือนเจอของถูกใจ เดินทางมาเหนื่อยๆ ขอหลับสักงีบแล้วกัน แล้วเธอก็ผล็อยหลับไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ถอดรองเท้าออกด้วยซ้ำ
เรียวขายาวที่รับกับรูปร่างกำยำ ย่างก้าวเข้ามาใน อพาร์ทเม้นท์ ก็ทำเอาเหล่าพนักงานที่อาศัยอยู่ที่นี่ถึงกับแตกตื่น ว่าเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่หรือเปล่า เพราะท่านประธานหวังไม่เคยมาที่นี่เลยสักครั้งหากแม้ว่าที่นี่มีปัญหาอะไรผิดพลาดจะมีเพียงแค่ลูกน้องปลายแถวที่ถูกส่งมาจัดการความเรียบร้อย เมื่อวันก่อนคุณจิน หั่ว มาที่นี่ว่าแปลกแล้ว แต่วันนี้ท่านประธานมาเองน่าแปลกเสียยิ่งกว่าจางเหว่ยเดินมาหยุดที่ประตูห้องหนึ่ง ก่อนจะเคาะห้องสองสามทีเพื่อให้คนด้านในรู้ว่ามีผู้มาเยือนแต่ก็ไร้ซึ่งปฏิกิริยาของบุคคลที่อยู่ด้านในจะเดินมาเปิดประตูให้สักนิด เขาได้ยินเพียงเสียงดนตรีเพลงEDMที่จังหวะ ชวนให้ออกมาแดนซ์เสียมากกว่าจางเหว่ยยืนรออยู่นานและคิดว่าแม่สาวเจ้าที่อยู่ด้านในนั้นคงไม่ออกมาเปิดประตูให้เขาเป็นแน่ ใบหน้าคมจึงพยักหน้าให้ลูกน้อง ที่ยืนท่าสงบนิ่งอยู่ไม่ไกล เขาล้วงกุญแจสำรองออกมายื่นให้กับเจ้านายอย่างไว ราวกับรู้ใจนิ้วมือเรียวค่อยๆ ไขประตูลูกบิดเข้าไป วินาทีที่เปิดประตูออก จางเหว่ย ถึงกับตะลึงทางด้านลูกน้องที่ตามติดมาด้วยก็ถึงกับหันหลังให้กับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้ามนสิชาที่อยู่ในสภาพนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว ซึ
“ พระธาตุเชิงชุมคู่บ้าน พระตำหนักภูพานคู่เมือง งามลือเลื่องหนองหาน แลตระการปราสาทผึ้ง สวยสุดซึ้งสาวภูไท ถิ่นมั่นในพุทธธรรม ที่นี่ FM 91.5….”เสียงคำขวัญประจำจังหวัดสกลนครที่ดังแว่วผ่านโฆษณาวิทยุธานินทร์สีดำเงา ของลุงกับป้าที่อายุราวๆ 50 ปี ซึ่งได้ศจีจ้างบุคคลทั้งสองมาตัดหญ้าที่บริเวณรอบๆ บ้านสวนในตำบลเล็กๆ ของอำเภอพรรณนานิคม“แม่คะ ตาว่าเรากลับไปรับพี่มนเถอะนะคะ”เรียวขายาวยังก้าวไม่ทันถึงคนเป็นมารดาด้วยซ้ำ กวิตาก็เปิดประเด็นนี้ขึ้นมาคุยกับศจีทันที พอมาถึงสกลนคร เธอก็คะยั้นคะยอให้มารดาเล่าทุกอย่างให้ฟังกวิตาจึงรู้เรื่องแล้วว่า มารดาได้ติดหนี้การพนัน จนต้องเอาบ้านเอาที่ดินไปค้ำประกัน แถมยังทิ้งพี่มนเอาไว้ใช้หนี้แทนเธอเสียอีก“แกจะกลับไปให้พวกมันฆ่าทิ้งหรือไงหนีเอาตัวรอดมาได้ก็บุญแล้ว”“แล้วพี่มนละแม่ ที่เราทำอยู่ตอนนี้ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอ พี่มนก็ลูกแม่นะ แม่ไม่ห่วงพี่มนเลยหรือไง”“ฉันรู้แล้ว กำลังคิดหาวิธีหาเงินกลับไปไถ่ตัวพี่แกอยู่นี้ไง”ศจีตัดบทสนทนา ไม่อยากฟังคำบ่นของลูกสาวคนเล็ก จึงเลี่ยงการต่อปากต่อคำแล้วเดินขึ้นมาบนห้องพระ ซึ่งมีรูปของสามีที่ตายไปแล้วตั้งอยู่อีกมุมของบ้านมื
“คุณจะพาฉันไปไหนเนี่ย บอกให้ปล่อย”จางเหว่ย ไม่ตอบ แต่กลับผลักเธอเข้าไปในรถและสั่งคนขับให้ออกรถพร้อมกับบอกสถานที่ที่จะไป น่าจะเป็นที่ไหนสักแห่ง แต่เธอฟังเขาคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก เพราะพวกเขาสนทนาเป็นภาษาจีนตลอดทางที่รถเคลื่อนตัวมาบนถนน มนสิชาก็เอาแต่บ่นกระปอดกระแปดมาตลอดทาง จนจางเหว่ยเองก็เริ่มรำคาญและหมดความอดทน จึงหันไปผลักเธอลงบนเบาะแล้วโถมตัวคร่อมไว้ มนสิชาเองถึงกับตกใจใบหน้าซีด“คะ คุณจะทำอะไร อย่าคิดจะทำอะไรบ้าๆ นะ”“เธอจะหยุดพูดได้หรือยัง ฉันรำคาญ ถ้าเธอไม่หยุดฉันจะปิดปากเธอด้วยปากของฉันเอง”“แต่คุณ...”“ยังไม่หยุดอีก”สายตาดุๆ ที่จ้องมา ใบหน้ามึนตึง มนสิชาถึงกับเม้มปากมองเขาด้วยตาใสแจ๋วก่อนพยักหน้างึกๆ ให้บอกว่าจะไม่พูดแล้ว เขาเห็นว่าเธอเงียบสงบลงแล้ว จึงลุกขึ้นนั่งมนสิชาพอหลุดพ้นจากพันธนาการได้ก็เขยิบไปชิดติดกับประตูอีกฝั่งของเบาะรถทำตัวลีบเล็กหากสิงประตูได้คงทำไปแล้วจางเหว่ย แอบชำเลืองมองท่าทางนั้นแล้วหันหน้าหนี เผลออมยิ้มเบาๆ นึกว่าจะแน่ ไม่เก่งให้ตลอดนี่นาเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของ จิน หั่ว ที่นั่งอยู่เบาะหน้าข้างคนขับ เขาเห็นท่าทีของเจ้านายผ่านกระจกมองหลังในร
สูดอากาศเข้าให้เต็มปอด ขันติๆ แต่ตอนนี้ขันแตกแล้ว มนสิชาเดินกระแทกไหล่จิน หั่ว อย่างแรงเพื่อให้เขาหลบทางให้แล้วก้าวเดินลงบันไดไปอย่างเร็วตรงลิ่วไปที่โรงแรมที่ตั้งอยู่ไม่ไกลทันที มีเพียงจิน หั่ว ที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมนสิชาให้ทันโดยมีลูกน้องสองสามคนวิ่งตามหลังมา ตั้งแต่ทำงานกับคุณหวังมาไม่เคยมีใครจะมีปัญหาและปวดหัวได้เท่ากับยัยผู้หญิงคนนี้สักคน คุณหวังคิดอะไรของเขาอยู่จะต่อรองอะไรให้เสียเวลามนสิชาเดินมาถึงโรงแรมได้ก็เดินตรงดิ่งไปยังลิฟต์ VIP ที่เธอเคยขึ้นประจำเมื่อหลายวันก่อน แต่ก็ถูกพนักงานวิ่งมาดักไว้ ไม่ให้ขึ้นไปเพราะเธอยังไม่ได้แจ้งว่าขึ้นไปพบใคร และจะขึ้นไปด้วยจุดประสงค์อะไร อีกอย่างรายชื่อเธอก็ไม่ได้อยู่ในลิสต์แล้วตั้งแต่เมื่อเช้า“ฉันมาหา หวัง จาง...เหว่ย,,, “เธอเอ่ยชื่อลอดผ่านร่องฟันออกมาทีละคำ“นัดไว้หรือเปล่าคะ”“ไม่ได้นัดค่ะ แต่ฉันมีธุระสำคัญที่ต้องคุยกับเขา”“ถ้าไม่ได้นัด ก็ขึ้นไปพบไม่ได้ค่ะ”มนสิชาถอนหายใจด้วยความเซ็ง แล้วหันกลับไปมองหน้า จิน หั่ว ที่เดินมาถึงพอดี เชิงบอกว่าจะเอายังไงจิน หั่วจึงพยักหน้าให้พนักงานสาวว่าหลบทางให้เธอขึ้นไป หญิงสาวจึงหลบให้ด้วยท่าทางงงๆ ว่
“ฮาโหล มน นั้น มนหรือเปล่า นี่มีนเองนะ”เสียงใสรอดผ่านปลายสายมาทันที ที่มนสิชากดรับ แค่ได้เห็นว่าเป็นเบอร์เพื่อนรักโทรข้ามประเทศมา เธอเองก็เหมือนเห็นแสงสว่างอยู่ที่ปลายอุโมงค์แล้ว“มีน มนอยากลับบ้าน “ เสียงแหบสั่นที่พยายามกลั้นน้ำเสียงสะอื้นเอาไว้“แกเป็นอะไรวะมน ใครทำอะไรแล้วแกร้องไห้ทำไม ทะเลาะกับคุณป้ามาเหรอ”“เปล่า มนถูกแม่กับน้องทิ้งไว้ที่ฮ่องกงอ่า มีน ........”เรื่องราวทุกอย่างถูกถ่ายทอดออกมาให้มีนาฟัง เธอพรั่งพรูทุกอย่างออกมาด้วยความทุกข์ใจเพราะยังคิดไม่ออกเลยว่าจะหาเงินด้วยวิธีไหนมาใช้หนี้ให้ทันภายใน 6เดือนให้เจ้าหนี้อย่างหวัง จางเหว่ย“ทำไมคุณป้าใจร้ายแบบนี้นะ ให้ฉันไปยื่นเรื่องขอความช่วยเหลือที่สถานทูตให้ไหม”“ไม่ได้นะมีน ถ้าทำแบบนั้นแม่กับน้องฉันได้ถูกพวกนั้นตามฆ่าตายแน่ๆ”“ทำไมแกต้องห่วงด้วยวะ พวกเขาทำกับแกขนาดนี้นะมน เฮอ แล้วฉันจะช่วยอะไรแกได้มั่งเนี่ย”มีนาถามออกมาด้วยความร้อนใจ และเป็นห่วงไม่คิดเลยว่าแม่แท้ๆจะทำกับลูกได้ เห็นแค่ในนิยายเจอเรื่องจริงก็กับเพื่อนตัวเองนี่ละ“ฉันต้องทำ ต้องหาเงินมาคืนเขาให้ได้ แต่มีนช่วยอะไรมนหน่อยได้ไหม”“ได้สิ ให้ช่วยอะไร ให้มีนบินไปหาตอน
หลังจากนั้นไม่นานลูกน้องก็หิ้วปีกของชายวัยกลางคนเข้ามา ใบหน้าที่มีรอยช้ำเหมือนถูกซ้อมมาไม่นาน พอเห็นว่าหวัง จางเหว่ยยืนอยู่ก็แทบคลานเข่า เข้าไปหา พร้อมกับร้องขอให้ไว้ชีวิต“มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ ทำไมสภาพคุณหมอถึงเป็นแบบนี้” เฟ่ยตง ถามออกไปด้วยความโมโหแต่ก็ทำอะไรไม่ได้“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณเฟ่ยตงนะครับ คุณหวัง เขาไม่รู้เรื่องนี้”“ถ้างั้น ใครเป็นคนสั่งให้แกทำ”“ผมเองก็ไม่ทราบครับ ผมไม่ได้รู้จักกับพวกมือปืนนั้นเลย แต่มีคนส่งข้อความมาจ้างให้ผมผสมยาให้ ผมเห็นว่าเขาให้ค่าจ้างเยอะเลยตกลงยอมทำให้”หวัง จางเหว่ย หรี่ตามองทั้งเจ้านายทั้งลูกน้องอย่างใช้ความคิด“ที่มันพูดมาน่าจะเป็นความจริงครับ เพราะเมื่อเช้าตอนที่ผมให้ลูกน้องไปลากมันมา มันกำลังหนีกลุ่มมือปืน สงสัยจะถูกตามมาฆ่าปิดปาก”จิน หั่ว เดินเข้ามาบอกเจ้านาย เพราะดูจากสภาพที่ถูกตามเช็ดล้างแล้วก็คงจะเป็นเรื่องจริง“แล้วคนที่จ้างให้แกทำงาน แกเห็นหน้ามันไหม”“ผมไม่เห็นครับ มันใช้วิธีส่งข้อความมาหรือไม่ก็โทรมา ส่วนค่าจ้างมันก็ให้ผมไปเอาที่ตู้ฝากของที่สถานีรถไฟใต้ดิน”“แกแน่ใจนะว่าพูดความจริง ถ้าฉันจับได้ว่าแกโกหก แกจะไม่เหลือลมหายใจบนโลกใบ