กลิ่นน้ำมันเครื่อง และเบาะหนังที่ชื้นด้วยเหงื่อซึมทะลุขึ้นจมูกทันทีที่ลาริสารู้สึกตัว
มือของเธอถูกมัดไว้แน่น ร่างถูกโยนไว้กับพื้นรถตู้ด้านหลังที่ปิดทึบ แสงเพียงเสี้ยวจากไฟท้ายสะท้อนผ่านรอยแตกของฝาปิดเก็บของ เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม แต่เสียงที่ทำให้เธอเย็นเยียบยิ่งกว่า คือเสียงบทสนทนาของชายสองคนด้านหน้า “แน่ใจนะว่าเป็นลูกของท่านรัฐมนตรีจริง ๆ?” “เออสิวะ กูเห็นกับตา ไม่ใช่เด็กธรรมดาแน่ๆ คนอย่างเธอ ส่งให้ฝั่งโน้นเขาจะจ่ายหนักกว่าเดิมแน่นอน” “ชายแดนเพื่อนบ้านใช่ไหม…ซ่องนั่นที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปตรวจน่ะ?” “ก็ที่นั่นแหละ จะได้จบ ๆ ไป ใครจะไปรู้ว่าลูกสาวรัฐมนตรีมานั่งรับแขกอยู่ตรงนั้น” เสียงหัวเราะหยันดังตามมา ราวกับคำพูดนั้นเป็นแค่เรื่องตลกไร้ค่าของโลกใต้ดิน เลือดในกายลาริสาเย็นเฉียบ เธอแทบไม่รู้ว่าลมหายใจหลุดหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ คำว่า “ขายตัว” “รับแขก” “ชายแดน” แต่ละคำเหมือนมีดที่สลักลงกลางใจ เธอหวาดกลัว ร่างกายสั่นราวกับไข้ขึ้น น้ำตาที่หลั่งลงมานั้น…ไม่ใช่เพราะเจ็บ แต่เป็นความกลัวแบบที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน กลัวว่าจะไม่มีใครตามหาเธอเจอ กลัวว่าจะไม่มีวันกลับไปได้อีก ... ภายในห้องแต่งตัว คลับลับแห่งหนึ่ง กระจกบานใหญ่สะท้อนภาพหญิงสาวในชุดกระโปรงเข้ารูปสีดำเข้ม เสื้อกั๊กติดกระดุมแน่นคอ ริมฝีปากถูกแต้มด้วยลิปสติกสีแดงเข้ม ผมถูกรวบเรียบร้อยจนแทบจำไม่ได้ว่าเธอเคยเป็นใครมาก่อน หน้ากากลูกไม้ครึ่งหน้าวางอยู่ตรงหน้าเธอ เหมือนรอให้เธอสวม…แล้วลบชื่อของลาริสาทิ้งไป เปลี่ยนเธอให้กลายเป็น 'ใครก็ไม่รู้' ผู้หญิงที่ไม่มีอดีต ไม่มีตัวตน มีแค่ร่างกายที่พร้อมจะยื่นเหล้าให้แขก…และรอยยิ้มที่สั่งให้ยิ้ม เธอมองเงาตัวเอง เสียงบทสนทนาในรถตู้คืนนั้นยังคงก้องในหัว เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ เธอถึงไม่ถูกส่งไปในที่ที่น่ากลัวอย่างที่ได้ยิน แต่ตอนนี้…เธอยังอยู่ที่นี่ ยังหายใจ ยังมีเสื้อผ้า ยังยืนอยู่ แม้จะไม่เข้าใจเหตุผล แต่เธอรู้แค่ว่า…โชคดี หรืออาจจะแค่โชคดีชั่วคราว เธอกลืนลมหายใจเงียบ ๆ ขณะที่สายตายังจับจ้องตัวเองในกระจก ภาพสะท้อนนั้นไม่ใช่ลูกสาวรัฐมนตรี ที่เคยอยู่ในแวดวงสังคมชั้นสูง ไม่ใช่หญิงสาวเรียบร้อยที่ใครต่อใครชื่นชม แต่เป็นผู้หญิงที่ใส่หน้ากาก…ไม่ใช่เพื่อแฟชั่น แต่เพื่อปิดซ่อนตัวตนที่กำลังถูกลบหายไปทุกวินาที ... เสียงเคาะประตูสามครั้งดังขึ้น พร้อมเสียงเรียกจากการ์ดด้านนอก “ถึงเวลาแล้ว ห้อง VIP6 วันนี้มีแขกระดับพิเศษ” เธอไม่ตอบ…แค่สูดลมหายใจลึกอีกครั้ง ดึงหน้ากากขึ้นปิดครึ่งใบหน้า แล้วเดินออกจากห้อง ... คลับชายแดนแห่งนี้เป็นที่ลับแต่หรูหรา เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวระดับเจ้าสัว ทายาทผู้ดี ตระกูลใหญ่ทั้งฝั่งไทยและต่างชาติ มันเป็นโลกที่กฎหมายอ่อนแรง เส้นแบ่งระหว่างถูกกับผิดพร่ามัวเกินใครจะแยกได้ ด้านหน้าเป็นโซนบาร์ปกติ แต่ด้านในสุด…เป็นโซน VIP ที่ไม่มีใครนอกจากคนวงในเข้าได้ และลึกลงไปอีกชั้นใต้ดิน คือ 'บ่อนพนัน' ที่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศเพื่อนบ้าน ลาริสาเดินตามการ์ดไปตามโถงทางเดินหินสีเข้ม ไฟสลัวประดับตลอดทาง สวยงามจนน่าขนลุก เธอรู้ดี…เธอไม่ได้มาอยู่ที่นี่ในฐานะ พนักงาน ไม่ได้สมัครใจมา...แต่ถูกจับตัวมาอย่างเลือกไม่ได้ แม้ไม่มีโซ่ตรวนล่ามไว้ แต่สายตาหนักอึ้งของเหล่าการ์ดที่จับจ้องทุกฝีก้าว กับการถูกควบคุมราวนักโทษในกรงทอง ก็เพียงพอจะตอกย้ำว่า... ต่อให้พยายามแค่ไหน ก็ไม่มีทางหนีพ้น ... ห้อง VIP-6 ภายในห้องโทนมืดที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก แสงจากไฟเพดานทาบเงาชายคนหนึ่งไว้บนโซฟาหนังอย่างเงียบงัน ลาริสารู้สึกได้ถึงแรงอึดอัดที่กดทับหน้าอกตั้งแต่ก้าวแรกที่เปิดประตูเข้ามา ทุกก้าวที่เธอเดินเข้าไปในห้อง เหมือนกำลังก้าวข้ามเส้นของความปลอดภัยที่ไม่มีอยู่อีกแล้ว เสื้อกั๊กเข้ารูป กระโปรงสั้น หน้ากากลูกไม้ครึ่งหน้า ไม่มีอะไรปกป้องเธอจากสายตาเปลือยเปล่าของคนตรงหน้าได้เลย เธอก้มหน้าวางแก้วเหล้าลงอย่างเงียบเชียบ เสียงน้ำแข็งในแก้วกระทบกันเบา ๆ ในห้องเงียบงัน ฟังดูเหมือนเสียงโซ่ตรวนในหูของเธอ แต่แล้ว...เธอชะงัก ในมุมห้อง เงาของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเอนตัวพิงพนักโซฟา เธอจำได้ทันทีว่าเขาเป็นคนไทย เธอเคยเห็นเขา...ในแวดวงระดับสูง งานกาล่า งานเลี้ยงตระกูลผู้มีอำนาจ เขาคือคนที่เธอไม่เคยพูดด้วย แต่เคยอยู่ในระยะที่ใกล้พอจะรู้ว่า 'เขาอาจช่วยได้' หัวใจเธอเต้นแรง ความหวังแล่นขึ้นมาเหมือนแสงไฟเพียงดวงเดียวในความมืด เธอสูดลมหายใจ ก้าวเท้าอย่างมั่นใจเข้าใกล้ชายคนนั้น สบตาผ่านหน้ากาก พยายามส่งสัญญาณ บอกด้วยแววตาทุกอย่างที่เธอพูดไม่ได้ 'ช่วยฉัน…ได้โปรด ช่วยฉัน…' แต่ก่อนที่เขาจะขยับ... มือหนา ของชายที่อยู่ใกล้กว่า ก็ฟาดเข้าที่แขนเธอ “จะไปไหน?” เสียงเย้ยหยันดังขึ้น ก่อนที่เขาจะคว้าเอวเธอแล้วดึงกลับอย่างแรง “นึกว่าฉันไม่เห็นเหรอ? เธอจะไปส่งสายตาให้มัน?” “ไม่ใช่นะ! ฉันแค่—” เธอหอบ เสียงเธอสั่น น้ำตาเริ่มคลอ “หึ…ร้อนวิชาใช่ไหม” เขากระซิบชิดหู พร้อมกับดันร่างเธอลงบนโซฟา กระดุมเสื้อด้านบนถูกกระชากออก ไหล่ข้างหนึ่งเปลือยเปล่า ลมหายใจของเธอขาดห้วง เหมือนร่างจะเย็นลงทันทีที่ไอมือสกปรกนั่นแตะผิวเธอ “ปล่อย! ได้โปรด อย่าแตะต้องฉัน!” เสียงของเธอเกือบกลายเป็นกรีดร้อง แต่มันเหมือนแค่เสียงลมหายใจในห้องที่ไม่มีใครอยากฟัง สายตาเธอหันไปมองมุมห้องอีกครั้ง ผู้ชายที่เธอต้องการขอความช่วยเหลือ...ยังคงนั่งอยู่ในมุมสลัว สายตานิ่งสงบจนเธอไม่แน่ใจว่าเขาได้ยินหรือไม่ หรือแค่เลือกที่จะมองผ่านเหมือนเธอไม่มีตัวตน เธอรู้แล้ว…ว่าแม้แต่แสงสุดท้ายในความมืด ก็อาจเป็นเพียง กับดักที่พรางตัวมาในรูปของความหวังเสียงหัวเราะต่ำของชายตรงหน้าดังขึ้นมือหนาขยับต่ำลงเรื่อย ๆ พร้อมแรงกดที่ทำให้เธอแทบขาดใจ“ไม่! ฉันไม่ใช่ของเล่นของคุณ!”เธอรวบแรงทั้งหมดคว้าขวดวิสกี้บนโต๊ะฟาดลงบนพื้นเสียงแก้วแตกกระจายข้างตัว เสี้ยววินาทีที่เขาชะงักเธอสะบัดตัวสุดแรง ผลักร่างใหญ่ของเขาออกกระชากชายกระโปรงแล้ววิ่งออกจากห้อง โดยไม่หันหลังกลับห้องทั้งห้องเหมือนแคบลงจนหายใจไม่ออกเสียงฝีเท้าดังสะท้อนในทางเดินมืดชื้นเหงื่อหัวใจของเธอเต้นรัวเหมือนกลองรบ แต่เธอไม่รู้ว่ากำลังวิ่งหนีอะไร หรือกำลังวิ่งเข้าสู่อะไร…ที่เลวร้ายกว่าเดิมโถงทางเดินมืดสลัว กลายเป็นเขาวงกตไร้ทางออกเสียงฝีเท้าของลาริสาดังก้องสะท้อนตามผนังหินเย็นเฉียบ กลิ่นอับชื้นของสถานที่ที่ไม่มีหน้าต่างเหมือนยิ่งบีบคั้นหัวใจให้แน่นขึ้นทุกวินาทีเธอไม่รู้ว่ากำลังหนีไปไหน…ไม่รู้ว่าเสียงฝีเท้าที่ได้ยินตามหลัง เป็นเสียงจริง หรือเป็นเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นจนแสบหูเธอเลี้ยวพรวดไปตามความรู้สึกจนกระทั่งโครม!ร่างของเธอชนเข้ากับบางอย่างแน่น หนัก และมั่นคงจนเธอสะบัดถอยหลังแทบไม่ทันแขนแกร่งคว้าเธอไว้ก่อนจะล้มกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ และไออุ่นของผิวเนื้อชาย…ห้อมล้อมเธอในช
ลาริสาไม่รู้ว่าความเงียบที่ปกคลุมระหว่างเขากับเธอนั้นกินเวลานานแค่ไหนเธอแค่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟา หนังที่เย็นเฉียบแนบผิวแทบไม่ต่างจากเลือดในร่างของเธอในตอนนี้หัวใจเธอเต้นช้าลง…แต่ทุกจังหวะเหมือนมีมีดกรีดอยู่ภายในเธอคิดย้อนกลับไปในคืนที่มืดที่สุดในชีวิต คืนที่เธอถูกจับตัวขึ้นรถตอนนั้น เธอเชื่อว่าเธอกำลังจะตายหรือแย่กว่านั้น…เธอจะมีชีวิตอยู่ แต่ในสถานะที่ไม่เหลือแม้แต่ศักดิ์ศรีเธอจำคำพูดพวกนั้นได้แม่นน้ำเสียงเหยียดหยามของคนที่บอกว่าเธอจะถูกขายไปฝั่งชายแดน ไปอยู่ในซ่องเถื่อนที่ไม่มีใครตามหาเจอไปเป็นของเล่น...ในที่ที่กฎหมายเข้าไม่ถึง และคำว่ามนุษย์ก็ไม่มีความหมายแต่แล้ว…ในเช้าวันต่อมาเธอกลับลืมตาขึ้นมาในที่แห่งหนึ่ง ยังถูกคุมตัว แต่ไม่มีโซ่ ไม่มีเสียงหัวเราะต่ำ ไม่มีสายตาสกปรกที่จ้องจะกลืนกินเธอมีเพียงคำสั่งให้เปลี่ยนชุด แต่งหน้า ใส่หน้ากากและกลายเป็นเด็กเสิร์ฟเหล้าในคลับปิดที่หรูหราแต่ไร้อิสระตอนแรกเธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมทำไมชะตาที่เหมือนกำลังจะหล่นจากหน้าผาถึงได้เปลี่ยนทิศอย่างประหลาดแต่ตอนนี้…ทุกอย่างชัดเจนชายตรงหน้า คนที่ดึงเธอไว้จากขุมนรกคนที่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาแต่กลั
หลังจากภานุวัฒน์กับพ่อสามารถหนีข้ามแดนไปได้เขาไม่เคยลืมไม่เคยลืมว่ามีใครคนหนึ่ง...ยอมเดินเข้ามาในไฟนรกเพื่อช่วยชีวิตเขาแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้อะไรเลย...และนั่นคือเหตุผลที่หลายปีต่อมาเมื่ออคินตกอยู่ในอันตรายกลางขบวนขนของเถื่อนเมื่อทุกคนทอดทิ้งเขาภานุวัฒน์ ในฐานะเด็กชายที่เคยได้รับการช่วยเหลือจากอคิน จึงไม่มีวันยอมปล่อยให้ชายคนนี้ตายเหมือนหมาข้างทางเขาฝ่าแนวปืน ฝ่าอำนาจมืดเขาพาอคินกลับมา...แม้จะต้องเสี่ยงชีวิตตัวเองก็ตามหลังจากที่ธุรกิจของเขากับพ่อมั่นคงขึ้น เขาก็นำเงินมาลงทุนเปิดสถานที่แห่งนี้และมอบมันให้กับอคิน...อคินหลุบตาลงช้า ๆ เมื่อนึกถึงอดีตเหล่านั้นความขอบคุณ ความซาบซึ้งในใจ...ไม่เคยจางหายไปเลยตลอดชีวิตของเขาเขาเข้าใจดี ว่าหนี้บางหนี้...ไม่ต้องพูดแต่จะผูกมัดไว้จนวันสุดท้ายของลมหายใจและเพราะอย่างนั้น...ไม่ว่าภานุวัฒน์จะทำอะไรไม่ว่ามันจะขัดกับตรรกะ หรือทำให้เขาเดือดร้อนมากแค่ไหนเขาจะไม่มีวันหักหลังภานุวัฒน์อคินยิ้มจาง ๆ หันมามองคนที่เป็นมากกว่าคำว่าเพื่อน"ฉันเข้าใจ..."เสียงเขาแหบพร่า แต่แน่วแน่"เพราะถ้าไม่มีแกวันนั้น ฉันก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้เหมือนกัน"ภา
เวลาผ่านไปไม่นาน การ์ดในชุดดำเดินตรงมาหยุดที่หน้ากระจกที่ลาริสามานั่งก้มหน้าเงียบอยู่เขาไม่พูดพร่ำโยนถุงผ้าใบใหญ่ ๆ มาวางบนโต๊ะเครื่องแป้งจนฝุ่นฟุ้งกระจาย"เปลี่ยนชุดซะ" น้ำเสียงสั้น กระด้าง ไร้ความรู้สึกลาริสาเงยหน้าขึ้นอย่างสับสนการ์ดกระแทกคำอธิบายออกมาอย่างเย็นชา"ต่อไปนี้...เธอไม่ต้องเข้าไปในห้อง VIP อีก""ทำงานอยู่โซนข้างนอก เตรียมเครื่องดื่ม เสิร์ฟเหล้า แค่นั้น"พูดจบ เขาก็หมุนตัวจากไปทิ้งไว้เพียงถุงผ้าหนักอึ้ง กับความเงียบที่กดทับตัวเธอลาริสาก้มหน้ามองถุงผ้ามือบางสั่นนิด ๆ ขณะเปิดมันออกชุดใหม่ เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดเรียบง่าย กับกางเกงขายาวสีดำไม่มีหน้ากากลูกไม้ ไม่มีเสื้อคอกว้าง ไม่มีกระโปรงสั้นเหนือเข่าเหมือนเมื่อก่อนมันคือชุดของพนักงานโซนด้านนอกจริง ๆ...ชุดที่อย่างน้อย จะไม่ต้องโดนแตะต้องโดยแขกอีกลาริสาเม้มปากแน่น รู้สึกเหมือนหัวใจบีบรัดอย่างแรงในขณะที่เธอยังซึมซับคำสั่งใหม่เสียงกระซิบกระซาบเริ่มดังขึ้นรอบตัว"ฮึ นึกว่าทำผิดแล้วจะโดนเตะออกซะอีก...""เส้นใหญ่นี่หว่า ได้ย้ายมาทำงานสบาย ๆ ข้างนอกแทน""อภิสิทธิ์พิเศษสำหรับคนหน้าตาดีสินะ..."เสียงกระซิบเหยียดหยันแทงทะล
ความเงียบปกคลุมทั่วห้องหลังบทสนทนาสั้น ๆ ระหว่างภานุวัฒน์กับธีภพจบลงท่ามกลางความเงียบ...แต่ไม่ว่างเปล่าในห้วงความเงียบนั้นมีทั้งความเข้าใจ และภาระที่แต่ละคนแบกไว้ในเส้นทางที่ไม่อาจหันหลังคีรณัฐ ชายหนุ่มในชุดเชิ้ตเรียบเฉียบที่นั่งพิงพนักนิ่ง ๆ กระแอมเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่เฉือนลึกในทุกถ้อยคำ"ฉันเอง...ก็คงต้องถอนตัวจากฝั่งธุรกิจแล้วเหมือนกัน"เพียงคำพูดเดียวบรรยากาศในห้องพลันตึงขึ้นอย่างยากจะอธิบายธีภพละสายตาจากแฟ้มในมือภานุวัฒน์หยุดมือที่กำลังขยับแฟ้มเอกสารทั้งสองไม่ถามซ้ำ เพราะรู้ดีอยู่แก่ใจ เบื้องหลังหน้ากากผู้บริหารที่คีรณัฐสวมไว้ตลอดหลายปีคือเจ้าหน้าที่สืบสวนพิเศษระดับสูง หนึ่งในผู้กวาดล้างขบวนการสกปรกในโลกมืดทั้งสารเสพติด อาชญากรรม และนักการเมืองที่ย่ำยีผู้บริสุทธิ์โดยเฉพาะ...ท่านรัฐมนตรี วิศรุต เกริกไกร เป้าหมายที่เขาเพ่งเล็งมาเนิ่นนานคีรณัฐหัวเราะเบา ๆ คล้ายไม่ยี่หระ"ถึงเวลาแล้วล่ะ...ต้องกลับไปทำในสิ่งที่ควรทำ"เสียงเขานิ่งและมั่นคงจนรอบห้องเหมือนจะอึดอัดขึ้นเรื่อย ๆธีภพพยักหน้าเข้าใจไม่พูดมาก เพราะสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา ไม่ต้องการถ้อยคำฟ
ลาริสาก้มหน้าถือกล่องปฐมพยาบาลแน่นในมือฝ่ามือที่บาดเจ็บแสบระคนกับอาการปวดที่ยังแล่นขึ้นตามข้อศอกทุกครั้งที่ขยับเธอเดินอย่างระมัดระวังไปตามทางเดินแคบ ๆหลบสายตาอยากรู้อยากเห็นที่ไหลวนรอบตัวเหมือนสัตว์ตัวเล็กที่ถูกโยนเข้าไปในป่าใหญ่ที่ไม่ปรานีระหว่างทาง เธอเกือบสะดุดอีกครั้งเพราะขาสั่นจากความเจ็บแต่แล้ว...มีมือหนึ่งเอื้อมมาคว้าแขนเธอไว้เบา ๆ"เดี๋ยวฉันช่วย" เสียงนุ่ม ๆ ดังขึ้นข้างหูส้ม พี่สาวร่างเล็กในชุดเสื้อโปโลสีเข้ม ที่ลาริสาได้พบในวันแรกที่เธอถูกส่งตัวเข้ามาอยู่ที่นี่ส้มเคยเป็นคนแรกที่ยื่นน้ำให้เธอในคืนที่ร้องไห้ไม่หยุดเคยเป็นคนที่นั่งเงียบ ๆ ข้าง ๆ ตอนที่เธอรู้สึกว่าทั้งโลกนี้ไม่เหลือใครลาริสาเม้มปากแน่น แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้ส้มช่วยพยุงตัวไปนั่งที่ม้านั่งยาวด้านหลังส้มไม่ถามอะไรเพิ่มเติมเพียงแค่ดึงกล่องออกจากมือเธออย่างเบามือ แล้วเริ่มทำแผลให้อย่างเงียบ ๆปลายนิ้วที่พันผ้าพันแผลแน่นแต่ไม่เจ็บสัมผัสที่อบอุ่นและอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อในสถานที่แห้งแล้งเช่นนี้"พักก่อนเถอะนะ..." ส้มกระซิบเสียงเบา ขณะพันแผลเสร็จ"เดี๋ยวฉันจะไปบอกหัวหน้าว่าเธอทำงานไม่ไหว ขอพักคืนนี้"ลาริสาเ
ในเสี้ยววินาทีคีรณัฐคว้าเอวเธอกดลงกับเบาะโซฟา"งั้นผมจะช่วยสอนให้เอง..."เสียงของเขาแหบพร่า ขณะที่ก้มลงแนบชิดจนลมหายใจสอดประสานกันริมฝีปากหยักกดลงมาปิดกั้นรอยยิ้มเย้า ๆ นั้นอย่างไร้ความปรานีลิ้นร้อนลากซอกไซ้ไปตามลำคอขาวเนียนอย่างเผ็ดร้อนพราวฟ้าสะดุ้ง ร่างบางบิดเร้าใต้ร่างเขา แต่ถูกมือหนากดตรึงไว้แน่น"อยากใช้ร่างกายล่ะก็..."เสียงเขาครางต่ำข้างหูเธอ"ใช้กับผมนี่แหละ — ให้พอจนไม่กล้าเอาไปแลกกับใครอีก""ฉันพูดเล่นน่า..."เสียงพราวฟ้าอ้อนเบา ๆ ขณะมือเล็กดันอกเขาไว้สายตากลมโตสั่นระริกเล็กน้อย ทั้งจากความตกใจและความเร้าใจที่ไหลผ่านร่างแต่คีรณัฐไม่ขยับออกกลับยิ่งโน้มตัวลงมาใกล้กว่าเดิมลมหายใจร้อน ๆ สัมผัสผิวแก้มเธออย่างจงใจ"เล่นไม่รู้เรื่องเลยนะ...ฟ้า" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยกระซิบใกล้ใบหูพราวฟ้ากำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่ริมฝีปากหยักร้อนผ่าวก็ปิดริมฝีปากบางของเธอเสียก่อนจูบรุนแรงและเร่าร้อนไร้ซึ่งความอ่อนโยนราวกับตั้งใจจะลงโทษที่เธอกล้ากลั่นแกล้งความอดทนของเขามือหนาลูบไล้ตามสันหลังเธอผ่านเนื้อผ้าบางเบาลมหายใจของพราวฟ้าขาดห้วงทีละน้อย"คีร์..."เธอครางแผ่วในลำคอ พยายามดันเขาออกอย่างไ
เขาไม่ตอบ แต่เพียงยิ้มมุมปากบาง ๆเพราะเธอยังไม่รู้...ว่างานของเขา ไม่ใช่แค่พนักงานบริษัทธรรมดาแต่เป็นหน่วยพิเศษที่ทำหน้าที่จัดการเรื่องสกปรกในเงามืดของประเทศนี้เขาเลือกที่จะเงียบ และเก็บเธอไว้ในโลกที่ปลอดภัยคีรณัฐเปลี่ยนเรื่องเสียก่อนที่หัวใจเธอจะหนักไปกว่านี้"อีกสองสามวัน ผมต้องไปทำงานต่างจังหวัดหลายวัน"เสียงเขานุ่มทุ้ม ขณะที่ลูบหลังเธอเบา ๆ"คงไม่ได้มาหาบ่อย ๆ"พราวฟ้าสูดลมหายใจลึก ๆก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ"ดีเลย..."เธอยิ้มบาง"อาทิตย์หน้าฉันก็เปิดกล้องละครเรื่องใหม่แล้วเหมือนกัน"เธอซุกหน้าแนบอกเขาอีกครั้ง"ต่อไปคงต้องคิดถึงกันมากขึ้นสินะ"คีรณัฐไม่ตอบเพียงกอดร่างของเธอในอ้อมแขนแน่นขึ้นอีกนิดเหมือนต้องการสลักเธอเอาไว้ในอก...ไม่ให้ห่างไปไหนในห้องเงียบ ๆ มีเพียงเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นประสานกันอย่างที่ไม่มีคำพูดใดจำเป็นอีกต่อไปรุ่งเช้า ห้องนอนในคอนโดที่อบอวลด้วยไออุ่นคีรณัฐนั่งพิงหัวเตียง มองหญิงสาวที่หลับใหลอยู่ข้างกายด้วยสายตานุ่มลึกพราวฟ้าซุกกายหลับสนิท รอยยิ้มบางยังแตะที่มุมปากราวกับกำลังฝันดีเขาเอื้อมมือไปเกลี่ยปอยผมที่ปรกแก้มเธอเบา ๆในดวงตาคมลึกซึ้งมีบางอย่างที่เขา
“อ๊ะ…!”เสียงหวีดเบา ๆ หลุดจากริมฝีปากเธอยังไม่ทันได้ตั้งตัวเสื้อเชิ้ตตัวบางบนร่างเธอก็ถูกกระชากจนขาดวิ่นดัง แคว่ก!เศษผ้าหลุดรุ่ย เผยผิวขาวซีดที่สั่นระริกใต้สายตาแข็งกร้าวของเขาริมฝีปากของภานุวัฒน์กดลงมาอย่างรุนแรงบดขยี้ทุกสัมผัสด้วยความโกรธที่สุมอยู่เต็มอกจูบของเขา...ไม่ใช่จูบที่อ่อนโยน ไม่ใช่ความโหยหามันคือการลงทัณฑ์ การลงโทษที่บาดลึกยิ่งกว่ามีด"ฮึก...อย่า...ขอร้องล่ะ..."เสียงอ้อนวอนของลาริสาสั่นพร่า น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหลั่งรินลงไม่หยุดเธอพยายามดิ้นหนี บิดกายขัดขืนสุดแรงเกิดแต่ยิ่งเธอดิ้น ภานุวัฒน์ยิ่งกระชับวงแขนแน่นขึ้นเขากดตัวเธอแนบแน่นกับโซฟาใช้ริมฝีปากขบเม้มลงที่ซอกคอขาวจนขึ้นรอยแดงเป็นจ้ำแรงกัดนั้น...ไม่ได้มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความเมตตาเสียงสะอื้นของเธอดังสะท้อนในห้องแต่สำหรับเขาในตอนนี้...มันเหมือนเชื้อเพลิงที่ยิ่งสุมไฟแค้นในอกให้ลุกโชน"แกล้งทำเป็นใสซื่อเก่งนัก..."เสียงเขากระซิบชิดใบหูเธอเสียงต่ำลึกจนแทบเป็นเสียงคำราม"ถ้างั้น...ฉันจะดูให้เห็นกับตา ว่าเธอไร้เดียงสาจริง...หรือมันก็แค่เปลือกนอกหลอกลวง"คำพูดนั้นบาดลึกเหมือนมีดกรีดใจริมฝีปากร้อนชื้นของเขาเลื่
ลาริสาเปิดประตูเดินเข้าไปเสียงบานประตูไม้ปิดลงช้า ๆ ด้านหลังลาริสาเงยหน้าขึ้นมองความมืดสลัวตรงหน้าเพียงแสงไฟเพดานดวงเล็กที่เปิดสลัวไว้ ทำให้เห็นเพียงเงาราง ๆ ของชายคนหนึ่งที่นั่งทอดกายอยู่กลางห้องเขานั่งเอนหลังบนโซฟาหนังสีเข้มแสงบางเฉียบจากโคมไฟสาดเฉียงผ่านใบหน้าข้างหนึ่ง...เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าคมเข้มที่นิ่งงันจนดูน่ากลัวหญิงสาวก้าวขาอย่างลังเลหัวใจเธอเต้นแรงจนน่ากลัวว่าจะได้ยินออกไปนอกอกเธอไม่รู้ว่าใครรอเธออยู่ข้างหน้าแต่สัญชาตญาณบอกได้เพียงอย่างเดียว...คน ๆ นั้นกำลัง "รอเธออยู่"ลาริสากลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ ก้าวเข้าไปใกล้ทีละก้าว ทีละก้าวและทันทีที่เธอเดินเข้ามาถึงระยะเพียงเอื้อม...แขนแกร่งที่เธอไม่ทันมองเห็นก็คว้าข้อมือเล็กของเธออย่างรวดเร็ว แล้วดึงร่างเธอขึ้นไปนั่งบนตักอย่างไร้ความลังเล"อ๊ะ!"เสียงหวีดเบา ๆ หลุดจากริมฝีปาก ก่อนที่สติจะตามทันกลิ่นกายชายคุ้นเคยแผ่กระจายร้อนระอุไปทั่วผิวเธอสายตาเธอเบิกกว้าง มองสบกับดวงตาสีฟ้าราวน้ำแข็งคู่นั้นภานุวัฒน์ อนันตรเวศน์เขากลับมาแล้ว...โดยไม่มีใครเตือนเธอเลยสักนิดแววตาของเขามืดดำจนเหมือนเหวลึก ไม่มีแสง ไม่มีความหวัง มีเพีย
ลาริสาเดินผ่านโถงทางเดินมืดมาที่ด้านหลังเพื่อล้างแก้ว เสียงส้นรองเท้าหนัก ๆ ก้องกังวานตามหลังเธอมาในทางเดินแคบ สะท้อนคล้ายกับเสียงหัวใจของลาริสาที่เต้นโครมครามอยู่ในอก เธอหันขวับไปตามสัญชาตญาณ... ตึง! ร่างสูงใหญ่ของการ์ดหนุ่มกระชากเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว มือสากกดปิดปากเธอแน่น ลมหายใจเขาร้อนฉ่า เป่ารดข้างแก้มอย่างจาบจ้วง "เงียบซะ..." เสียงกระซิบทุ้มต่ำเฉียดใบหูของเธอ "คืนนี้ฉันจะทำให้เธอร้องไม่หยุด..." ลาริสาตัวแข็งทื่อ แต่ผิวเนื้อกลับร้อนวาบจนขนลุกเกรียว แรงจากแขนแข็งแรงลากเธอเข้าไปในห้องเก็บของเล็ก ๆ เขาปิดประตูทันที เสียง "ปัง!" ของประตูดังกึกก้องในความเงียบ ภายในห้องเก็บของ เธอถูกผลักกระแทกกับผนังปูนแข็ง ร่างของหญิงสาวสั่นเทิ้ม อากาศในอกพร่องหายจนแทบหายใจไม่ออก มือหยาบกร้านลากช้า ๆ ไล่ตั้งแต่ลำคอ...ลงไปถึงต้นแขน ผิวเธอสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว เสียงหอบกระเส่าของเขาแตะอยู่ที่ข้างใบหู ทำให้สติของเธอแทบพร่าเบลอ "อย่าเล่นตัวเลยน่า..." เสียงแหบพร่าเหมือนสัตว์นักล่าไล่ต้อนเหยื่ออ่อนแอ นิ้วแข็งแรงบังคับไล้ลงมาที่เอว... กดบังคับให้แผ่นหลังของเธอแนบแน่นกับแผ่นอกแข็
เขาไม่ตอบ แต่เพียงยิ้มมุมปากบาง ๆเพราะเธอยังไม่รู้...ว่างานของเขา ไม่ใช่แค่พนักงานบริษัทธรรมดาแต่เป็นหน่วยพิเศษที่ทำหน้าที่จัดการเรื่องสกปรกในเงามืดของประเทศนี้เขาเลือกที่จะเงียบ และเก็บเธอไว้ในโลกที่ปลอดภัยคีรณัฐเปลี่ยนเรื่องเสียก่อนที่หัวใจเธอจะหนักไปกว่านี้"อีกสองสามวัน ผมต้องไปทำงานต่างจังหวัดหลายวัน"เสียงเขานุ่มทุ้ม ขณะที่ลูบหลังเธอเบา ๆ"คงไม่ได้มาหาบ่อย ๆ"พราวฟ้าสูดลมหายใจลึก ๆก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ"ดีเลย..."เธอยิ้มบาง"อาทิตย์หน้าฉันก็เปิดกล้องละครเรื่องใหม่แล้วเหมือนกัน"เธอซุกหน้าแนบอกเขาอีกครั้ง"ต่อไปคงต้องคิดถึงกันมากขึ้นสินะ"คีรณัฐไม่ตอบเพียงกอดร่างของเธอในอ้อมแขนแน่นขึ้นอีกนิดเหมือนต้องการสลักเธอเอาไว้ในอก...ไม่ให้ห่างไปไหนในห้องเงียบ ๆ มีเพียงเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นประสานกันอย่างที่ไม่มีคำพูดใดจำเป็นอีกต่อไปรุ่งเช้า ห้องนอนในคอนโดที่อบอวลด้วยไออุ่นคีรณัฐนั่งพิงหัวเตียง มองหญิงสาวที่หลับใหลอยู่ข้างกายด้วยสายตานุ่มลึกพราวฟ้าซุกกายหลับสนิท รอยยิ้มบางยังแตะที่มุมปากราวกับกำลังฝันดีเขาเอื้อมมือไปเกลี่ยปอยผมที่ปรกแก้มเธอเบา ๆในดวงตาคมลึกซึ้งมีบางอย่างที่เขา
ในเสี้ยววินาทีคีรณัฐคว้าเอวเธอกดลงกับเบาะโซฟา"งั้นผมจะช่วยสอนให้เอง..."เสียงของเขาแหบพร่า ขณะที่ก้มลงแนบชิดจนลมหายใจสอดประสานกันริมฝีปากหยักกดลงมาปิดกั้นรอยยิ้มเย้า ๆ นั้นอย่างไร้ความปรานีลิ้นร้อนลากซอกไซ้ไปตามลำคอขาวเนียนอย่างเผ็ดร้อนพราวฟ้าสะดุ้ง ร่างบางบิดเร้าใต้ร่างเขา แต่ถูกมือหนากดตรึงไว้แน่น"อยากใช้ร่างกายล่ะก็..."เสียงเขาครางต่ำข้างหูเธอ"ใช้กับผมนี่แหละ — ให้พอจนไม่กล้าเอาไปแลกกับใครอีก""ฉันพูดเล่นน่า..."เสียงพราวฟ้าอ้อนเบา ๆ ขณะมือเล็กดันอกเขาไว้สายตากลมโตสั่นระริกเล็กน้อย ทั้งจากความตกใจและความเร้าใจที่ไหลผ่านร่างแต่คีรณัฐไม่ขยับออกกลับยิ่งโน้มตัวลงมาใกล้กว่าเดิมลมหายใจร้อน ๆ สัมผัสผิวแก้มเธออย่างจงใจ"เล่นไม่รู้เรื่องเลยนะ...ฟ้า" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยกระซิบใกล้ใบหูพราวฟ้ากำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่ริมฝีปากหยักร้อนผ่าวก็ปิดริมฝีปากบางของเธอเสียก่อนจูบรุนแรงและเร่าร้อนไร้ซึ่งความอ่อนโยนราวกับตั้งใจจะลงโทษที่เธอกล้ากลั่นแกล้งความอดทนของเขามือหนาลูบไล้ตามสันหลังเธอผ่านเนื้อผ้าบางเบาลมหายใจของพราวฟ้าขาดห้วงทีละน้อย"คีร์..."เธอครางแผ่วในลำคอ พยายามดันเขาออกอย่างไ
ลาริสาก้มหน้าถือกล่องปฐมพยาบาลแน่นในมือฝ่ามือที่บาดเจ็บแสบระคนกับอาการปวดที่ยังแล่นขึ้นตามข้อศอกทุกครั้งที่ขยับเธอเดินอย่างระมัดระวังไปตามทางเดินแคบ ๆหลบสายตาอยากรู้อยากเห็นที่ไหลวนรอบตัวเหมือนสัตว์ตัวเล็กที่ถูกโยนเข้าไปในป่าใหญ่ที่ไม่ปรานีระหว่างทาง เธอเกือบสะดุดอีกครั้งเพราะขาสั่นจากความเจ็บแต่แล้ว...มีมือหนึ่งเอื้อมมาคว้าแขนเธอไว้เบา ๆ"เดี๋ยวฉันช่วย" เสียงนุ่ม ๆ ดังขึ้นข้างหูส้ม พี่สาวร่างเล็กในชุดเสื้อโปโลสีเข้ม ที่ลาริสาได้พบในวันแรกที่เธอถูกส่งตัวเข้ามาอยู่ที่นี่ส้มเคยเป็นคนแรกที่ยื่นน้ำให้เธอในคืนที่ร้องไห้ไม่หยุดเคยเป็นคนที่นั่งเงียบ ๆ ข้าง ๆ ตอนที่เธอรู้สึกว่าทั้งโลกนี้ไม่เหลือใครลาริสาเม้มปากแน่น แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้ส้มช่วยพยุงตัวไปนั่งที่ม้านั่งยาวด้านหลังส้มไม่ถามอะไรเพิ่มเติมเพียงแค่ดึงกล่องออกจากมือเธออย่างเบามือ แล้วเริ่มทำแผลให้อย่างเงียบ ๆปลายนิ้วที่พันผ้าพันแผลแน่นแต่ไม่เจ็บสัมผัสที่อบอุ่นและอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อในสถานที่แห้งแล้งเช่นนี้"พักก่อนเถอะนะ..." ส้มกระซิบเสียงเบา ขณะพันแผลเสร็จ"เดี๋ยวฉันจะไปบอกหัวหน้าว่าเธอทำงานไม่ไหว ขอพักคืนนี้"ลาริสาเ
ความเงียบปกคลุมทั่วห้องหลังบทสนทนาสั้น ๆ ระหว่างภานุวัฒน์กับธีภพจบลงท่ามกลางความเงียบ...แต่ไม่ว่างเปล่าในห้วงความเงียบนั้นมีทั้งความเข้าใจ และภาระที่แต่ละคนแบกไว้ในเส้นทางที่ไม่อาจหันหลังคีรณัฐ ชายหนุ่มในชุดเชิ้ตเรียบเฉียบที่นั่งพิงพนักนิ่ง ๆ กระแอมเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่เฉือนลึกในทุกถ้อยคำ"ฉันเอง...ก็คงต้องถอนตัวจากฝั่งธุรกิจแล้วเหมือนกัน"เพียงคำพูดเดียวบรรยากาศในห้องพลันตึงขึ้นอย่างยากจะอธิบายธีภพละสายตาจากแฟ้มในมือภานุวัฒน์หยุดมือที่กำลังขยับแฟ้มเอกสารทั้งสองไม่ถามซ้ำ เพราะรู้ดีอยู่แก่ใจ เบื้องหลังหน้ากากผู้บริหารที่คีรณัฐสวมไว้ตลอดหลายปีคือเจ้าหน้าที่สืบสวนพิเศษระดับสูง หนึ่งในผู้กวาดล้างขบวนการสกปรกในโลกมืดทั้งสารเสพติด อาชญากรรม และนักการเมืองที่ย่ำยีผู้บริสุทธิ์โดยเฉพาะ...ท่านรัฐมนตรี วิศรุต เกริกไกร เป้าหมายที่เขาเพ่งเล็งมาเนิ่นนานคีรณัฐหัวเราะเบา ๆ คล้ายไม่ยี่หระ"ถึงเวลาแล้วล่ะ...ต้องกลับไปทำในสิ่งที่ควรทำ"เสียงเขานิ่งและมั่นคงจนรอบห้องเหมือนจะอึดอัดขึ้นเรื่อย ๆธีภพพยักหน้าเข้าใจไม่พูดมาก เพราะสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา ไม่ต้องการถ้อยคำฟ
เวลาผ่านไปไม่นาน การ์ดในชุดดำเดินตรงมาหยุดที่หน้ากระจกที่ลาริสามานั่งก้มหน้าเงียบอยู่เขาไม่พูดพร่ำโยนถุงผ้าใบใหญ่ ๆ มาวางบนโต๊ะเครื่องแป้งจนฝุ่นฟุ้งกระจาย"เปลี่ยนชุดซะ" น้ำเสียงสั้น กระด้าง ไร้ความรู้สึกลาริสาเงยหน้าขึ้นอย่างสับสนการ์ดกระแทกคำอธิบายออกมาอย่างเย็นชา"ต่อไปนี้...เธอไม่ต้องเข้าไปในห้อง VIP อีก""ทำงานอยู่โซนข้างนอก เตรียมเครื่องดื่ม เสิร์ฟเหล้า แค่นั้น"พูดจบ เขาก็หมุนตัวจากไปทิ้งไว้เพียงถุงผ้าหนักอึ้ง กับความเงียบที่กดทับตัวเธอลาริสาก้มหน้ามองถุงผ้ามือบางสั่นนิด ๆ ขณะเปิดมันออกชุดใหม่ เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดเรียบง่าย กับกางเกงขายาวสีดำไม่มีหน้ากากลูกไม้ ไม่มีเสื้อคอกว้าง ไม่มีกระโปรงสั้นเหนือเข่าเหมือนเมื่อก่อนมันคือชุดของพนักงานโซนด้านนอกจริง ๆ...ชุดที่อย่างน้อย จะไม่ต้องโดนแตะต้องโดยแขกอีกลาริสาเม้มปากแน่น รู้สึกเหมือนหัวใจบีบรัดอย่างแรงในขณะที่เธอยังซึมซับคำสั่งใหม่เสียงกระซิบกระซาบเริ่มดังขึ้นรอบตัว"ฮึ นึกว่าทำผิดแล้วจะโดนเตะออกซะอีก...""เส้นใหญ่นี่หว่า ได้ย้ายมาทำงานสบาย ๆ ข้างนอกแทน""อภิสิทธิ์พิเศษสำหรับคนหน้าตาดีสินะ..."เสียงกระซิบเหยียดหยันแทงทะล
หลังจากภานุวัฒน์กับพ่อสามารถหนีข้ามแดนไปได้เขาไม่เคยลืมไม่เคยลืมว่ามีใครคนหนึ่ง...ยอมเดินเข้ามาในไฟนรกเพื่อช่วยชีวิตเขาแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้อะไรเลย...และนั่นคือเหตุผลที่หลายปีต่อมาเมื่ออคินตกอยู่ในอันตรายกลางขบวนขนของเถื่อนเมื่อทุกคนทอดทิ้งเขาภานุวัฒน์ ในฐานะเด็กชายที่เคยได้รับการช่วยเหลือจากอคิน จึงไม่มีวันยอมปล่อยให้ชายคนนี้ตายเหมือนหมาข้างทางเขาฝ่าแนวปืน ฝ่าอำนาจมืดเขาพาอคินกลับมา...แม้จะต้องเสี่ยงชีวิตตัวเองก็ตามหลังจากที่ธุรกิจของเขากับพ่อมั่นคงขึ้น เขาก็นำเงินมาลงทุนเปิดสถานที่แห่งนี้และมอบมันให้กับอคิน...อคินหลุบตาลงช้า ๆ เมื่อนึกถึงอดีตเหล่านั้นความขอบคุณ ความซาบซึ้งในใจ...ไม่เคยจางหายไปเลยตลอดชีวิตของเขาเขาเข้าใจดี ว่าหนี้บางหนี้...ไม่ต้องพูดแต่จะผูกมัดไว้จนวันสุดท้ายของลมหายใจและเพราะอย่างนั้น...ไม่ว่าภานุวัฒน์จะทำอะไรไม่ว่ามันจะขัดกับตรรกะ หรือทำให้เขาเดือดร้อนมากแค่ไหนเขาจะไม่มีวันหักหลังภานุวัฒน์อคินยิ้มจาง ๆ หันมามองคนที่เป็นมากกว่าคำว่าเพื่อน"ฉันเข้าใจ..."เสียงเขาแหบพร่า แต่แน่วแน่"เพราะถ้าไม่มีแกวันนั้น ฉันก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้เหมือนกัน"ภา