หลังจู๋เยวี่ยออกไป เวินซื่อหลุบตามองเวินจื่อเฉินบนพื้น จากนั้นยื่นมือไปจับตัวเขาจากการหาบน้ำปลูกสมุนไพรในช่วงที่ผ่านมา ร่างกายของนางมีพละกำลังมากกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัดแบกคนน่าจะแบกไม่ไหว แต่ลากคนยังพอทำได้เวินซื่อลากตัวเวินจื่อเฉินที่ดิ้นรนเล็กน้อยเข้ามาภายในห้องหลังปิดประตู วินาทีต่อมา สองพี่น้องหายไปจากที่เดิมทันที“อื้อ?”แต่เดิมเวินจื่อเฉินเป็นคนฝึกยุทธ์อยู่แล้ว แม้จะถูกปิดตาเอาไว้ ทว่าเมื่อสภาพแวดล้อมรอบด้านเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เขาสามารถรับรู้ถึงความผิดปกติได้บ้างเหมือนกับตอนนี้ที่เพิ่งเข้าสู่มิติ เสียงรอบด้านที่หายไปฉับพลัน รวมถึงสภาพแวดล้อมที่เงียบสงัด ล้วนทำให้เวินจื่อเฉินรู้สึกถึงความผิดปกติแต่ว่าเขายังไม่ทันได้คิดมากกว่านี้ เวินซื่อก็กระชากตัวเขาให้ลุกขึ้นอีกครั้ง แล้วลากไปที่แท่นหินชั้นหนึ่ง“เวินจื่อเฉิน ท่านพูดอีกรอบสิ วันนี้ท่านมาทำอะไร?”หลังจากเวินซื่อดึงก้อนผ้าที่อุดปากของเขาออก พลางหอบเหนื่อยพลางเอ่ยถาม อีกทั้งยังนำเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ออกมาเวินจื่อเฉินได้ยินเพียงข้างหูมีเสียงก๊องแก๊งดังขึ้น ยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้ในที่สุดเมื่อ
หลังจากนั้น เวินซื่อก็ขังเวินจื่อเฉินไว้ในมิติเพียงลำพังนางออกจากมิติ แล้วเดินมาถึงเรือนเล็ก“จู๋เยวี่ย ช่วยไปส่งข่าวให้ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที บอกว่าข้ามีเรื่องอยากขอให้เขาช่วย”เวินซื่อเอ่ยปาก ไม่นานเป่ยเฉินหยวนก็มาแล้วยังคงควบม้ามาคนเดียวอย่างรวดเร็วไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ก็มาถึงเรือนเล็กของเวินซื่อ“อู๋โยว ข้ามาแล้ว”ขณะที่เป่ยเฉินหยวนมาถึง เวินซื่อยังคงเตรียมอาหารเย็นอยู่ในห้องครัวเล็กๆ ของนางฝีมือการทำอาหารของนางไม่ได้ดีมากนัก พวกอาหารจานใหญ่ที่ซับซ้อนนั้นทำไม่ได้ แต่อาหารง่ายๆ นั้นกลับทำได้“เหตุใดถึงมาเร็วขนาดนี้? ไปนั่งรอที่โต๊ะหินข้างนอกก่อนเถิด ข้าทำอาหารจานเล็กๆ สองอย่างนี้เสร็จก็จะออกไป”นางเป็นนักบวช แตะต้องเนื้อสัตว์ไม่ได้ดังนั้นอาหารที่ทำจึงเป็นอาหารมังสวิรัติทั้งหมด“ไม่เป็นไร ข้าสามารถช่วยเจ้าที่นี่ได้ ไฟในเตาแรงพอหรือไม่ ต้องการเติมฟืนหรือไม่?”แม้จะเป็นเพียงอาหารมังสวิรัติ เป่ยเฉินหยวนก็ดีใจมากถึงอย่างไรนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ลองชิมฝีมือของเวินซื่อตอนที่เป่ยเฉินหยวนพูดประโยคนี้ เวินซื่อก็ชะงักไปเล็กน้อย “เอ๊ะ? ก่อนหน้านี้ท่านไม่เคยลองชิมฝีมือ
เป่ยเฉินหยวนที่มือว่างเปล่าไปกะทันหัน เงยหน้าขึ้นมองเวินซื่อ ถึงได้รู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้นใบหน้าหล่อเหลานั้นก็ขึ้นสีแดงระเรื่อตาม แดงไปจนถึงใบหู“มะ...ไม่โดนลวกก็ดีแล้ว ข้าไปเติมฟืนต่อ”ขณะที่เป่ยเฉินหยวนเอ่ยปากก็เกือบจะกัดลิ้นตนเอง คนตัวสูงใหญ่ขนาดนั้นมุดเข้าไปใต้เตา แทบอยากจะมุดแผ่นดินหนีลงไป!เหตุใดเขาถึงได้บุ่มบ่ามขึ้นมาเช่นนั้น?ถึงกับต้องจับมือคนอื่นมาดูให้ได้?อดใจไม่ได้เลยจริงๆ สมควรโดนตี!“เพียะ!”เป่ยเฉินหยวนถึงกับซ่อนตัวอยู่ใต้เตา แล้วแอบตบหน้าตัวเองอีกหนึ่งทีแต่สิ่งที่เขาคิดว่าแอบ กลับดูเหมือนจะออกแรงมากเกินไปหน่อยเสียงนั้นดังยิ่งกว่าเสียงผัดกับข้าวในกระทะเสียอีกชั่วขณะหนึ่ง...เวินซื่อ “...”เป่ยเฉินหยวน “...”ทำอย่างไรดี น่าอับอายยิ่งนักหลังจากนั้นไม่นาน เวินซื่อตักกับข้าวใส่จานเสร็จแล้ว ก็กระแอมหนึ่งทีแล้วเอ่ยขึ้น “อาหารเสร็จแล้ว รีบออกมากินเถิด”“อืม”เป่ยเฉินหยวนขดตัวอยู่ใต้เตา ตอบเสียงอู้อี้เวินซื่อที่ถือจานกับข้าวอยู่ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ข้ายังไม่ได้เอาชามกับตะเกียบออกมา ท่านอย่าลืมเอาออกมานะ ตะเกียบสามคู่ ชามสามใบ”หลังจากที่เป่ยเฉิน
“วันนี้ที่เชิญท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมา เพราะมีเรื่องอยากจะขอให้ท่านช่วยเหลือ”ทั้งสามคนเริ่มกินอาหารหลังจากที่กินเสร็จแล้ว จู๋เยวี่ยก็เก็บชามไปล้างอย่างเงียบๆ ส่วนเวินซื่อและเป่ยเฉินหยวนยังคงนั่งอยู่ในลานบ้านหลังจากเวินซื่อเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้เป่ยเฉินหยวนฟังทั้งหมด เป่ยเฉินหยวนก็เข้าใจได้ในทันที“ท่านสงสัยว่ามีคนในจวนเจิ้นกั๋วกงวางยาเวินจื่อเฉิน?”เวินซื่อเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่สงสัย เป็นการยืนยัน”เวินจื่อเฉินเปลี่ยนไปมากเกินไป ราวกับว่าจู่ๆ ก็สูญเสียความทรงจำช่วงหนึ่งไป สถานการณ์เช่นนี้หากไม่ถูกประตูหนีบหัว ก็ต้องถูกคนวางยาเห็นได้ชัดว่าอย่างหลังมีความเป็นไปได้มากกว่าและคนที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้มีเพียงคนเดียว นั่นก็คือเวินอวี้จือ“ได้ แล้วท่านต้องการให้ข้าทำอย่างไร? ต้องการให้ข้าไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงอีกครั้งหรือไม่?”เวินซื่อยิ้มแล้วส่ายหน้า “ไม่ต้อง ท่านแค่ร่วมเล่นละครกับข้าฉากหนึ่งก็พอ”เป่ยเฉินหยวนเลิกคิ้วขึ้น เมื่อเห็นว่านางมีแผนการอยู่แล้ว จึงไม่พูดอะไรมาก“ตกลง เมื่อไร? ที่ใด? ต้องการให้ข้าช่วยแสดงอย่างไร?”“พรุ่งนี้ วังหลวง”เวินซื่อยิ้มเล็กน้อย “ตั
ใบหน้าของไทเฮาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าพอใจกับเวินซื่อธิดาศักดิ์สิทธิ์คนนี้เป็นอย่างมากฉากนี้ ทำให้เวินหย่าลี่รู้สึกตกใจขึ้นมาทันทีแบบนี้ไม่ได้การ หากไทเฮาโปรดปรานเวินซื่อขึ้นมาอีก เช่นนั้นแล้วต่อไปเบื้องหน้าไทเฮาจะมีที่สำหรับนางเวินหย่าลี่อีกหรือ?!เวินหย่าลี่ที่ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนใจ ก็ไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก รีบเอ่ยปากขึ้นมา“หม่อมฉันถวายบังคมไทเฮาเพคะ”เสียงของเวินหย่าลี่ดังขึ้น ค่อนข้างแหลม ทำลายบรรยากาศระหว่างเวินซื่อและไทเฮาเวินซื่อเงยหน้าขึ้น เหลือบมองเวินหย่าลี่อย่างไม่แปลกใจไทเฮาที่ถูกขัดจังหวะก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย วางพระคัมภีร์ในมือลง แล้วตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “วันนี้เหตุใดฮูหยินจงหย่งโหวเข้าวังมาด้วย?”เวินหย่าลี่ยิ้มอย่างประจบประแจง “เมื่อหลายวันก่อนหม่อมฉันมัวแต่ยุ่งอยู่กับการอบรมสั่งสอนลูกอกตัญญูอยู่ที่บ้าน จนลืมเข้าวังมาเยี่ยมเยียนไทเฮาเพคะ วันนี้พอดีมีเวลาว่างก็รีบมาถวายพระพรไทเฮาทันที เพียงแต่ไม่คิดว่า...”เวินหย่าลี่มองไปทางเวินซื่อ เผยรอยยิ้มอันใจดีอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนต่อเวินซื่อ เอ่ยขึ้นว่า “ไม่คิดว่าหลานสาวคนดีของหม่อมฉันจะอยู่ที่ตำหนักไทเฮาด
“บังเอิญว่าเมื่อครู่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ไปเยี่ยมมาแล้ว มิสู้ให้ธิดาศักดิ์สิทธิ์พาฮูหยินจงหย่งโหวไปดีหรือไม่? ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์คิดเห็นอย่างไร?”เวินซื่อเงยหน้าขึ้นมองไทเฮา ไทเฮาทรงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยให้นาง เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการจงใจเปิดโอกาสให้นางได้แสดงฝีมือ เวินซื่อย่อมไม่ปฏิเสธ“เพคะ ไทเฮา”แม้ว่าฮูหยินจงหย่วนโหวจะไม่อยากไปสักเท่าไร แต่นึกถึงคำกำชับของพี่ชายก่อนเข้าวัง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรไปดูเวินเยวี่ยสักหน่อยหากว่าในภายภาคหน้าเด็กคนนั้นได้เป็นพระสนมคนแรกของฝ่าบาทจริงๆ จวนจงหย่งโหวของพวกเขาก็จะพลอยเจริญก้าวหน้าตามไปด้วยมิใช่หรือดังนั้นตอนนี้จะปล่อยให้นางต้องทนทุกข์ทรมานไม่ได้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ยังต้องสะสางเรื่องระหว่างนังเด็กเวินเยวี่ยกับลูกชายของนางในอดีตด้วยเมื่อคิดได้ดังนั้น เวินหย่าลี่ก็ค้อมตัวทำความเคารพ จากนั้นก็เตรียมตัวถอยออกไปแต่พอนางหันหลังกลับ ก็มีนางกำนัลจากตำหนักของไทเฮามาขวางนางไว้ “ฮูหยินจงหย่งโหวช้าก่อนเจ้าค่ะ”เวินหย่าลี่กำลังจะขมวดคิ้ว ก็เห็นเวินซื่อเดินออกไปจากตรงหน้าของนางอย่างสบายๆและหลังจากที่เวินซื่อเดินออกไปแล้ว นางกำนัลผู้นั้นจึงได้
เพียงแต่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนอยากจะระบายความโกรธแทนนาง ถึงได้ร่วมมือกับฝ่าบาทแสดงละครฉากนี้ก็เป็นเพราะฮ่องเต้น้อยยังทรงพระเยาว์ ถึงได้ทรงเล่นสนุกไปกับท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนแต่ในเมื่อคนสกุลเวินมาหานางเพราะเรื่องนี้แล้ว นางจะไม่เก็บดอกเบี้ยสักหน่อยได้อย่างไร?“เจ้ายังกล้าพูดอีก ต้องเป็นเจ้าที่ไปทูลฟ้องอะไรต่อหน้าฝ่าบาท ถึงทำให้เวินเยวี่ยตอนนี้นางถูกขังอยู่ในวัง ออกไปไม่ได้ เจ้า...”อันที่จริง เวินหย่าลี่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการที่เวินเยวี่ยเข้าวัง เพียงแต่ก่อนหน้านี้ นางมักจะอยู่ข้างพี่ชายของนางเสมอในเมื่อพี่ชายของนางพูดแล้วว่าเวินเยวี่ยไม่สามารถอยู่ในวังได้ ต้องพาเวินเยวี่ยออกไปให้ได้ นางจึงทำได้เพียงทำตามแม้ว่าผลลัพธ์ที่ทำออกมาจะไม่ดีมากนัก แต่ก็เรียกได้ว่า “มีแต่จะทำให้เรื่องแย่ลง”อย่างเช่น ปากของนาง มักจะพูดจาโดยไม่คิดอยู่เสมอ“ชู่”เวินหย่าลี่ยังไม่ทันพูดจบ เวินซื่อก็ยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปาก ทำท่าทางให้นางเงียบ“ฮูหยินจงหย่วนโหว คำพูดบางคำพูดมั่วๆ ไม่ได้ คุณหนูหกสกุลเวินอยู่ในวังเพื่อเรียนรู้กฎระเบียบ เพื่อที่จะเข้าวังเป็นพระสนม ตอนนี้ท่านกลับบอกว่านางถูกกักขังอย
“เพียะ!”ในขณะที่เวินหย่าลี่ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างบ้าคลั่ง รีบปัดความรับผิดชอบออกจากตัว เวินซื่อก็สะบัดฝ่ามืออย่างไม่ลังเล ตบลงบนใบหน้าของเวินหย่าลี่อย่างแรงตบเสียจนเครื่องสำอางของนางเลอะ แก้มแดงก่ำเวินหย่าลี่เอามือกุมหน้า เงยหน้าขึ้นมองนางอย่างรวดเร็ว “เวินซื่อ! เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ที่นี่คือวังหลวง! เจ้ากล้าตบข้าอีกได้อย่างไร?!”“อย่าว่าแต่ที่นี่เลย ต่อให้อยู่ต่อหน้าไทเฮาและฝ่าบาท วันนี้ข้าก็จะตบหน้าท่าน”เวินซื่อมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง “เวินหย่าลี่ ในตอนนั้นท่านได้เป็นฮูหยินจงหย่งโหวสมใจ ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ประสบความสำเร็จในชีวิต มีความสุขกับชีวิต ตอนนี้ผ่านไปสิบกว่าปี ท่านเคยรู้สึกซาบซึ้งในความดีของท่านแม่ข้าที่มีต่อท่าน? บุญคุณที่มีต่อท่านหรือไม่?”เวินหย่าลี่ได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปนางอ้าปากค้างเหมือนจะไม่ยอมรับและอยากจะโต้แย้งอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับพูดอะไรไม่ออกสักคำเวินซื่อมองดูท่าทางของนาง ก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ใจแทนท่านแม่ของนาง “ดูเหมือนว่าท่านแม่ของข้าในตอนนั้นจะตาบอด มองคนผิดไปจริงๆ”สายตาที่นางมองเวินหย่าลี่นั้น ก็เหมือนขาดแค่ด่าทอว่า “คนเนรคุณ” ออก
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม