'ไป๋เสี่ยหรัน' บุตรสาวสกุลไป๋...ไม่ได้ถูกมองด้วยความรักแต่เพราะความจำเป็นทางผลประโยชน์ เมื่อถึงเวลานางถูกใช้เป็นหมากตัวหนึ่งในการต่อรองค่าสินสอดกับตระกูลที่ร่ำรวยเท่านั้น ขอเพียงได้เงินมา นายท่านไป๋ย่อมไม่สนว่านางจะมีสภาพหลังจากนี้เป็นอย่างไร ถึงจะอยู่ในจวนหลังใหญ่ ได้สวมใส่อาภรณ์ราคาแพงแต่กลับไม่มีสิ่งใดเป็นของนางเองเลย...แม้แต่หัวใจของสามี นางไม่ได้แต่งเข้ามาเพราะความรัก…แต่เพราะถูกขายต่างหาก 'ข้า…ข้าเจ็บจังเลย ไม่ไหวแล้ว' 'เซี่ยเว่ยหลง' เพราะคำสั่งเสียสุดท้ายของมารดา...เขาจึงแต่งสตรีผู้หนึ่งมาเป็นภรรยาหาได้รู้สึกรักใคร่ลึกซึ้ง สตรีผู้นั้นเปรียบเสมือนดอกไม้ต่อให้เขาจะจับใส่ในแจกันใบใดก็ต้องอยู่ให้ได้ ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องและร้องขอ 'หย่างั้นหรือ' สตรีผู้นั้นกล้าดีอย่างไรกัน! 'เช่นนั้นแล้วข้าจะรั้งนางไว้…ต่อให้ตายลงหลุมถูกฝังกลบดินกลายเป็นวิญญาณ ข้าก็จะตามนางกลับมาไม่มีทางปล่อยไปแน่' อาหยวนหรือเซี่ยเจิ้นหยวน บุตรชายที่ถูกเลี้ยงดูจากมารดาแต่เพียงผู้เดียวแต่ในใจลึกๆ กลับโหยหาและปรารถอยากให้บิดาสนใจบ้าง
View Moreเพล้ง!
จอกน้ำชาเคลือบเนื้อดีถูกเขวี้ยงลงกระแทกพื้นอย่างแรงจนแตกพลันเกิดเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ ก่อนที่เศษชิ้นส่วนจะกระจัดกระจายไปทั่วทิศทาง “หย่างั้นหรือ…” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยทวนอย่างเยือกเย็น ภายในอกเต็มไปด้วยความเดือดดาลที่ปะทุขึ้นมาแทบจะอดกลั้นเอาไว้ไม่ได้ หัวคิ้วของเซี่ยเว่ยหลงขมวดแน่นบ่งบอกได้ถึงความไม่พอใจและอารมณ์ขุ่นมัวในตอนนี้ชัดเจน “นางเป็นมารดาประสาอะไร!...ถึงกล้าทอดทิ้งบุตรไว้ให้เหล่าสาวใช้” เขาพลางปรายสายตาไปมองบุตรชายวัยเก้าเดือนที่กำลังหยอกล้อเล่นอยู่กับเหล่าสาวใช้ สตรีผู้นั้นกล้าดีอย่างไรกัน! ใบหน้าของเซี่ยเว่ยหลงบิดเบี้ยวเต็มไปด้วยความโกรธ “เหอะ! นี่ก็ผ่านมาตั้งเก้าเดือนแล้วกระมัง นายท่านเซี่ยเคยอุ้มบุตรชายตัวเองบ้างหรือไม่” จางเหวินเอ่ยถามน้ำเสียงเรียบ เขาเหลือบสายตามองบุรุษตรงหน้าก่อนจะส่ายหน้าอย่างเอือมระอา มิใช่ว่าที่ผ่านมาเจ้าคนผู้นี้เอาแต่ทำตัวเย็นชาไม่สนใจนางหรืออย่างไร แต่ไฉนพอภรรยาเอ่ยปากของหย่ากลับดิ้นทุรนทุรายกัน…? เซี่ยเว่ยหลงได้ยินแล้วเงียบไปคู่หนึ่ง สายตาคมกริบปรายหันมามองสหายตาขวางด้วยความไม่พอใจนัก “…” “เหอะ! ปากดี” จางเหวินแค่นเสียงเย้ยหยัน “อวดดี” เซี่ยเว่ยหลงเอ่ยออกมาหนึ่งคำด้วยน้ำเสียงเรียบ สายตาคมกริบดูลึกล้ำเกินจะคาดเดาได้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ จากนั้นครู่ต่อมาจึงปริปากพูดอีกครั้ง “หากไร้เงาข้าคอยคุ้มกัน สุดท้ายแล้วสตรีผู้นั้นก็ไปไหนไม่พ้นจนตรอกคลานกลับมาหาอยู่ดี” พอได้ยินประโยคนี้ จางเหวินก็หัวเราะร่อออกมาทันทีราวกับเป็นเรื่องตลกขบขันเสียเต็มประดา ดูท่าแล้วอย่างไรบุรุษผู้นี้ก็ไม่ยอมหย่านางง่ายๆ แน่แล้วไฉนถึงยังปากแข็งอีกเล่า…!? เขาไม่รู้จะหาคำใดมาด่าทอเจ้าคนผู้นี้ให้สาสมจริงๆ ตอนที่มีกลับไม่เคยเห็นค่าเหลียวแลภรรยาเลยแม้แต่น้อย กระทั่งกำลังจะเสียนางไปแล้วกลับไม่รู้จักคว้าเอาไว้อีก! ทั้งทึ่มทื่อ ทั้งโง่เขลาเสียจริง! เรื่องราวในจวนของผู้อื่นจะเป็นเช่นไร เขาอาจไม่รู้แน่ชัดแต่หากเป็นเรื่องของเซี่ยเว่ยหลง…จางเหวินกลับรู้ดีทุกอย่างเพราะเห็นมาตั้งแต่ต้นจนจบ การแต่งงานในครั้งนั้นหาใช่เกิดจากความรัก หากแต่เป็นการทำตามคำสั่งเสียสุดท้ายของมารดาเท่านั้น บุตรชายกตัญญูเช่นเซี่ยเว่ยหลงจะกล้าขัดคำสั่งได้อย่างไร และในขณะเดียวกันนั้นราวกับสวรรค์ได้กำหนดเอาไว้แล้ว เมื่อมีบุตรสาวจากสกุลหนึ่งเร่งเร้าอยากแต่งออกไปพอดี ช่วงจังหวะเวลาช่างพอเหมาะพอดีเสียยิ่งกว่าสิ่งใด เพราะเป็นความปรารถนาของมารดา…เซี่ยเว่ยหลงจะไม่คว้าโอกาสนั้นไว้ได้อย่างไรกัน นับว่าสวรรค์ยังมีตา จู่ๆ ฮูหยินผู้เฒ่าเซี่ยที่อาการป่วยทรุดหนักกลับฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาดใจ ซ้ำยังมีชีวิตอยู่ต่อได้นานถึงหนึ่งปีเต็มแต่ทว่าน่าเสียดายนัก เพียงไม่นานหลังจากนั้น สตรีที่เซี่ยเว่ยหลงแต่งเข้าจวนกลับมีข่าวดีว่าตั้งครรภ์แล้ว โชคร้ายที่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้โอบอุ้มหลานชายด้วยตนเอง ช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา…บุรุษผู้นี้ไม่เคยสนใจ ไม่เคยแม้แต่จะเหลียวมองภรรยาแม้แต่น้อย เรื่องในจวนเช่นนี้จางเหวินย่อมไม่อาจสอดมือเข้าไปยุ่งได้ สตรีที่ออกเรือนมาแล้วย่อมหวังจะให้สามีรักใคร่เอ็นดูแต่ทว่ากลับเห็นใจไม่น้อยที่ต้องทนอยู่กับความว่างเปล่าเพียงลำพัง พอนางให้กำเนิดบุตรชายผู้หนึ่ง จางเหวินยินดีราวกลับเป็นบุตรชายตัวเองเสียดี เกรงว่าหากมอบบุตรชายให้สามีที่เย็นชาคงจะได้รับความรู้สึกดีๆ ตอบแทนกลับคืนมาบ้างแต่ทว่าสุดท้ายแล้วกลับไร้ประโยชน์…. เรื่องที่กล่าวมาเขารู้ดีราวกับนอนอยู่ใต้เตียงของคนทั้งคู่ จางเหวินถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางหันไปมองหลานชายตัวน้อยที่กำลังหัวเราะคิกคักอยู่ในวงล้อมของเหล่าสาวใช้ ใบหน้ากลมจิ้มลิ้มของเด็กน้อยฉายแววร่าเริง ไร้เดียงสา ยิ้มกว้างด้วยความสุขโดยไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและมารดาของเขานั้นกำลังร้าวฉานเพียงใด “หากมิได้รู้สึกอันใดก็ลงนามหย่าให้นางไปไม่ดีกว่าหรือ” เซี่ยเว่ยหลงได้ยินถ้อยคำของสหายเข้าก็พลันเดือดดาลขึ้นมา เขาตบโต๊ะเสียงดังลั่นจนเหล่าสาวใช้ที่อยู่ละแวกนั้นต่างสะดุ้งเฮือกหันมามองเป็นตาเดียว น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาทว่ากลับเต็มไปด้วยถ่อยคำดูแคลน “บุตรชายของข้า...ไม่สมควรมีมารดาเป็นสตรีร่าน” !!! บิดามันเถอะ!! เจ้าคนผู้นี้พูดอันใดออกมา สตรีร่านงั้นหรือ!? จางเหวินได้ยินก็ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความตกใจ เขาถึงกับคิดว่าหูฝาดไปหรือไม่ จนกระทั่งได้สบกับดวงตาคมกริบของอีกฝ่าย... “เพ่ย! เก็บปากเจ้าไว้กินข้าวเสียเถอะเซี่ยเว่ยหลง!” จางเหวินสบถลั่นออกมาด้วยความโมโหทันที ยามนี้เขาเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้วว่าเพราะเหตุใดนางถึงกล้าขอหย่าทั้งที่คงไม่พ้นถูกดูแคลนและครหาเช่นนี้ เกรงว่าความอดทนตลอดสามปีที่ผ่านคงสิ้นสุดแล้ว! “เหอะ!” เซี่ยเว่ยหลงแค่นเสียงหาได้รู้สึกอันใด จางเหวินเลิกคิ้วถามอย่างโมโห “หากนางได้ยินเช่นนี้...เจ้าคิดบ้างหรือไม่ว่านางจะรู้สึกอย่างไรเซี่ยเว่ยหลง” “ข้าจำเป็นต้องสนใจด้วยงั้นรึ” นางจะรู้สึกอย่างไรแล้วเกี่ยวอันใดกับเขากัน.!? จางเหวินไม่รู้จะสรรหาคำใดมาพูดจริงๆ “จำเอาไว้ให้ดี หากสตรีตัดสินใจเลือกแล้ว...ต่อให้จะจนตรอกดิ้นรนจนไม่มีแรงเดิน นางก็จะคลานไปให้ไกลและต่อให้เต็มไปด้วยบาดแผล ข้าเชื่อว่านางจะไม่มีทางหันกลับมาให้เจ้าทำร้ายได้อีก!” “เช่นนั้นแล้วข้าจะรั้งนางเอาไว้…ต่อให้ตายเป็นผี ข้าก็จะตามนางกลับมาไม่มีทางปล่อยไปแน่” น้ำเสียงทุ้มของเซี่ยเว่ยหลงเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา สายตาคมกริบแข็งกร้าวขึ้นทันที “เพ่ย! หากไม่รู้สึกอันใดก็หย่ากับนางซะ!” “อาหยวนยังต้องมีมารดา”“เซี่ยเว่ยหลง…จริงๆ ข้าเสียดายไม่น้อย” น้ำเสียงหวานเอ่ยแผ่วเบาแฝงความเหนื่อยล้าเอาไว้อย่างชันเจน ไป๋เสี่ยวหรันลอบหายใจเฮือกหนึ่งคล้ายกลับกำลังอดกลั้นอารมณ์ที่ปะทุขึ้นคับแน่นอยู่ในอก“ไป๋เสี่ยวหรัน…” เซี่ยเว่ยหลงส่ายหน้าไปมาปฏิเสธ เขาไม่ต้องการได้ยินถ้อยคำใดจากนางอีกแล้ว ฝ่ามือหนาคว้ามือของนางมากอบกุมไว้แน่นราวกับหวาดกลัวว่าสตรีตรงหน้าจะเลือนรางและหายจากไปตลอดกาลท่าทางของเขาในยามนี้ไม่ต่างจากกำลังวิงวอนรั้งนางเอาไว้ สายตาคมกริบที่เคยแข็งกร้าวกลับอ่อนลงอย่างชัดเจนหากเป็นในยามปกติไป๋เสี่ยวหรันคงเผลอใจและหลงเชื่อในคำพูดของเขาแน่ แต่ยามนี้...บุรุษตรงหน้าเมามายอยู่มาก ใบหน้าหล่อเหล่าแดงก่ำจากฤทธิ์สุราทั้งยังมีกลิ่นฉุนโชยอยู่รอบกายไป๋เสี่ยวหรันไม่ดึงมือกลับ นางเพียงยืนนิ่งคล้ายกำลังตั้งสติ ภายในใจกลับสั่นไหวอยากเกินจะควบคุมคำพูดของเซี่ยเว่ยในยามนี้ก็เป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น…มีหรือหทกเขามีสตรีดีจะกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมา!ใบหน้าคนงามปรากฏรอยยิ้มบางๆ สะท้อนแสงจันทราที่สะท้อนสาดส่องลงมาอย่างเย็นชา นัยน์ตาเมล็ดซิ่งของนางว่างเปล่าไร้ความรู้สึกใดๆ“ทว่าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่…ฝืนดันทุรังไปก็เท่านั้น
ยามไฮ่ (21.00 – 23.00 น.)จางเหวินเจอเซี่ยเว่ยหลงอีกครั้ง เขาก็สังเกตได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ ไม่เช่นนั้นเจ้าคนผู้นั้นจะเอาแต่นั่งดื่มสุราจอกแล้วจอกอย่างเงียบงันโดยไม่ปริปากเอ่ยอันใดออกมาได้อย่างไรตลอดหลายชั่วยามที่ผ่านมา!“เหอะ!” เขาแค่นเสียงออกมา สายตาจ้องมองอีกฝ่ายนิ่งๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ดอกเหมยร่วงหล่นปลิวไปกับสายลม...ต่อให้ยื่นมือออกคว้าก็เกินกว่าจะรั้งไว้ได้อีกแล้ว”!!!ปัง!เสียงจอกสุรากระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรงจนดังสะท้อนไปทั่วทั้งห้องบ่งบอกอารมณ์ขุ่นมัวของเซี่ยเว่ยหลงได้ชัดเจน มุมปากหนาเหยียดยิ้มเยาะเล็กน้อยเซี่ยเว่ยหลงพลางเอ่ยออกมาเสียงเรียบราวกับมิได้ต้องการคำตอบอันใด “ย่อมเคยรักงั้นหรือ…ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ใจของนางเริ่มเปลี่ยนไปเป็นอื่น”หมายความว่าอย่างไรกัน…!?จางเหวินได้ยินแล้วพลันขมวดคิ้วมุ่นอย่างงุนงงทันทีเขาไม่รู้ว่าเซี่นเว่ยหลงกำลังกล่าวถึงสิ่งใดอยู่หรือแท้จริงแล้วเพียงแค่เมามายจนสติเลอะเลือนไปแล้วอย่างงั้นหรือ…?จางเหวินหรี่สายตาสังเกตอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดออกมา “หึ! อวดดี...คำพูดร้ายกาจแต่การกระทำลับหลังกลับน่าสมเพช”เขาหรือน่า
เหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นต่างตัวแข็งทื่อราวกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินถ้อยคำเยือกเย็นเจือด้วยความรุนแรงของเซี่ยเว่ยหลง ไฉนพวกนางจะคาดคิดเล่าว่านายท่านจะกล้ากล่าววาจาเชือดเฉือนฮูหยินได้ถึงเพียงนี้โดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้นช่างเห็นใจฮูหยินไม่น้อย!เมื่อก่อนนั้นแม้ว่านายท่านจะไม่ชอบฮูหยินแล้วอย่างไรกัน แต่ยังเห็นแก่มารดาอยู่ไม่น้อยทว่ายามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าได้จากไปแล้ว ภายในจวนหลังสกุลเซี่ยย่อมไม่มีผู้ใดกล้าออกหน้าปกป้องฮูหยินได้ และที่แย่ยิ่งกว่าคือ...ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาของผู้เป็นนายทั้งสองก็มิได้ลึกซึ้งเพียงนั้นว่ากันตามตรงแล้วห่างเหินยิ่งกว่าคนแปลกหน้าเสียอีก!เช่นนั้นแล้ว หากไร้รัก…เหตุใดผู้เป็นนายจึงไม่รีบหย่าให้จบสิ้นเสียเล่า ไม่ใช่ว่าฮูหยินรวบรวมความกล้าเอ่ยปากขอหย่าแล้วมิใช่หรือไรกันยามนี้ในสายตาของเหล่าสาวใช้ทั้งหลายล้วนเต็มไปด้วยความเห็นใจและสงสารผู้เป็นนายหญิงไม่น้อยไฉนนายท่านถึงใจร้ายได้ถึงเพียงนี้กัน!ไป๋เสี่ยวหรันยังคงระบายยิ้มกว้างราวกับไม่ได้รู้สึกอันใดแต่กลับเจือไปด้วยความขมขื่นอย่างชัดเจน นัยน์ตาเมล็ดซิ่งของสั่นไหวครู่หนึ่งก่อนจะกลับมานิ่งเฉยดังเดิม
“มารดามันเถอะ! เซี่ยเว่ยหลง”พอได้ยินประโยคนั้นแล้ว จางเหวินตวาดดังลั่นพลางสูดลมหายใจลึกคล้ายกับกำลังตั้งสติและระงับโทสะที่เดือดพล่านอยู่ในอก สายตาคมกริบหรี่มองเซี่ยเว่ยหลงด้วยความไม่พอใจ “นางคือภรรยาของเจ้า…หาใช่สิ่งของที่จะชั่งน้ำหนักหากำไรหรือขาดทุน!”ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ จางเหวินคิดว่าอยากจะจับมือคนผู้นี้ขึ้นมาเขียนหนังสือหย่าและลงนามให้รู้แล้วรู้รอดจริงๆหากหลานชายของเขาต้องเติบโตโดยไร้บิดา…ก็ช่างมันเถิด!บุรุษเช่นนี้…หากไม่ให้เกียรติต่อภรรยาได้ก็อยู่ผู้เดียวไปตลอดชีวิตจนผมขาวโพลนเถอะ!“…” เซี่ยเว่ยหลงเงียบไม่เอื้อนเอ่ยคำใด สายตาคมกริบดูลุ่มลึกคล้ายกำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่หลายปีมานี้ เซี่ยเว่ยหลงยอมรับว่า เขามิได้มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อไป๋เสี่ยวหรัน นางเป็นเพียงภาระที่เขาต้องแบกรับไว้ด้วยความจำยอมเพราะความปรารถนาของมารดาแม้ว่านางสงบเสงี่ยม อ่อนน้อมและไม่เคยแม้แต่จะโต้แย้ง คำพูดจากปากเขาสิบประโยคแต่นางตอบกลับเพียงหนึ่งเท่านั้นแต่ไฉน วันนั้นกลับกล้าถึงขั้นเอ่ยปากขอหย่ากัน…!?พอเห็นบุรุษตรงหน้านิ่งไป คล้ายกับว่ากระตุ้นโทสะในอกของจางเหวินให้ปะทุขึ้นมา แม้ว่านี่จะไม่ใช่
“พ่อ!”นิ้วมือเล็กอวบของเด็กน้อยชี้ไปยังบุรุษผู้หนึ่งที่นั่งอยู่กลางห้องโถงใหญ่ระหว่างทางเดิน ใบหน้าเล็กแย้มยิ้มกว้างเสียจนตาหยี ทั้งยังเปล่งเสียงใสเรียกอีกฝ่ายด้วยความดีใจเกินจะกักเก็บไว้ “พ่อ!”“พ่อ!”ชู่ว์~~“อาหยวน...เบาเสียงลงหน่อยได้หรือไม่” ไป๋เสี่ยวหรันเอ่ยพลางลูบหลังลูกชายเบาๆ หวังกล่อมให้เจ้าตัวน้อยสงบเสียงลง“ป๋อ! พ่อ!!”!!!ทว่าสุดท้ายกลับไร้ประโยชน์…ไป๋เสี่ยวหรันถึงกับสะดุ้งอีกครั้ง ราวกับว่ายิ่งนางห้ามปราม บุตรชายในอ้อมแขนก็ยิ่งส่งเสียงดังยิ่งกว่าเดิมจนดังก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณ เหล่าสาวใช้ต่างปรายสายตาหันมามองเป็นตาเดียวกันเซี่ยเจิ้นหยวนในอ้อมกอดมารดาพลันหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดีด้วยความสนุกสนาน “พ่อๆ!”นางหันไปมองบุตรชายด้วยสายตาเอ็นดูแฝงความหนักใจเล็กน้อย ก่อนจะโน้มใบหน้าลงกระซิบใกล้หูอาหยวนด้วยน้ำเสียงหวานพลางข่มขู่ “หากเจ้าเอาแต่ร้องเสียงดังเช่นนี้...แม่เกรงว่าบิดาของเจ้าคงจะไม่พอใจเอาได้ พอถึงตอนนั้นแม่ก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้แน่อาหยวน”ใบหน้าเล็กของเด็กน้อยขมวดคิ้วมุ่นไม่พอใจคล้ายกำลังถูกขัดใจ ทั้งแววตาและนิ้วมือยังคงยืนยันหนักแน่นชี้ไปยังบุรุษในห้องโถงใหญ่อย่างไม่ลด
“ข้าเอ่ยปากขอหย่ากับเขาแล้ว”!!!น้ำเสียงหวานเอ่ยออกมาราบเรียบแต่ทว่าเมิ่งซือซือฟังแล้วกลับต้องชะงัก ดวงตาคู่งามเบิกโพลงกว้างด้วยความตกใจทันที คาดว่าคงเป็นนางที่แก่เลอะเลือนหูฝาดได้ยินผิดเพี้ยนไปเองกระมัง“เจ้าว่าอย่างไรกันเสี่ยวหรัน!”เมิ่งซือซือขมวดคิ้วมุ่นหรี่สายตาเพ่งมองสตรีตรงหน้าราวกับต้องการคาดเค้นความจริงออกจากปากอีกฝ่ายให้ได้ไป๋เสี่ยวหรันพลางระบายยิ้มจางๆ กล่าวออกมาอีกครั้งราวกับว่าหาใช่ใหญ่อันใด “ข้าเอ่ยปากจะหย่ากับเซี่ยเว่ยหลงแล้ว…รอเพียงแต่เขาเขียนหนังสือหย่าและลงนามให้เท่านั้น”เมิ่งซือซือได้ยินอีกครั้งถึงกลับชะงักถอยหลังออกห่างคล้ายกับว่ากำลังหวาดกลัว นางถอนหายใจด้วยความหนักอึ้ง พอตั้งสติได้จึงเร่งรีบเดินเข้ามากุมมือของสตรีตรงหน้าเอาไว้ “รู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังพูดอะไรออกมา” สายตาของนางแลมองซ้ายขวาท่าทางราวกับหวาดระแวงสิ่งใด น้ำเสียงหวานเอ่ยอย่างแผ่วเบา“หย่าสามี…นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรนำมาล้อเล่น!”ไป๋เสี่ยวหรันยังคงสงบนิ่งและเย็นยะเยือกในคราเดียวกัน ใบหน้าคนงามปรากฏรอยยิ้มจางๆ แต่งแต้มอยู่ทว่านัยน์ตาเมล็ดซิ่ง กลับดูหม่นแสงลงเล็กน้อย “เรื่องนี้ข้าย่อมหมายความว่าเช่นนั้น
Comments