'ไป๋เสี่ยหรัน' บุตรสาวสกุลไป๋...ไม่ได้ถูกมองด้วยความรักแต่เพราะความจำเป็นทางผลประโยชน์ เมื่อถึงเวลานางถูกใช้เป็นหมากตัวหนึ่งในการต่อรองค่าสินสอดกับตระกูลที่ร่ำรวยเท่านั้น ขอเพียงได้เงินมา นายท่านไป๋ย่อมไม่สนว่านางจะมีสภาพหลังจากนี้เป็นอย่างไร ถึงจะอยู่ในจวนหลังใหญ่ ได้สวมใส่อาภรณ์ราคาแพงแต่กลับไม่มีสิ่งใดเป็นของนางเองเลย...แม้แต่หัวใจของสามี นางไม่ได้แต่งเข้ามาเพราะความรัก…แต่เพราะถูกขายต่างหาก 'ข้า…ข้าเจ็บจังเลย ไม่ไหวแล้ว' 'เซี่ยเว่ยหลง' เพราะคำสั่งเสียสุดท้ายของมารดา...เขาจึงแต่งสตรีผู้หนึ่งมาเป็นภรรยาหาได้รู้สึกรักใคร่ลึกซึ้ง สตรีผู้นั้นเปรียบเสมือนดอกไม้ต่อให้เขาจะจับใส่ในแจกันใบใดก็ต้องอยู่ให้ได้ ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องและร้องขอ 'หย่างั้นหรือ' สตรีผู้นั้นกล้าดีอย่างไรกัน! 'เช่นนั้นแล้วข้าจะรั้งนางไว้…ต่อให้ตายลงหลุมถูกฝังกลบดินกลายเป็นวิญญาณ ข้าก็จะตามนางกลับมาไม่มีทางปล่อยไปแน่' อาหยวนหรือเซี่ยเจิ้นหยวน บุตรชายที่ถูกเลี้ยงดูจากมารดาแต่เพียงผู้เดียวแต่ในใจลึกๆ กลับโหยหาและปรารถอยากให้บิดาสนใจบ้าง
View Moreเพล้ง!
จอกน้ำชาเคลือบเนื้อดีถูกเขวี้ยงลงกระแทกพื้นอย่างแรงจนแตกพลันเกิดเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ ก่อนที่เศษชิ้นส่วนจะกระจัดกระจายไปทั่วทิศทาง “หย่างั้นหรือ…” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยทวนอย่างเยือกเย็น ภายในอกเต็มไปด้วยความเดือดดาลที่ปะทุขึ้นมาแทบจะอดกลั้นเอาไว้ไม่ได้ หัวคิ้วของเซี่ยเว่ยหลงขมวดแน่นบ่งบอกได้ถึงความไม่พอใจและอารมณ์ขุ่นมัวในตอนนี้ชัดเจน “นางเป็นมารดาประสาอะไร!...ถึงกล้าทอดทิ้งบุตรไว้ให้เหล่าสาวใช้” เขาพลางปรายสายตาไปมองบุตรชายวัยเก้าเดือนที่กำลังหยอกล้อเล่นอยู่กับเหล่าสาวใช้ สตรีผู้นั้นกล้าดีอย่างไรกัน! ใบหน้าของเซี่ยเว่ยหลงบิดเบี้ยวเต็มไปด้วยความโกรธ “เหอะ! นี่ก็ผ่านมาตั้งเก้าเดือนแล้วกระมัง นายท่านเซี่ยเคยอุ้มบุตรชายตัวเองบ้างหรือไม่” จางเหวินเอ่ยถามน้ำเสียงเรียบ เขาเหลือบสายตามองบุรุษตรงหน้าก่อนจะส่ายหน้าอย่างเอือมระอา มิใช่ว่าที่ผ่านมาเจ้าคนผู้นี้เอาแต่ทำตัวเย็นชาไม่สนใจนางหรืออย่างไร แต่ไฉนพอภรรยาเอ่ยปากของหย่ากลับดิ้นทุรนทุรายกัน…? เซี่ยเว่ยหลงได้ยินแล้วเงียบไปคู่หนึ่ง สายตาคมกริบปรายหันมามองสหายตาขวางด้วยความไม่พอใจนัก “…” “เหอะ! ปากดี” จางเหวินแค่นเสียงเย้ยหยัน “อวดดี” เซี่ยเว่ยหลงเอ่ยออกมาหนึ่งคำด้วยน้ำเสียงเรียบ สายตาคมกริบดูลึกล้ำเกินจะคาดเดาได้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ จากนั้นครู่ต่อมาจึงปริปากพูดอีกครั้ง “หากไร้เงาข้าคอยคุ้มกัน สุดท้ายแล้วสตรีผู้นั้นก็ไปไหนไม่พ้นจนตรอกคลานกลับมาหาอยู่ดี” พอได้ยินประโยคนี้ จางเหวินก็หัวเราะร่อออกมาทันทีราวกับเป็นเรื่องตลกขบขันเสียเต็มประดา ดูท่าแล้วอย่างไรบุรุษผู้นี้ก็ไม่ยอมหย่านางง่ายๆ แน่แล้วไฉนถึงยังปากแข็งอีกเล่า…!? เขาไม่รู้จะหาคำใดมาด่าทอเจ้าคนผู้นี้ให้สาสมจริงๆ ตอนที่มีกลับไม่เคยเห็นค่าเหลียวแลภรรยาเลยแม้แต่น้อย กระทั่งกำลังจะเสียนางไปแล้วกลับไม่รู้จักคว้าเอาไว้อีก! ทั้งทึ่มทื่อ ทั้งโง่เขลาเสียจริง! เรื่องราวในจวนของผู้อื่นจะเป็นเช่นไร เขาอาจไม่รู้แน่ชัดแต่หากเป็นเรื่องของเซี่ยเว่ยหลง…จางเหวินกลับรู้ดีทุกอย่างเพราะเห็นมาตั้งแต่ต้นจนจบ การแต่งงานในครั้งนั้นหาใช่เกิดจากความรัก หากแต่เป็นการทำตามคำสั่งเสียสุดท้ายของมารดาเท่านั้น บุตรชายกตัญญูเช่นเซี่ยเว่ยหลงจะกล้าขัดคำสั่งได้อย่างไร และในขณะเดียวกันนั้นราวกับสวรรค์ได้กำหนดเอาไว้แล้ว เมื่อมีบุตรสาวจากสกุลหนึ่งเร่งเร้าอยากแต่งออกไปพอดี ช่วงจังหวะเวลาช่างพอเหมาะพอดีเสียยิ่งกว่าสิ่งใด เพราะเป็นความปรารถนาของมารดา…เซี่ยเว่ยหลงจะไม่คว้าโอกาสนั้นไว้ได้อย่างไรกัน นับว่าสวรรค์ยังมีตา จู่ๆ ฮูหยินผู้เฒ่าเซี่ยที่อาการป่วยทรุดหนักกลับฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาดใจ ซ้ำยังมีชีวิตอยู่ต่อได้นานถึงหนึ่งปีเต็มแต่ทว่าน่าเสียดายนัก เพียงไม่นานหลังจากนั้น สตรีที่เซี่ยเว่ยหลงแต่งเข้าจวนกลับมีข่าวดีว่าตั้งครรภ์แล้ว โชคร้ายที่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้โอบอุ้มหลานชายด้วยตนเอง ช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา…บุรุษผู้นี้ไม่เคยสนใจ ไม่เคยแม้แต่จะเหลียวมองภรรยาแม้แต่น้อย เรื่องในจวนเช่นนี้จางเหวินย่อมไม่อาจสอดมือเข้าไปยุ่งได้ สตรีที่ออกเรือนมาแล้วย่อมหวังจะให้สามีรักใคร่เอ็นดูแต่ทว่ากลับเห็นใจไม่น้อยที่ต้องทนอยู่กับความว่างเปล่าเพียงลำพัง พอนางให้กำเนิดบุตรชายผู้หนึ่ง จางเหวินยินดีราวกลับเป็นบุตรชายตัวเองเสียดี เกรงว่าหากมอบบุตรชายให้สามีที่เย็นชาคงจะได้รับความรู้สึกดีๆ ตอบแทนกลับคืนมาบ้างแต่ทว่าสุดท้ายแล้วกลับไร้ประโยชน์…. เรื่องที่กล่าวมาเขารู้ดีราวกับนอนอยู่ใต้เตียงของคนทั้งคู่ จางเหวินถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางหันไปมองหลานชายตัวน้อยที่กำลังหัวเราะคิกคักอยู่ในวงล้อมของเหล่าสาวใช้ ใบหน้ากลมจิ้มลิ้มของเด็กน้อยฉายแววร่าเริง ไร้เดียงสา ยิ้มกว้างด้วยความสุขโดยไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและมารดาของเขานั้นกำลังร้าวฉานเพียงใด “หากมิได้รู้สึกอันใดก็ลงนามหย่าให้นางไปไม่ดีกว่าหรือ” เซี่ยเว่ยหลงได้ยินถ้อยคำของสหายเข้าก็พลันเดือดดาลขึ้นมา เขาตบโต๊ะเสียงดังลั่นจนเหล่าสาวใช้ที่อยู่ละแวกนั้นต่างสะดุ้งเฮือกหันมามองเป็นตาเดียว น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาทว่ากลับเต็มไปด้วยถ่อยคำดูแคลน “บุตรชายของข้า...ไม่สมควรมีมารดาเป็นสตรีร่าน” !!! บิดามันเถอะ!! เจ้าคนผู้นี้พูดอันใดออกมา สตรีร่านงั้นหรือ!? จางเหวินได้ยินก็ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความตกใจ เขาถึงกับคิดว่าหูฝาดไปหรือไม่ จนกระทั่งได้สบกับดวงตาคมกริบของอีกฝ่าย... “เพ่ย! เก็บปากเจ้าไว้กินข้าวเสียเถอะเซี่ยเว่ยหลง!” จางเหวินสบถลั่นออกมาด้วยความโมโหทันที ยามนี้เขาเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้วว่าเพราะเหตุใดนางถึงกล้าขอหย่าทั้งที่คงไม่พ้นถูกดูแคลนและครหาเช่นนี้ เกรงว่าความอดทนตลอดสามปีที่ผ่านคงสิ้นสุดแล้ว! “เหอะ!” เซี่ยเว่ยหลงแค่นเสียงหาได้รู้สึกอันใด จางเหวินเลิกคิ้วถามอย่างโมโห “หากนางได้ยินเช่นนี้...เจ้าคิดบ้างหรือไม่ว่านางจะรู้สึกอย่างไรเซี่ยเว่ยหลง” “ข้าจำเป็นต้องสนใจด้วยงั้นรึ” นางจะรู้สึกอย่างไรแล้วเกี่ยวอันใดกับเขากัน.!? จางเหวินไม่รู้จะสรรหาคำใดมาพูดจริงๆ “จำเอาไว้ให้ดี หากสตรีตัดสินใจเลือกแล้ว...ต่อให้จะจนตรอกดิ้นรนจนไม่มีแรงเดิน นางก็จะคลานไปให้ไกลและต่อให้เต็มไปด้วยบาดแผล ข้าเชื่อว่านางจะไม่มีทางหันกลับมาให้เจ้าทำร้ายได้อีก!” “เช่นนั้นแล้วข้าจะรั้งนางเอาไว้…ต่อให้ตายเป็นผี ข้าก็จะตามนางกลับมาไม่มีทางปล่อยไปแน่” น้ำเสียงทุ้มของเซี่ยเว่ยหลงเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา สายตาคมกริบแข็งกร้าวขึ้นทันที “เพ่ย! หากไม่รู้สึกอันใดก็หย่ากับนางซะ!” “อาหยวนยังต้องมีมารดา”ผู้ใดจะคาดคิดเล่าว่า…เมิ่งหานเฟิ่งผู้เป็นพี่ชายของนางจะตกหลุมรักไป๋เสี่ยวหรันเข้าอย่างจังเมิ่งซือซือทอดสายตาจ้องแผ่นหลังกว้างของเมิ่งหานเฟิ่งอยู่นานครู่หนึ่ง นางไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเพียงแค่มองเงียบๆ พลันปล่อยให้ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัวไปมาอย่างไม่อาจควบคุมแต่ทว่าเมิ่งหานเฟิ่งกลับนิ่งราวกับรูปปั้น มิได้ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยและดูจากท่าทางแล้ว…เขาคงไม่รู้เสียด้วยซ้ำกระมังว่านางกำลังยืนมองอยู่หลายวันแล้วที่บรรยากาศในจวนสกุลเมิ่งเงียบสงบเกินควรและยิ่งไปกว่านั้น เมิ่งหานเฟิ่งกลับมีทีท่าซึมลงในแต่ละวัน เงียบงันจนคนในจวนเริ่มสังเกตเป็นกังวลอยู่มาก“เข้าไปดูอาการพี่ชายเจ้าหน่อยเถอะซือซือ” น้ำเสียงแผ่วเบาของเมิ่งฮูหยินกล่าวขึ้นอย่างหนักใจ นางละสายตาจากบุตรชายก่อนจะปรายหันมามองบุตรสาวข้างกายอย่างวิงวอนนับตั้งแต่ไป๋เสี่ยวหรันและอาหยวนตัดสินใจกลับไป…ไม่ว่าผู้ใดในจวนต่างรู้สึกใจหายทั้งสิ้นทว่าบุตรชายของนางดูเหมือนจะมากไปเสียหน่อย…เมิ่งฮูหยินมองแวบเดียวก็สามารถหยั่งรู้ถึงจิตใจของอีกฝ่ายได้แล้วว่า…มีใจรักใคร่ลึกซึ้งต่อแม่นางไป๋เสี่ยวหรันแน่เมิ่งซือซือพยักหน้าหงึกๆ พลางถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจ
บรรยากาศภายในจวนสกุลเซี่ยเงียบงันอึมครึมไร้ชีวิตชีวานานหลายวันนับตั้งแต่ฮูหยินและคุณชายน้อยได้จากไปพร้อมกับหนังสือหย่า...ภายหลังจากนั้นมาอารมณ์ของนายท่านก็แปรปรวนยิ่งกว่าฟ้าฝนปลายฤดูใบไม้ผลิเสียอีกเหล่าสาวใช้ในจวนต่างอยู่กันหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่มีผู้ใดกล้าเอื้อนเอ่ยวาจาใดออกไปแม้แต่สักครึ่งคำราวกับว่าสวรรค์ยังเมตตา...ยามนี้ฮูหยินและคุณชายน้อยปรากฏอยู่ตรงหน้าในจวนอีกครั้ง พวกนางมองเห็นแล้วล้วนแต่ตื่นตระหนกตกใจกันทั้งสิ้นทว่ากลับไม่มีผู้ใดเอ่ยถ้อยคำใดออกมา นอกเสียต่างพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอกคล้ายก้อนหินที่ทับอยู่ในอกมานานถูกยกออกแท้จริงแล้ว…นายท่านเซี่ยก็หาได้เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งหรือไร้หัวใจไม่รู้สึกอันใด เพียงแต่ไม่รู้จักวิธีถนอมสตรีเท่านั้น…จนกระทั่งสูญเสียไปจึงค่อยรู้ความสำคัญของฮูหยินว่ากันตามตรงแล้ว พวกนางต่างพากันคาดไม่ถึงจริงๆ ว่านายท่านจะตามฮูหยินและคุณชายน้อยกลับมาจนได้ฮูหยินถึงขั้นตัดสินใจหนีออกไปอย่างแน่วแน่เช่นนี้…มองดูแล้วคงไม่ง่ายแน่ทว่าวันนี้…นานท่านเซี่ยพาคนทั้งคู่กลับมาได้แล้วไป๋เสี่ยวหรันหวนกลับมายังจวนสกุลเซี่ยอีกครั้ง ใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มจางๆ สา
“ไม่ได้ขอรับ! นายท่านได้โปรดกลับไปเถอะ” น้ำเสียงทุ้มของคนงานชายเอ่ยขึ้นด้วยความหนักใจอยู่มาก แท้จริงแล้วเขาไม่รู้ว่านายท่านเซี่ยผู้นี้มีเรื่องเร่งด่วนอันใดถึงได้เร่งเร้าให้เปิดประตูจวนอยากจะเข้าไปนัก เขาเองก็ลำบากใจอยู่มาก…หากผู้เป็นนายไม่ออกคำสั่ง เขาจะทำอันใดได้ เซี่ยเว่ยหลงยืนนิ่ง สายตาคมกริบเพ่งมองบานประตูจวนที่ยังคงปิดสนิท เขาพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แต่หาใช่เพราะความโกรธทว่ากลับเป็นความเหนื่อยล้าในใจ นึกไม่ถึงว่าหลังจากวันนั้นที่เขาถูกขับไล่ออกมา…ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าพอหวนกลับมาอีกครั้ง จวนสกุลเมิ่งจะปิดประตูสนิทต่อให้มีเรื่องเร่งด่วนเพียงใดก็ให้คุณชายเมิ่งเป็นผู้ตัดสินใจ เหอะ! หากรอให้บุรุษผู้นั้นตัดสินใจ เขาไม่ผมหงอกหัวขาวโพลนไปทั้งหัวหรอกหรือ…!? “ข้ามาตามภรรยา…” เซี่ยเว่ยหลงเอ่ยออกมาเสียงเรียบ สายตาคมกริบยังคงจ้องมองบานประตูจวนที่ปิดสนิท เขาคิดว่าอย่างไรแล้ว…นางคงอยู่ข้างหลังไม่ยอมออกมาเป็นแน่ “อย่างไรก็ไม่ได้ขอรับ!” ทว่าคนงานผู้นั้นยังคงตอบเสียงหนักแน่นและแน่วแน่ เดิมทีเซี่ยเว่ยหลงไม่ได้มีความอดทนมากนัก หากไม่มีเรื่องสำคัญอันใด เขาก็คงไม่ต้องแบกหน้าอดทนรอคอยอย่างใจเย็
ยามพลบค่ำ จู่ๆ ฝนกลับตกกระหน่ำลงมาอย่างหนักโดยไม่ได้บอกกล่าวราวกับว่าพายุห่าใหญ่ได้แผ่ไปทั่วผืนฟ้า ทั้งที่ตลอดวันยังมีแสงแดดยังส่องสาดส่องไปทั่วบริเวณจนอากาศอบอ้าวแทบหายใจไม่ทั่วท้องแต่เพียงชั่วพริบตา…ท้องฟ้ากลับถูกเมฆครึ้มบดบังจนไร้แสงอาทิตย์ สายลมเย็นเฉียบพัดโชยมาพร้อมกลิ่นฝนที่เคล้าโชยมากับหยาดน้ำสีใสนับพันสายไป๋เสี่ยวหรันยืนอยู่ใต้ชายคา เงยหน้ามองหยาดเม็ดฝนที่รินไหลลงเทจากขอบหลังคาอย่างเหม่อลอย นัยน์ตาคู่งามดูราบเรียบแต่กลับแฝงความเศร้าและหม่นหมองเอาไว้อย่างปิดไม่มิดนี่ก็ผ่านมาแล้วสองสามวัน…นับตั้งแต่เซี่ยเว่ยหลงบุกมานางถึงจวนสกุลเมิ่งโดยไม่ทันตั้งตัวแม้ว่านางจะเป็นฝ่ายขับไล่เขาไปแล้วอย่างไร แต่ภายในใจของไป๋เสี่ยวหรันกลับปั่นป่วนเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่ยากจะสลัดทิ้งไปได้…น้ำเสียงทุ้มแผ่วเบาแฝงด้วยความอ่อนโยนและเจือไปด้วยความรู้สึกผิดยังคงวนเวียนดังก้องอยู่ในหูของนางซ้ำๆเพื่อนางแล้ว…เซี่ยเว่ยหลงยินยอมทำเพียงนี้เลยหรือ!?“เสี่ยวหรัน…”“…”“ไป๋เสี่ยวหรัน!” น้ำเสียงของเมิ่งซือซือดังขึ้นกว่าเดิมแข่งกับเสียงฝน นางยื่นมือออกไปแตะไหล่ของไป๋เสี่ยวหรันอย่างแผ่วเบาพลันทำให้อีกฝ่าย
อวิ๋นเออร์เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ของเซี่ยเว่ยหลงแล้ว…นางพลันหยุดชะงักไปชั่วขณะคล้ายกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน รอยยิ้มบนใบหน้าคนงามเจื่อนลงทันที“ท่าน...หมายความว่าอย่างไรกันเว่ยหลง” น้ำเสียงหวานของนางสั่นเครือเจือไปด้วยความสับสนยามนี้นางไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าเหตุใดเซี่ยเว่ยหลงถึงเอ่ยถ้อยคำเช่นนั้นออกมาเขาสมควรจะยินดีใจมิใช่หรอกหรือ…!?นางละทิ้งทุกสิ่งและกำลังจะหย่าสามีเพื่อย้อนคืนมาหาเขา มายืนเคียงข้างเขาดังเช่นในอดีต แต่ว่าสิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงสายตาเย็นชาไร้ความรู้สึกเท่านั้นจางเหวินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเหลือบสายตาปรายมองเซี่ยเว่ยหลงที่ยืนนิ่งสงบ สายตาคมกริบเรียบเฉยไร้ความโกรธเกรี้ยวหรือยินดีแม้แต่น้อยเซี่ยเว่ยหลงทอดสายตามองผ่านสตรีตรงหน้าออกไปราวกับมองไม่เห็น เขาค่อยๆ ละสายตากลับมาก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาและหนักแน่น“ความหมายของข้านั้น…ฮูหยินได้โปรดกลับไปไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเสียก่อนเถิด เรื่องบางอย่างหากตัดสินใจลงไปแล้วย่อมไม่อาจย้อนคืนมาแก้ไขได้อีก” เซี่ยเว่ยหลงเข้าใจลึกซึ้งแล้ว…ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น อวิ๋นเออร์ก็ยิ่งขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “เซี่ยเว่ยหลง…ข้าและท่
เมิ่งหานเฟิ่งเดินเข้าไปใกล้ ฝ่ามือหนายื่นออกไปเกลี่ยเรือนผมที่พลิ้วปิดใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา ดวงตาคมกริบหลุบต่ำมองสตรีตรงหน้าด้วยความอ่อนโยนก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำเขาย่อมมองออกว่าสตรีตรงหน้ารู้สึกอย่างไรกันแน่“มีผู้ใดบ้างหากต้องการสิ่งใดแล้วจะไม่เห็นแก่ตัว” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบา “ข้าเองก็อยากจะเห็นแก่ตัวให้มากกว่านี้…อยากจะเหนี่ยวรั้งเจ้าเอาไว้ไม่ยอมให้กลับไปอีกไป๋เสี่ยวหรัน”หากเขาทำเช่นนั้น รั้งนางเอาไว้จะเห็นแก่ตัวมากไปหรือไม่เมิ่งหานเฟิ่งไม่ได้ตาบอดจนมองไม่ออกว่า…ข้างในหัวใจของไป๋เสี่ยวหรันนั้นยังคงมีเซี่ยเว่ยหลงอยู่เต็มเปี่ยม มิหนำซ้ำคนทั้งคู่ยังมีสายใยร่วมกันคือบุตรชายหนึ่งคนต่อให้ตัดใจก็ใช่ว่าจะตัดขาดได้จริงพอได้ยินถ้อยคำนั้น ไป๋เสี่ยวหรันก็เงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาคู่งามช้อนสบกับเมิ่งหานเฟิ่งพอดี “คุณชายเมิ่ง” นางย่อมมองออกว่าเมิ่งหานเฟิ่งรู้สึกอย่างไรแต่ทว่า…“ขอโทษเจ้าค่ะ” น้ำเสียงหวานเอื้อนเอ่ยเบาแฝงด้วยรู้สึกผิดไม่น้อยในใจของนางไม่อาจเปิดที่ว่างให้ผู้ใดได้อีกยกเว้นเพียงคนผู้นั้น…เซี่ยเว่ยหลง ทั้งที่เขาเคยใจร้ายถึงเพียงนั้นแต่ทว่าเหตุใดนางถึงยังตัดใจจากเขาไม่ได
Comments