“เจ้าเคยเห็นมาก่อนหรือ?”สายตาของฮ่องเต้น้อยหยุดอยู่ที่เวินเยวี่ยแม้ว่าอีกฝ่ายจะสวมผ้าคลุมหน้า แต่ดวงตาของเขายังไม่มืดบอด มองนางไม่ออกแต่จะมองเวินเฉวียนเซิ่งที่นั่งอยู่ข้างกายนางไม่ออกได้หรือ?“เพคะฝ่าบาท มารดาของหม่อมฉันเชี่ยวชาญด้านโอสถ และเคยทิ้งตำราแพทย์และสมุนไพรไว้ให้หม่อมฉัน ในนั้นมีบัวหิมะตากแห้งเก็บรักษาไว้ต้นหนึ่ง เพียงแต่น่าเสียดายที่ต่อมาหม่อมฉันล้มป่วย จำเป็นต้องใช้บัวหิมะต้นนั้นไป แต่หม่อมฉันก็ยังพอมีความทรงจำในเรื่องนี้อยู่บ้างเพคะ”“อย่างนั้นหรือ?”สายตาของฮ่องเต้น้อยกวาดมองเวินเยวี่ยและเวินเฉวียนเซิ่งสองพ่อลูกคู่นี้เวินเฉวียนเซิ่งลุกขึ้นก้าวไปข้างหน้าพลางกล่าวว่า “ฝ่าบาท สิ่งที่นางพูดนั้นเป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ หากฝ่าบาทต้องการวินิจฉัยว่าบัวหิมะต้นนี้ของใต้เท้าอันเป็นของจริงหรือปลอม ให้ลูกสาวของกระหม่อมเป็นธุระแทนพระองค์ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”“ไม่ต้อง ๆ ในเมื่อบัวหิมะนี้ใต้เท้าอันเจาะจงนำถวาย เราย่อมเชื่อมั่นในสายตาของใต้เท้าอันอยู่แล้ว”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ อันปี่เค่อก็เผยสีหน้าน้ำตาคลอเบ้าบ่งบอกว่า “นึกไม่ถึงเลยว่าฝ่าบาทจะไว้วางใจกระหม่อมเช่นนี้”แต่วินาทีต่อมาก็ได้
เผชิญหน้ากับท่าทีที่เปลี่ยนไปกะทันหันของฮ่องเต้น้อย ชั่วขณะเวินเยวี่ยไม่รู้ว่าควรจะไปต่อหรือไม่นางฟันเบาๆ หันไปมองทางเวินเวินเฉวียนเซิ่ง“ท่านพ่อ…”“ไป”เวินเฉวียนเซิ่งเปิดปากกล่าวเสียงเบา “ทำตามแผนก่อนหน้านี้ หากมีอะไรพ่อจะเตือนเจ้าเอง”เพียงแต่ตอนที่เวินเฉวียนเซิ่งพูดก็ดูไม่แน่ใจนัก“ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”เวินเยวี่ย “ฝ่าบาทโปรดรอสักครู่ หม่อมฉันจะวินิจฉัยยาแทนพระองค์เดี๋ยวนี้เพคะ”นางเดินเข้าไปอย่างช้าๆ ไปคุกเข่าลงที่ข้างกายอันปี่เค่อ “ใต้เท้าอัน รบกวนท่านยื่นบัวหิมะให้ข้าดูหน่อยเถิด”อันปี่เค่อยื่นบัวหิมะในมือให้เวินเยวี่ยด้วยสีหน้าที่อยากจะร้องไห้หลังจากเห็นบัวหิมะที่อยู่ในกล่องไม้เป็นของจริง แม้แต่ในแววตาของเวินเยวี่ยก็อดฉายประกายแห่งความโลภไม่ได้คิดไม่ถึงว่าสกุลอันมีของดีเช่นนี้อยู่จริงๆ ด้วยใช่แล้ว นางจำได้ว่าในสูตรยายาถอนพิษของพวกคนที่ควบคุมจินซือถูก็มีบัวหิมะถ้าหากสามารถได้บัวหิมะนี้มา ไม่แน่อาจสามารถนำมาใช้หลอกพวกจินซือถู ให้พวกเขาทำงานให้นางแต่โดยดีต่อไปช่วงนี้เวินเยวี่ยรู้สึกได้รางๆ พวกจินซือถูเริ่มไม่เชื่อฟังแล้วคาดว่าเป็นเพราะนางไม่สามารถเอายาถอนพิษอ
ทุกคนที่ได้ยินคำพูดนี้ต่างหันไปมองทางไทเฮาบางทีตัวไทเฮาเองยังอาจไม่รู้สึกว่าชัดเจนมากนักผู้คนที่ไม่กล้ามองตรงๆ ก่อนหน้านี้ คราวนี้ลองแอบมองอย่างละเอียด สีหน้าของไทเฮาดูดีกว่าก่อนหน้านี้มากจริงๆ!สมกับเป็นเห็ดหลินจือสีม่วงอายุร้อยปี!แน่นอนว่ามีคนสงสัยคำพูดของไทเฮาเช่นกัน คิดว่าเป็นแค่การพูดให้เป็นพิธีเท่านั้นมีสมุนไพรที่มีสรรพคุณน่าอัศจรรย์เช่นนี้ที่ไหนกัน?ต่อให้มี มันจะมาจากมือของเวินซื่อได้อย่างไร?นางออกมาจากจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ได้ยินมาว่านอกจากสินเจ้าสาวของแม่นาง ก็ไม่ได้เอาอะไรไปด้วยเลยคนเหล่านี้ย่อมเป็นขุนนางรุ่นใหม่ที่ไม่รู้ว่าภูมิหลังของสกุลหลานในอดีตแข็งแกร่งเพียงใดพวกเขาไม่เข้าใจถึงความสำคัญของสกุลหลานในอดีต และไม่รู้ถึงความสำคัญของลูกสาวเพียงคนเดียวของสกุลหลานเช่นกันแม้เวินซื่อไม่ได้เลือกเห็ดหลินจือสีม่วงอายุร้อยปีมาจากสินเจ้าสาวของมารดานาง แต่หยกแขวนชิ้นนั้นเป็นของที่มารดานางให้นาง แล้วจะไม่นับว่าเป็นของที่มารดานางเหลือไว้ได้อย่างไร?และแม้ว่าปกติไทเฮาจะพูดเป็นพิธีจนชินแล้ว แต่ตอนนี้พูดออกมาจากใจจริงๆผู้หญิงที่อายุมากขึ้นคนไหนบ้างไม่อยากให้ตัวเองกลับมาเป็
“มีแมลง”คำพูดของเป่ยเฉินหยวนทำให้สายตาเวินซื่อจริงจังขึ้นมาทันทีนางมองไปที่บัวหิมะในกล่องไม้อีกครั้งมองเห็นแมลงสีดำตัวเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ตัวอยู่ในเกสรบัวหิมะอย่างที่คิดทันที มันโดนเป่ยเฉินหยวนใช้ถ้วยชาครอบ บินไม่ออกและหนีไม่ได้“แมลงนี่อีกแล้ว”เวินซื่อพึมพำเบาๆเป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้ว มองไปทางนาง “ก่อนหน้านี้ท่านเคยเจอตัวที่เหมือนกันหรือ?”เวินซื่อพยักหน้า “มันอยู่ตรงที่นั่งของข้า ตอนที่มาถึงมันเกาะอยู่บนเก้าอี้หนึ่งตัว แต่ข้าสั่งให้คนเอาไปทิ้งแล้ว”แม้แต่เก้าอี้ก็ถูกเปลี่ยนพร้อมกับแมลงนั่นสายตาเป่ยเฉินหยวนเย็นลงทันทีครั้งที่หนึ่งเป็นเรื่องบังเอิญ แต่เขาไม่เชื่อว่าครั้งที่สองจะเป็นเรื่องบังเอิญอีกงานเลี้ยงท้องพระโรงนี้เป็นสถานที่อย่างไร ปกติแม้ไม่มีคนมาก็ต้องทำความสะอาดทุกวัน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีแมลงมากมายเช่นนี้แต่วันนี้กลับมีแมลงปรากฏตัวแล้วตัวเล่าอย่างต่อเนื่องเป่ยเฉินหยวนกับเวินซื่อนึกถึงเรื่องนี้พร้อมกัน พวกเขาสบตากัน เวินซื่อเย็นวูบในใจ “มีคนร้ายต่างเผ่าแฝงตัวเข้ามา?” “ไม่ว่าจะเป็นใคร วันนี้ข้าก็จะกำจัดให้หมด”เป่ยเฉินหยวนกล่าวอย่างดุร้ายเวินซื่อหันไปมองท้
สายตาของนางมองไปที่อันปี่เค่อที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “เหมือนใต้เท้าอันคนนี้ก็มีปัญหาเช่นกัน”บัวหิมะเป็นของอันปี่เค่อ และยังเจาะจงถวายให้ฝ่าบาท ถ้าหากไม่มีนาง เกรงว่าเวลานี้บัวหิมะไปตกอยู่ในมือของฝ่าบาทแล้ว และแมลงน้อยสีดำก็น่าจะลอบทำร้ายสำเร็จแล้ว“เขาคิดจะลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท?!”เวินซื่อหน้าถอดสี คิดไม่ถึงว่าอันปี่เค่อแต่ใจกล้าถึงเพียงนี้หรือว่าอีกฝ่ายสมคบคิดกับคนร้ายต่างเผ่า?ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงมีร้ายต่างเผ่ามากมายเช่นนี้ปรากฏตัวในเมืองหลวง? หรือแม้แต่แฝงตัวเข้ามาในวังหลวง!ดวงตาเวินซื่อฉายแววอันตรายที่คลุมเครือนางกำลังคิด ถ้าหากอันปี่เค่อมีปัญหาจริงๆ เช่นนั้นจวนเจิ้นกั๋วกงที่ร่วมมือกับอันปี่เค่อในวันนี้ล่ะ?พวกเขารู้หรือไม่รู้?หรือบางทีพวกเขาอาจจะมีส่วนร่วมในเรื่องนี้?“อย่าเพิ่งไปคิดมากเกินไป”เสียงของเป่ยเฉินหยวนดังขึ้นอีกครั้ง“ตอนนี้บัวหิมะอยู่ในมือของท่านแล้ว ต่อให้ก้าวออกไปบอกว่าพวกเขามีปัญหา พวกเขาก็ไม่มีทางยอมรับ และยังอาจจะย้อนมาเล่นงานท่านด้วย”เมื่อได้ยินเวินซื่อก็พยักหน้าอย่างอื่นไม่พูดถึง แค่มีโอกาส เวินเยวี่ยไม่มีทางละเว้นนางแน่นอน ดังนั้นเป็นไปได้ว่าอาจโ
งานเลี้ยงวังหลวงที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความรื่นเริงแต่ใครจะรู้ว่าทันทีที่งานเลี้ยงพระราชวังสิ้นสุดลง ทุกคนกลับโดนกักตัวอยู่ในท้องพระโรงแห่งนี้ทุกคนยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนวังที่โดนแมงมุมของเวินซื่อควบคุมก่อนหน้านี้ก็โดนลากออกมาทีละคนแล้วทหารรักษาพระองค์ยกดาบและฟันลงไปต่อหน้าเหล่าขุนนาง คนวังเหล่านั้นศีรษะหลุดจากบ่า เลือดพุ่งเหมือนน้ำพุเลือดจำนวนไม่น้อยยังได้กระเซ็นใส่คนที่อยู่ใกล้และไม่มีที่หลบไม่ต้องสงสัยเลยว่าในบรรดาคนเหล่านี้มีคนสกุลเวินรวมอยู่ด้วย“อ๊าๆๆ ท่านพ่อ!”เวินเยวี่ยตกใจจนหน้าซีด รีบวิ่งไปหลบหลังเวินเฉวียนเซิ่งเวินเฉวียนเซิ่งตรงข้ามกับนาง สีหน้าของเขาในเวลานี้บูดบึ้ง จ้องมองเป่ยเฉินหยวนด้วยสายตาเย็นชา“ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ ในเมื่อท่านรู้ตั้งนานแล้วว่านักฆ่าเป็นใคร แล้วเหตุใดยังต้องขังพวกเราไว้ที่นี่ นี่ท่านไม่เห็นค่าชีวิตของพวกเรา หรือกำลังอาศัยเรื่องส่วนรวมมาแก้แค้นเรื่องส่วนตัว?”“เจิ้นกั๋งกงไม่จำเป็นต้องใจร้อนเช่นนี้ วางใจเถอะ แค่พวกท่านไม่ได้สมคบคิดกับนักฆ่าพวกนี้ ข้าย่อมไม่ทำอะไรพวกท่าน แต่ถ้าหากข้าสิ่งของที่ไม่ควรมีบนตัวพวกท่าน เช่นนั้นก็
คนป่านั่นยังเอาแมลงกู่มาใส่บนตัวเขาอีกด้วย!บ้าจริง คนป่านั่นคิดจะทำอะไรกันแน่?!เวินเฉวียนเซิ่งในเวลานี้สงสัยไปถึงตัวคนที่ซ่อนอยู่ในจวนเจิ้นกั๋วของเขาโดยตรงแล้วมองดูสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของเวินเฉวียนเซิ่ง เป่ยเฉินหยวนเอ่ยปากอย่างใจเย็น “ดูเหมือนวันนี้เจิ้นกั๋วกงไปไม่ได้แล้ว เด็กๆ คุมตัวเจิ้นกั๋วกงกับบุตรสาวออกไป”“พ่ะย่ะค่ะ!”“ไม่! พวกเจ้าทำอะไร? ปล่อยข้า ปล่อยข้านะ!”“ท่านพ่อ ทำอย่างไรดี?! ท่านรีบช่วยเยวี่ยเอ๋อร์สิ เยวี่ยเอ๋อร์ไม่อยากติดคุก!”เวินเยวี่ยที่โดนลากออกมากลัวสุดขีด กรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก“กลัวอะไร!”เวินเฉวียนเซิ่งตวาด มองเป่ยเฉินหยวนอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง “ก็แค่แมลงตัวหนึ่ง อยากตัดสินความผิดของข้า มันยังไม่ง่ายเช่นนั้น”“เช่นนั้นก็ต้องดูว่าปากของเจิ้นกั๋วกงแข็ง หรือกระดูกแข็งกว่าแล้ว”เป่ยเฉินหยวนหัวเราะอย่างเย้ยหยัน กล่าวออกคำสั่ง “ยืนนิ่งอยู่ทำไม ยังไม่รีบเชิญเจิ้นกั๋วกงไปกรมอาญาอีก?”“พ่ะย่ะค่ะ!”ทหารรักษาพระองค์เดินเข้าไป คุมตัวเวินเฉวียนเซิ่งกับเวินเยวี่ยไปทันทีแต่ไม่ได้มีเพียงพวกเขา ยังมีอีกคนที่เข้าคุกเช่นเดียวกันนั่นก็คืออันปี่เค่อ“ใต้เ
“จู๋เยวี่ย”ทันใดนั้นก็มีร่างเงาสายหนึ่งปรากฏตัวที่ข้างกายเวินฉางอวิ้นจู๋เยวี่ยยื่นมือไปอังครู่หนึ่ง หลังจากนั้นกล่าวกับเวินซื่อสามคำ “ใกล้ตายแล้ว”เวินซื่อ “?”ใกล้ตายแล้ว?นางขมวดคิ้ว หลังจากลังเลครู่หนึ่งจึงจะเดินเข้าไปตรวจชีพจรของเวินฉางอวิ้นที่นอนอยู่บนพื้นเดี๋ยวก่อนเวินซื่อเบิกตากว้างเล็กน้อย มองเวินฉางอวิ้นที่อยู่บนพื้นด้วยความประหลาดใจเกิดอะไรขึ้น เขาถูกพิษหรือ?ใครกันที่กล้าวางยาพิษคุณชายใหญ่ของจวนเจิ้นกั๋วกง? อีกทั้งเหตุใดลักษณะชีพจรนี่จึงคุ้นๆ?ขณะที่เวินซื่อกำลังจะตรวจดูอย่างละเอียด เวินฉางอวิ้นที่นอนหมดสติอยู่บนพื้นขยับกะทันหัน หลังจากนั้น ชีพจรที่อ่อนแอและยุ่งเหยิงของเขาในตอนแรกก็กลับมาเป็นปกติ นี่มันน่าแปลกมาก“น้องห้า ใช่เจ้าหรือไม่?”เวินฉางอวิ้นเพิ่งฟื้น การมองเห็นยังพร่ามัวเล็กน้อยตอนที่เห็นคนตรงหน้า เขายื่นมือไปคว้าอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัวแต่น่าเสียดายที่เวินซื่อได้เตรียมตัวตั้งแต่ตอนที่เห็นเขาจะฟื้นแล้ว จึงถอยหลังหนึ่งก้าวได้ทันเวลารอการมองเห็นของเวินฉางอวิ้นกลับมาเป็นปกติ ก็เห็นว่าคนที่ตัวเองคว้าไม่ใช่น้องสาวของเขา แต่เป็นผู้หญิงที่สวมชุดสีดำค
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม