ในวันที่จวนสกุลไป๋ต้องรักษาหน้าเอาไว้ ไป๋ซูเหยาถูกบีบบังคับให้สวมใส่อาภรณ์มงคลสีแดง สวมผ้าคลุมหน้า...และขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแทนผู้เป็นพี่สาวต่างมารดาที่หายตัวไป หากไม่แต่งเข้าจวนหลี่อ๋องก็ต้องกลายเป็นอนุภรรยาลำดับที่สิบห้าของเศษรฐ๊เฒ่าอ้วนลงพุงแทน ไป๋ซูเหยาต้องแต่งงานกับบุรุษที่เย็นชาอย่าง...หลี่เจิ้งเฉินอย่างไร้หนทางขัดขืน และทั้งที่เขารู้ว่า...นางหาใช่สตรีในดวงใจทว่ากลับรับเอาไว้ จวนหลี่อ๋องใหญ่โตโอ่อ่า ทว่ากลับคับแคบเหลือเกิน นางไม่มีแม้แต่พื้นที่จะได้หายใจ ต้องอยู่ภายในเงาของไป๋เหยียนหลันไม่สามารถเอ่ยปากบอกกลับผู้ใดได้ มิหนำซ้ำ อารมณ์ของบุรุษผู้นี้ก็เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย นางถูกตราหน้าว่าแย่งชิงวาสนาของผู้อื่นทั้งที่ถูกบังคับอย่างไร้หนทางให้เลือก นางถูกกักขังให้อยู่เรือนหลังจวน ถูกเขามองด้วยสายตาเหยียดหยาม ดูแคลน ถูกเขาสาดคำพูดหยามเกียรติ ใส่อย่างไร้ศักดิ์ศรี...ราวกับว่านี่เป็นความผิดของนาง
View Moreเสียงพูดคุยของแขกเหรื่อพร้อมทั้งเสียงจุดประทัดดังกึกก้องไปทั่วจวนหลี่อ๋อง บรรยากาศโดยรอบอบอวลด้วยความเป็นมงคล ทุกพื้นที่ภายในจวนล้วนถูกประดับตกแต่งอย่างงดงามด้วยดอกไม้นานาพรรณและผ้าแพรชาดสีแดงสัญลักษณ์ของวันแต่งงาน
พิธีสมรสอันยิ่งใหญ่ของหลี่อ๋องผู้สูงศักดิ์ถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ แม้แต่เหล่าสตรีทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็พากันอิจฉาวาสนาของคุณหนูไป๋กันถ้วนหน้า เรื่องราวความรักระหว่างคุณหนูไป๋กับหลี่อ๋องนั้น… มีหรือจะมีผู้ใดไม่รู้จักเกรงว่าแม้แต่เด็กสามขวบยังสามารถเล่าออกมาได้เป็นฉากๆ คุณหนูไป๋จากตระกูลพ่อค้าได้บังเอิญพบรักกับหลี่อ๋องผู้สูงศักดิ์ราวกับสวรรค์กำหนดเอาไว้แล้ว เรื่องราวนี้ถูกเล่าต่อๆ กันมา จนกระทั่งถูกนำไปแต่งเติมกลายเป็นบทละครในโรงน้ำชา… เดิมทีตระกูลไป๋เป็นเพียงแค่เจ้าของร้านขายน้ำเต้าหู้เล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าออกของชายแดนเท่านั้น ทว่ากลับมีบุตรสาวผู้หนึ่งรูปโฉมงดงามสะคราญราวกับเทพธิดา…ทว่าความงามนี้ย่อมเป็นได้ภัยได้ในคราเดียวกัน กล่าวกันว่า…เช้าตรู่วันหนึ่งเกิดเหตุการณ์โจรฉกรรจ์บุกหมายจะชิงตัวคุณหนูไป๋เป็นเมีย ทว่าโชคชะตานำพาให้หลี่อ๋องผ่านมาเห็นเข้าพอดีจึงช่วยเหลือไว้ได้ทันการณ์ และนั่น...จึงกลายเป็นรักแรกพบที่นำพาสู่วันแห่งพิธีสมรสในวันนี้ เสียงประทัดค่อยๆ เบาลง ทว่ากลิ่นควันยังลอยอบอวลอยู่ในสายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดโชยผ่าน เสียงหัวเราะและเสียงร่ำสุราดังแว่วมาจากห้องโถงใหญ่ แขกเหรื่อพากันหลั่งไหลเข้าแสดงความยินดีไม่ขาดสายต่างก็กล่าวคำอวยพรด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม...ขอให้หลี่อ๋องมีทายาทในเร็ววัน ขณะเดียวกันนั้น ด้านในของห้องหอ…คุณหนูไป๋สวมใส่ชุดอารมณ์มงคลเจ้าสาวสีแดงสดถูกสาวใช้ประคองให้นั่งรออยู่บนเตียง ใบหน้าคนงามถูกคลุมทับด้วยผ้าผืนสีแดงอีกที “เชิญพระชายานั่งรอหลี่อ๋องก่อนเถอะเพคะ…” น้ำเสียงนุ่มนวลของสาวใช้เอ่ยดังขึ้น “…” ไป๋ซูเหยาไม่ได้เอ่ยอันใด นางเพียงพยักหน้าเบาๆ เล็กน้อยเท่านั้น ใบหน้าคนงามภายใต้ผ้าคลุมล้วนเต็มไปด้วยความประหม่า ริมฝีปากแดงเม้มแน่นราวกับต้องการข่มความรู้สึกว้าวุ่นใจ ปานนี้แล้วจะมีผู้ใดรู้บ้างหรือไม่ว่า…นางมิใช่ไป๋เหยียนหลัน สตรีที่สวมชุดเจ้าสาวสีแดงมงคลร่วมกราบไหว้ฟ้าดินพร้อมกับหลี่อ๋องนั้น…แท้จริงแล้วคืออีกคนแทน เดิมทีในสายตาของบิดานั้น ไป๋ซูเหยาย่อมถูกมองว่าไร้ค่าและไร้ประโยชน์อยู่แล้ว และเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างไป๋เหยียนหลันและหลี่อ๋องค่อยๆ ถักทอสานต่อจนเป็นด้ายแดงนั้น บุตรสาวที่แสนงดงามราวเทพธิดายิ่งกลับกลายเป็นภูมิใจสามารถยืดอกนำไปพูดจาโอ้อวดได้กับทุกคนแต่สำหรับไป๋ซูเหยานั้น…ย่อมถูกเปรียบเทียบกับพี่สาวที่งดงามและวาสนาที่สูงส่งอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้จะตั้งใจหรือพยายามเพียงใดในฐานะบุตรสาวผู้หนึ่งทว่าก็ยากที่จะมีสิ่งใดที่สามารถทำให้บิดาภูมิใจได้ มิหนำซ้ำยังถูกกล่าวหาว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก… แต่ทว่าผู้ใดจะรู้เล่า…วาสนาที่อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือของไป๋เหยียนหลันนั้นกลับขาดสะบั้นลงอย่างรวดเร็วไม่ทันตั้งตัว เช้าตรู่ของวันแต่งงาน...ไป๋เหยียนหลันกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย นางมิได้ทิ้งสิ่งใดเอาไว้ แม้แต่จดหมายสักฉบับเพื่อกล่าวขอโทษต่อบิดาก็ไม่มี เรือนนอนของคุณหนูใหญ่สงบเงียบผิดปกติ สาวใช้ที่เข้าไปเตรียมชุดเจ้าสาวกลับพบเพียงความว่างเปล่า หีบผ้าใบใหญ่ที่เตรียมไว้เป็นสินเดิมเจ้าสาวถูกเปิดทิ้งไว้…ภายในว่างเปล่า ทั้งอาภรณ์ไหมเครื่องประดับทองและเงินตราที่จัดเตรียมไว้อย่างดีหายไปหมดสิ้น บุตรสาวที่บิดารักใคร่ทำเช่นนี้…นายท่านไป๋ย่อมรู้สึกโกรธเคืองและขายหน้าอยู่ไม่น้อย หากเกี้ยวเจ้าสาวที่ถูกส่งมารับกลับไปยังจวนหลี่อ๋องมีเพียงความว่างเปล่า…ไร้เจ้าสาว เกรงว่าจะไม่เพียงแค่เสียหน้าแต่ยังอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้นสั่นคลอนสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลได้ “หลี่อ๋องมาแล้วเจ้าค่ะ…” จู่ๆ น้ำเสียงของสาวใช้เอ่ยดังขึ้นเรียกสติของไป๋ซูเหยาให้กลับคืน นางชะงักเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นเพียงแค่เงาร่างสูงใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าเท่านั้น ไม่รู้เลยว่าเขาเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด…หรือบางทีอาจเป็นเพราะนางมัวแต่จมอยู่ในภวังค์จนไม่ทันสังเกต แม้จะเคยพบหน้าหลี่อ๋องผู้นี้อยู่เพียงสองครา ทว่านางกลับไม่เคยได้พูดคุยกันแม้แต่ครึ่งคำ ไป๋ซูเหยาตกใจไม่น้อยก่อนจะรีบลุกขึ้นยอบกายคำนับตามมารยาททันที ทว่ายังไม่ทันเอ่ยอันใด น้ำเสียงเย็นชาดุจเหมันต์ก็ดังขึ้น “หึ! อย่าคิดว่าเจ้าจะสามารถแทนนางได้” สายตาคมกริบของหลี่เจิ้งเฉินทอดมองนางอย่างดูแคลน ความไม่พอใจฉายชัดอยู่ในทุกถ้อยคำ ไฉนสตรีที่เขารักและหมายปองจะร่วมเรียงเคียงหมอนในคืนเข้าหอกลับกลายเป็นสตรีแปลกหน้าผู้นี้! เขารู้จักไป๋เหยียนหลันมาเนิ่นนานย่อมรู้ว่านางไม่มีทางที่จะหายไปโดยไม่กล่าวคำร่ำลาเช่นนี้แน่! หลี่เจิ้งเฉินกัดฟันกรอด มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเส้นเลือดปูดนูนขึ้นมา มุมปากหนายกยิ้มเยาะ หลี่เจิ้งเฉินยังคงสาดคำพูดเย็นชาใส่สตรีตรงหน้าไม่หยุด “อย่าได้ดีใจระริกระรี้ว่าจะได้เป็นภรรยาข้า! หากไป๋เหยียนหลันกลับมาเมื่อใด ผู้ที่สมควรไสหัวไปก็คือเจ้า!” ไฉนเลยเขาจะสามารถทำใจยอมรับสตรีผู้นี้เป็นภรรยาได้! ไป๋ซูเหยาเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า ใบหน้าคนงามภายใต้ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวไร้อารมณ์ใดๆ ดวงตาคู่งามดั่งเมล็ดซิ่งแต่กลับฝืนไม่ให้สั่นไหวหรือหวั่นกลัวบุรุษตรงหน้า นี่หาใช่ความผิดของนางเช่นกัน! เหตุใดจึงเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ออกมาราวกับว่านางเป็นต้นเหตุที่ทำให้ไป๋เหยียนหลันหายไป! “เช่นนั้นหรือเจ้าคะ…” น้ำเสียงของนางเบาหวิวราวกับจะหายไปตามสายลม หากเยือกเย็นในคราเดียวกัน ยามนี้ไป๋ซูเหยาหาได้ใส่ใจสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว นางยกมือขึ้นถอดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกด้วยตนเองอย่างเงียบเชียบ ไม่แม้แต่จะรอให้บุรุษตรงหน้าใช้คันชั่งเปิดออกตามธรรมเนียมปฏิบัติของคืนเข้าหอ… อย่างไรเสีย…นางก็เป็นเพียงตัวแทนเท่านั้น ทันทีที่ผ้าคลุมหน้าถูกเปิดออก ดวงตาคู่งามพลันสบเข้ากับสายตาคมกริบของหลี่เจิ้งเฉินพอดี นางชะงักไปเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ใกล้เขาถึงเพียงนี้…ความรู้สึกบางอย่างแล่นวาบขึ้นในอกจนต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่เพื่อกลั้นอารมณ์ “ในเมื่อท่านไม่เต็มใจ…ข้าเองก็มิเคยยินดี” น้ำเสียงหวานของไป๋ซูเหยาเอ่ยขึ้นราบเรียบ ว่ากันตามตรงแล้ว…ไหนเลยนางจะมีสิทธิ์เลือก หากมิขึ้นเกี้ยวแทนพี่สาวผู้อื่นก็มีแต่จะถูกส่งไปเป็นอนุภรรยาของตาเฒ่าชราผู้หนึ่งแทน! อวดดี! หลี่เจิ้งเฉินขบกัดฟันกรอดด้วยโทสะ เขาก้าวเข้ามาใกล้นาง ฝ่ามือหนาพลันยกขึ้นบีบรัดลำคอระหงของสตรีตรงหน้าโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดก่อน ราวกับจะตอกย้ำว่าสตรีผู้นี้ไม่มีทางขึ้นมาแทนที่ได้! มุมปากหนาของเขายกยิ้มเย้ยหยัน “ไม่เคยยินดีหรือ…” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยอย่างเย็นชา ดวงตาคมกริบไล่สายตามองเรือนร่างอรชรผ่านอาภรณ์แต่งงานสีแดงสดอย่างดูแคลน กลิ่นกำยานหอมอ่อนๆ ลอยอบอวลอยู่ทั่วห้อง เทียนมงคลสีแดงลุกไหม้พลิ้วไหว เปลวไฟส่องผ่านม่านแพรบางพลิ้วเงาสะท้อนของบุรุษและสตรีทาบทับอยู่บนฉากผ้าไหมลวดลายนกหยวนยาง หากแต่ ในสายตาของหลี่เจิ้งเฉินกลับไม่ต่างจากฉากละครลวงตาที่ชวนให้หัวเราะเยาะยิ่งกว่าการแสดงตลกในโรงเตี๊ยมเสียอีก! “เกรงว่าคงระริกระรี้อยากจะร่วมเตียงกับข้าเสียมากกว่า” น้ำเสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยขึ้นชิดใบหู ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดแนบแก้มนวลอย่างจงใจกลั่นแกล้งอีกฝ่าย ทว่าหลี่เจิ้งเฉินพลันสูดดมกลิ่นหอมไปอย่างไม่รู้ตัว ไป๋ซูเหยาสูดลมหายใจเข้าลึกคล้ายตั้งสติ แม้ลำคอจะถูกบีบรัดแน่นจนคล้ายรู้สึกจุกแน่นอกหายใจไม่ออก ทว่าดวงตาคู่งามยังคงแน่วนิ่งไม่มีแม้แต่ความหวาดกลัวฉายออกมาเลยแม้แต่น้อย นางแค่นหัวเราะเยาะเสียงต่ำ ทั้งที่หายใจติดขัด น้ำเสียงหวานแหบแห้งกล่าวออกมา “หากข้าอยากจะร่วมเตียงกับหลี่อ๋อง…เกรงว่าข้าคงไม่ถอนเพียงผ้าคลุมหน้ากระมัง!”ลมพัดเฉี่ยวผ่านหน้าต่างเรือนเล็กเก่าโทรม เสียงกระเบื้องหลังคากระทบกันแผ่วเบา ราวกับจะสะท้อนความหนาวเหน็บที่กัดกินกระดูกจนลึกถึงหัวใจ ภายในห้องนั้น เงียบสงัด…ไป๋เหยียนหลันนั่งพิงหัวเตียงเก่า มือทั้งสองลูบหน้าท้องที่ป่องที่ใกล้คลอดเต็มที แม้ร่างกายจะอ่อนล้าเต็มทีทว่านางกลับต้องลุกขึ้นจัดของใช้และคอยปรนนิบัติจางสือ แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ส่องสะท้อนเงาบนใบหน้าคนงามที่ซีดเผือด ผมยาวสยายกลางหลังดูยุ่งเหยิงไร้การบำรุงหรือดูแลใส่ใจ ทั้งยังสวมใส่อาภรณ์ใหญ่สีซีด มีรอยปะชุนให้เห็นเด่นชัด ดวงตาที่เคยเปล่งประกายอวดดี บัดนี้หม่นหมองราวเถ้าถ่านไฟที่มอดดับ ว่ากันตามตรงแล้ว นับตั้งแต่นางตั้งครรภ์อ่อนๆ จนกระทั่งใกล้คลอด ไป๋เหยียนหลันก็ยังต้องตื่นแต่เช้าตรู่ นอนหลับไม่เต็มอิ่มลุกขึ้นทำหน้าที่ปรนนิบัติสามีทุกเช้า นางต้องตื่นตั้งแต่ฟ้ายังมืดและเข้านอนหลังเขาเสมอ แม้เขาจะสนใจและเหลียวแลนางอยู่บ้างแต่ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากจวนไป นางก็ไม่ต่างอันใดจากอยู่ผู้เดียวเพียงลำพัง แม้ในจวนสกุลจางจะมีทั้งจางฮูหยิน น้องสาวและน้องชายของเขาอยู่พร้อมหน้า แต่นับจากวันที่นางมีปากเสียงปะทะคารมกับจางฮูหยินครั้งนั้นก
ค่ำคืนนี้เงียบงัน ท้องฟ้ามืดมิดสนิทไร้แสงจันทราสาดส่อง ทั่วทั้งจวนต่างดับตะเกียงมืดสนิท เหล่าสาวใช้พากันปิดเรือนนอนหลับพักผ่อนทว่าภายในเรือนหลังหนึ่งกลับยังคงสว่างไสวด้วยแสงตะเกียง บรรยากาศภายในเรือนเงียบสงัดมีเพียงเสียงพู่กันขูดลงบนกระดาษสาก ไป๋ซูเหยานั่งอยู่ฝั่งหนึ่ง…หลี่เจิ้งเฉินนั่งอีกฝั่ง ดวงตาคมกริบจับจ้องปลายพู่กันของนางนิ่งๆ หาเอ่ยขัดแม้สักคำ ผู้ใดจะรู้ว่าสตรีที่เคยพูดว่าอ่านเขียนหนังสือไม่ค่อยคล่อง แต่ไฉนยามนี้ลายมือที่ตวัดลงกระดาษกลับงดงามเรียบร้อยยิ่งกว่าอักษรของขุนนางบางคนในราชสำนักเสียอีก หลี่เจิ้งเฉินนั่งเหยียดหลังตรง ท่าทางสงบเสงี่ยมราวกับว่ากำลังรอคำพิพากษา “นี่จะเป็นสัญญาระหว่างเรา” ไป๋ซูเหยาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทว่ากลับเย็นเยียบเสียจนแม้แต่คนฟังก็ยังรู้สึกขนลุกซู่ ปลายพู่กันยังคงตวัดตัวอักษรอย่างมั่นคง ก่อนที่ครู่ต่อมา…นางจะเงยหน้าขึ้นสบตาเข้ากับบุรุษตรงหน้าพอดี ใบหน้าของหลี่เจิ้งเฉินปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ ทว่าทันใดนั้น…หัวใจกลับเต้นกระหน่ำขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ หลี่เจิ้งเฉินรู้สึกประหม่าไม่น้อย “หนึ่ง! อำนาจในจวนหลี่ทั้งหมดจะอยู่ในมือของข้า ไม่ว่าข้า
ไป๋เหยียนหลันย่อมรู้สึกเสียหน้าและเสียเกียรติอย่างรุนแรง ราวกับว่ายามนี้ นางกลับกลายเป็นฝ่ายที่ถูกหลี่เจิ้งเฉินทอดทิ้งอย่างน่าอดสูและเวทนา!นางไม่มีวันยอม!หากจะจบ…เช่นนั้นนางจะเป็นฝ่ายทิ้งเขาเอง!“กรี๊ดดด! หลี่เจิ้งเฉิน! ท่านกล้าดียังไง!”ใบหน้าคนงามทั้งแดงก่ำทั้งซีดเขียวเพราะโทสะ มือข้างทั้งสองกำแน่นจนสั่น นัยน์ตาคู่งามลุกวาวด้วยเพลิงโทสะราวกับเปลวไฟที่โหมลุกโชนขึ้นท่ามกลางเหมันต์ฤดูแม้แต่ไป๋ฮูหยินที่ยืนอยู่ข้างกันยังต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ นางรีบยกมือทาบอก สูดลมหายใจอย่างร้อนรนแล้วเอ่ยเสียงสั่นเครือ “เหยียนหลัน…พอเถิด! อย่าให้เรื่องบานปลายไปมากกว่านี้เลย!”ไป๋เหยียนหลันหรือจะยอมง่ายๆนางหันขวับไปมองมารดาด้วยดวงตาโกรธเกรี้ยว หาได้เอ่ยอันใดออกมา ก่อนจะปรายกลับไปมองหลี่เจิ้งเฉินอีกครั้ง “กรี๊ดดด! ข้าไม่ยอม! หลี่เจิ้งเฉิน! ท่านไม่มีสิทธิ์เดินหนีข้าเช่นนี้!”น้ำเสียงแหลมคล้ายจะบาดแก้วหูดังลั่น ทำเอาเหล่าสาวใช้รอบบริเวณสะดุ้งเฮือก ต่างพากันยกมือทาบอกด้วยความตกตะลึงบางคนยังอดกระซิบไม่ได้ว่า…แท้จริงแล้วหากวันนั้นไม่มีเรื่องราวผิดพลาด คุณหนูไป๋ผู้นี้ก็คงได้ขึ้นเกี้ยวแต่งเข้ามาเป็นพระ
หากไม่อยากถูกนางทอดทิ้งจริงๆ เกรงว่าหลี่เจิ้งเฉินก็คงต้องรีบสะสางเรื่องนี้ให้จบสิ้นเสียทีหลี่เจิ้งเฉินชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินถ้อยคำนั้น ความรู้สึกคล้ายหนามแหลมทิ่มกลางอกทำเอาเขารู้สึกสะดุ้ง สายตาคมกริบมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาลึกล้ำ เขากระแอมไอเล็กน้อยคล้ายจะกลบเกลื่อน ก่อนจะกล่าวเสียงทุ้มต่ำ“วางใจเถอะ…”ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยจนจบ…ไป๋ซูเหยาก็สวนกลับทันควัน น้ำเสียงหวานแฝงความดื้อดึง เอาแต่ใจและไม่คิดจะยอมอ่อนข้อให้ นางเชิดหน้าขึ้น สายตาตวัดมองเขาอย่างไม่ยอมลดละ“วางใจหรือ…หากท่านจัดการกับไป๋เหยียนหลันได้เมื่อไหร่ และทำสัญญากับข้าได้เมื่อใด ข้าถึงจะวางใจได้!”ทำสัญญา…?หมายความว่าอย่างไรกันหลี่เจิ้งเฉินขมวดคิ้วมุ่นทันที คำถามผุดขึ้นในหัว เขาเลิกคิ้วถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเข้ม “สัญญาอะไรหรือ”ไป๋ซูเหยาสะบัดหน้าหันหนีทันที แววตาเรียบเฉยหากลึกลงด้วยความตัดพ้อนางเอ่ยเสียงเรียบนิ่งราวกับไม่คิดจะยกเรื่องนี้ขึ้นถกเถียง “ก่อนอื่น…ท่านควรไปจัดการไป๋เหยียนหลันของท่านให้เรียบร้อยเสียก่อนจะดีกว่าก่อนที่ข้าจะเก็บของเสร็จสิ้น…ถึงตอนนั้น ข้าถึงจะยอมพูดถึงสัญญาที่ท่านอยากได้ยิน!”ยามเฉิน (07.00 – 09
โจวตงหยางหน้ามองอยู่ข้างนอกประตูมุมปากหนาโค้งยกยิ้มเยาะอย่างดูแคลน เขาหัวเราะเย็นชาพลางเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้า“หลี่อ๋องจะหย่าภรรยาแล้วรึ…” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามทว่าเพียงชั่วอึดใจ โจวตงหยางกลับชะงัก หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่นราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าถ้อยคำเมื่อครู่ผิดแปลกไป เขาเลิกคิ้วถามย้อนเสียงเรียบ พลางหลุบสายตาต่ำมองเศษหนังสือหย่าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น“หรือหากจะพูดให้ถูก…คงต้องกล่าวว่าถูกภรรยาหย่าขาดเสียมากกว่าใช่หรือไม่”เดิมทีหลี่เจิ้งเฉินก็หาได้อารมณ์ดีอยู่แล้ว พอได้ยินคำพูดแทงใจเข้าไป ใบหน้ายิ่งเคร่งขรึมลงไปอีกสิบส่วน เขาเงยหน้าขึ้น สายตาเย็นยะเยือก “หึ! หากข้าหย่าภรรยาแล้วเล่า คุณชายโจวจะอาสาแต่งเข้าจวนหลี่อ๋องเองกระนั้นหรือ”น้ำเสียงทุ้มเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและประชดประชันโจวตงหยางหัวเราะแค่นในลำคอทันที “เหอะ! เกรงว่าคงไม่ใช่เพียงข้าผู้เดียวหรอกกระมัง…ที่อยากเป็นภรรยาหลี่อ๋อง”พอได้ยินถ้อยคำนั้น หลี่เจิ้งเฉินเข้าใจความหมายได้ทันทีเขาถอนหายใจยาวราวจะระบายความอัดอั้นในอก ทว่าก้อนหินนับพันยังทับหัวใจจนหนักหน่วง“นาง…เป็นภรรยาของข้า”โจวตงหยางเลิกคิ้วขึ้น สายตากรุ้มกริ่มหากแฝงเย
ผู้ใดจะรับรู้ความเจ็บปวดได้ลึกซึ้ง หากมิใช่ผู้ที่กำลังเผชิญ หน้ากับรัก…แม้มีวาสนาได้พบพานทว่ากลับไร้วาสนาได้อยู่เคียงข้างไป๋เหยียนหลันหัวเราะเย็นชาในลำคอ ราวกับเป็นเรื่องตลกขบขัน นางโน้มตัวลงช้าๆ ก้มใบหน้าเพ่งมองลึกเข้าไปในดวงตาคมกริบของหลี่เจิ้งเฉิน ปลายนิ้วเรียวเชยคางเขาขึ้นอย่างแผ่วเบาน้ำเสียงหวานเอ่ยแผ่ว หากแต่แฝงด้วยความเยียบเย็นจนฟังแล้วต้องขนลุกซู่ “หากกล่าวว่าข้าเป็นภรรยาของท่าน…แล้วสตรีผู้นั้นเล่า ทั้งที่ท่านรักใคร่นางอย่างลึกซึ้ง ถักทอสานต่อด้ายแดงมาด้วยกันเนิ่นนาน ทว่ายามนี้กลับขาดสะบั้นเพราะข้างั้นหรือ”มุมปากของนางเหยียดยิ้มอย่างเย้ยหยันและดูแคลนก่อนจะกล่าวอีกครั้ง “ไฉนจิตใจของบุรุษถึงได้ผันเปลี่ยนง่ายดายนัก”ทว่าหลี่เจิ้งเฉินหรือจะสนใจฟัง ยามนี้ใบหน้าของเขาและนางอยู่ห่างกันเพียงแค่คืบเดียวเท่านั้น หัวใจแกร่งพลันเต้นกระหน่ำอย่างควบคุมไม่อยู่กลิ่นหอมอ่อนจางๆ ของสตรีตรงหน้าโชยมาชวนให้นึกถึงค่ำคืนนั้น...ภาพเรือนอรชรงดงามภายใต้แสงสลัวแวบเข้ามาในหัวเขาอย่างไม่รู้ตัวหลี่เจิ้งเฉินจ้องมองอย่างหลงใหล…ราวกับตกอยู่ในภวังค์“เหอะ!” ไป๋ซูเหยาแค่นเสียง หดมือกลับ ก่อนจะถอยออกห่างอย่
Comments