หลังจากงานเลี้ยงผ่านพ้นไป หลี่ชิงเหมียวก็แวะไปเยือนที่เรือนเอ้อชาง เพื่อดูอาการของมารดา สองวันที่ผ่านมานางสำรวจข้าวของเครื่องใช้ ภายในเรือนเอ้อชางอย่างละเอียดแล้ว จนได้พบกับดอกไม้ชนิดหนึ่ง ที่ถูกวางอยู่ภายในห้องรับรอง ซึ่งมารดามักจะไปนั่งเย็บปัก อยู่ที่นั่นเป็นประจำคราแรกนางก็ไม่นึกสงสัยอันใด จนเมื่อวานนี้ ที่นางได้เชิญท่านหมอเทวดาสวี่ เข้ามาตรวจอาการให้แก่มารดา โดยอ้างว่าให้เขามาตรวจอาการให้หลัวอี้เจ๋อ เพราะบุตรชายมีอาการป่วยเล็กน้อย จากการเดินทางไกล ทำให้เหนียนซื่อไม่นึกสงสัยอันใดผลจากการตรวจรักษาโรคโดยท่านหมอเทวดาสวี่ คือจ้าวฉิงถูกพิษจากการสูดดมเกสรของดอกไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งมีกลิ่นหอม คนธรรมดาที่มีชี่เป็นปกติ จะไม่เกิดอันตรายใด ทว่าจ้าวฉิงกลับต่างออกไป เพราะนางผ่านการคลอดบุตรมาแล้วถึงสองคน ทำให้ร่างกายเกิดชี่พร่อง ไม่อาจกำจัดพิษเหล่านั้นไปได้เองหลี่ชิงเหมียวจึงสั่งให้สาวรับใช้ของจ้าวซื่อ นำกระถางดอกไม้ที่นางสงสัย มาให้ท่านหมอเทวดาสวี่ตรวจสอบดู ปรากฏว่าเป็นดอกไม้ชนิดนี้จริงๆครั้นได้รู้สาเหตุแล้ว ท่านหมอเทวดาสวี่ จึงได้ทำการฝังเข็ม เพื่อกำจัดพิษในร่างกายของจ้าวซื่อ และเขียนใบสั่งยาใ
“พี่ชายรอง… เหตุใดสตรีที่เคยมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด กล้าคิดการใหญ่ กลับกลายเป็นคนจิตวิปลาสไปเสียได้ ท่านเชื่อหรือเจ้าคะ ว่าพี่หญิงรองจิตวิปลาส แล้วปลิดชีพตนเองจริงๆ” นางคิดว่าหลี่ชิงหรงอาจจะถูกกำจัด เพราะกุมความลับของใครบางคนเอาไว้“เหมียวเอ๋อร์… เรื่องนั้นมันก็ผ่านมานานแล้ว ขุดคุ้ยไปคนก็ไม่ฟื้นขึ้นมา แต่ท่านแม่รองของพวกเรา มิอาจรอช้าได้ พี่จะไปเชิญท่านหมอ มาตรวจดูอาการของนางก่อน”หลี่ต้าหลุนร้อนใจ ตั้งแต่ได้ยินน้องสาวกล่าวว่า มารดาถูกวางยาพิษแล้ว เรื่องของหลี่ชิงหรงจะเป็นเช่นไร เขาไม่สนใจด้วยซ้ำ“ยามนี้ท่านยังทำเช่นนั้นไม่ได้เจ้าค่ะ หากท่านตามหมอมายามนี้ ก็เท่ากับเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น คนที่อยู่เบื้องหลัง ก็จะไหวตัวได้ทัน” หลี่ชิงเหมียวลุกขึ้นยืน หันไปกล่าวกับพี่ชายด้วยน้ำเสียงเย็นชา“หลังจากพิธีแต่งงานของท่านกับพี่หญิงโหรวผ่านไป พวกเราค่อยจัดการก็ยังไม่สาย สองสามวันนี้ข้าจะคอยช่วยดูแลท่านแม่รองเอง” หลี่ต้าหลุนรู้สึกลังเล แต่ก็ไม่อยากทำให้คนที่อยู่เบื้องหลัง ความเลวร้ายในครานี้รู้ตัวเช่นกันสองพี่น้องพูดคุยปรึกษากันอยู่อีกครู่หนึ่ง ก็แยกย้ายกันไป หลี่ต้าหลุนจำต้องเก็บเอาเรื่อง ที่มารด
หลังจากวางร่างเล็กลงบนเตียงนอนแล้ว หลี่ต้าหลุนจึงได้หันไปมองน้องสาวอย่างเต็มตา หลี่ชิงเหมียวดูเติบโตขึ้นมาก ดูสุขุมยิ่งขึ้นกว่าสองเดือนก่อน มีกิริยาท่าทาง อย่างเช่นสตรีที่ออกเรือนไปแล้วจริงๆ“เจ้าดูเหมือนว่า จะรักและเอ็นดูคุณชายน้อยหลัวมาก” เขากล่าวออกมา ยามที่ได้เห็นน้องสาว ปฏิบัติต่อเด็กชายราวกับเป็นลูกแท้ๆ ของตนเอง“เจ้าค่ะ…ท่านก็เห็นแล้ว ว่าเขาเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาด อีกทั้งยังว่านอนสอนง่าย ตั้งแต่ข้าออกเรือนไปอยู่ที่นั่น ไม่เคยมีวันใดที่เหงา หรือรู้สึกเดียวดายเลยสักวัน” หลี่ชิงเหมียวห่มผ้าให้บุตรชาย ก่อนที่จะชวนพี่ชาย ออกไปคุยกันข้างนอกแทนแม่นมซิ่วกับสาวรับใช้อีกคน ที่ติดตามหลี่ชิงเหมียวมา พากันเข้าไปอยู่คอยดูแลคุณชายน้อย หลังจากที่ฮูหยินน้อยกับคุณชายรองหลี่ เดินออกจากห้องมาหลี่ต้าหลุนได้ยินน้องสาวตอบกลับออกมาเช่นนั้น ก็รู้สึกจุกแน่นอยู่ในอก เพราะถึงแม้เขาจะเป็นพี่ชายแท้ๆ ของนาง ทว่าในวัยเด็กนั้น กลับไม่ค่อยได้ใช้เวลาร่วมกับกันนางสักเท่าใด นั่นก็เป็นเพราะครั้งที่นางยังเยาว์วัยนั้น นางเป็นเด็กไม่รู้ความ มีท่าทีเฉลียวฉลาด เช่นยามนี้เสียที่ใดกันโชคดีที่เขายังมีโอกาส หลังจากที่นางหา
หลี่ชิงเหมียวจึงคำนับลาทุกคน แล้วพาหลัวอี้เจ๋อออกจากห้องรับรองของเรือนใหญ่ มุ่งหน้าไปยังเรือนเอ้อชางของมารดา ครั้นนางพาบุตรชายเดินออกมา เสียงหัวเราะภายในห้องนั้น ก็ดังขึ้นมาอีกหน เสียงของเหนียนซื่อ ยิ่งแสดงออกถึงความเบิกบาน และมีความสุขยิ่งกว่าผู้ใดไม่นานนักหลี่ชิงเหมียว ก็พาหลัวอี้เจ๋อมาถึงเรือนเอ้อชาง จ้าวซื่อกำลังนั่งพูดคุยอยู่กับหลี่ต้าหลุนถึงเรื่องเรือนหอของเขา ได้ยินเสียงสาวรับใช้ข้างนอก รายงานขึ้นมาว่า คุณหนูสามกับคุณชายน้อยหลัวมาเยือน จ้าวซื่อก็มีสีหน้ายินดีขึ้นมาทันที รีบเอ่ยปากเชิญให้สองแม่ลูกเข้ามาภายในห้องรับรอง“เหมียวเอ๋อร์… คารวะท่านแม่รอง คารวะพี่ชายรอง”หลี่ชิงเหมียวย่อกายคำนับมารดาและพี่ชายรองตามลำดับ หลัวอี้เจ๋อก็ปฏิบัติตามมารดาเช่นกัน เขามองว่าคนเหล่านี้ คือคนในครอบครัวของมารดาอย่างแท้จริง เขาย่อมต้องให้ความเคารพยิ่งกว่าจ้าวซื่อกับหลี่ต้าหลุนมองเด็กชายตัวน้อยด้วยแววตาเอ็นดู ก่อนที่จะรีบเชิญให้ทั้งสอง มานั่งยังเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ นั่งลงกินขนม จิบชาพูดคุยกันได้ไม่เท่าใด หลี่ต้าหลุนก็เอ่ยปากชวนหลัวอี้เจ๋อ ออกไปเล่นข้า
“พี่อี้เหลียน…ท่านติดตามไปรับใช้คุณหนูสามอยู่ที่เมืองเซิ่ง ข้ารู้สึกว่าท่านดูจะมีน้ำมีนวลขึ้น อยู่ที่นั่นคงสุขสบายดีใช่หรือไม่ ท่านช่างมีวาสนาดีแท้ คุณหนูสามพาแต่ท่านไป แต่ไม่ยอมพาบ่าวที่เคยรับใช้นางในเรือนเดิม ออกเรือนไปด้วย” สาวรับใช้นางนั้น เอ่ยแซวอี้เหลียนที่เดินรั้งท้าย อี้เหลียนหันไปส่งยิ้มเย็นให้อีกฝ่าย“ย่อมเป็นเช่นนั้น ท่านเขยสามดีต่อคุณหนูสามมาก อีกทั้งนายท่านกับฮูหยินใหญ่ตระกูลหลัวก็เป็นสุภาพชน ไม่เคยกลั่นแกล้งรังแกลูกสะใภ้ หรือทำให้คุณหนูสามของข้า ต้องลำบากใจ พวกเขาตระกูลหลัว ทำตามที่เคยรับปาก กับนายท่านและฮูหยินรองเอาไว้ได้จริงๆ ส่วนคุณชายน้อยก็เป็นเด็กดี น่ารักน่าเอ็นดู เข้ากับคุณหนูสามของข้าได้เป็นอย่างดี”สาวรับใช้นางนั้นฟังอี้เหลียนกล่าวออกมา แล้วก็รู้สึกประหลาดใจ ก่อนที่คุณหนูสามจะแต่งออกไป นางเคยได้ยินมาว่า ท่านเขยสามเป็นคนที่รักมั่นในภรรยาเดิม ไม่มีทางดีต่อคุณหนูสามอย่างแน่นอนอีกทั้งฮูหยินใหญ่หลี่ยังมั่นใจ ว่าคุณหนูสามออกเรือนไปกับบุรุษเช่นนั้น จะต้องได้รับความคับข้องใจ ทว่าเหตุใดถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ไปได้ สุขสบาย ไร้
รถม้าสองคันพร้อมเกวียนสัมภาระ เคลื่อนขบวนออกจากจวนตระกูลหลัว ในยามเช้าตรู่ของช่วงกลางเดือนหก ภายในรถม้าคันแรก มีฮูหยินน้อยกับคุณชายน้อย และแม่นมซิ่วนั่งอยู่ด้วยกัน ส่วนรถม้าอีกคันนั้น เป็นของสาวรับใช้อย่างอี้เหลียน และสาวรับใช้ที่ติดตามมา เพื่อดูแลคุณชายน้อยอีกหนึ่งคนเพราะหนทางจากเมืองเซิ่ง ไปยังเมืองถงนั้น ไม่ได้ลำบากหรือห่างไกลอันใด ขบวนรถม้าจึงได้หยุดพักกินมื้อกลางวัน ที่โรงเตี๊ยมกลางทาง เพียงหนเดียวเท่านั้น ก่อนที่จะออกเดินทางกันต่อไปหลัวอี้เจ๋อซึ่งนั่งอยู่กับมารดา แรกๆ ก็ดูตื่นเต้นดีใจ ที่ได้เห็นสถานที่แปลกใหม่ ทว่าไม่นานนักเขาก็ผล็อยหลับไปบนตักของมารดา หลี่ชิงเหมียวมองบุตรชาย ที่นอนอยู่บนตักของตน ด้วยแววตาเอ็นดู“ฮูหยินน้อย… ท่านให้คุณชายน้อยมานอนกับแม่นมเถิดเจ้าค่ะ ท่านจะได้ไม่เมื่อย” แม่นมซิ่วกล่าวออกมาด้วยความห่วงใย“ไม่เป็นไรแม่นมซิ่ว อีกไม่นานก็ถึงจวนตระกูลหลี่แล้ว” หลี่ชิงเหมียวเงยหน้าขึ้น บอกแม่นมพลางยิ้มจางๆ ออกมา“ฮูหยิน…” เสียงทุ้มที่คุ้นเคย ดังขึ้นข้างๆ รถม้า หลี่ชิงเหมียวจึงเอื้อมมือไปเปิด
“จะดีหรือเจ้าคะ ถึงอย่างไรจวนตระกูลหลี่ ก็ไม่ใช่ญาติทางสายเลือดของคุณชายน้อย”แม่นมซิ่วอดที่จะเป็นห่วงความรู้สึก ของคุณชายน้อยไม่ได้ ถึงแม้เขาจะยังเยาว์วัย ทว่าเขาก็รู้ความบ้างแล้ว หากไปได้ยินคำพูด ที่ทำให้เศร้าใจขึ้นมาจะทำเช่นไร“เพราะไม่ใช่ญาติทางสายเลือดนี่สิ ถึงยิ่งต้องพาเขาไปด้วย อย่างไรเสียยามนี้ เขาก็เป็นบุตรชายบุญธรรมของหลี่ชิงเหมียวแล้ว อีกทั้งที่นั่นยังเป็นถึงสำนักศึกษา ที่มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือได้ วันหน้าข้าอยากจะส่งเขาไปร่ำเรียนวิชาที่นั่น”แม่นมซิ่วเข้าใจถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของฮูหยินน้อยแล้ว ที่แท้ฮูหยินน้อยก็มองการณ์ไกล คิดวางแผนเผื่ออนาคตของคุณชายน้อยไว้ล่วงหน้า“ด้วยเหตุนี้…ข้าจึงต้องกลับไป จัดการสิ่งแวดล้อมที่นั่น ให้สะอาดสะอ้านเสียก่อน ยามที่เจ๋อเอ๋อร์ไปอยู่ เขาจะได้ไม่พบเจอกับความลำบาก”นางจะต้องปูทาง และวางหมากให้แก่หลัวอี้เจ๋อดีๆ คนเช่นเหนียนซื่อ นางจะต้องกำจัดออกไปจากตระกูลหลี่ จะให้อีกฝ่ายคอยอยู่เป็นขวากหนาม คอยทิ่มตำเท้าบุตรชายของนาง ในภายหน้าได้อย่างไร“หากมีสิ่งใดที่ข้าน้อย
หลังจากการจัดตั้งโรงทานผ่านพ้นไป หลี่ชิงเหมียวก็ถูกผู้คนกล่าวถึงมากขึ้น ว่านางเป็นสตรีที่ดี ตระกูลหลัวโชคดี ที่ได้มีสะใภ้เช่นนาง หลี่ชิงเหมียวรู้สึกว่า หลังจากการแจกทานผ่านพ้นไป ร่างกายของนางก็เบาสบายลง ภายในจุดตันเถียนก็อบอุ่นขึ้น ราวกับว่านางได้รับบุญกุศล จากการจัดตั้งโรงทานในครานี้ มุมปากงามเผยรอยยิ้มออกมา“มีเรื่องใดดีๆ เกิดขึ้นหรือเจ้าคะ” แม่นมซิ่วเอ่ยถามหลี่ชิงเหมียวยิ้มๆ ยามนี้หลี่ชิงเหมียวกำลังนั่งอยู่ใต้ร่มไม้กับแม่นมซิ่ว มองบุตรชาย ที่กำลังเล่นว่าวกับอี้เหลียนอยู่บนลานกว้าง“การได้ทำทาน ทำให้ข้ารู้สึกสบายใจยิ่งนัก เป็นอย่างที่ท่านพ่อท่านแม่เคยสั่งสอนข้าจริงๆ ว่าการช่วยเหลือผู้ที่ไร้โอกาส ย่อมทำให้เราได้รับโอกาสเช่นกัน พวกเขาได้อิ่มท้อง ส่วนข้าได้อิ่มใจ” หลี่ชิงเหมียวยิ้มตอบแม่นมซิ่วตามความรู้สึกของตน“ฮูหยินน้อยทำทานด้วยใจบริสุทธิ์ ย่อมได้รับบุญกุศลจากคนเหล่านั้น ทว่าก็มีบางคน ที่คิดหาประโยชน์จากการให้ทานเช่นกัน คนเหล่านั้นย่อมได้รับผลตอบแทนที่ต่างกันออกไป” แม่นมซิ่วรู้สึกอดดูแคลน พวกที่ลอกเลียนแบบฮูหยินน้อยไม่ได้ก่อ
หลังจากวันที่หลี่ชิงเหมียว ได้รับข่าวเรื่องงานมงคลของพี่ชายจากมารดา สามวันต่อมา นางก็ได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ นั่นก็คือการจัดตั้งโรงทาน เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ ให้แก่ผู้อพยพ หรือพวกขอทานไร้บ้านในเมืองเซิ่งซึ่งการจัดตั้งโรงทานในครานี้ ได้มีฮูหยินจากหลายตระกูล เดินทางมาขอร่วมทำทานกับนาง หลี่ชิงเหมียวไม่ปฏิเสธ เพราะเป็นผลดี แก่ผู้ที่มารอรับบริจาค“ฮูหยินน้อยหลัวช่างเป็นสตรีที่มีจิตใจดีงามยิ่งนัก พวกข้าซาบซึ้งในความมีเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของท่าน ในฐานะผู้อาวุโส ข้าขอเป็นตัวแทนของทุกคน อวยพรให้ฮูหยินน้อยหลัว มีอายุยืนยาว พบเจอกับอุปสรรคใด ก็ขอให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี”ผู้เฒ่าสายตาฝ้าฟางผู้หนึ่ง ที่มารอรับอาหารจากโรงทานเพื่อผู้ยากไร้ กล่าวอวยพรให้แก่หลี่ชิงเหมียวออกมาทั้งน้ำตา ที่ผ่านมาพวกเขาใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบาก อดอยากจนสามารถเก็บเศษอาหารจากพื้น ขึ้นมากินเพื่อประทังชีวิตอย่างไม่รังเกียจ แม้อารามพุทธกับเต๋า จะมีโรงทานอยู่ก็จริง แต่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ยากไร้ ที่มีมากขึ้นทุกวัน“ท่านผู้เฒ่ากล่าวเกินไปแล้ว…. การจัดตั้งโรงทานในครานี้