LOGIN“อย่ามาพูดปากเปล่าโดยที่ไม่มีอะไรมายืนยัน แกกุเรื่องขึ้นมาเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องหมั้นกับหนูหรือเปล่าใครจะไปรู้” อภิเดชสวนขึ้นมาบ้าง
วรากรจึงลวงโทรศัพท์มือถือของเขาในกระเป๋ากางเกงออกมา แล้วเปิดข้อมูลอะไรในหลาย ๆ อย่างที่เขาถ่ายเก็บไว้ ส่งให้พวกท่านดู
“พ่อกับแม่ดูเอาเองดีแล้วกันครับ ว่าผมกุเรื่องขึ้นมาหรือเปล่า”
“นี่มัน...”
อรอนงค์ เมื่อได้เห็นกับตาตัวเอง ในสิ่งที่ลูกชายบอกมานั้น กลับต้องเบิกตาโพลง เพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง
“ครับ ถ้ายังไม่ชัดเจนพอ พ่อก็เลื่อนไปอีกจะมีใบสูติบัตรที่ผมแอบถ่ายเก็บไว้อยู่ด้วย เพื่อยืนยันว่าเป็นลูกของผม” วรากรพยักหน้ารับ แล้วเอ่ยบอกอีกครั้ง
“กรธิดา พายุภัทร บิดาผู้ให้กำเนิด วรากร พายุภัทร มารดาผู้ให้กำเนิด สุทธิดา นพวงศ์” เป็นอภิเดชเองที่เป็นคนอ่านข้อมูลในนั้นออกมาเสียงดัง
“วันเกิดนี้มัน...” อรอนงค์ตาลุกวาวขึ้นมาอีกครั้ง เพราะตกใจในสิ่งที่ได้เห็น
“ครับ ลูกสาวผมเกิดในวันที่ไอ้วิชญ์แต่งงาน แม่เขาเลยให้ชื่อ น้องวิวาห์” วรากรจึงเล่าบอกกับพวกท่านทั้งสองอีกครั้ง
ใจแกร่งของผู้เป็นเต้นกระส่ำแทบจะทะลุออกมาจากอก เมื่อรับรู้ว่าตัวเองมีหลานสาว คนที่ไม่เคยมีลูกมาก่อนกลับมีความรู้สึกเปลี่ยนไปในทันที ตอนได้รับวรากรมาเลี้ยงว่ามีความสุขมากที่สุดแล้ว แต่พอได้เห็นหน้าหลานสาวตัวน้อยกลับตื้นตันในอกจนน้ำตาแทบไหล
“พาพ่อไปหาหลานสาวพ่อบ้างสิกร”
“ผมจะรีบเคลียร์งาน แล้วพาไปนะครับ” วรากรพูดอย่างมั่นใจ เพราะเขาตั้งใจจะทำแบบนั้นจริง ๆ
“แต่ถึงอย่างไร ลูกก็ต้องหมั้นกับหนูพลอยอยู่ดี ข้อนี้กรปฏิเสธคำขอของแม่ไม่ได้” อรอนงค์พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“แม่!”
“อร!”
สองพ่อลูกได้แต่มองหน้าของอรอนงค์อย่างผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขนาดเอาหลานสาวมาอวดโอ้เพื่อที่ท่านจะเห็นแก่เด็กตัวเล็ก ๆ ที่เกิดจากเลือดเนื้อของเขา มารดาเขายังไม่ล้มเลิกความตั้งใจของตัวเองเลย
“แล้วคุณพี่จะให้อรทำยังไงค่ะ”
*
*
ตกเย็น
Night Club
“ไอ้เวย์!”
เสียงเข้มเอ่ยเรียกชื่อเพื่อนขึ้นมาทันทีด้วยท่าทีที่ร้อนใจนั่งแทบไม่ติด เมื่อเห็นเพื่อนเปิดประตูเข้าภายในห้องวีไอพีห้องประจำของสถานบันเทิงแห่งนี้
“มีเรื่องร้อนใจอะไรขนาดนั้นวะ เรียกกูออกมาตั้งแต่หัวค่ำแถมยังทำหน้าตึงเครียดอีก” ศุภวัฒน์นั่งลงข้าง ๆ แล้วถามขึ้นมาทันที เขาอุตส่าห์รีบเคลียร์งานให้เสร็จเพื่อที่จะได้มาตามนัดของวรากรที่โทรฯไปจิกเขาตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลย
“กูมีเรื่องอยากปรึกษามึงไอ้เวย์ เรื่องใหญ่มากด้วย”
“เรื่องที่มึงทำธิดาท้องยังใหญ่ไม่พออีกเหรอวะ” ศุภวัฒน์เลิกคิ้วถามเชิงเป็นการล้อเลียนแซวออกไปเพราะอยากจะแกล้งให้พ่อลูกอ่อนแบบวรากรนึกโมโหขึ้นมาบ้าง
“มันใหญ่กว่านั่นนะสิ กูเลยมานั่งเครียดอยู่นี้ไง”
“มึงไปฆ่าใครตายหรือไงว่ะไอ้กร”
“ไปใหญ่แล้ว ถึงกูจะเครียดจนหาทางออกไม่เจอ ก็ไม่คิดสั้นเอาอนาคตตัวเองไปเสี่ยงขนาดนั้นหรอก” วรากรรีบปรามเพื่อน เมื่อศุภวัฒน์เริ่มคิดเตลิดไปไกลกว่าที่เขาคิด
“แล้วมันเรื่องอะไร พูดมาเดี๋ยวนี้ เอาเน้น ๆ สำคัญ ๆ นะแบบไม่ต้องอ้อมค้อม” ศุภวัฒน์จี้ถามเข้าประเด็นทันที
“แม่กูต้องการให้กูหมั้นกับลูกสาวเพื่อนแม่ตามที่เคยพวกเขาเคยสัญญากันไว้ตั้งแต่ที่พวกเขายังไม่มีครอบครัว” วรากรเล่าบอกเรื่องราวที่เขาถูกมารดากำลังจะจับเขาคลุมถุงชนให้เพื่อนฟัง
“ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรนี่หว่า หมั้น ๆ ไปตามที่แม่มึงต้องการก็จบแล้ว ตอบแทนบุญคุณท่าน”
ศุภวัฒน์ที่ได้ฟังในสิ่งที่เพื่อนเล่า ก็ไม่ได้มีทีท่าอะไร จึงอยู่ที่เขาไม่รู้ร้อนรู้หนาวเสียด้วยซ้ำเพราะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่เรื่องนี้มันก็ไม่ได้คอขาดบาดตายขนาดนั้น แต่ทำไมวรากรกลับทุกข์ใจราวกับว่าเป็นปัญหาใหญ่โต
ก็ทำตามที่มารดาผู้มีพระคุณขอ แล้วคนสองคนก็ค่อยไปคุยกันเอง ถอนหมั้นกันทีหลังก็ได้ เพราะคนที่ไม่ได้มีความรัก ความรู้สึกให้กันมาก่อนยังไงก็ไปไม่รอดอยู่ แล้วอีกอย่างตัวเองก็เป็นผู้ชายไม่มีอะไรเสียหายเลย
“จบได้ไงวะ กูมีลูกแล้วนะเว้ย มึงลืมไปแล้วหรือไง”
“กูไม่ลืม เพราะเรื่องลูกมึงก็ยังมีส่วนรับผิดชอบอยู่ไงไม่ใช่เหรอ”
“แต่กูไม่อยากหมั้นกับใคร ลูกกูพึ่งคลอดเองนะ แล้วอีกอย่างกูไม่อยากรับผิดชอบใคร กูยังไม่ต้องการใครมาใช้ชีวิตร่วมกับกูในตอนนี้ กูไม่พร้อมจริง ๆ” วรากรอ้างถึงเหตุผลของตัวเองที่มีหน้าที่เพิ่มขึ้นมาในตอนนี้ และเขาเองก็พึ่งได้มีสถานะใหม่ ก็อยากทำตรงนี้ให้ดีเสียก่อน
“แค่หมั้นเองนะ เราก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันก็ได้นี่หว่า”
“มึงคิดว่าแม่กูจะยอมอย่างนั้นเหรอ ดู ๆ แล้ว เหมือนอยากได้ลูกสาวบ้านนั่นเสียด้วย” เพราะเขารู้ดีว่ามารดาผู้มีพระคุณของเขาไม่ทางยอมเป็นแน่ ขนาดเขาบอกว่ามีลูกแล้วท่านยังไม่เดือดร้อนอะไร แถมยังไม่ยอมล้มเลิกความคิดของตัวเอง ยังอยากให้เขาหมั้นหมายกับลูกสาวเพื่อนท่านอยู่ดี
“เขาไม่สวยหรือไง มึงถึงไม่อยากหมั้น” ศุภวัฒน์ตัดสินใจถามขึ้นมา
“สวยกับถูกใจมันคนละส่วนกันไหมว่ะไอ้เวย์” เขาตอบออกไปตามตรง เพราะว่าที่คู่หมั้นเขานั้นสวยมากเลยละ ยอมรับว่าเธอสวยกว่าแม่ของลูกเขาจริง แต่เธอไม่สามารถทำให้เขาตื่นเต้นที่อยากจะเข้าไปครอบครองเลย
“พูดอย่างกับมึงมีคนในใจอยู่อย่างนั้นแหละ หรือว่าที่ไม่อยากหมั้นเพราะมึงมีอยู่จริง ๆ มึงมีแฟนอยู่แล้วเหรอวะไอ้กร แล้วไหนบอกว่าลูกพึ่งจะคลอดไง...”
ศุภวัฒน์เมื่อได้ฟังในสิ่งที่เพื่อนบอก เขาก็ไม่สามารถคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกเสียจากว่าวรากรนั้นอาจจะมีคนในใจอยู่แล้ว
“กูยังไม่มีใคร! แต่กูอยากทำหน้าที่พ่อของกูตอนนี้ให้ดีก่อน กูไม่อยากมีใครมาแทรกกลางความรักของกูกับลูก” วรากรได้แต่ปรามเอาไว้ เพราะศุภวัฒน์นั้นคิดไปไกลเกินกว่าที่เขาจะคิดถึงเรื่องนี้อีก
“...แล้วกับแม่ของลูกละ มึงรู้สึกยังไง” ศุภวัฒน์จึงถามเรื่องแม่ของลูกเขาบ้าง ว่าวรากรนั้นรู้สึกเช่นไรต่อเธอ
“อะไร?”
“กับธิดา แม่ของลูกมึงละ มึงรู้สึกกับเขายังไง?” ศุภวัฒน์ถามย้ำอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าวรากรนั้นมีทีท่าเปลี่ยนไปเมื่อเขาเอ่ยถึงหญิงสาวที่มีสถานะเป็นแม่ของลูก
“ก็...ไม่มีอะไร แค่มีความหวังดีต่อกัน ตอนนี้ก็ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองสามารถปรึกษาและคุยกันได้ทุกเรื่อง” ตอบเพื่อนออกไปด้วยน้ำเสียงติด ๆ ขัด ๆ แบบไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย
“พอพูดถึงแม่ของลูก ทำไมมึงต้องพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้ด้วยว่ะ” ศุภวัฒน์นั้นเมื่อเห็นท่าทีของเพื่อนเปลี่ยนไป ก็จับผิดทันที
“ก็ปกติดี มึงคิดมากไปหรือเปล่าวะ ดื่มเข้าไปเลยกูเลี้ยงเอง” วรากรมีอาการเลิ่กลั่กตอบกลับเพื่อนด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักแบบไม่เต็มเสียง ก่อนที่จะแล้วยื่นแก้วเครื่องดื่มตรงหน้าที่เขารินไว้ให้เพื่อนดื่มทันที เพื่อกลบอาการประหม่าของตนเอง
กัลยาณมิตรที่ดีบ้านสวนปานวิชญ์“กลับเฮือนมึงไปได้แล้วบักโก ให้เวลาสองแม่ลูกเขาได้พักผ่อนแหน่” (กลับบ้านมึงไปได้แล้วไอ้โก ให้สองแม่ลูกเขาได้พักผ่อนหน่อย) ชนาวิชญ์เอ่ยขึ้นมาทันที เมื่อยังเห็นเพื่อนของเขาอยู่ที่บ้านของสุทธิดาตั้งแต่เช้ายังไม่ยอมกลับไป“กูสิกลับอยู่ดอก มึงกะอย่าฟ้าวไล่กูหลาย” (กูจะกลับอยู่หรอก มึงก็อย่าพึ่งไล่กูสิ) โกสินทร์ทำเป็นไขสือและเอ่ยตอบด้วยวาจาที่ดูเหน็บแนมคนพูด“มึงจำคำที่กูเว้าได้บ่” (มึงจำคำที่กูพูดได้ไหม)“ฮืม...”โกสินทร์จำได้ดีว่าชนาวิชญ์เคยพูดอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่เพราะตัวเขาเองยังปรับปรุงตัวเองไม่ได้ และเป็นความเคยชินที่เขานั้นมักจะมุกขลุกอยู่ที่นี่เป็นประจำ เรื่องทำงานเขาได้งานทำแล้ว แค่รอวันที่ถูกเรียกตัวเท่านั้น“จำได้กะเฮ็ดให้มันได้นำแหน่” (จำได้ก็ทำให้มันได้ด้วย) ชนาวิชญ์ตอกย้ำอีกที“กลับก่อนนะธิดา” โกสินทร์จึงหันมาบอกกลับเจ้าของบ้านหลังนี้ ที่เขาใช้เวลามานั่งเล่นอยู่เกือบทั้งวันแล้ว“...” สุทธิดาได้แต่พยักหน้ารับ แล้วก็หันมาสนใจลูกสาวตัวน้อยขของเธอต่อโกสินทร์มองหน้าคุณแม่ลูกอ่อนด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ก่อนจะยอมลุกขึ้น แล้วเดินออกไปจากบ้านหลังนี้“วัน
แค่หวังดีต่อกัน“อย่ามาพูดปากเปล่าโดยที่ไม่มีอะไรมายืนยัน แกกุเรื่องขึ้นมาเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องหมั้นกับหนูหรือเปล่าใครจะไปรู้” อภิเดชสวนขึ้นมาบ้างวรากรจึงลวงโทรศัพท์มือถือของเขาในกระเป๋ากางเกงออกมา แล้วเปิดข้อมูลอะไรในหลาย ๆ อย่างที่เขาถ่ายเก็บไว้ ส่งให้พวกท่านดู“พ่อกับแม่ดูเอาเองดีแล้วกันครับ ว่าผมกุเรื่องขึ้นมาหรือเปล่า”“นี่มัน...”อรอนงค์ เมื่อได้เห็นกับตาตัวเอง ในสิ่งที่ลูกชายบอกมานั้น กลับต้องเบิกตาโพลง เพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง“ครับ ถ้ายังไม่ชัดเจนพอ พ่อก็เลื่อนไปอีกจะมีใบสูติบัตรที่ผมแอบถ่ายเก็บไว้อยู่ด้วย เพื่อยืนยันว่าเป็นลูกของผม” วรากรพยักหน้ารับ แล้วเอ่ยบอกอีกครั้ง“กรธิดา พายุภัทร บิดาผู้ให้กำเนิด วรากร พายุภัทร มารดาผู้ให้กำเนิด สุทธิดา นพวงศ์” เป็นอภิเดชเองที่เป็นคนอ่านข้อมูลในนั้นออกมาเสียงดัง“วันเกิดนี้มัน...” อรอนงค์ตาลุกวาวขึ้นมาอีกครั้ง เพราะตกใจในสิ่งที่ได้เห็น“ครับ ลูกสาวผมเกิดในวันที่ไอ้วิชญ์แต่งงาน แม่เขาเลยให้ชื่อ น้องวิวาห์” วรากรจึงเล่าบอกกับพวกท่านทั้งสองอีกครั้งใจแกร่งของผู้เป็นเต้นกระส่ำแทบจะทะลุออกมาจากอก เมื่อรับรู้ว่าตัวเองมีหลานสาว คน
เพราะผมเป็นผู้ชายคนแรกของเธอ“แม่ค่ะ ดูกรเขาไม่ค่อยพอใจที่พวกเรามาคุยเรื่องนี้กันเลยนะ” พลอยไพลินเอ่ยกับผู้เป็นแม่ ขณะที่กำลังนั่งรถออกมาจากบ้านหลังนั้นได้ไม่ไกลนัก“ไม่พอใจแล้วยังไงละลูก ตากรน่ะไม่กล้าขัดใจป้าอรกับลุงเดชหรอก” เพ็ญพรรณีเชิดหน้าพูดขึ้นอย่างมั่นหน้า และมั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องสำเร็จไปตามที่เธอคาดหวังเอาไว้แน่นอน“ทำไมละคะ” พลอยไพลินได้แต่เลิกคิ้วถามผู้เป็นแม่ออกไป เพราะอะไรกันถึงทำให้มารดาเธอมั่นใจขนาดนี้“เพราะว่า จริง ๆ แล้ว ตากรไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของป้าอรกับลุงเดชยังไงละลูก” เพ็ญพรรณีจึงยอมบอกความจริงกับลูกสาวออกไป“หมายความว่า?”“ตากรเป็นเด็กกำพร้า ที่ลุงเดชกับป้าอรเขาไปขอรับมาเลี้ยง”“...” พลอยไพลินนิ่งอึ้งเมื่อรับรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้“พวกเขาทั้งสองคนมีบุญคุณกับตากรมากขนาดนั้น ใครจะกล้าขัดละลูกว่าจริงไหม ยังไงตากรกับลูกต้องได้หมั้นกันแน่นอน” เพ็ญพรรณีพูดกับลูกสาวอย่างมั่นใจ“แต่...”ถึงพลอยไพลินจะเชื่อว่าวรากรไม่กล้าขัดคำสั่งของผู้มีพระคุณ แต่เธอก็ยังมีความกังวลหนักใจอยู่ดี เพราะดูแล้ววรากรไม่ใช่คนที่จะควบคุมได้ง่ายเลย“เชื่อแม่เถอะ เรื่องนี้ให้แม่กับอรจัดการเอง
ไม่ใช่แฟนครับ“สรุปว่าเรื่องหมั้นหมายมันยังไงกันแน่ครับ พ่อแม่” วรากรเอ่ยถามผู้เป็นพ่อและแม่ขึ้นมาอีกครั้งทันที ที่แขกผู้มาเยือนกลับออกไปแล้ว“แม่กับอรเราเคยให้คำมั่นสัญญากันไว้ตั้งแต่ที่พวกเรายังไม่มีครอบครัวแล้ว ว่าหากพวกเรามีลูกเราทั้งสองจะผูกดองกัน แล้วจะให้ลูกของพวกเราได้หมั้นหมายและแต่งงานกัน” อรอนงค์จึงบอกความจริงเรื่องในอดีตของเธอกับเพื่อนให้วรากรได้ฟัง ส่วนสามีนั้นอรอนงค์ก็พึ่งเล่าบอกไปเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง“เพราะเหตุนี้หรือเปล่าครับ ที่พ่อกับแม่ไปขอผมมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เพียงเพราะสิ่งนี้หรือเปล่าครับ” วรากรถามขึ้นมาทันทีที่ผู้เป็นแม่เล่าให้ฟัง เพราะเขาเองก็อยากรู้เช่นกันว่าที่พวกท่านเอาเขามาเลี้ยง เพียงเพื่อให้ตอบแทนบุญคุณของพวกท่านเท่านั้น ไม่มีความรักความผูกพันใด ๆ เลย ใบหน้ารู้สึกผิดหวังเผยออกมาอย่างเห็นได้ชัด“เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกับเรื่องหมั้นหมายเลยนะกร” อภิเดชจึงแทรกขึ้นมาบ้าง เกรงว่าลูกชายจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้“จะไม่เกี่ยวได้ยังไงครับพ่อ นี้มันเรื่องใหญ่ในชีวิตผมเลยนะครับพ่อ”“จริงอยู่ที่พ่อกับแม่เราไม่มีทายาทไว้สืบสกุล แต่ที่พ่อกับแม่รับกรมาเลี้ยงนั้น เพร
ถึงเวลาที่ต้องทำเพื่อแม่แล้ว“เป็นจังใด๋ล่ะ กูเอิ้นนำกะบ่ทัน” (เป็นยังไงล่ะ กูเรียกไว้ก็ไม่ทัน) ชนาวิชญ์เอ่ยขึ้นมาทันที ที่เห็นโกสินทร์เดินกลับมาด้วยสีหน้าที่ดูจะผิดหวัง“บักหมอนั่น คือได้มาอยู่นี่” (ไอ้หมอนั่น ทำไมได้มาอยู่ที่นี่) โกสินทร์ถามขึ้นมาทันที“กะมันคือหมู่กู และเป็นพ่อของลูกธิดานำ” (ก็มันเป็นเพื่อนกู และเป็นพ่อของลูกธิดาด้วย)“กูกะเป็นหมู่มึง แต่กูคือบ่มีสิทธิ์ได้...” (กูก็เป็นเพื่อนมึง แต่ทำไมกูถึงไม่มีสิทธิ์ได้...) โกสินทร์ถามกลับอย่างไม่เข้าใจ เพราะตนเองก้เป็นเพื่อนกับชนาวิชญ์เช่นกัน แต่ทำไมเขาถึงไม่มีสิทธิ์พิเศษเหมือนกับวรากร“บักโก! มึงคิดว่ากูลำเอียงเห็นมันดีกว่ามึงแม่นบ่” (ไอ้โก! มึงคิดว่ากูลำเอียงเห็นมันดีกว่ามึงใช่ไหม)“...” โกสินทร์ได้แต่อ้ำอึ้งไม่ตอบ“กูสิบอกให้นะบักโก บักกรมันกะเป็นหมู่กูคือกัน แล้วมึงกะเป็นหมู่ของกู ทั้งมึงและมัน กูกะฮักและหวังดีนำทั้งสอง แต่ที่มันได้มาอยู่นี่ เพราะว่ามันบ่แมนคนแถวนี้ ส่วนมึงเฮือนอยู่แค่ปากทางมึงสิมาเฮือนกูยามใด๋กะได้” (กูจะบอกมึงให้นะไอ้โก ไอ้กรมันก็เป็นเพื่อนกูเหมือนกัน แล้วมึงก็เป็นเพื่อนของกู ทั้งมึงและมัน กูก็รักและหวังดี
ออกคำสั่งก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูไม้สักดังขึ้นอยู่ที่หน้าบ้านดังอยู่หลายครั้ง วรากรมองไปยังประตูห้องน้ำที่ปิดสนิทพร้อมกับความเงียบ เขาจึงเป็นฝ่ายเดินไปเปิดประตูเสียเอง“มาทำไม?” เสียงราบเรียบเอ่ยขึ้น เมื่อเปิดประตูบ้านออกมา แล้วเจอกับเจ้าของใบหน้าที่เขาไม่ค่อยชอบหน้าเสียเลย และในตอนนี้ก็ยืนอยู่ที่หน้าบ้านของสุทธิดาแล้วทันทีที่ประตูเปิดออก คนที่ยืนอยู่หน้าประตูบานนั้นกลับเบิกตากว้างขึ้นมาทันที เพราะคนที่เปิดประตูออกมานั้นไม่ใช่หญิงสาวที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้“คุณ! มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” น้ำเสียงตะกุกตะกักถามออกไปอย่างตกใจที่เจอเขาอยู่ที่นี่แถมยังอยู่ในบ้านของสุทธิดาอีกด้วยใจหนึ่งก็นึกอิจฉาที่เขาได้รับอภิสิทธิ์ให้เข้าไปด้านในได้ เพราะตั้งแต่ที่เธอแยกออกมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ เขาก็มาหาเธอแทบทุกวันแต่ก็ไม่เคยได้เข้าไปสำรวจด้านในเลย อย่างมากก็ได้นั่งอยู่แค่ระเบียงหน้าบ้านเท่านั้นแต่กับวรากรเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อของลูกสาวสุทธิดานั้น กลับอยู่เหนือเขาเสียทุกอย่างแถมยังได้รับอนุญาตเข้าออกได้อย่างง่ายดายอีกมันน่าน้อยใจนัก แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรได้“ทำไมผมจะมาไม่ได้ ก็ลูกผมอยู่ที่







