เข้าสู่ระบบ“แม่ค่ะ ดูกรเขาไม่ค่อยพอใจที่พวกเรามาคุยเรื่องนี้กันเลยนะ” พลอยไพลินเอ่ยกับผู้เป็นแม่ ขณะที่กำลังนั่งรถออกมาจากบ้านหลังนั้นได้ไม่ไกลนัก
“ไม่พอใจแล้วยังไงละลูก ตากรน่ะไม่กล้าขัดใจป้าอรกับลุงเดชหรอก” เพ็ญพรรณีเชิดหน้าพูดขึ้นอย่างมั่นหน้า และมั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องสำเร็จไปตามที่เธอคาดหวังเอาไว้แน่นอน
“ทำไมละคะ” พลอยไพลินได้แต่เลิกคิ้วถามผู้เป็นแม่ออกไป เพราะอะไรกันถึงทำให้มารดาเธอมั่นใจขนาดนี้
“เพราะว่า จริง ๆ แล้ว ตากรไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของป้าอรกับลุงเดชยังไงละลูก” เพ็ญพรรณีจึงยอมบอกความจริงกับลูกสาวออกไป
“หมายความว่า?”
“ตากรเป็นเด็กกำพร้า ที่ลุงเดชกับป้าอรเขาไปขอรับมาเลี้ยง”
“...” พลอยไพลินนิ่งอึ้งเมื่อรับรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้
“พวกเขาทั้งสองคนมีบุญคุณกับตากรมากขนาดนั้น ใครจะกล้าขัดละลูกว่าจริงไหม ยังไงตากรกับลูกต้องได้หมั้นกันแน่นอน” เพ็ญพรรณีพูดกับลูกสาวอย่างมั่นใจ
“แต่...”
ถึงพลอยไพลินจะเชื่อว่าวรากรไม่กล้าขัดคำสั่งของผู้มีพระคุณ แต่เธอก็ยังมีความกังวลหนักใจอยู่ดี เพราะดูแล้ววรากรไม่ใช่คนที่จะควบคุมได้ง่ายเลย
“เชื่อแม่เถอะ เรื่องนี้ให้แม่กับอรจัดการเอง ลูกสาวแม่แค่อยู่เฉย ๆ เตรียมตัวเป็นเจ้าสาวรอเข้าพิธีหมั้นก็พอจ้ะ” เพ็ญพรรณีเอ่ยย้ำกับลูกสาวอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าพลอยไพลินมีความกังวล
“เผื่อใจไว้บ้างก็ดีนะคุณเพ็ญ เรายังไม่ได้รับคำยืนยันจากฝั่งนั้นเลย แล้วอีกอย่างคุณถามความเห็นลูกสาวเราบ้างหรือยัง ว่าเต็มใจที่จะหมั้นจริง ๆ หรือเปล่า” นพศิลป์ผู้เป็นสามีที่นั่งฟังสองแม่ลูกคุยกันมาสักพัก พูดแทรกขึ้นมาบ้าง เมื่อเห็นว่าผู้เป็นภรรยาพูดอย่างมั่นใจทั้งที่ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากทั้งสองฝ่ายเลย
“พลอยเต็มใจค่ะพ่อ”
“นี้ลูกสาวพ่อ ไม่คิดไตร่ตรองอะไรก่อนตอบหน่อยหรือไง”
นพศิลป์ได้แต่ตำหนิลูกสาวกลับไป เพราะพลอยไพลินพูดออกมาโต้ง ๆ แบบนี้ โดยที่ยังไม่ได้ไตร่ตรองอะไรดูก่อนเลย
“พลอยชอบเขาค่ะพ่อ พลอยตกหลุมรักว่าที่คู่หมั้นของตัวเองเข้าแล้ว” พลอยไพลินตอบผู้เป็นพ่อออกไปอีกครั้งอย่างชัดเจน ด้วยท่าทีที่ดูเอียงอายยิ้มรับ
“ทั้ง ๆ ที่พึ่งจะเคยเจอหน้ากันนี้นะ”
“พลอยเคยเจอเขาแล้วค่ะ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะจำพลอยได้ไหม”
“พลอย!” นพศิลป์ได้แต่ดุลูกสาวออกไป เมื่อเห็นท่าทีที่ดูระรื่นออกนอกหน้าของลูกสาว
“แม่ค่ะพลอยอยากได้ช่องทางการติดต่อของเขาค่ะ”
พลอยไพลินไม่ได้ใส่ใจคำดุด่าของผู้เป็นพ่อ เธอจึงหันมาเอ่ยกับมารดาอย่างมีความหวัง นัยน์ตาเปร่งประกาย
“เดี๋ยวแม่ถามป้าอรให้จ้ะ”
“คราวนี้ คุณหนีพลอยไม่พ้นหรอกค่ะกร”
พลอยไพลินได้แต่ครุ่นคิดมีแผนการอยู่ในใจ เมื่อมารดารับปากเธอออกมาแบบนี้ เพราะเริ่มมีความหวังและมั่นใจว่าต้องสำเร็จตามที่คาดหวังไว้แน่
*
*
บ้านพายุภัทร
“เพราะผมเป็นผู้ชายคนแรกของเธอยังไงครับแม่” วรากรพูดออกมาตรง ๆ แบบไม่คิดที่จะอ้อมค้อมอีกแล้ว บอกให้มารดาได้รับรู้
“กร! แต่ถึงยังไงก็เถอะ ทำไมลูกถึงไม่ป้องกัน” อรอนงค์ได้แต่ตำหนิลูกชายออกไป ที่ทำอะไรประมาทแบบนี้
“...” วรากรก้มหน้าสลดลงอย่างรู้สึกผิด เพราะเขาเองก็ประมาทจริงตามที่มารดาต่อว่า แต่ในเมื่อมันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ก็ได้แต่ยอมรับความจริงและรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ฮึ คงจะเจอของสดใหม่เข้า เลยลืมเรื่องพวกนี้ไปสินะ” อภิเดชแค่นหัวเราะขำก่อนจะเอ่ยแซวลูกชายออกไป เพราะตัวเองก็เป็นแบบนี้มาก่อนเช่นกัน จึงเข้าใจความรู้สึกของวรากรดี
“คุณพี่!” อรอนงค์ได้แต่ตวาดเสียงใส่ผู้เป็นสามี
“แล้วตอนนี้แม่กับเด็ก เอ่อ...หมายถึงลูกของแกนั่นนะ อยู่ที่ไหน?” อรอนงค์ถามออกไป เพราะอยากรู้เหมือนกันว่าผู้หญิงคนนี้อยู่ที่ไหนตอนนี้
“ต่างจังหวัดครับ”
“ติดต่อกันอยู่หรือเปล่า”
“ผมก็พึ่งกลับมาจากที่นั่นแหละครับ”
“แล้วไหนแกบอกว่าไปงานแต่งเพื่อนไง” อรอนงค์เลิกคิ้วถามอย่างงุนงง เพราะก่อนหน้าเมื่อไม่กี่วันมานี้ลูกชายบอกเพียงว่าจะไปงานแต่งเพื่อนที่ต่างจังหวัด และเพื่อนให้ไปถ่ายภาพให้ด้วย
“ครับ เลยบังเอิญได้เจอกันอีกครั้ง” วรากรยอมรับกับผู้เป็นโดยไม่คิดที่จะปิดบังอีกแล้ว เมื่อเรื่องราวมันมาถึงขนาดนี้แล้ว
“ติดต่อกลับไปหาแม่นั่น แล้วยื่นข้อเสนอให้เธอไป ทางเราจะขอรับผิดชอบเอาลูกมาเลี้ยงเอง ส่วนแม่ของลูกที่กรบอกว่าไม่ได้เป็นแฟนกัน ก็ให้เงินไปสักก้อน ให้เธอไปเริ่มต้นชีวิตใหม่...”
“แม่!”
“อร!”
สองพ่อลูกต่างเอ่ยเรียกอรอนงค์ออกมาเสียงหลง เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้ออกมาจากปากของอรอนงค์ ที่เธอเองก็เป็นเพศเดียวกัน ก็น่าจะเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงด้วยกัน
แต่เปล่าเลย นอกจากจะไม่ได้รับความเห็นใจจากอรอนงค์แล้ว ยังได้รับคำตำหนิแถมยังดูหมิ่นเหยียดหยามศักดิ์ศรีเพศเดียวกันอีก
วรากรได้แต่มองหน้าผู้เป็นแม่ด้วยความรู้สึกที่ผิดหวังและน้อยใจ เพราะไม่คิดว่ามารดาที่เลี้ยงเขามาจะมีความคิดแบบนี้
“แม่จะให้เขาสองแม่ลูกแยกกันได้ยังไงครับ ยังไงเธอก็เป็นคนอุ้มท้องมาคนเดียวนะครับ”
“ก็ถ้าไม่ทำแบบนี้ เกิดวันหนึ่งแกมีครอบไปแล้วผู้หญิงคนนี้หอบลูกมาหาแกละ มันจะยุ่งยากเอานะตากรถ้าเราไม่ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม”
“เธอไม่ทำแบบนั้นแน่นอนครับ ผมมั่นใจ” วรากรเอ่ยบอกกับมารดาอย่างมั่นใจ ว่าหญิงสาวที่เป็นแม่ของลูกเขาไม่เป็นแบบที่มารดากล่าวหาเด็ดขาด
ไม่เช่นนั้นเธอคงจะมาเรียกร้องขอให้เขารับผิดชอบเธอตั้งนานแล้ว แต่เธอกลับเลือกที่จะเงียบเรื่องเงียบไว้แต่เพียงผู้เดียว โดยไม่คิดเรียกร้องอะไรจากเขาแม้แต่น้อย
“อะไรทำให้แกมั่นใจในตัวผู้หญิงคนนี้นักน่ะตากร” อรอนงค์ถามอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ที่ลูกชายเอาแต่เข้าข้าง และมั่นใจในตัวของผู้หญิงคนนั้น ทั้งที่สถานะก็เป็นเพียงแม่ของลูก
“เพราะตั้งแต่ที่เธอรู้ว่าตัวเองท้อง เธอก็ไม่เคยติดต่อผมมาเลยแถมยังไม่บอกให้ผมรู้ด้วย ทั้ง ๆ ที่เธอเองก็รู้ดีว่าผมเป็นใคร เธอยอมทิ้งอนาคตของตัวเอง เพื่ออุ้มท้องลูกของผมมาคนเดียวตั้งเก้าเดือน ถ้าผมไม่เห็นด้วยตาตัวเอง ผมก็คงไม่รู้หรอกครับ ว่าผมมีเลือดเนื้อของตัวเองอยู่”
“อยากเรียกร้องค่าตอบแทนละสิไม่ว่า” อรอนงค์ยิ้มเยาะออกมาทันทีที่ลูกชายเล่าบอก
“เธอจะเรียกร้องอะไรก็ช่างครับ แค่ผมได้มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบที่ทำให้เด็กตัวเล็ก ๆ เกิดมาแล้ว เงินทองมากมายเท่าไหร่ผมก็ไม่เสียดายกรอกครับแม่ เพราะตอนนี้ผมเป็นพ่อคนแล้ว มีลูกให้ได้ใช้นามสกุลของตัวเอง แค่นี้ผมว่ามันยังน้อยไปด้วยซ้ำ สู้อะไรกับที่เธอยอมลำบากมาคนเดียวไม่ได้เลย”
“นี่แกถึงขั้นให้ใช้นามสกุลเลยเหรอตากร” อรอนงค์ตาลุกวาวอย่างไม่พอใจอีกทันที เมื่อได้รับรู้ในสิ่งที่ลูกชายเล่าบอก
“ครับ เธอไม่ได้เรียกร้องอะไรแต่เป็นผมเองที่เป็นคนขอกับเธอเอง แล้วชื่อของลูกผมก็เป็นคนตั้งให้ด้วยน่ะ พ่อครับลูกสาวผมน่ารักมากเลย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนและรอยยิ้มบนใบหน้าปรากฏอย่างไม่รู้ตัว เมื่อนึกถึงลูกสาวตัวน้อยใบหน้าจิ้มลิ้มเหมือนเขาไม่มีผิด
กัลยาณมิตรที่ดีบ้านสวนปานวิชญ์“กลับเฮือนมึงไปได้แล้วบักโก ให้เวลาสองแม่ลูกเขาได้พักผ่อนแหน่” (กลับบ้านมึงไปได้แล้วไอ้โก ให้สองแม่ลูกเขาได้พักผ่อนหน่อย) ชนาวิชญ์เอ่ยขึ้นมาทันที เมื่อยังเห็นเพื่อนของเขาอยู่ที่บ้านของสุทธิดาตั้งแต่เช้ายังไม่ยอมกลับไป“กูสิกลับอยู่ดอก มึงกะอย่าฟ้าวไล่กูหลาย” (กูจะกลับอยู่หรอก มึงก็อย่าพึ่งไล่กูสิ) โกสินทร์ทำเป็นไขสือและเอ่ยตอบด้วยวาจาที่ดูเหน็บแนมคนพูด“มึงจำคำที่กูเว้าได้บ่” (มึงจำคำที่กูพูดได้ไหม)“ฮืม...”โกสินทร์จำได้ดีว่าชนาวิชญ์เคยพูดอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่เพราะตัวเขาเองยังปรับปรุงตัวเองไม่ได้ และเป็นความเคยชินที่เขานั้นมักจะมุกขลุกอยู่ที่นี่เป็นประจำ เรื่องทำงานเขาได้งานทำแล้ว แค่รอวันที่ถูกเรียกตัวเท่านั้น“จำได้กะเฮ็ดให้มันได้นำแหน่” (จำได้ก็ทำให้มันได้ด้วย) ชนาวิชญ์ตอกย้ำอีกที“กลับก่อนนะธิดา” โกสินทร์จึงหันมาบอกกลับเจ้าของบ้านหลังนี้ ที่เขาใช้เวลามานั่งเล่นอยู่เกือบทั้งวันแล้ว“...” สุทธิดาได้แต่พยักหน้ารับ แล้วก็หันมาสนใจลูกสาวตัวน้อยขของเธอต่อโกสินทร์มองหน้าคุณแม่ลูกอ่อนด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ก่อนจะยอมลุกขึ้น แล้วเดินออกไปจากบ้านหลังนี้“วัน
แค่หวังดีต่อกัน“อย่ามาพูดปากเปล่าโดยที่ไม่มีอะไรมายืนยัน แกกุเรื่องขึ้นมาเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องหมั้นกับหนูหรือเปล่าใครจะไปรู้” อภิเดชสวนขึ้นมาบ้างวรากรจึงลวงโทรศัพท์มือถือของเขาในกระเป๋ากางเกงออกมา แล้วเปิดข้อมูลอะไรในหลาย ๆ อย่างที่เขาถ่ายเก็บไว้ ส่งให้พวกท่านดู“พ่อกับแม่ดูเอาเองดีแล้วกันครับ ว่าผมกุเรื่องขึ้นมาหรือเปล่า”“นี่มัน...”อรอนงค์ เมื่อได้เห็นกับตาตัวเอง ในสิ่งที่ลูกชายบอกมานั้น กลับต้องเบิกตาโพลง เพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง“ครับ ถ้ายังไม่ชัดเจนพอ พ่อก็เลื่อนไปอีกจะมีใบสูติบัตรที่ผมแอบถ่ายเก็บไว้อยู่ด้วย เพื่อยืนยันว่าเป็นลูกของผม” วรากรพยักหน้ารับ แล้วเอ่ยบอกอีกครั้ง“กรธิดา พายุภัทร บิดาผู้ให้กำเนิด วรากร พายุภัทร มารดาผู้ให้กำเนิด สุทธิดา นพวงศ์” เป็นอภิเดชเองที่เป็นคนอ่านข้อมูลในนั้นออกมาเสียงดัง“วันเกิดนี้มัน...” อรอนงค์ตาลุกวาวขึ้นมาอีกครั้ง เพราะตกใจในสิ่งที่ได้เห็น“ครับ ลูกสาวผมเกิดในวันที่ไอ้วิชญ์แต่งงาน แม่เขาเลยให้ชื่อ น้องวิวาห์” วรากรจึงเล่าบอกกับพวกท่านทั้งสองอีกครั้งใจแกร่งของผู้เป็นเต้นกระส่ำแทบจะทะลุออกมาจากอก เมื่อรับรู้ว่าตัวเองมีหลานสาว คน
เพราะผมเป็นผู้ชายคนแรกของเธอ“แม่ค่ะ ดูกรเขาไม่ค่อยพอใจที่พวกเรามาคุยเรื่องนี้กันเลยนะ” พลอยไพลินเอ่ยกับผู้เป็นแม่ ขณะที่กำลังนั่งรถออกมาจากบ้านหลังนั้นได้ไม่ไกลนัก“ไม่พอใจแล้วยังไงละลูก ตากรน่ะไม่กล้าขัดใจป้าอรกับลุงเดชหรอก” เพ็ญพรรณีเชิดหน้าพูดขึ้นอย่างมั่นหน้า และมั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องสำเร็จไปตามที่เธอคาดหวังเอาไว้แน่นอน“ทำไมละคะ” พลอยไพลินได้แต่เลิกคิ้วถามผู้เป็นแม่ออกไป เพราะอะไรกันถึงทำให้มารดาเธอมั่นใจขนาดนี้“เพราะว่า จริง ๆ แล้ว ตากรไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของป้าอรกับลุงเดชยังไงละลูก” เพ็ญพรรณีจึงยอมบอกความจริงกับลูกสาวออกไป“หมายความว่า?”“ตากรเป็นเด็กกำพร้า ที่ลุงเดชกับป้าอรเขาไปขอรับมาเลี้ยง”“...” พลอยไพลินนิ่งอึ้งเมื่อรับรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้“พวกเขาทั้งสองคนมีบุญคุณกับตากรมากขนาดนั้น ใครจะกล้าขัดละลูกว่าจริงไหม ยังไงตากรกับลูกต้องได้หมั้นกันแน่นอน” เพ็ญพรรณีพูดกับลูกสาวอย่างมั่นใจ“แต่...”ถึงพลอยไพลินจะเชื่อว่าวรากรไม่กล้าขัดคำสั่งของผู้มีพระคุณ แต่เธอก็ยังมีความกังวลหนักใจอยู่ดี เพราะดูแล้ววรากรไม่ใช่คนที่จะควบคุมได้ง่ายเลย“เชื่อแม่เถอะ เรื่องนี้ให้แม่กับอรจัดการเอง
ไม่ใช่แฟนครับ“สรุปว่าเรื่องหมั้นหมายมันยังไงกันแน่ครับ พ่อแม่” วรากรเอ่ยถามผู้เป็นพ่อและแม่ขึ้นมาอีกครั้งทันที ที่แขกผู้มาเยือนกลับออกไปแล้ว“แม่กับอรเราเคยให้คำมั่นสัญญากันไว้ตั้งแต่ที่พวกเรายังไม่มีครอบครัวแล้ว ว่าหากพวกเรามีลูกเราทั้งสองจะผูกดองกัน แล้วจะให้ลูกของพวกเราได้หมั้นหมายและแต่งงานกัน” อรอนงค์จึงบอกความจริงเรื่องในอดีตของเธอกับเพื่อนให้วรากรได้ฟัง ส่วนสามีนั้นอรอนงค์ก็พึ่งเล่าบอกไปเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง“เพราะเหตุนี้หรือเปล่าครับ ที่พ่อกับแม่ไปขอผมมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เพียงเพราะสิ่งนี้หรือเปล่าครับ” วรากรถามขึ้นมาทันทีที่ผู้เป็นแม่เล่าให้ฟัง เพราะเขาเองก็อยากรู้เช่นกันว่าที่พวกท่านเอาเขามาเลี้ยง เพียงเพื่อให้ตอบแทนบุญคุณของพวกท่านเท่านั้น ไม่มีความรักความผูกพันใด ๆ เลย ใบหน้ารู้สึกผิดหวังเผยออกมาอย่างเห็นได้ชัด“เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกับเรื่องหมั้นหมายเลยนะกร” อภิเดชจึงแทรกขึ้นมาบ้าง เกรงว่าลูกชายจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้“จะไม่เกี่ยวได้ยังไงครับพ่อ นี้มันเรื่องใหญ่ในชีวิตผมเลยนะครับพ่อ”“จริงอยู่ที่พ่อกับแม่เราไม่มีทายาทไว้สืบสกุล แต่ที่พ่อกับแม่รับกรมาเลี้ยงนั้น เพร
ถึงเวลาที่ต้องทำเพื่อแม่แล้ว“เป็นจังใด๋ล่ะ กูเอิ้นนำกะบ่ทัน” (เป็นยังไงล่ะ กูเรียกไว้ก็ไม่ทัน) ชนาวิชญ์เอ่ยขึ้นมาทันที ที่เห็นโกสินทร์เดินกลับมาด้วยสีหน้าที่ดูจะผิดหวัง“บักหมอนั่น คือได้มาอยู่นี่” (ไอ้หมอนั่น ทำไมได้มาอยู่ที่นี่) โกสินทร์ถามขึ้นมาทันที“กะมันคือหมู่กู และเป็นพ่อของลูกธิดานำ” (ก็มันเป็นเพื่อนกู และเป็นพ่อของลูกธิดาด้วย)“กูกะเป็นหมู่มึง แต่กูคือบ่มีสิทธิ์ได้...” (กูก็เป็นเพื่อนมึง แต่ทำไมกูถึงไม่มีสิทธิ์ได้...) โกสินทร์ถามกลับอย่างไม่เข้าใจ เพราะตนเองก้เป็นเพื่อนกับชนาวิชญ์เช่นกัน แต่ทำไมเขาถึงไม่มีสิทธิ์พิเศษเหมือนกับวรากร“บักโก! มึงคิดว่ากูลำเอียงเห็นมันดีกว่ามึงแม่นบ่” (ไอ้โก! มึงคิดว่ากูลำเอียงเห็นมันดีกว่ามึงใช่ไหม)“...” โกสินทร์ได้แต่อ้ำอึ้งไม่ตอบ“กูสิบอกให้นะบักโก บักกรมันกะเป็นหมู่กูคือกัน แล้วมึงกะเป็นหมู่ของกู ทั้งมึงและมัน กูกะฮักและหวังดีนำทั้งสอง แต่ที่มันได้มาอยู่นี่ เพราะว่ามันบ่แมนคนแถวนี้ ส่วนมึงเฮือนอยู่แค่ปากทางมึงสิมาเฮือนกูยามใด๋กะได้” (กูจะบอกมึงให้นะไอ้โก ไอ้กรมันก็เป็นเพื่อนกูเหมือนกัน แล้วมึงก็เป็นเพื่อนของกู ทั้งมึงและมัน กูก็รักและหวังดี
ออกคำสั่งก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูไม้สักดังขึ้นอยู่ที่หน้าบ้านดังอยู่หลายครั้ง วรากรมองไปยังประตูห้องน้ำที่ปิดสนิทพร้อมกับความเงียบ เขาจึงเป็นฝ่ายเดินไปเปิดประตูเสียเอง“มาทำไม?” เสียงราบเรียบเอ่ยขึ้น เมื่อเปิดประตูบ้านออกมา แล้วเจอกับเจ้าของใบหน้าที่เขาไม่ค่อยชอบหน้าเสียเลย และในตอนนี้ก็ยืนอยู่ที่หน้าบ้านของสุทธิดาแล้วทันทีที่ประตูเปิดออก คนที่ยืนอยู่หน้าประตูบานนั้นกลับเบิกตากว้างขึ้นมาทันที เพราะคนที่เปิดประตูออกมานั้นไม่ใช่หญิงสาวที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้“คุณ! มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” น้ำเสียงตะกุกตะกักถามออกไปอย่างตกใจที่เจอเขาอยู่ที่นี่แถมยังอยู่ในบ้านของสุทธิดาอีกด้วยใจหนึ่งก็นึกอิจฉาที่เขาได้รับอภิสิทธิ์ให้เข้าไปด้านในได้ เพราะตั้งแต่ที่เธอแยกออกมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ เขาก็มาหาเธอแทบทุกวันแต่ก็ไม่เคยได้เข้าไปสำรวจด้านในเลย อย่างมากก็ได้นั่งอยู่แค่ระเบียงหน้าบ้านเท่านั้นแต่กับวรากรเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อของลูกสาวสุทธิดานั้น กลับอยู่เหนือเขาเสียทุกอย่างแถมยังได้รับอนุญาตเข้าออกได้อย่างง่ายดายอีกมันน่าน้อยใจนัก แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรได้“ทำไมผมจะมาไม่ได้ ก็ลูกผมอยู่ที่







