Masuk“ช้าก่อน ข้าจะจ้างเจ้าต่อ” ซื่อเว่ยต้าตี้มองดูสภาพของทุกคนเวลานี้ คงยากหากจะหอบหิ้วกันข้ามประตูมิติแห่งเวลาไปพร้อมกัน รถม้าคันนี้ยังพอมีประโยชน์อยู่ไม่น้อยรถม้ามาหยุดลงหน้าตำหนักใหญ่ที่รกร้าง เจ้าของรถม้าดูมีความตื่นกลัวอยู่ไม่น้อย ทันทีที่ส่งผู้โดยสารลงจนหมดเข้าก็ออกเดินทางต่อทันที“ท่านซื่อเว่ยต้าตี้ที่นี่ที่ไหน ทำไมมันถึงช่างดูวังเวงเช่นนี้ ดูสิแม้แต่ชายผู้นั้นตนเองก็เป็นมารมิใช่รึ ยังต้องแสดงความกลัวอะไรเช่นนั้นอีก หรือที่นี่จะมีอะไรที่ทำให้เขากลัว”“เหลวไหล ที่นี่คือตำหนักของมารดาข้า นางจากไปแล้วที่นี่ย่อมรกร้างด้วยไม่มีเจ้าตำหนัก เข้าไปด้านในกันเถอะ นายบำเรอผู้นี้ควรเร่งรักษา เจียวหั่วลี่หมิงเจ้ามาช่วยข้าหน่อย”เทพเจ้าธาตุไฟเดินเข้าไปหาร่างของมารหน้าหวาน ที่ซื่อเว่ยต้าตี้ยืนประคองเขาอยู่ แต่แทนที่จะช่วยพยุงคนเจ็บ เจียวหั่วลี่หมิงกลังตบหน้าชายหนุ่มอย่างแรง จนเข้าสะดุ้งตกใจตื่นขึ้นอย่างลนลาน“ท่านเทพอย่านะขอรับ อย่าขอรับ” มารหนุ่มรีบยกมือป้องกันใบหน้าของตนพร้อมร้องขอชีวิต“หยุดซักที รู้ตัวก็ดีแล้วเป็นภาระเหลือเกิน ข้าต่อยหน้าเจ้าไม่ได้หักขา เดินเองได้หรือไม่ หรือต้องการให้ข้าจับเ
“ท่านซื่อเว่ยต้าตี้ ในรถม้านั่น จงหยวนเจี่ยอยู่ในนั้น”“ไปเร็วฟางเฟย” ซื่อเว่ยต้าตี้เปิดประตูมิติขวางหน้ารถม้าเจ้าปัญหา พลันรถม้าคันใหญ่ก็พุ่งทะยานเข้าสู่ประตูแห่งเวลา ตามมาติด ๆ ด้วยชายหนุ่มหญิงสาวแปลกหน้า ที่วิ่งหายเข้าไปในมิติแห่งเวลา ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนท้องถนนแดนมาร สร้างความโกลาหลและตกตะลึงให้แก่เหล่ามารและปีศาจที่พบเห็นเหตุการณ์อัศจรรย์“ท่านเห็นเหมือนข้าหรือไม่”“เห็นข้าเห็น ท่านเห็นเหมือนกันใช่ไหม”“บุรุษรูปงามนั่นคือใคร ช่างเก่งกาจนัก”เหล่ามารน้อย พูดคุยถึงสิ่งที่เห็นเป็นอัศจรรย์เมื่อครู่ จากปากต่อปากก็ล่ำลือไปทั่วแดนทักษิณในเวลาอันรวดเร็ว เสียงพูดคุยของมารเหมือนเป็นคลื่นพลังงานเพียงเบา ๆ ผู้คนก็ได้ยินไปทั่วรถม้าคันใหญ่ข้ามประตูแห่งเวลามาโผล่กลางป่าที่ไล้ผู้คน ซื่อเว่ยต้าตี้ใช้มนต์คาถาให้ม้าหยุดตื่นกลัวลงได้สำเร็จ บุรุษสองคนในเก๋งยังคงต่อสู้กัน เหมือนไม่รับรู้เลยว่าด้านนอกตอนนี้มีอะไรที่เปลี่ยนไป"ขอบคุณคุณชายกับแม่นางน้อย ที่ช่วยข้าไว้" คนบังคับม้ารีบลงมาขอบคุณต่อซื่อเว่ยต้าตี้และเกาฟางเฟย ในขณะที่ทั้งสองยังคงยืนดูฉากต่อสู้ที่โกลาหลของคนในเก๋งรถม้า“เขาสองคนทะเลาะอันได้กั
“เจ้าค่ะข้าเข้าใจ ไม่มีอะไรได้มาอย่างง่ายดาย ทุกอย่างล้วนมีข้อแลกเปลี่ยน”แท่นอุโมงค์แห่งด่านเคราะห์ดูสว่างไสวสวยงาม มีแสงละอองจากทองและเงินสะท้อนอยู่ในช่องทางแห่งมิติ จนเหมือนแผ่นกระจกใสบางที่สะท้อนเงาของท้องน้ำและแสงแดด จนเปล่งแสงสีหลากหลาย เคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยน แตกต่างกับแท่นประหารเซียนที่มีความมืดดำและเต็มไปด้วยแสงแห่งอสนีบาต คอยจ้องฟาดใส่ร่างผู้ถึงแก่การตัดสินชะตาเซียนเฟิ่งหวางหันกลับมาทำการคารวะต่อเทพเจ้าดวงดาวซื่อเว่ยต้าตี้ และเกาฟางเฟย แล้วจึงหันหลังพาดวงจิตที่แยกออกจากร่าง เดินเข้าไปภายในอุโมงค์ด่านเคราะห์ รับชะตาเคราะห์แห่งรัก ร่วมกับเทพเจ้าธาตุดินแห่งแดนปัญจธาตุ“ตอนมู่หลินหนิงอัน ลงไปเผชิญด่านเคราะห์เป็นทายาทสกุลเก่ารุ่นที่หนึ่ง ท่านก็มายืนส่งนางเช่นนี้หรือ”“ข้ามาไม่ทัน นางจากไปก่อน ข้าทำได้แค่ไปเฝ้าร่างของนางที่ตำหนักปัญจเทวะ เฝ้าอยู่เช่นนั้นจนร่างของนางสลายกลายเป็นกลีบดอกไม้ หายไปต่อสายตาของข้า นั่นเท่ากับเป็นการบอกลาครั้งสุดท้ายจากนาง ข้าถึงลงไปตามหาดวงจิตของนาง แต่ในเวลานั้น ดวงจิตของเทพธิดามู่หลินหนิงอันก็แปดเปื้อนกลิ่นอายมนุษย์มากเกินไป ข้าถึงต้องเอามาซ่อนเก็บไว้ใ
เกาฟางเฟย เดินกลับเข้ามาตำหนักซื่อเว่ยเพียงลำพัง เฟิ่งหวางพยายามมองหาใครอีกคนจนฟางเฟยสังเกตได้ “เจ้ามองหาพี่จางจิ้งอยู่ใช่ไหม เขากลับไปแล้ว"ซื่อเว่ยต้าตี้มองหน้าหญิงคนรัก “เรายังพอมีเวลา เหตุใดเจ้าถึงไม่กลับไปพร้อมเกาจางจิ้ง”“ข้ายังไม่กลับ ข้าจะไปดูเจียวหั่วลี่หมิง"ซื่อเว่ยต้าตี้กวักมือเรียกหญิงสาวให้มานั่งข้าง ๆ “จะขยันเกินไปแล้ว เจ้ามิวางใจว่าเขาจะเอาชนะเหลี่ยงซูได้อย่างนั้นรึ”“มิใช่ไม่วางใจ แต่ท่านอย่าลืม ว่าเหลี่ยงซูเองนางเป็นถึงธิดาราชามาร ตอนนี้มิเท่ากับล่อให้เทพเจ้าของข้าไปติดกับเช่นนั้นรึ เจียวหั่วลี่หมิงเองก็คงรู้ตัว ถึงได้แยกท่านซือซงออกมาอีกครั้ง หากไม่มีเขาก็ยังเหลือซือซงอีกคน”“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ฟางเฟย”หญิงสาวมีแววตาเป็นกังวล เธอมองหน้าชายคนรักด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย “หากมีสตรีนางหนึ่ง รักท่านมากจนไม่อาจที่จะยอมเสียท่านไปได้ นางจับข้าไปทรมานหมายใจให้สิ้นชีพ แต่ทั้งหมดจะไม่เกิดขึ้น ถ้าท่านจะยอมเป็นสามีของนางจนชั่วชีวิต ชีวิตของข้าจะปลอดภัย มาถึงตรงนี้ ท่านคิดว่าเจียวหั่วลี่หมิง จะเหลือทางเลือกใดให้กับตนเอง”เทพเจ้าดวงดาวและนางไก่ฟ้าห้าสี ต่างมีแววตาครุ่นคิด ทั่วทั้งห
“ขอรับท่านแม่ ข้าแค่ต้องการทำในส่วนที่ยังจัดการค้างอยู่ให้เสร็จลุล่วงเท่านั้นเอง ท่านอย่าได้เป็นกังวล มีคนของท่านพ่อและท่านเกาจางจิ้งไปกับลูกด้วย ไม่น่าจะมีเรื่องร้ายอันใด”“ตามแต่เจ้าเถอะ อย่าประมาท จงระวังตัวให้ดี” โจวซานป๋อโค้งคำนับท่านแม่ แล้วแยกตัวออกไปขึ้นรถม้าของตนเอง ที่จอดรออยู่ข้างกำแพงจวน โดยมีกองทหารม้าธงดำ ตั้งแถวติดตามไปด้วย พระสนมยืนมองดูบุตรชายของนาง นี่เป็นครั้งแรกที่โจวซานป๋อ มีกองทหารติดตาม เป็นถึงบุตรชายอ๋องปราบศัตรู แต่พ่อลูกคู่นี้ก็มิเคยได้รับเกียรติยศอันคู่ควรเหมาะสมแก่ฐานะ จบเรื่องยุ่งยากลง ชีวิตต่อจากนี้ครอบครัวของเราควรได้ไปตามหนทางของตนเองเสียที รถม้าสีขาวคันใหญ่พร้อมม้าขนขาวราวเส้นไหม ควบมาถึงกลางป่าไร้ผู้คน มันพากันทะยานขึ้นบนอากาศก่อนจะหายไปในเวหา รถม้าคันใหญ่มาหยุดจอดลงหน้าตำหนักซื่อเว่ยแดนสวรรค์ ตงฉางมายืนรอรับท่านอาจารย์ของเขาอย่างรู้หน้าที่ของตนเอง พร้อมกระดาษม้วนหนาในมือ“ยินดีต้อนรับกลับตำหนักซื่อเว่ยขอรับ”เทพเจ้าหนุ่มหน้าหวานยิ้มอ่อนโยนเช่นเคยเทพเจ้าซื่อเว่ยต้าตี้เพียงยิ้มตอบแล้วพยักหน้าให้เขา ก่อนจะเดินผ่านเขาเข้าสู่ด้านในตำหนักของตน เกาฟางเ
หญิงสาวยิ้มให้ชายคนรัก “อาจารย์ลี่กันและพวกสำนักนาฏศิลป์ยังรอข้าอยู่ ถึงแม้เราจะรู้จักกันไม่นาน แต่พวกเขาล้วนแต่เป็นสหาย ในเมื่อมีวาสนาได้พบกัน ข้าผู้มีอำนาจเหนือคนทั่วไป คงปล่อยผ่านนิ่งดูดาย ไม่สนใจพวกเขาคงผิดแปลกอยู่ไม่น้อย"ซื่อเว่ยต้าตี้ยิ้มให้กับความคิดของนาง “เมื่อคืนเจ้าฝันอะไรฟางเฟย”“แม่มาหาข้า แม่บอกให้ข้าทำหน้าที่ของตนเองให้ดี ให้มีประโยชน์ที่สุด ตอนนี้ข้าเลือกท่าน หากกฎเกณฑ์มากมายจะกำหนดให้ตัวข้าต้องมีการเปลี่ยนแปลง นั่นคงเป็นเรื่องที่ข้าต้องยอมรับในผลของมัน ในเมื่อข้าเลือกที่จะเป็นแบบนี้ ข้าควรใช้ประโยชน์จากมันสร้างเรื่องดี ๆ ถึงจะถูกต้อง แดนปัญจธาตุไม่ได้ขึ้นตรงกับใคร ข้าไม่มีความจำเป็นต้องทำตามคำสั่งสวรรค์หรืออเวจี ข้าควรทำเพื่อสรรพชีวิต นี่ต่างหากสิ่งที่เทพแห่งแดนปัญจธาตุต้องดูแล”“ข้าดีใจที่เจ้าเข้าใจในหน้าที่ของตนเอง แต่เจ้าลืมข้าไป อย่างไรเสียแม้ข้าจะเป็นเทพเจ้าแห่งแดนดาราห้วงเวหา แต่ข้าก็ยังมีศักดิ์เป็นบุตรแห่งจักรพรรดิสวรรค์ เป็นคนของตำหนักสวรรค์ ตอนนี้เจ้าก็คือสะใภ้หลวงของตำหนักสวรรค์”ฟางเฟยยิ้มแล้วหันไปมองหน้าชายคนรัก “นี่คงไม่ใช่หนึ่งในแผนการของแดนสวรรค์ ที่คิ







