อเล็กซิส ถูกตัดสินว่าเป็นอาชญากรเพียงเพราะเธอมีพรสวรรค์โดดเด่นกว่าคนอื่น เธอจะทำอย่างไรเมื่อถูกส่งตัวไปยังสถานบำบัดสุดแสนพิลึก และไม่มีใครตอบเธอได้ว่า มีสิ่งใดที่กำลังรออยู่
View Moreเย็นวันหนึ่งของเดือนตุลาคม มาร์กาเร็ต ลูกสาวคนที่สองของครอบครัวสตีเว่นนั่งเป็นตัวเอกท่ามกลางสมาชิกครอบครัว พวกเขาต่างรับประทานอาหารพร้อมหน้าเพื่อเฉลิมฉลองวันเกิดครบหกขวบของเธอ
มันควรเป็นวันพิเศษวันหนึ่ง เพียงแต่ว่าความพิเศษถูกยกระดับไปอีกขั้น และมันไม่ใช่ระดับที่เธอพึงปรารถนาเลยสักนิด
ท่ามกลางกลิ่นอายแห่งความสุข เธอไม่ได้ล่วงรู้เลยว่ากำลังจะมีเหตุการณ์แย่ ๆ เกิดขึ้นในไม่ช้านี้
สมาชิกทุกคนในครอบครัวสตีเว่นล้วนมีผมสีบลอนด์ทองหยักศกกับดวงตาสีเขียวดั่งหยก ขณะนั้นเด็กหญิงเจ้าของวันเกิดยิ้มจนปากแทบฉีกไปถึงแก้ม
วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุดเลย เธอคิดในใจ
เด็กหญิงอาจลืมไปแล้วว่าเคยสัมผัสความสุขสนุกสนานแบบนี้ทุกปี ไม่แปลกหรอก เด็กอย่างเธอชอบงานปาร์ตี้ เค้ก และของขวัญ และเธอก็ไม่ได้ต่างจากเด็กคนอื่นเลย พ่อแม่จัดงานถูกใจเธอเสมอ ทั้งสองยังมอบของขวัญเป็นบ้านตุ๊กตาที่เพิ่งวางขายล่าสุด ของขวัญที่เด็กผู้หญิงทุกคนในโรงเรียนยังไม่ได้ครอบครอง และมาร์กาเร็ตจะเป็นคนแรกที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของ เด็กหญิงตัวน้อยคิดภาพเพื่อน ๆ รายล้อมดูของเล่นชิ้นใหม่ โดยลืมไปว่าเธอไม่มีทางขนของเล่นขนาดนี้ไปที่โรงเรียนได้ และที่สำคัญที่สุด โรงเรียนไม่อนุญาตให้เอาไปเสียด้วย แต่เธอก็ภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของคนแรกจนลืมข้อเท็จจริงนี้ไป นอกจากพ่อแม่แล้ว มอลลี่ พี่สาวคนโตยังมอบสร้อยคอเจ้าหญิงให้เป็นของขวัญอีกหนึ่ง ซึ่งมันเข้ากับชุดเจ้าหญิงที่พ่อและแม่ให้เธอเมื่ออาทิตย์ก่อน มีเพียงคนเดียวที่ไม่ต้องให้ของขวัญแก่มาร์กาเร็ต นั่นคือ น้องน้อย แมรี่ น้องสาวที่อายุน้อยกว่าเธอหนึ่งปี
ห่างจากโต๊ะรับประทานอาหารประมาณหนึ่งเมตร เสียงใส ๆ ของหญิงสาวคนหนึ่งดังออกมาจากโทรทัศน์กรอบไม้ที่ตั้งอยู่ โดยมีเสาอากาศวางอยู่ด้านบน
“สวัสดียามเย็นค่ะท่านผู้ชม ขอต้อนรับสู่รายการนั่งคุยกับเซซิเลีย ช่วงรับประทานอาหารเย็นวันนี้ ดิฉันมั่นใจว่าผู้ชมทางบ้านคงนั่งไม่ติดเก้าอี้แน่ ๆ เลยค่ะ เพราะแขกรับเชิญในวันนี้ คือ ดร. แคลสเตอร์ ดีนส์ รองศาสตราจารย์จากโรงเรียนกฎหมายเฮมส์เวิร์ธ ผู้ที่ทำให้สถานการณ์การเมืองร้อนฉ่าอยู่ตอนนี้ สวัสดีค่ะ ดร. ดีนส์”
“สวัสดีครับ เซซิเลียที่รัก”
“ดร.คะ กล่าวถึงบทความของคุณที่ลงในวารสารเฮมส์เวิร์ธฉบับ122 หน้า 22 ถึง 25 คุณได้แถลงจุดยืนคัดค้านรัฐบัญญัติเฝ้าระวังและควบคุมกลุ่มเสี่ยงภัยต่อมนุษยชาติ ปี 2966 หลายคนชื่นชมผลงานของคุณมากเลยค่ะ ดิฉันก็เช่นกัน (“ขอบคุณครับผม!” ดร.ดีนส์กล่าวพร้อมยืดตัวขึ้น ขณะที่เซซิเลียหันมาสบกับกล้อง) ท่านผู้ชมคะ บทความนี้กลายเป็นหัวข้อร้อนทันทีที่วารสารได้รับการตีพิมพ์ (เสียงไพเราะของเธอดึงดูดให้มาร์กาเรตสนใจ แต่พิธีกรสาวได้หันกลับไปหาแขกรับเชิญแล้ว) คุณกำลังบอกว่า คุณไม่เห็นด้วยกับกฎหมายดังกล่าวที่ขัดแย้งกับหลักเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน...”
“พ่อคะ ปิดทีวีสักทีสิ เราจะร้องเพลงอวยพรให้เม็กนะคะ” พี่สาววัยสิบหกปีขอร้องเชิงตำหนิ แต่แทนที่จะปิดทีวี พ่อกลับลดเสียงให้เบาลงเท่านั้น ทำไงได้ เขาชื่นชอบรายการนี้มากและมักจะอวดว่าเซซิเลียซึ่งเป็นพิธีกรรายการเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขา “เธอเป็นคนฉลาดมาก” เพราะเหตุนี้เอง มอลลี่จึงชอบแหย่พ่อกับแม่ด้วยการพูดว่าเซซิเลียคือรักแรกของพ่อแน่ ๆ เลย และแม่จะหัวเสียทุกครั้งที่พี่พูดแบบนี้
มาร์กาเร็ตเลียซอสบนมุมปาก ตอนนี้ก็ยังได้ยินเสียงทีวีอยู่
“...ครับ เราต้องพิจารณาคำที่ใช้เรียกกลุ่มคนเหล่านี้ก่อน ‘กลุ่มเสี่ยง’ ทำไมเราถึงเรียกพวกเขาแบบนั้น พวกเขาก็เหมือนกับพวกเรา เพียงแต่มีทักษะพิเศษที่น่าเหลือเชื่อเท่านั้นเอง แค่หลักการทางวิทยาศาสตร์ทุกวันนี้ยังไม่สามารถหาที่มาของความพิเศษนี้ได้ อ้อ ใช่แล้ว เพราะการที่เราหาคำตอบไม่ได้เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดกฎหมายนี้ เพราะคำถามที่ว่าอะไรทำให้พวกเขาถึงพิเศษกว่าคนอื่นยังไม่มีคำตอบ เอาละ ๆ ผมจะไม่พูดถึงหลักศาสนาหรือผลข้างเคียงจากสารเคมีที่ทำให้เกิดการกลายพันธุ์หรือการเปลี่ยนแปลงในดีเอ็นเอหรอกนะ มันฟังแล้วเหลือเชื่อไปหน่อย แต่ใช่ว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้ สำหรับผม การที่เราให้คุณค่ากับคนกลุ่มนี้ต่างหากที่ผมอยากจะเน้นย้ำให้ตระหนัก แม้เราไม่สามารถหาคำตอบได้ในตอนนี้ก็จริง แต่ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะลดคุณค่าของพวกเขาในฐานะมนุษย์ หากให้ขยายความ มีผู้คนมากมายบนโลกใบนี้ที่มีพรสวรรค์หรือมีทักษะพิเศษในบางกิจกรรมที่อาจทำให้เราแปลกใจ ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่ากลัวเลย คำถามของผมคือ ทำไมเรามองพวกเขาเหมือนเป็นตัวอันตราย ทำไมเราต้องปฏิบัติกับพวกเขาราวกับเป็นเชื้อโรคร้ายแรง ในเมื่อพวกเขาไม่ใช่สิ่งน่ากลัว มันก็เหมือนกับเวลาคุณมีพรสวรรค์ในการวาดรูปหรือร้องเพลง หรือลองคิดถึงทักษะประหลาด ๆ ที่เรามักเห็นในรายการทีวีหรือคณะละครสัตว์สิ บางที นี่อาจจะเป็นวิวัฒนาการบางอย่างของมนุษย์ทางร่างกายและมันสมอง ซึ่งตามประวัติศาสตร์แล้ว พวกเราวิวัฒนาการอยู่เรื่อย ๆ หรือนี่อาจเป็นเพียงแค่พรสวรรค์พิเศษจริง ๆ”
“...แฮปปี้เบิร์ธเดยยย์ ทู—ยู” พวกเขาเกือบจบเพลงพร้อมกันแล้ว ถ้าหากพ่อหยุดมองจอโทรทัศน์สักนิด เขาถลึงตาจ้องหน้าจอ ส่วนปากฮัมเพลงอวยพรเธอด้วยเสียงเหมือนกับเครื่องดูดฝุ่นเก่า ๆ
“อย่างนี้นี่เอง แสดงว่าคุณคิดว่าพวกเขาไม่ใช่คนป่วย พวกเขาเหมือนกับพวกเราและสมควรได้รับสิทธิในฐานะมนุษย์เหมือนกับคนปกติ”
“ใช่ครับ พวกเขาเป็นมนุษย์ปกติเหมือนพวกเรา มีสิทธิเช่นเดียวกับ...”
ทันใดนั้น มาร์กาเร็ตเหลือบเห็นหน้าจอโทรทัศน์ปรากฏข้อความแจ้งว่ารายการนี้ขัดต่อบทบัญญัติทางกฎหมาย แต่เวลานี้พ่อหันเหความสนใจทั้งหมดมาที่เธอแล้ว เขาจึงไม่ทันสังเกตเห็นว่ารายการโปรดได้ถูกระงับออกอากาศเป็นที่เรียบร้อย
“ขอพรเลยเม็ก แต่ระวังพรที่ขอด้วยนะ”
เด็กหญิงเลิกจ้องทีวีแล้วก้มมองเค้กตรงหน้า
“ถ้าน้องขอให้พรุ่งนี้โรงเรียนประกาศหยุดละก็ ยังไงพรก็ไม่มีวันเป็นจริงหรอกจ้ะ” พอมอลลี่พูดจบ ทุกคนหัวเราะกันทันที เด็กหญิงทำหน้ามุ่ยที่พี่สาวรู้ทัน
เธอจะขอพรอะไรดี ขอให้เป็นแบบนี้ตลอดไปดีไหม มีพ่อ แม่ มอลลี่ และแมรี่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา ฉันขอให้มีความสุขและชีวิตราบรื่นเหมือนวันนี้ละกัน เด็กหญิงขอพรในที่สุด แต่โชคร้าย พรของมาร์กาเร็ตไม่มีวันเป็นจริง ไม่มีวัน...เพราะเงาดำย่างกรายมาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว เวลาแห่งความสุขของเธอกำลังจะจบลงในไม่ช้า
เสียงกริ่งดังขึ้น แม่ทำจมูกย่นแสดงออกว่าไม่ค่อยพอใจนัก คงนึกสงสัยว่าใครมาเยี่ยมในเวลาเย็นแบบนี้แน่เลย
“โธ่ ไม่เอาน่า อย่าทำแบบนี้สิ พวกเขาระงับการออกอากาศแล้ว” นายสตีเว่นคร่ำครวญอยู่คนเดียว
“ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่รัก คุณต้องหาช่องโปรดช่องใหม่แล้วล่ะค่ะ บอกลาเซซิเลียที่รักของคุณได้เลย อาชีพการงานของเธอจบแล้ว” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสะใจจนออกนอกหน้า จากนั้นจึงเดินไปที่ประตู
มาร์กาเร็ตวิ่งไปที่บ้านตุ๊กตา เธอเอาเศษกระดาษของขวัญมาถมทับไว้ก่อนจะหันไปมอง
แมรี่ “ยังเล่นไม่ได้นะ” แต่น้องเล็กหัวเราะแล้วจ้วงเค้กเข้าปาก ไม่สนใจคำพูดของพี่สาวเลย เด็กหญิงเท้าเอวขัดใจแล้วเดินกลับไปที่เก้าอี้ “มันเป็นของฉัน”“แบ่งให้แมรี่เล่นสิ อย่าไร้น้ำใจ” มอลลี่เอ็ด
“เดี๋ยวถึงวันเกิดแมรี่เมื่อไรก็จะได้เหมือนกัน!” เธอเถียง
“เราก็จะมีบ้านสองหลัง พวกเธอก็เล่นเป็นเพื่อนบ้านกันไง” พี่สาวแนะนำ แมรี่หันมาพยักหน้าหงึก ๆ ใบหน้าเปื้อนครีมสดเป็นที่เรียบร้อย
“เดี๋ยวนะคะ ลูกสาวของฉันทำอะไรผิดเหรอคะ!”
เสียงแม่ดังมาจากด้านหน้า พ่อที่กำลังกุมหัวจ้องทีวีรีบกดปิดแล้วเดินอาด ๆ ตามแม่ไป “อะไรเหรอคุณ”
มอลลี่ได้ทีแอบขโมยมันฝรั่งทอดที่เธอปฏิเสธไปตอนแรกจากจานของพ่อ
“พี่บอกว่ากลัวอ้วนนี่นา” เด็กหญิงเลิกคิ้วถาม พี่สาวหันมาทำเสียงขู่ใส่
มาร์กาเร็ตหยิบช้อนสับเค้กในจานเล่น นึกสงสัยว่าทำไมพ่อกับแม่หายไปนาน แถมยังไม่พาแขกเข้ามา หรือว่าเป็นพวกขายของ แต่ว่าปกติแล้วพวกเขาไม่มาตอนเย็นแบบนี้นี่นา ความอยากรู้ของเด็กน้อยดึงความสนใจจากจานของหวานไปที่ประตู เธอกระโดดลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งตรงไปยังทางเดินเข้าบ้าน ร่างเล็กหลบอยู่หลังตู้โชว์แจกันกระเบื้องเคลือบ เธอเห็นพ่อกับแม่คุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พวกเขาเป็นตำรวจแน่ ๆ เธอจำเครื่องแบบสีกรมท่าได้ แถมมากันสองคน
“...นี่เป็นหมายจับภายใต้อำนาจดำเนินการของกฎหมายที่พวกเราก็รู้ว่ามาจากข้อไหน คงไม่ต้องให้อธิบายมากความหรอกนะครับ โปรดให้พวกเราเข้าไปเถอะครับ เราต้องการพบกับมอลลี่ สตีเว่น” หนึ่งในนั้นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ยังแฝงว่ารีบร้อน
หมายจับ...จับใคร
น้ำตาไหลออกมาทั้งสองข้าง แววตาพร่าเลือนไปหมด อเล็กซิสกลั้นใจค่อย ๆ ลุกขึ้นมาแต่ก็ทำได้แต่คลานไปเรื่อย ๆ “ช่วยด้วย” แต่เสียงที่ออกมาแผ่วเบาเหลือกัน เธอคลานต่อไป อย่างน้อยก็ต้องออกจากห้องนี้ แต่แล้วก็ล้มฟุบลง เธอรู้สึกอ่อนแรงเหลือเกิน “อะ...เล็กซ์”“โอ้ ไม่” เสียงคุ้นหูดังขึ้น เธอมองเห็นเพียงรองเท้า เขาย่อตัวลง แต่เธอก็ยังเห็นแค่เข่าอยู่ดี “อเล็กซิส” คราวนี้เธอได้ยินเสียงของเขาชัดเจน น้ำเสียงอ่อนโยนแต่บ่งบอกว่าอ่อนแรงด้วยเช่นกัน เขาช้อนตัวเธอขึ้น “ทำใจดี ๆ ไว้”เธอจำเสียงเขาได้ “โคดี้?”“อย่าหลับนะ ฉันจะพาเธอไป...มันจบแล้ว เราจะขึ้นไป...” เขาเงียบ เหมือนร่างกายของเขาชะงักค้างอยู่ “เบล?” อเล็กซิสหันหน้าเข้าหาตัวเพื่อน เขาคงเห็นศพของเบลินดา “เบล!” จากนั้นเขาวางตัวเธอลงช้า ๆ อเล็กซิสได้ยินเสียงฝีเท้าห่างออกไป โคดี้ตะโกนเรียกเบลินดาอยู่หลายครั้ง “เบล! ตื่นสิ...เบล” เสียงของเขาเหมือนจะร้องไห้“ฉันฆ่าเธอเอง” อเล็กซิสพึมพำออกมา แต่ดูเ
อเล็กซิสรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการจริง ๆ เด็กสาวคนนี้ทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง ทีแรกเธอยังนึกชื่นชมที่กลับมา แต่สุดท้ายเมื่อถึงคราวคับขัน เบลินดาไม่ใช่แค่หนี แต่เธอยังกล้าใช้คนอื่นบังตัวเอง แถมคำพูดเมื่อครู่...อีกฝ่ายเชื่อคำของแสตนเนอร์และจะขายเธอ อเล็กซิสไม่คิดเลย เธอพลาดไปถนัด พลาดตั้งแต่ตามมาช่วยเมื่อเห็นว่าอเล็กซ์กับโคดี้ไม่ได้บาดเจ็บสาหัส กลัวว่าเบลินดาจะถูกมันฆ่าตาย...ราวกับว่ามีเสียงหัวเราะเยาะเย้ยของเบนอยู่ใกล้ ๆ“ฉันแค่...กลัว”ความกลัวของเธอคนนี้อันตรายเหลือเกิน ออสโล่ตกลงไปท่ามกลางฝูงซอมบี้ถูกฉีกทั้งเป็น เวดเสียขาไม่พอยังถูกทางการเอาตัวไปทำอะไรก็ไม่รู้ และในตอนนี้เธอก็กลัวว่าเขาอาจจะยังไม่ตายแต่แย่กว่านั้น อาจจะมีสภาพเหมือนเจ้าตัวที่เสียบดาบเข้าท้องเธอที่ผ่านมา เบลินดามักจะเชิดหน้าลอยหน้าตาเหมือนกับว่าเธอไม่เคยใส่ร้ายคนอื่น ไม่เคยทำให้ชีวิตใครพัง อเล็กซิสหวนนึกถึงคุณนายคาร์เตอร์ เสียงตะโกนทะเลาะกับคุณมิลเลอร์และเจ้าหน้าที่ตำรวจยังดังลั่นอยู่ในโสตประสาท พวกเขาเหมือนกัน ไม่เคยมองความผิดของตัวเอง“ธะ...เธอทำอะไร
ไซบอร์กจู่โจมเข้ามาไม่นานหลังจากพวกไมเคิลขึ้นไปชั้นสิบหก เธอได้ยินอาคุสะตะโกนบอกให้ทุกคนรีบกำจัดพวกมันแล้วไปช่วยคนข้างบน แต่ไม่มีใครสามารถปลีกตัวไปได้ พวกมันมากันเยอะมาก เธอ อเล็กซ์ แล้วก็โคดี้ล้มไปได้ตัวหนึ่งก็เจอกับอีกตัว ไซบอร์กตายไปครึ่ง และพวกเขาก็เหลืออีกครึ่ง จนกระทั่งเบลินดากลับมาช่วยยิงดึงความสนใจจากมันไปได้ชั่วขณะหนึ่ง เธอจึงมีเวลาเช็กว่าอเล็กซ์กับโคดี้เป็นอย่างไร เมื่อเห็นว่าพวกเขาเพียงแค่จุกจนลุกไม่ขึ้น พอเหลือบตาเห็นมันวิ่งตามเบลินดาก็ตัดสินใจตามไปซึ่งผิดมหันต์อเล็กซิสไอออกมาเล็กน้อย ลำคอของเธอตีบตัน แต่มือยังจับข้อเท้าของเบลินดาไว้แน่น ในเวลานี้เหมือนร่างกายค่อย ๆ หยุดทำงานทีละส่วน แต่อย่าเป็นห่วงไปเลย เธอเคยเจ็บมามากกว่านี้อีก เวลาลดลงทุกวินาทีแต่สำหรับอเล็กซิสมันจบลงแล้ว เธอไม่คิดว่าขาของอีกฝ่ายใหญ่ขนาดนี้ หรือเป็นเพราะรองเท้าบูตส์หนังกับถุงเท้าและกางเกงขายาวที่สวมทับไว้กันแน่ อเล็กซิสกลืนน้ำลาย น้ำตาเอ่อออกมา ไม่ใช่เพราะเธอร้องไห้หรือเสียใจ แต่เป็นเพราะบาดแผลกระตุ้นให้น้ำตาไหลออกมาตามกลไกการทำงานของร่างกาย เมื่อเจ็บ สมองก็สั่งว่าเจ็บ ร้องไห้ก็เป็นการ
เบลินดาวิ่งจ้ำอ้าวร้องขอความช่วยเหลือ เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังใกล้เข้ามา เธอวิ่งกระโดดเข้าไปในห้องหนึ่งแล้วลากเก้าอี้เข้ามาสกัด ทว่าห้องนั้นกลับเล็กและแคบ มีเพียงแผงวงจรเป็นตู้ตั้งเรียงกัน ไม่มีทางให้หนีต่อ เมื่อเหลียวหลังก็เห็นว่าศัตรูยืนจังก้า มันเงื้อดาบขึ้น “ไม่ ๆ” น้ำตาไหลทะลักออกมา เบลินดาย่อตัวลงแต่คมดาบใกล้ตัวแล้ว เธอกรีดร้องกลัวตาย ทว่ามันล้มลงข้างตัวหากแต่ยังไม่ตายสนิท เบลินดาคลานหนีแล้วลุกขึ้นตั้งหลัก คนที่ยิงด้านหลังคือเด็กผู้หญิงจากเมืองเดียวกันอเล็กซิส เดวิสแต่มันดันสวมเกราะครอบไปทั้งตัว ยกเว้นด้านหน้า กระสุนของอเล็กซิสจึงทำลายเกราะเพียงชั้นนอกเท่านั้น “ยิงสิ!” เธอสั่งทั้งที่ยืนตัวงอหน่อย ๆ คงยังจุกอยู่ เบลินดายกปืนช่วยยิงระรัว มันปัด ๆ ก่อนจะพุ่งตัวใส่คนข้างหลัง อเล็กซิสไถลตัวลอดขามันไปยืนด้านหลัง มันเอี้ยวตัวมาแล้วซัดใส่ พอโดนทีเดียวก็กระเด็นมาชนตัวเบลินดาล้มไปด้วยกัน“อะ” คนข้างตัวกุมไหล่“หะ หักเหรอ” เธอถามทั้งสองรีบลุกขึ้น“ไม่รู้” อเล็กซิสส่ายหน้าแต่แขนซ้ายตกไปข้
แต่แล้วเขาก็พูดต่อ “เธออยู่กลุ่มเทสซ่า”เธอกลัวว่าเขาจะฆ่าเธอเหมือนกับที่ฆ่าพวกเพื่อนคิตแคต โชคดีที่เขาจำเธอได้ “พวกเขาจะจับกลุ่มต่อต้านให้ทางการ ถ้าฉันไม่เออออไปด้วยก็จะ...” ลิ้นของเธอแทบพันกันดวงตาเด็กหนุ่มเบิกกว้าง เขายกปืนขึ้นมาทันที และตอนนั้นเองเบลินดาหลับตาปี๋เพราะนึกว่าเขาจะยิงเธอ แต่เปล่าเลย มีเสียงดังตุบข้าง ๆ กลับเป็นคิตแคตตายสนิท ถูกยิงกลางศีรษะ“ถ้าคิดจะยืนตรงข้ามกันก็ต้องทำแบบนี้ ใจดีนิดเดียว เมื่อกี้เธอก็อาจจะเป็นยัยนั่นแทน” พลูทักซ์ชี้ไปที่ศพหญิงสาว คิตแคตคงคิดจะจัดการเธอแต่พลูทักซ์ต่างหากช่วยไว้ เบลินดารีบหันกลับมา แม้คนฆ่าคือพลูทักซ์ แต่อีกครั้งที่เธอต้องทำแบบนี้เธอไม่ใช่คนผิด ก่อนหน้านี้พวกคิตแคตก็ไม่ได้คิดดีกับเธอเท่าไร เธอยังจำสีหน้าผู้ชายสองคนที่ตายนั้นได้ถ้าหากตอบว่าไม่เสี่ยงไปกับพวกเขา ก็คงโดนจับแทน“แล้วเพื่อนเธอล่ะ” เด็กหนุ่มถามเบลินดาอึกอัก จะให้ตอบได้ไงว่าทิ้งทุกคนไป ถ้าไม่ใช่เพราะประกาศเธอคงไม่กลับมา แล้วก็คงไม่ต้องเจอสามคนนี้ด้วย“เอาเถอะ ขึ้นไปข้าง
ในที่สุดเธอก็ต้องเดินเข้าส่วนที่อันตรายที่สุด ด้านหน้าคือศูนย์บัญชาการกลางเขตเดอะ วาล พวกเขาเห็นกลุ่มบลูเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เดินเข้าไป ยังมีคนอยู่ภายนอก ดูเหมือนไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป จะเข้าไปดีไหม หรือจะกลับไปหาที่หลบซ่อน เบลินดาเริ่มลังเล กลุ่มต่อต้านมีจำนวนมากขึ้นเพราะคนที่หลบซ่อนตั้งแต่ต้นเริ่มหันมาจับอาวุธสู้ แต่ศพที่นอนตายเกลื่อนปะปนกันไปบ่งบอกว่าความตายไม่แยกแยะว่าใครอยู่ฝ่ายไหน ยิ่งมีเสียงต่อสู้ภายใน เธอยิ่งลังเล ไม่รู้ว่าพวกเทสซ่าอยู่ด้านในแล้วหรือยัง แต่เธอค่อนข้างแน่ใจว่าคนอย่างเทสว่าจะไม่เปลี่ยนใจทิ้งกลุ่มจนกว่าทุกคนเห็นพ้องให้เลิกราเด็กสาวเหลือบมองพวกคิตแคต พวกเขาสูบบุหรี่แล้วนั่งมองประตู เบลินดาเคยเกลียดกลิ่นบุหรี่มาก แต่ตอนนี้เธอไม่แน่ใจว่ากลิ่นนิโคติน กลิ่นเลือด และกลิ่นไหม้ กลิ่นไหนรุนแรงกว่ากัน ต่อมรับกลิ่นตอนนี้พังยับเยินเสียงต่อสู้ดังลอดออกมาถึงข้างนอกไม่หยุดหย่อน พวกที่ยังลังเลก็ถอดใจเดินออกจากบริเวณนี้ บางคนวิ่งเข้าไปสมทบหวังช่วยคนข้างใน บางคนยังยืนรอดูเหมือนเบลินดา“เรา...ถอยเถอะ”คิตแคตเหยียดปากเล็กน้อย เด็กสาวนึก
Comments