LOGINหลินซือหยาบุตรสาวตระกูลเล็กๆที่บิดาไม่สนใจ เขาโตมากับพี่ชายทั้งสอง ในขณะที่พี่ชายทั้งสองนั้นได้เข้าฝึกยุทธในสำนักใหญ่ทส่วนตัวนางนั้นกลับถูกปฏิเสธเพราะเส้นลมปราณติดตายทบิดานั้นมองว่าตัวนางเป็นภาระนางไม่สามารถฝึกฝนวรยุทธ์ได้ บิดาอับอายผู้คนจึงส่งให้นางไปอยู่ที่ห่างไกลผู้คน ให้นางเก็บเสื้อผ้าและขึ้นเขาไป ระหว่างทางนางเจอจอมยุทธชราผู้บาดเจ็บผู้หนึ่ง นางจึงได้ช่วยเขาไว้ด้วยความที่นางรู้จักสมุนไพรจึงรักษาอาการบาดเจ็บของชายชราผู้นั้นได้ ชายชราผู้นั้นมอบคัมภีร์มรณะดาราให้กับนาง จนในที่สุดนางก็พยายามที่จะเรียนคัมภีร์นี้ คัมภีร์นี้ต้องอาศัยความเจ็บปวดและความพยายามหลอมเป็นพลัง นางฝึกโดยทุกข์ทนอย่างหนัก และค่อยๆเปิดเส้นลมปราณที่ปิดตายได้
View Moreเด็กสาวในวัยห้าหนาวกำลังวิ่งเล่นกับพี่ชายทั้งสอง พวกเขาอายุเจ็ดและเก้าหนาวแล้ว วันนี้ที่หมู่บ้านของพวกเขาจะมีพิธีตรวจเส้นลมปราณ ซึ่งเด็กวัยห้าหนาวไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีก็ต้องเข้าพิธีตรวจเส้นลมปราณนี้ มีอาจารย์หลายๆสำนักมาดูการตรวจเส้นลมปราณนี้พวกเขาจะได้รู้ว่าเส้นลมปราณของเด็กๆเป็นอย่างไร และถ้าหากถูกใจพวกเขาก็จะส่งเทียบเชิญเข้าสำนักฝึกเส้นลมปราณต่อไป
"หลินซือหยาการตรวจเส้นลมปราณในครั้งนี้ข้าอยากให้เจ้ามีอาจารย์สำนักใหญ่ๆแบบข้าส่งเทียบเชิญเข้าสำนักจัง เจ้าต้องปล่อยพลังเส้นลมปราณอย่างเต็มกำลังเลยนะ" หลินอี้เฟิงกล่าวขึ้นกับน้องสาว พวกเขาสามคนพี่น้องรักใครกันดี แม้นว่าพวกเขาทั้งสามจะเติบโตมากับบิดาเพียงผู้เดียว เพราะตั้งแต่โตขึ้นมา พวกเขาก็ไม่เคยเห็นหน้ามารดาเลย ในเรือนตอนนี้ก็มีแต่หลินซือหยาที่เป็นสตรีเพียงคนเดียว งานบ้านงานเรือนถึงแม้นว่านางจะเป็นเด็ก นางก็ต้องทำให้บิดาและพี่ชายทั้งสอง แต่ส่วนมากพี่ชายทั้งสองจะไปอยู่สำนักศึกษาจะกลับมาเฉพาะช่วงที่สำนักศึกษาให้กลับมาเท่านั้น พี่ชายทั้งสองของนางคือหลินเต๋อหงที่อายุเจ็ดขวบ หลินอี้เฟิงที่อายุเก้าขวบ พวกเขาทั้งสองได้เรียนที่สำนักพฤกษาสุนทราด้วยกันจึงอยากให้น้องสาวไปเรียนด้วย ความจริงผู้เป็นพี่หลินอี้เฟิงอยากเข้าสำนักวายุพัดไกลมากกว่าแต่สำนักพฤกษาสุนทรานั้นได้ส่งเทียบเชิญมา ผู้เป็นบิดาจึงให้เขาเข้าสำนักนี้ทั้งสองคนเลย เมื่อถึงเวลาพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้วภายในหมู่บ้านก็เรียกเด็กอายุราวๆห้าหนาวออกไปเพื่อที่จะไปตรวจเส้นลมปราณ คนในหมู่บ้านสกุลใหญ่ๆก็ให้บุตรหลานมาตรวจเส้นลงตามก่อน ทางการนำแท่งตรวจเส้นลมปราณมาวางไว้กลางหมู่บ้าน แท่งตรวจเส้นลมปราณมีลักษณะแบนและใหญ่ เพียงเด็กๆวางมือไว้บนแท่งนั้นแล้วค่อยๆให้เด็กปล่อยพลังออกมาแท่งแบนนั้นก็จะเป็นแสงออกมาเด็กผู้แรกนั้นทำให้แท่งนั้นเกิดแสงสีหยกขาวมันแพะ ซึ่งปกติแท่งนั้นจะเป็นสีขาวใส ทุกคนต่างตบมือกันและมีท่านอาจารย์จากสำนักจิตเงาจันทร์ได้เขียนเทียบเชิญให้กับเด็กผู้ที่ตรวจเส้นลมปราณผู้แรกทันที หลิวซือหยามองดูท่านอวาจารย์ทั้งสี่สำนักที่นั่งอยู่หน้าแท่งตรวจลมปราณนี้ "ท่านพี่ถ้าหากว่าข้าตรวจเส้นลมปราณนี้แล้วแล้วไม่มีท่านอาจารย์ผู้ใดเทียบเชิญค่าข้าจะทำอย่างไรหรือ" หลินซือหยาถามผู้เป็นพี่ชายเพราะตอนนี้นางเริ่มไม่มั่นใจเสียแล้ว "เพียงแค่เจ้าเปลี่ยนแท่งตรวจเส้นลมปราณนั้นให้เป็นสีใดก็ได้ไม่ว่าจะเป็นสีเมื่อครู่หรือเป็นสีม่วงอ่อนหรือเป็นสีแดงเข้มหรือไม่ก็เป็นสีเขียวใบไม้ หากไม่มีผู้ใดส่งเทียบเชิญให้เข้าสำนักท่านพ่อก็จะพาเจ้าไปสมัครที่สำนักเองไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ เพราะในทุกปีบางคนก็ไม่ได้รับเทียบเชิญเสียหน่อยแต่พวกเขาก็มีที่เรียนกัน" หลินอี้เฟิงกล่าวขึ้น "ท่านพี่แล้วมีผู้ใดหรือไม่เจ้าคะที่สัมผัสกับแท่งตรวจเส้นลมปราณแล้วไม่สามารถเปลี่ยนสีได้" หลินซือหยาถามผู้เป็นพี่ชาย "ไม่มีหรอกเพราะว่ายุทธภพแห่งผู้ที่มีวรยุทธเป็นใหญ่ หากไม่สามารถฝึกฝนได้แล้วจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไรล่ะ เจ้านี้ก็ถามแปลก ขนาดพ่อของเราที่มีอายุมากเขายังต้องฝึกวรยุทเลย" หลินอี้เฟิงกล่าวขึ้น "เจ้าจะถามอะไรให้มากความล่ะ ดูพวกข้าทั้งสองสิยังทดสอบเส้นลมปราณผ่านเลย หากเจ้าไม่มีก็แปลกแล้วล่ะ และทุกคนใต้ล้านี้ก็มีแต่คนมีวรยุททั้งนั้น หากเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแท่งตรวจเส้นลมปราณนี้ได้ก็แสดงว่าเจ้าไม่ใช่คนใต้หล่านี้แล้วล่ะ555" หลินเต๋อหงกล่าวขึ้นอย่างหยอกล้อ เนื่องจากครอบครัวของพวกเขาเป็นตระกูลเล็กย่อมมีสิทธิที่จะทำอะไรที่หลังอยู่แล้ว มีเด็กหลายคนที่อยู่ในตะกูลเล็กเช่นเดียวกัน และหลังจากตรวจเส้นลมปราณแล้วมีสีขึ้นเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีสำนักใดต้องการตัวพวกเขาก็กลับไปนั่งรอดูผู้อื่นตรวจเส้นลมปราณต่อไป ตอนนี้ตะวันเริ่มคอยลงต่ำแล้วไม่นานก็ถึงคิวของหลินซือหยา นางเดินเขาไปกลางหมู่คน นางนั่งหน้าแท่นตรวจเส้นชีพจร นางยื่นมีทั้งสองไปอย่างกล้าๆกลัวๆแตะที่แท่งขาวใสนั้นนางมองดูผลลัพธ์ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นนางจึงพยายามเบ่งเอาพลังนั้นออกมาเหมือนคนที่กำลังถ่ายทอดวรยุทธ์ นางพยายามกลั้นลมหายใจและเบ่งออกไปอีก แม้นนางจะเบ่งจนหน้าแดงก็ไม่สามารถเปลี่ยนแท่งขาวใสนั้นให้เป็นสีอื่นได้เลย ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นลุกขึ้นมองด้วยความสนใจ "เห้ย เด็กตระกูลหลิน ทำไมถึงไม่สามารถเปลี่ยนแท่งตรวจเส้นลมปราณได้ล่ะ เด็กผู้นี้จะไม่มีเส้นลมปราณในการฝึกยุทเลยหรอ" เสียงรอบข้างเฮฮาขึ้น ทุกคนมองไปยังเด็กน้อย นางหันหน้าออกจากแท่งตรวจเส้นลมปราณด้วยความอับอาย นางมองไปยังพี่ชายทั้งสองและผู้เป็นบิดาที่นั่งอยู่อีกฟาก พวกเขานั้นทำท่าราวกับมองไม่เห็นนางพอนางลุกขึ้นและจะเดินไปหาพวกเขา พวกเขาเหมือนจูงมือกันลุกขึ้นทันทีที่นางขยับตัว "เห้ย นั้นเด็กซือหยา หลินซือหยาที่แปลว่าเด็กหญิงธรรมดาแต่คิดใฝ่สูง โถ้ตั้งชื่อได้ใฝ่สูงจริงๆนะ แต่ก็กลับกลายเป็นเด็กหญิงธรรมดานี่เอง" เสียงสตรีผู้หนึ่งกล่าวขึ้น ทุกคนก็หันมามองหลินซือหยา "เด็กคนนี้ไร้ค่ายิ่งนักแล้วสำนักไหนจะรับตัวไปร่ำเรียนล่ะนั่น หากเส้นลมปราณไม่เปิดแบบนี้ก็ไม่สามารถที่จะฝึกยุทได้ แล้วแบบนี้จะอยู่ในยุทภพแห่งนี้ได้หรือ" เสียงอาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวขึ้น ผู้เป็นบิดาและพี่ชายไม่อยากให้ใครรู้ว่าหลินซือหยานั้นเป็นบุตรและน้องสาวของพวกเขา เด็กทั้งสองกลัวว่าท่านอาจารย์ที่เคยรับพวกเขาเป็นลูกศิษย์หากรู้ว่ามีน้องสาวที่ไร้ค่าแบบนี้จะไล่ตัวเองออกจากสำนัก "นางก็แค่ขยะไร้ค่า อยู่ที่ไหนนางก็จะลำบากหาข้าเป็นพ่อเป็นแม่นางนะข้าจะบีบคอให้ตายเสียเลย จะได้ไม่ต้องทนลำบากในอนาคตตอนนี้ไม่เท่าไหร่หรอกแต่พอโตขึ้นน่ะสิจะถูกเขารังแกได้หากไม่มีวรยุทธแล้ว" เสียงบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น หลินซือหยามองหน้าผู้เป็นบิดาที่กำลังฟังบุรุษผู้นั้นพูดอยู่ เหมือนว่าบิดาของนางได้ตัดสินใจแล้วว่าจะกำจัดนางให้ตาย เพื่อนางจะได้ไม่ต้องใช้ชีวิตที่ลำบากในภายภาคหน้า พี่ชายทั้งสองก็ไม่สนใจนาง นางเดินกลับบ้านด้วยความเสียใจ หากผู้เป็นบิดาฆ่านางจริงๆนางก็คงต้องยอมรับชะตากรรมนี้แสงอรุณแรกสาดลอดหมู่ไม้ ทาบเงาทาบพื้นดินเป็นริ้วทองอ่อนเสียงลมพัดผ่านยอดไม้ดัง “ซู่ซู่” คล้ายเสียงกระซิบจากวิญญาณโบราณในหุบเขาหนทางเบื้องหน้าเต็มไปด้วยหมอกขาวบาง ลึกลับราวม่านแห่งสวรรค์ที่กั้นระหว่างคนกับพลังลมปราณ หลินซื้อหยาย่างเท้าเข้าขึ้นอีกครั้งหลังจากพักผ่อนไปได้เล็กน้อย มือกำดาบไม้แน่น ในหัวใจไม่มีสิ่งใด นอกจากคำอาจารย์ที่ว่า“หากเจ้ามิอาจฝึกจิตให้สงบในหมู่ความวิเวก เจ้าก็ไม่มีวันก้าวข้ามขอบเขตวรยุทธได้”ทุกย่างก้าว นางต้องเผชิญทั้งความเงียบ ความหิว และความกลัวบางคืน เสียงสัตว์คำรามดังก้องในหุบเขาบางยาม ลมเย็นพัดผ่านจนเหมือนมีเงาผู้คนเดินตามอยู่ข้างหลัง แต่เมื่อหลับตาและปล่อยใจเข้าสู่สมาธิ นางกลับสัมผัสได้ถึงจังหวะของลมหายใจที่ผสานกับเสียงป่า ใบไม้ไหว คือการเต้นของพลังชีวิตสายน้ำที่ไหล คือการหมุนเวียนแห่งลมปราณและในที่สุด นางก็เข้าใจว่า “วรยุทธ มิได้อยู่ในคัมภีร์ แต่อยู่ในหัวใจผู้ไม่ยอมแพ้”ในป่า จากเด็กสาวที่กลัวเสียงสัตว์กลายเป็นนักยุทธที่ยืนหยัดได้กลางพายุฝนมือขวาจับดาบนิ่งสงบ ดวงตาแน่วแน่พลังภายในพลุ่งพล่านเหมือนสายน้ำที่ไหลกลับสู่ต้นธาร ราตรีนั้น ฟ้าปิดเงียบไร้ดา
เช้าวันต่อมาสองคนอาจารย์กับลูกศิษย์เมื่อกินข้าวกันเสร็จ ก็เตรียมตัวที่จะออกไปเดินป่าปกติเด็กน้อยจะไม่ค่อยได้ออกไปเดินป่าสักเท่าไหร่เพราะว่าในป่านั้นมันอันตรายชายชราจึงไม่อยากให้นางได้ไป แต่วันนี้นางมีวรยุทธถึงขั้นหนึ่งแล้ว นางจึงจำเป็นที่จะต้องหาประสบการณ์บ้าง ชายชราเพียงส่งเด็กน้อยไว้ในป่าที่เขาสามารถควบคุมได้และกลับไปยังเรือนของตัวเอง ยามที่เด็กน้อยผู้นี้ประสบภัยในป่านี้เขาก็จะได้รับรู้เป็นผู้แรกและจะมาช่วยนางได้ทันแน่นอน เมื่อนางเดินเพียงลำพังนางก็ขวัญคิดเมื่อนั้นทุกข์ได้ออกจากบ้านครั้งแรกตอนนั้นนางรู้สึกกลัวได้แต่เดินอยู่ในป่าแต่ณเวลานี้นางรู้สึกว่านางไม่ใช่เด็กคนนั้นอีกแล้วเพราะท่านอาจารย์บอกว่านางต้องหาประสบการณ์ในป่าต้องสู้กับสิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร อาจารย์จะมารับในอีกสามวัน นางจะได้เผชิญโลกกว้างด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกนางรู้สึกตื่นเต้นมากๆ นางไม่รู้เลยว่าอยู่เฉยๆตัวเองจะมีวรยุทธ์ลำดับหนึ่งขึ้นมาได้อย่างไร แต่เอาเข้าจริงๆนางก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เพราะในความที่นางฝันนั้นมันเหมือนจริงมากๆ นางทรมานมากๆแล้วเป็นเวลานานเสียด้วย แต่ถ้าหากให้นางฝึกยุทแล้วทรมานขนาดนี้ แล้วมีวรยุทธ์เพียง
ชายชราลงเขาเพื่อไปหาเครื่องประดับสำหรับสตรีสำหรับเขาแล้วไม่เคยชินสำหรับการสรรค์หาสักเท่าไหร่ หมู่บ้านเล็กๆที่มีของขายมากมายส่วนมากจะเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์ไปจับจ่ายซื้อของที่ได้มาจากเขา นายพรานชอบล่าสัตว์ป่าบางประเภทที่หายากมาขาย แร่ธาตุต่างๆที่เหมาะสมสำหรับฝึกวรยุทธ์ รวมไปถึงส่วนใดส่วนหนึ่งของสัตว์ เช่นงาสัตว์และเขาสัตว์ที่หายากอีกต่างหาก เขาเดินเที่ยวหาเครื่องประดับสตรีอยู่ตั้งนาน"อ้า ไป๋อีเฟิงเจ้าทำอะไรของเจ้าน่ะหาอะไรอยู่หรือเปล่า แต่ที่เจ้าหานั้นเป็นของสตรีนี่เจ้าจะหาไปให้ผู้ใดกันหรือ"เสียงชายชราผู้หนึ่งดังขึ้น มาแต่ไกลชายชราผู้นี้จึงมองไปที่เขา"อ่า เจ้าหม่าเหิง เป็นยังไงล่ะวันนี้ถึงมาเดินตลาดได้นะ"ชายชรากล่าวขึ้นเมื่อเห็นสหายเก่าเดินมาแต่ไกล"เขาว่าช่วงนี้มีหางยูนิคอร์นขายข้าเลยมาเดินดูเสียหน่อยเผื่อจะได้สักเส้น ว่าจะเอาไปต่อกระดูกเจ้าล่ะมาหาอะไรเห็นด้อมๆมองๆกับของพวกสตรีเหล่านี้ "ชายชราอีกคนถามขึ้น"ช่วงนี้ลูกศิษย์ของข้าจะมีอายุครบสิบห้าหนาวแล้ว ข้าจึงต้องทำพิธีปักปิ่นให้นางน่ะ ข้าจึงมาหาปิ่น เพราะเจ้าก็รู้ว่าข้าไม่มีปิ่น"ชายชรากล่าวขึ้น"เฮ้ เจ้ามีลูกศิษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ก่อ
ภาพนี้หยุดนิ่งอยู่เนินนานเลือดที่ออกจากทวารทั้งเจ็ดนั้นไม่ได้แห้งเหือดไปเหมือนไหลอยู่ตลอดเวลา ชายชราไม่ดื่มไม่กินยืนเฝ้าเด็กสาวผู้นี้และคอยฟังเสียงลมหายใจที่แผ่วเบาตลอด พอถึงเช้าวันที่แปดเหมือนสีหน้าของเด็กสาวผู้นั้นจะดีขึ้นและเลือดเริ่มหยุดไหลแล้ว ลมหายใจของนางเร็วและถี่ขึ้นเหงื่อนั้นท่วมใบหน้า บางครั้งมีเส้นเลือดปูดวิ่งไปวิ่งมาตามตัว ชายชรามองด้วยความเห็นใจเด็กคนนี้กำลังจะต่อสู้กับดวงดาวที่ตนเลือกแล้ว ทางด้านเด็กน้อยกำลังลังเลว่าจะเลือกดาวดวงใดแต่อยู่ๆเหมือนสติก็ดับวูบลงไปพอได้สติอีกครั้งเหมือนแขนขาของเขาถูกตึงไว้ผิวหนังของนางร้อนระอุราวกับถูกไฟลวก อุณหภูมิร่างกายสูงเกินกว่าปกติ เลือดในกายขับเคลื่อนรวดเร็วราวน้ำเดือด ดวงตาร้อนฉานเหมือนเปลวเพลิงเผา ลมปราณถูกเร่งเร้าเกินขีดจำกัด คล้ายเชื้อไฟที่ถูกเติมไม่หยุด ทำให้เส้นลมปราณบางส่วนเหมือนจะถูฉีกแตกได้ หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะทะลุออกจากอก เสียงเลือดสูบฉีดดังสะท้อนในโสตประสาท รู้สึกเหมือนร่างกายถูกเผาจากด้านใน เลือดค่อย ๆ แห้งเหือด เป็นความทุกข์ที่ทรมานยิ่งนัก เหมือนว่ามันจะไม่รู้จักจบสิ้น เด็กน้อยพยายามฝืนทนกับความรู้สึกนี้ มันเหมือนจะก
เหมือนว่าแรกๆนางจะไปได้ไวมากแต่เหมือนตอนนี้ว่านางเริ่มจะชะงักแล้วชายชราจึงมองออกถึงปัญหาของนางว่าตอนนี้นางยังไม่สามารถที่จะสัมผัสกับดวงดาวได้ ตอนนี้นางแค่สัมผัสกับใจของตัวเองเพื่อไม่ให้จินตนาการไปให้เกิดความกลัวตอนนี้ใจนางบริสุทธิ์ก็จริง แต่ยังไม่สามารถรับพลังของดวงดาวได้ อาจจะเป็นเพราะว่านางกังวลเรื่องที่จะเลือกดวงดาวก็มีส่วน"คืนนี้ในการนั่งสมาธิเจ้าเงยหน้าไปมองดูดวงดาวนับร้อยนับพันพวกนั้นให้เจ้าจดจำสิ่งที่มันกระพริบให้ดีราวๆครึ่งคืนให้เจ้าหลับตาลงสู่สมาธิเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะเลือกดาวผิดหรือถูกตอนนี้เจ้าเป็นกังวลอยู่จึงทำให้ตัวเจ้าเองนั้นไม่มีความก้าวหน้า เจ้าจงคิดเสียว่าชีวิตเจ้ามาถึงขนาดนี้ได้มันดีแค่ไหนแล้ว การเลือกดวงดาวนั้นมันก็เป็นจังหวะของชีวิต มันจะมีดาวดวงหนึ่งที่สีสวยที่เจ้ามองแล้วก็ชอบนั่นแหละมันคือจังหวะชีวิตของเจ้าหากเจ้าเลือกมันมาแล้วมันเป็นดาวมรณะเจ้าก็ต้องทำใจว่าเจ้าต้องยอมตรงนี้ก่อน หากเจ้าไม่คิดที่จะเปลี่ยนเจ้ายังคิดกลัว เจ้าเองก็ไม่มีวันที่จะก้าวหน้า"ชายชรากล่าวกับเด็กน้อยวัยเจ็ดหนาว เด็กน้อยทำหน้าตาราวกับฟ้าจะถล่ม มันเป็นความรู้สึกกลัวจริงๆ จิตใจของนางก็กล
"ท่านอาจารย์เจ้าคะแล้วคัมภีร์ที่ท่านอาจารย์ให้ข้าศึกษานั้นมันมีทั้งหมดกี่เล่มหรือเจ้าคะ แล้วข้าต้องไปหาจากที่ใด"เด็กน้อยถามขึ้นด้วยความสงสัย"มันจะมีกี่เล่มหรือไปหาที่ใดนั้นท่านอาจารย์ไม่สามารถรับรู้ได้ หากเจ้ามีบุญวาสนาเกี่ยวกับมันเจ้าก่อจะได้สัมผัสกับมันเอง บางครั้งอาจจะเป็นคัมภีร์เล่มๆแบบนี้หรือเจ้าอาจจะสัมผัสด้วยตัวของเจ้าเอง แล้วเจ้าก็จะได้เห็นวิชามันมาในรูปแบบต่างๆเอง อาเป็นว่าตอนนี้เราเริ่มบทเรียนบทแรกเพื่อที่จะให้เจ้าได้เปิดเส้นลมปราณฝึกวรยุทธ์เสียก่อนเถอะ"ชายชรากล่าวขึ้น"จะฝึกได้อย่างไรหรือเจ้าคะในเมื่อเขาให้ฝึกตอนกลางคืน ให้ไปนั่งสมาธิรับแสงดวงดาวเพื่อที่จะให้แสงแห่งพลังข้ามาในร่างกายให้มันมากๆ"เด็กน้อยกล่าวขึ้น"ใช่แล้วแหละเขาให้เจ้ามานั่งสมาธิเพื่อที่จะรับแสงจากดวงดาวแต่ตอนกลางวันนั้นเจ้าก็ยังต้องฝึกร่างกายเหมือนเดิมนั่นก็คือยืนขาข้างเดียวให้มั่นคงเสียก่อนไปเถอะ"ชายชรากล่าวขึ้น เด็กน้อยก็ทำตาม ณ เวลานี้นางเริ่มที่จะยืนขาเดียวได้แบบไม่เซแล้วเล็กน้อยแต่ใช้เวลาไม่นานนางก็ต้องเปลี่ยนใช้ขาอีกข้างนึงสลับกันไปในหนึ่งวัน นางก็รู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว แต่นี้ท่านอาจารย์ยังจะให้นั่ง






Comments