[CHALEE’s Talk]
เมื่อคืนฉันเข้านอนเกือบตีสอง หลังจากที่ใช้ไอแพดของลูกหาสถานที่ใหม่ในการเปิดร้านพร้อมๆ กับทำกาแฟบรรจุขวดเตรียมเอาไปขายหน้าตึกลุกซ์ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเช่า พอตีสี่ก็ต้องลุกขึ้นมาเงียบๆ ระวังไม่ให้ลูกตื่นอาบน้ำและแพ็กของลงกระเป๋ารถเข็นเตรียมพร้อม แถมยังมีขนมปังที่รับซื้อมาเมื่อตอนต้นสัปดาห์ ตั้งใจว่าจะขายราคาถูกกว่าหน้าร้านลงมาหน่อยเพื่อที่จะระบายมันออกจากตัวให้หมด
อย่างน้อยได้ทุนค่าขนมคืนก็ยังดีกว่าขาดทุนเพราะมันหมดอายุก่อน
สาเหตุที่ฉันดูเสียดายช่องทางการทำมาหากินในตึกนี้เหตุผลหลักๆ คือเรื่องรายได้ รองลงมาคือชื่อตึก ครั้งแรกที่ฉันได้เห็นตึกนี้มันทำให้ฉันนึกถึงใครบางคน แค่เห็นชื่อตึกก็แอบใจสั่น เคยเป็นบ้าไปค้นอินเทอร์เน็ตดูหน้าเจ้าของตึกมาแล้วด้วย แต่ก็ไม่เจอ เจอแต่ข่าวเรื่องซุบซิบที่คนในแวดวงธุรกิจนินทาเขาว่าหยิ่งยโส รักความเป็นส่วนตัว ไม่ว่ารูปไหนที่ถ่ายติดเขาล้วนถูกคนของเขากว้านซื้อจนเรียบหรือไม่ก็ร่อนโนติสเตือนจนต้องออกมาปักหมุดขอโทษ
ท่าจะเป็นตาแก่เรื่องมากไม่น้อย
พอตีห้าครึ่งก็ปลุกลูกให้ตื่นมาล้างหน้าแปรงฟันเพื่อไปขายของ ฉันอยากให้ลูกโตกว่านี้จนสามารถอยู่บ้านคนเดียวได้ ฉันอาจจะหางานประจำที่มั่นคงกว่านี้ทำ
เราสองคนแม่ลูกจูงมือกันพร้อมกับลากกระเป๋าใส่กาแฟขวดมาขายอยู่หน้าทางเข้าตึก ซึ่งตรงนั้นก็มีทั้งแผงขายลอตเตอรี่และร้านขายไก่ทอด ฉันฝากลูกให้แม่ค้าไก่ทอดดูแลชั่วคราวก่อนจะเดินไปหยิบโต๊ะพับที่เอามาฝากทางร้านไว้มากาง
“หม่ามี้~ ทำไมเราไม่ได้ขายข้างใน” ลูกชายวัยห้าขวบถามคำถามนี้เป็นรอบที่สิบ
เมื่อวานหลังจากฉันบอกลูกว่าเราจะเลิกขายในตึก ลูกก็เอาแต่ถามไม่หยุด ซึ่งฉันเองก็บอกแค่ว่าเรากำลังหาที่ใหม่
“เดี๋ยววันนี้เราจะไปหาที่ใหม่ขายของกันนะคะ” ฉันตอบกลับด้วยประโยคเดิมพร้อมกับยิ้มให้ลูกชาย
“วันนี้เหยอ~” ตาสีอ่อนของเขาเป็นประกายทุกครั้งหลังได้ฟังคำตอบของฉัน
“ใช่ค่ะ แต่ต้องรอให้หม่ามี้ขายของที่เอามาให้หมดก่อนนะคะ”
น้องคลาวด์พยักหน้าหงึกหงักรับทราบ ลูกเป็นเด็กร่าเริง พูดเก่ง แต่บางทีก็โลกส่วนตัวสูง
เราสองคนแม่ลูกคุยกันได้ไม่นาน พนักงานที่ใช้ทางเส้นนี้เป็นทางเข้าตึกก็หยุดดูที่แผงขายของเราด้วยความสนใจ
“ใช่เจ้าร้านกาแฟใต้ตึกหรือเปล่าคะ” พนักงานผู้หญิงห้อยป้ายพนักงานของตึกเอ่ยทักฉันด้วยความสงสัย
อาจเพราะปกติเราสองคนไม่ได้สวมหน้ากากอนามัยแบบวันนี้ จึงทำให้เขาจำเราไม่ได้
“ใช่ค่ะ ฝากบอกคนอื่นๆ ในตึกด้วยนะคะ ว่าย้ายมาขายตรงนี้ ไม่มีเมนูเย็น แต่ราคาดีกว่าใต้ตึกแน่นอนค่ะ”
“ได้เลยค่ะ ว่าแล้วเชียวต้องใช่ จำหน้าน้องฝรั่งคนนี้ได้” พนักงานออฟฟิศคนนั้นพูดก่อนจะยิ้มออกมา และก้มสแกนจ่ายค่ากาแฟ “เดี๋ยวบอกในไลน์กลุ่มออฟฟิศให้นะคะ”
เธอเดินจากไปแล้ว ส่วนคลาวด์ก็หันมามองหน้าฉันคล้ายกับกำลังมีคำถาม
อย่านะ...
“หม่ามี้ หน้าคลาวด์ไม่เหมือนหม่ามี้เหรอ~”
นั่นไง
“เพราะคลาวด์ยังเด็กไงคะ ถ้าโตขึ้นคลาวด์จะหน้าเหมือนหม่ามี้” ฉันโกหกลูกออกไป ตอนนี้เริ่มกลัวว่าหากลูกเข้าโรงเรียนจะถูกเพื่อนและคุณครูถาม
พ่อเป็นคนประเทศอะไรคะ?
พ่อไปไหน?
“กี่ขวบ?”
“สิบขวบค่ะ”
น้องคลาวด์พยักหน้าอีกครั้ง ยังไม่ทันจะอ้าปากถามอะไรพนักงานออฟฟิศจากในตึกก็เดินเข้ามากันกลุ่มใหญ่ เราสองคนจึงหยุดการพูดคุยกันไว้แค่นั้นก่อน และรีบขายของที่นำมาแข่งกับเวลา
กระทั่งเกือบสิบเอ็ดโมง ขนมกล่องสุดท้ายก็ถูกลูกชายของฉันจับใส่ถุงพลาสติกยื่นให้ลูกค้า
กระเป๋ารถเข็นถูกรูดซิปปิด และฉันคว้ามันมาถือด้วยตนเอง
“หม่ามี้~ กลับบ้านหรือไปหาร้านใหม่ต่อ”
“กลับบ้านเอาของไปเก็บก่อนค่ะ หิวมากไหม หม่ามี้ขอเข้าตึกไปถามเรื่องคืนเงินแป๊บเดียว เดี๋ยวพาไปกินข้าวร้านป้าแก้ว”
“คลาวด์รอได้”
“เก่งมากค่ะ งั้นหม่ามี้จะฝากน้องคลาวด์ไว้กับลุง รปภ. หน้าตึกเหมือนเดิมนะ หม่ามี้จะรีบไปรีบกลับ”
ลูกชายของฉันว่าง่าย พยักหน้าหงึกหงักเข้าใจอีกแล้ว อภิชาตบุตรจริงๆ
ฉันฝากลูกไว้กับพนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าประตูทางเข้า ซึ่งคุณลุงก็คุ้นหน้าคุ้นตาเราสองคนเป็นอย่างดีจึงรับฝากง่ายๆ จากนั้นฉันจึงเดินไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ติดต่อขอพบผู้จัดการฝ่ายอาคารสถานที่
เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ต่อสายขึ้นไปบนตึก ก่อนจะหันมาบอกฉันด้วยน้ำเสียงติดสุภาพ
“เชิญเข้าไปรอที่ห้องประชุมเล็กก่อนนะคะ ข้างบนกำลังลงมา”
ฉันกดใบหน้าลงเล็กน้อยเชิงรับทราบ เดินตามการผายมือของเจ้าหน้าที่เข้าไปนั่งรอในห้องประชุมตามคำสั่งอย่างว่าง่าย
ห้องประชุมเล็ก
ที่ไม่เล็ก...
เก้าอี้เจ็ดตัววางเป็นระเบียบรอบโต๊ะคือหลักฐาน
เพราะไม่รู้ว่าควรนั่งตรงไหน จึงตัดสินใจนั่งหย่อนสะโพกลงบนเก้าอี้โดยหันหน้าออกไปมองทางด้านประตู การนั่งแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัยมากกว่านั่งหันหลังให้ทางเข้าออก
ไม่นานนักเสียงหมุนลูกบิดก็เรียกความสนใจให้ฉันอีกครั้ง ตั้งใจจะส่งยิ้มหวานเป็นมิตรให้มากที่สุด เผื่อเขาจะรีบจัดการเรื่องเงินให้
“...!”
ทว่ากลับต้องยิ้มค้างกลางอากาศ เมื่อคนที่เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเหยียดหยันไม่ใช้ผู้จัดการฝ่ายอาคารสถานที่คนเมื่อวาน
“ไง...”
“ทะ ที่รัก...”
ทันทีที่รู้สึกว่าหลุดปาก จึงรีบยกสองมือเรียวของตนเองมันขึ้นมากปิดริมฝีปากตนเองพร้อมกับดวงตาซึ่งค่อยๆ เบิกกว้างอย่างยากจะควบคุม
[Talk End]
“ใครที่รักของเธอ”
คนเพิ่งเดินเข้ามายกยิ้มมุมปากกับสีหน้าของคนตรงหน้า เรียกได้จะแทบช็อกตายน้ำลายฟูมปาก ยิ่งมือสองข้างที่กำลังวางประสานเริ่มสั่นเทา กอปรกับอาการหวาดกลัวที่แสดงออกมาอย่างปกปิดไม่มิด ยิ่งอยากทำให้ลูเซียเดินเข้าไปใกล้
ไปช่วยบีบคอ จะได้ตายเร็วขึ้น
แต่ไม่เอาดีกว่า...เสนียดฝ่ามือ
“ทะ ทำไมพี่มาอยู่ที่นี่” คนตัวเล็กรีบปะติดปะต่อเรื่องราวในหัวทั้งชื่อและการแต่งการด้วยสูทราคาแพงของคนตัวโต
สิ่งที่เธอคิดว่ามันเพ้อเจ้อมาตลอดคือเรื่องจริง
แฟนเก่าของเธอคือเจ้าของลุกซ์ ลิมิเต็ด
“อย่าตีสนิท” น้ำเสียงติดเย็นชาเปรยออกมาเข้าหูคนฟังจนก้มหน้างุด “คนอย่างฉันให้เกียรติลงมาคุยกับเธอขนาดนี้ก็ดีแค่ไหน”
“ขอโทษค่ะ คุณ...นี่คือสาเหตุที่คุณไล่ฉันออกจากตึก”
“ใช่ เพราะเห็นหน้าเธอมันขยะแขยง แค่เห็นก็ฝันร้าย อยากจับโยนไปให้พ้นๆ ตาสักที”
ชาลีเม้มริมฝีปากแน่น กระทั่งเผลอกลั้นลมหายใจก่อนจะเรียกสติตนเองให้กลับมาและค่อยๆ ผ่อนปรนความตึงเครียดออก
“ค่ะ ขอโทษที่รบกวน งั้นฉันขอตั...”
“แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว”
เสียงพูดแทรกของอดีตคนรัก ทำให้ชาลีหยุดพูดประโยคของตนเองพร้อมเงยหน้ามองใบหน้าของอีกฝ่ายโดยปริยาย
“ฉันอนุญาตให้เธอขายของในตึกต่อไปก็ได้”
“แลกกับอะไรคะ” ถามออกไปเพราะรู้นิสัยของเขาดี เพราะเมื่อก่อนเวลาเธออยากไปไหน ลูเซียมักจะมีเงื่อนไขมาแลกเสมอ
“แม่บ้าน ฉันต้องการให้เธอขึ้นไปทำความสะอาดห้องพักชั้นบนสุดของฉันทุกสัปดาห์...คนเดียว”
คนตัวเล็กกำมือแน่น ครุ่นคิดในสิ่งที่เพิ่งได้ฟังจากปากอดีตแฟนเก่าด้วยความสับสน ชาลีนึกว่าเขาจะโกรธเกลียดเธอจนทำอะไรรุนแรงกว่านี้ แต่เอาเข้าจริงกลับเป็นแค่การกลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ อย่างการใช้แรงงานเธออย่างหนัก
“ไม่มีเวลาเก็บไปคิด ตอบเดี๋ยวนี้”
คนตัวสูงยืนล้วงกระเป๋ารอเอาคำตอบอย่างวางอำนาจ กระทั่งชาลีถอนหายใจออกมาเมื่อตัดสินใจดีแล้ว
“ฉัน...ขอปฏิเสธค่ะ”
»»-------✧-------««