เมื่อหมดคนนอกแล้ว...พระชายาก็กล่าวกับสาวใช้คนสนิท “ตงเหมย เจ้าคิดว่าข้าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี?”
“พระชายาอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลยเจ้าค่ะ” ตงเหมยกล่าวปลอบใจผู้เป็นนาย
“มิให้ข้าร้อนใจ?” พระชายาเสียงสะบัด “คืนวันวิวาห์ ท่านอ๋องก็เลือกไปอยู่กับเจ้าคนสารเลวจากแคว้นเป่ย แทนที่จะมาเข้าห้องหอของข้าผู้เป็นพระชายาเอก จากนั้นก็ไปอยู่เสียที่ค่ายทหาร”
“หรือท่านอ๋องจะชมชอบบุรุษเจ้าคะ?”
“ข้าเคยส่งบ่าวชายอายุเยาว์หน้าตาดีไปรับใช้ท่านอ๋องถึงที่ค่ายทหาร ก็ถูกไล่ตะเพิดกลับมา พอท่านอ๋องกลับมาคราวนี้ ข้าก็ส่งสาวใช้หน้าตางดงามไปอุ่นเตียง ก็ถูกท่านอ๋องไล่ออกจากตำหนักอย่างไม่ใยดี”
“หรือท่านอ๋องจะ...” ตงเหมยขมวดคิ้วครุ่นคิด “ถือสาเรื่องชาติกำเนิด”
“เช่นนั้นก็ลำบาก...คุณชายหนุ่มน้อยงดงามใช่ว่าจะหาไม่ได้ แต่ตระกูลไหนจะยอมให้คุณชายของตนต้องมาเป็นภรรยาน้อยเล่า?”
พระชายาถอนหายใจยาวก่อนจะกล่าวต่อ
“อย่าว่าเป็นภรรยาน้อยเลย แม้แต่เป็นภรรยาเอก ถ้าไม่หมดสิ้นหนทางจริงๆ ก็ไม่มีตระกูลผู้ดีตระกูลไหนยินยอมให้บุตรชายแต่งออกมาเป็นภรรยาผู้อื่น”
“นั่นก็จริงเจ้าค่ะ...แต่ถ้ามิใช่คุณชายจริง เป็นเพียงคุณชายบุญธรรมหรือคุณชายที่แอบรับสมอ้างเข้าตระกูลละเจ้าค่ะ?”
มุมปากของพระชายายกยิ้มขึ้นมาทันที ดวงตางามเป็นประกายวาววับ
“เห็นทีข้าจะต้องเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาท่านพ่อเสียแล้ว”
จ้าวชิงเฟิงวางตะเกียบในมือลง
ชินอ๋องก็ทักว่า “ทำไมกินน้อยนัก อาหารไม่ถูกปากหรือ?”
“มิได้ขอรับ เพียงแต่ข้าน้อยอิ่มแล้ว”
ชินอ๋องพยักหน้า
“กระเพาะอาหารของเจ้าถูกทารุณมาเนิ่นนาน อยู่ๆ จะให้เป็นปกติคงเป็นไปไม่ได้ คงได้แต่ค่อยๆ ฝึกฝนให้ดีขึ้นทีละเล็กทีละน้อย”
“ขอบคุณขอรับ” คุณชายค้อมศีรษะ
“แต่รังนกตุ๋นโสมชามนี้ เจ้าดื่มเสียสิ”
แม้ชามรังนกตุ๋นโสมจะเล็กกว่าชามข้าว แต่ก็มากเกินไปสำหรับจ้าวชิงเฟิง
“ข้าน้อยอิ่มแล้วจริงๆขอรับ” คุณชายกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรงใจ
“เช่นนั้นรออีกหนึ่งชั่วยามค่อยกินเป็นของว่าง” ชินอ๋องกล่าวเรียบๆ “สุขภาพของเจ้ามิค่อยแข็งแรง ควรจะบำรุงให้มากไว้...แล้วต่อไปไม่ต้องเรียกตนเองว่าข้าน้อยอีก จงพูดกับข้าอย่างธรรมดาๆ ก็พอ”
“ขอรับ”
หลังอาหารเย็น...ชินอ๋องชวนคุณชายไปนั่งสนทนากันต่อที่ห้องโถงพักผ่อน พลางเล่นหมากล้อม โดยท่านอ๋องใช้เม็ดหมากสีดำให้คุณชายใช้เม็ดหมากสีขาว...เดินหมากได้เพียงหนึ่งเค่อ(สิบห้านาที) คุณชายก็พ่ายแพ้ยับเยิน
“ฟูเหริน เจ้าเดินหมากไม่เป็นหรือ?” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม
“ข้า...ไม่ทราบ” คุณชายเม้มริมฝีปากนิดหนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “เมื่อก่อนข้าอาจจะเดินหมากเป็น”
คุณชายพยายามคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในสมองก็เหมือนมีคมมีดหมุนคว้าง สีหน้าจึงบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ยกสองมือขึ้นกุมศีรษะ ส่งเสียงร้องครวญคราง
“อ๊าาาาา...”
ชินอ๋องรีบเข้ามาโอบกอดร่างคุณชายเอาไว้แน่น เอ่ยเสียงดังว่า “ไม่ต้องคิดแล้ว เดินหมากไม่เป็นก็ไม่เป็นไร”
แต่อาการปวดศีรษะพอกำเริบขึ้นมาแล้ว แม้จะเลิกใช้ความคิด ความเจ็บปวดก็ไม่ได้หายไปในทันที
เสี่ยวชุ่ยที่ยืนรอรับใช้อยู่ห่างๆ เห็นดังนั้นก็รีบนำยาในขวดกระเบื้องเคลือบที่เป็นยาผงไปละลายน้ำมาให้อย่างไม่รอช้า
“ฟูเหริน ดื่มยานี่เจ้าค่ะ”
คุณชายดื่มยาลงไปครู่หนึ่ง...อาการปวดศีรษะก็ค่อยๆ บรรเทาเบาบางลง
แต่ชินอ๋องยังคงไม่วางใจ ใช้ให้บ่าวไปตามตัวท่านหมอมา
ท่านหมอจับชีพจรคุณชายแล้วเอ่ยว่า
“ข้าน้อยเห็นว่า...อาการปวดศีรษะของฟูเหริน หากดื่มยาอีกสักเก้าเทียบ คงจะหายดีขอรับ”
“ดื่มยาอีกแล้วหรือ?”
สีหน้าคุณชายไม่สู้ดีนัก
“กลัวขมใช่หรือไม่?” ชินอ๋องถามก่อนจะยกยิ้มมุมปาก “ถ้าเช่นนั้นข้าจะช่วยป้อนยาให้เจ้าเอง”
ช่วยป้อนยา...ปากต่อปากนะหรือ!
“มะ ไม่ต้องขอรับ” คุณชายรีบปฏิเสธทันทีด้วยสีหน้าย่ำแย่
“เป็นไร...หรือเจ้ารู้สึกรังเกียจข้า?” ชินอ๋องถามตรงๆ
ทำให้จ้าวชิงเฟิงต้องครุ่นคิด...
รังเกียจหรือ...
เขามีสิทธิ์จะรังเกียจชินอ๋องด้วยหรือ?
เขาเป็นเพียงของบรรณาการชิ้นหนึ่ง ที่แคว้นหนานจะหยิบวางไว้ตำแหน่งไหนก็ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น...ตัวประกัน นักโทษ บ่าว ทาส หรือแม้แต่ชายบำเรอ!
ในขณะที่จางจงกำลังให้คำแนะนำคุณชายเรื่องวิธีปรนนิบัติสามีบนเตียงอยู่ที่ห้องโถงพักผ่อน...ชินอ๋องก็นั่งคุยกับขันทีเจียงจ้านอยู่ที่ห้องหนังสือ
ขันทีเจียงจ้านยืนอยู่ไม่ห่างจากผู้เป็นเจ้านายนัก เขามีอายุมากกว่าชินอ๋องหกปี ชินอ๋องให้เกียรติเขาราวกับเป็นพี่ชายคนหนึ่ง มักจะปรึกษาเรื่องที่ละเอียดอ่อนกับเขาเสมอ
“ข้าคิดว่า...จ้าวชิงเฟิงรังเกียจข้า” ชินอ๋องกล่าวตรงๆ “เขามีท่าทางอึดอัดเวลาข้าเข้าใกล้ และมีสีหน้าย่ำแย่มากเมื่อรู้ว่าข้าจะป้อนยาเขาด้วยปาก”
“บ่าวคิดว่านั่นก็ยังไม่แน่นัก” ขันทีเจียงจ้านออกความเห็น “ฟูเหรินอาจจะเพียงแค่ไม่คุ้นชินเท่านั้น ด้วยอายุเพียงสิบสี่ในขณะที่มาเป็นบรรณาการ ฟูเหรินอาจจะไม่เคยมีสัมพันธ์รักใคร่กับผู้ใดเลย แม้แต่กับสตรี พอท่านอ๋องแสดงความใกล้ชิด ฟูเหรินอาจจะหวาดกลัวก็เป็นได้”
“เป็นเช่นนี้เองหรือ...แล้วข้าควรจะทำอย่างไร?”
“เรื่องนี้...ขึ้นอยู่กับว่า คุณค่าของฟูเหรินในใจของท่านอ๋องมีความหมายมากน้อยแค่ไหน!”
“เมื่อห้าปีก่อน ข้าตั้งใจจะตอบแทนน้ำใจของเขา ด้วยการละเว้นชีวิตเขา และดูแลเขาให้ดี” ชินอ๋องกล่าวเสียงเรียบๆ ทว่าจริงจัง “แต่พอรู้ว่า เขาอยู่ในจวนของข้าในฐานะอนุชายา ข้าก็ตั้งใจจะยกย่องเขาเป็นภรรยา และจะทำหน้าที่สามีที่ดี...หากข้ายังมิได้แต่งพระชายาเอกอยู่ก่อน ข้าคงขอพระราชทานตำแหน่งพระชายาเอกให้แก่เขาแล้ว”
“ถ้าฟูเหรินในใจของท่านอ๋องล้ำค่าเช่นนี้ ท่านอ๋องก็ต้องอดทนค่อยๆ เข้าใกล้ฟูเหรินทีละนิดทีละน้อย” ขันทีเจียงจ้านแนะนำ “สร้างความคุ้นเคยให้แก่ฟูเหริน จนกระทั่งฟูเหรินถูกท่านอ๋องเข้าครอบครองจิตใจโดยไม่ทันรู้ตัว”
ทั้งสองนายบ่าวสบตากันอย่างเข้าใจความหมาย
ชินอ๋องยกยิ้มมุมปาก “จากนั้น...ก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
“แม่นาง...เจ้าคงเข้าผิดห้อง” จ้าวชิงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ไม่ผิด” นางตอบเสียงหวาน “หากห้องนี้คือห้องพักของท่านเจ้าบ้านหลี่” พลางทอดสายตาหวานหยาดเยิ้มให้แก่หลี่เฉิง จ้าวชิงเฟิงรู้สึกว่า...ตนคงพูดอะไรไม่ได้ เพราะคนที่นางมาหาไม่ใช่ตน “เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใด?” นายท่านหลี่ถามเสียงเรียบๆ “มาทำความรู้จัก” นางตอบแล้วยิ้มหวาน “ข้าชื่อ...อินซวงซวง เป็นประมุขพรรคสุริยัน” “พรรคมาร” หลี่เฉิงเอ่ยขึ้น “นั่นเป็นชื่อที่พวกไร้มารยาทเรียกหา” นางกล่าวอย่างไม่พอใจ แล้วเปลี่ยนกลับมาอ่อนหวานว่า “ท่านเจ้าบ้านหลี่...ท่านน่าจะเชิญสหายของท่านผู้นี้ออกไปข้างนอกก่อน...พวกเราจะได้ทำความรู้จักกันให้ลึกซึ้ง” หลี่เฉิงมิได้กล่าวอะไร...เขาต้องการจะดูปฏิกิริยาของจ้าวชิงเฟิงว่าจะจัดการกับเรื่องเช่นนี้อย่างไรบ้าง อินซวงซวงเหลือบตามองจ้าวชิงเฟิงที่สวมหน้ากากผ้าแพรสีดำนิดหนึ่ง ก่อนจะออกปากว่า “คุณชาย สมควรจะรีบออกไปข้างนอกก่อนนะ!” “อ๊ะ...ข้า...” จ้าวชิงเฟิงลุกจากเตียงที่นั่งอยู่ จะเดินออกไปจากห้อง...หมูเขาจะหาม อย่าเ
ประมุขเฉินห้าวกับอาหลีจูงมือกันมายืนต่อหน้านายท่านหลี่และคุณชายจ้าว “พวกเราปรับความเข้าใจกันแล้ว” ประมุขเฉินห้าวเอ่ย “ข้ากับอาหลีจะแต่งงานกัน แต่คงต้องรอให้งานชุมนุมชาวยุทธที่เขาไท้ซานเสร็จสิ้นเสียก่อน” จ้าวชิงเฟิงยิ้ม แต่ยังอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ว่า “อาหลี เจ้าฝืนใจหรือเปล่า?” อาหลีส่ายหน้า ทีท่าเขินอายยิ่งนัก “ถ้าเจ้ามิได้ฝืนใจ เกอเกอก็ยินดีด้วย” จ้าวชิงเฟิงแย้มยิ้มทั้งปากทั้งตา ดึงตัวอาหลีมากอดเอาไว้ เดือดร้อนนายท่านหลี่ต้องรีบจับแยก... ที่สำนักวัดไท้ซาน...พรรคต่างๆในยุทธภพต่างมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง ทั้งฝ่ายธรรมมะและฝ่ายอธรรม เพื่อคัดเลือกจ้าวยุทธภพที่สิบปีมีครั้งหนึ่งอย่างกระตือรือร้น พรรคฝ่ายธรรมมะประกอบด้วย... วัดไท้ซาน...ซึ่งได้ตำแหน่งผู้นำยุทธภพเมื่อสิบปีก่อน โดยฝีมือของเจ้าอาวาสต้าซือไร้ลักษณ์ ผู้มีหน้าตาใจดีมีเมตตา คิ้วเคราขาวโพลน แต่ดวงตากลับเปล่งประกายคมกล้าของยอดฝีมือชัดเจน ศิษย์ในวัดมีทั้งศิษย์ที่เป็นภิกษุและศิษย์ฆราวาส พรรคเทียนซาน...ซึ่งมาอย่างอวดโอ่ เพราะเจ้าสำนักเพิ่งสำเร็จวิชาเส
งานเลี้ยงดำเนินไปได้สักพัก...นายท่านหลี่ก็พาคุณชายจ้าวที่เริ่มเมานิดหน่อยกลับห้องพัก ส่วนละอ่อนอย่างอาหลีก็ถูกประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวไล่ให้กลับห้องไปนอนก่อน เพราะเขาตั้งใจจะดวลสุรากับหัวหน้าราชองครักษ์อ๋าวไคทั้งคืน แต่ดื่มกันไปได้พักใหญ่...ประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวก็เกิดนึกเป็นห่วงอาหลีขึ้นมา “ท่านอ๋าว...ข้าคงต้องขอตัวแค่นี้ก่อน” “อ้าว...ประมุขเฉิน ไหนท่านว่าจะดื่มกันยันฟ้าสว่างอย่างไรล่ะ” อ๋าวไคแย้ง “ข้าเป็นห่วงอาหลี เด็กน้อยคนนี้ปกติจะต้องให้ข้านั่งอยู่เป็นเพื่อนจึงจะนอนหลับ ป่านนี้จะนอนแล้วหรือยังก็ไม่รู้ ข้าจะไปดูเขาสักหน่อย” ประมุขเฉินตอบ “ถ้าเช่นนั้น...พวกเราก็พอแค่นี้แล้วกัน” อ๋าวไคเอ่ย “ข้าก็จะกลับห้องพัก...พวกเราไปทางเดียวกัน ไปกันเถิด” แล้วทั้งสองก็ลุกขึ้น เดินขึ้นชั้นบน ตรงไปยังห้องพักของอาหลีก่อน แต่พอเข้าใกล้...ทั้งสองก็มองหน้ากัน เพราะได้ยินเสียงผิดปกติ ประมุขเฉินห้าวจึงรีบกระแทกประตูห้องเปิดออกอย่างไม่รอช้า ภาพที่เห็น คือ...อาหลีถูกถอดเสื้อผ้าจนเปลือยเปล่า นอนบิดกายอยู่บนเตียง ที่หน้
หลังจากดูงิ้ว...เฉินกุ่ยปาดน้ำตาลวกๆ ขณะเดินเคียงคู่มากับจางจง ไปตามถนนที่เงียบสงัดเพราะดึกมากแล้ว “ท่านเฉิน ท่านร้องไห้ทุกครั้งที่ดูงิ้วนะหรือ?” จางจงอดถามไม่ได้ เพราะเห็นแม่ทัพรักษาเมืองตัวโตนั่งร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรขณะดูงิ้ว จนกระทั่งงิ้วแสดงจบ ออกมาจากโรงงิ้วแล้ว ก็ยังไม่หยุดร้องอีก เขาไม่ได้คิดเย้ยหยันหรอกนะว่า ผู้ชายที่ดูดุดันตัวโตราวตึกจะร้องไห้ไม่ได้ เพียงแต่แปลกใจว่า...ท่านแม่ทัพร่างใหญ่วัยฉกรรจ์จะมีมุมที่อ่อนไหวเช่นนี้ด้วย! “ขะ ข้าสงสารนางเอกที่ถูกสามีทอดทิ้งหนะ” เฉินกุ่ยอ้อมแอ้ม “งิ้วก็คือเรื่องแต่งเท่านั้นนะท่านเฉิน” “ข้ารู้” เฉินกุ่ยพยักหน้า “แต่ก็ทำให้ข้าคิดถึงตัวเองด้วยนะอาจง” “ท่านคิดสิ่งใดหรือ?” จางจงถาม เฉินกุ่ยสูดลมหายใจเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ข้าชอบคนคนหนึ่งอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่า เขาจะชอบข้าบ้างหรือไม่?” “ท่านเป็นบุรุษที่พึ่งพาได้” จางจงกล่าวปลอบโยน “อีกทั้งมีเกียรติยศศักดิ์ฐานะสูงส่งขนาดนี้ แม่นางคนใดจะไม่ชอบท่านล่ะ?” “เขาเป็นบุรุษ!” “เอ๋...
สีหน้าเฉินกุ่ยผิดหวังตะลึงงัน หลี่เฉิงกล่าวด้วยเสียงเรียบๆว่า “มีที่ใด...เจ้าไม่เคยไปมาบ้าง จากเหนือจรดใต้ จากตะวันออกไปจนถึงตะวันตก เจ้าล้วนไปมาทั่วแล้ว” “ขะ คือ...มันไม่เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ” เฉินกุ่ยเหงื่อตก “ไปอย่างนั้น มันไปธุระ...” “นี่ก็ไปธุระ” หลี่เฉิงนั้นรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายดี แต่จะกลั่นแกล้งให้ต้องพูดออกมา “ธุระตอนนั้นมันไม่มี แต่ตอนนี้มี...” “มีอะไร?” “มี...” แม่ทัพร่างใหญ่ยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก...รู้สึกว่า คำพูดที่อยู่ในอก ช่างพูดออกมายากเย็นนัก ยากกว่าการไปรบทัพจับศึกเสียอีก แต่เพื่อให้ได้ติดตามขบวนประพาสของฮ่องเต้ จึงทำใจให้สงบ สูดลมหายใจให้เต็มปอด และพูดอุบอิบว่า “มี...จางจง พ่ะย่ะค่ะ” แม้เสียงเบา แต่ฮ่องเต้กับคุณชายต่างได้ยิน ทำเอาคุณชายเกือบทำถ้วยชาหลุดมือ “อ่อ...” หลี่เฉิงพยักหน้า “เหตุผลพอฟังขึ้น ข้าอนุญาตให้เจ้าไปด้วยก็ได้ แต่เจ้าจะต้องไปปรึกษากับอ๋าวไคว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างในการไปเที่ยวครั้งนี้”
พิเศษ 1 ศึกชิงจ้าวยุทธภพ อาหลีติดตามเฉินห้าวไปทุกที่ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตะวันออกจรดตะวันตก จนวนกลับมายังเมืองหลวงต้าหนาน “ไม่รู้ว่าเกอเกอ(พี่ชาย)ฮองเฮา กับเจี่ยเจีย(พี่สาว)เซียงเซียงจะเป็นอย่างไรบ้าง?” อาหลีที่เดินตามประมุขเฉินต้อยๆ เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหอสุราจุ้ยเซียนอยู่ตรงหน้า “เดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้...” ประมุขเฉินกล่าว พลางพาอาหลีเข้าไปในหอสุรา และขึ้นบันไดไปบนชั้นสอง ที่ห้องพิเศษบนชั้นสอง...ฮ่องเต้หลี่เฉิงกับ ฮองเฮาจ้าวชิงเฟิง นั่งรออยู่ แต่ผู้ที่ทำให้ประมุขเฉินผิดคาดหมายเล็กน้อยคือ...หลวงจีนลืมชื่อ ภิกษุชราผู้มีร่องรอยลี้ลับหาตัวพบยากนักหนา กำลังคีบเนื้อแพะตุ๋นน้ำแดงเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ประมุขพรรคยาจกประสานมือค้อมศีรษะให้ฮ่องเต้เป็นอันดับแรก “ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่ต้องมากพิธี” ฮ่องเต้ตรัส “อยู่ข้างนอกพระราชวัง ประมุขเฉินอย่าได้ใช้พิธีรีตองในวังกับข้า เรียกข้าว่าเจ้าบ้านหลี่ก็พอ ข้าจะใช้ชื่อในการท่องเที่ยวข้างนอกนี้ว่า ‘หลี่ฉือ’ ส่วนฟูเหรินของข้าจะใช้ชื่อว่า คุณชายจ้าวเฟิง”