LOGIN“ขอปะแป้งได้บ่จ้า”
“บ่สะดวกครับ”
“ซั่นกะขอเบอร์แนได้บ่”
“อันนี่กะบ่สะดวกครับ”
ตั้งแต่ที่มาถึงบริเวณจัดงานภายในตัวจังหวัด นี่ก็รอบที่สี่แล้วที่มีคนเข้ามาหาแดนดินในลักษณะนี้ ด้วยรูปลักษณ์ที่ร่างสูงใหญ่บึกบึน ใบหน้าคมคายราวกับปั้นแต่ง ผมสีดำขลับที่ถูกเสยขึ้นจากการเปียกน้ำ กลับมีเสน่ห์ชวนให้หลงใหล
แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธตลอด แต่ก็ยังมีผู้คนที่หลงใหลแวะเวียนเข้ามาเรื่อย ๆ นี่อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนร่างหนาไม่อยากมาเที่ยวก็ได้
“พี่คนนี้เขาฮอตเนอะ”
ธีร์รันที่ยืนมองอยู่หันมากระซิบพร้อมกับใช้มือสะกิดให้สิงหาดู ในขณะที่คนพี่กำลังง่วนอยู่กับการปะแป้งสาว ๆ
บรรยากาศวันแรกดูคึกคัก ผู้คนเริ่มทยอยกันมาเรื่อย ๆ เพราะวันนี้มีขบวนแห่ ถนนทั้งสองข้างทางมีรถที่จอดเรียงรายกันอย่างยาวเหยียด
เมื่อได้ตำแหน่งจอดรถที่พอใจแล้ว ทั้งสี่จึงได้ปักหลักกันอยู่ตรงบริเวณนั้น ซึ่งก็มีผู้คนที่สัญจรผ่านไปมากันอย่างต่อเนื่อง
“เว่าเรื่องหล่อ มันบ่สู้อ้ายดอก”
สิงหาเอ่ยพร้อมกับเอามือมาจับที่ปลายคางพร้อมกับยักคิ้วด้วยสีหน้าที่มั่นใจสุด ๆ ก่อนจะแสดงหลักฐานการขอเบอร์สาว ๆ ที่ได้มาเพียบ
“มันบ่เคยจริงจังกับไผดอกบักสิงน่ะ...มันซัว” (มันไม่เคยจริงใจกับใครหรอกไอ้สิงน่ะ...มันชั่ว)
เหนือที่นั่งจิบเหล้าอยู่ใกล้ ๆ เอ่ยแทรกขึ้นก่อนจะเน้นย้ำคำหลังใส่หน้าเพื่อนเป็นพิเศษ
“โห...คาสโนว่าตัวพ่อสุด ๆ”
ธีร์รันพูดพลางกอดอกพร้อมกับพยักหน้าด้วยความทึ่งให้กับคนพี่ ซึ่งสิงหาก็ได้ยิ้มกลับมาอย่างเจ้าเล่ห์
“ขอโทษนะครับ”
คนตัวเล็กที่เห็นว่าพี่อีกคนนั่งเหงาหงอยทำหน้าเบื่อโลกที่ท้ายกระบะ จึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาหวังให้มาสนุกด้วยกัน ใจหนึ่งก็รู้สึกผิดที่ตนรั้นจะมาโดยไม่นึกถึงความรู้สึกของคนพี่
“บ่สะ...”
แดนดินที่เอ่ยเสียงเข้มยังไม่ทันได้จบประโยคกลับต้องชะงักลง เพราะหันมาเจอกับเจ้าของเสียงที่ไม่ใช่ใครอื่นไกลที่ไหน
“ทำไม...จะปฏิเสธอีกเหรอ”
“อ้ายนึกวาแมนไผ” ร่างหนาเปล่งเสียงอ่อนลง เพราะกลัวว่าคนน้องจะกลัวที่ทำเสียงดุไปเมื่อกี้
“ขอปะแป้งหน่อยได้ไหม?”
คนพี่นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ธีร์รันยืนรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อพร้อมกับถือขันแป้งไว้ในมือ ก่อนที่ร่างสูงจะพยักหน้าเบา ๆ เป็นการอนุญาต
คนตัวเล็กยิ้มกว้างจนเห็นไรฟันขาวสะอาด พลางใช้มือเรียวบางจุ่มลงในขันแป้ง เอื้อมไปยังแก้มได้รูปของคนพี่ที่มีกรามคมชัดเจน ก่อนที่ผิวเนียนจะถูกแทนที่ด้วยแป้งจากมือคนน้อง
แดนดินจ้องมองคนน้องที่กำลังจดจ่ออยู่กับแก้มของตน พลันความคิดความรู้สึกต่าง ๆ ก็เคลือบคลานเข้ามาในหัวใจ เป็นความรู้สึกแปลก ๆ ซึ่งบอกไม่ถูกว่าคือความรู้สึกแบบไหน
พอยิ่งมองคนตัวเล็กที่อยู่ด้านหน้า กลับยิ่งรู้สึกจั๊กจี้ที่หัวใจ เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยมากนักเพียงแต่ช่วงหลัง ๆ มานี้ พออยู่กับเจ้าตัวเล็กนานเข้า ตนมักจะมีความรู้สึกที่ไม่เข้าใจผุดขึ้นมาบ่อย ๆ
“ปะ ไปสนุกด้วยกันนะ”
คนตัวเล็กเอื้อมไปจับข้อมือหนาไว้เบา ๆ ก่อนที่คนพี่จะยันกายลงจากท้ายกระบะ แล้วเดินตามคนน้องมาสมทบกับสิงและเหนือที่ตอนนี้กำลังสนุกสนานอยู่กับการมองสาว ๆ ที่เดินผ่านไปมา
“เฮายางไปแห่นำเพิ่นบ่” (พวกเราเดินไปแห่กับเขาไหม)
เมื่ออยู่ตรงนี้มาพักใหญ่ ๆ สิงที่เห็นว่าขบวนแห่กำลังจะเริ่มแล้ว จึงได้เอ่ยชวนเพื่อนและคนน้องให้ไปร่วมเดินด้วยกัน
“ไปติ๊ล่ะ” (ไปสิ)
“ไปนำกันเนาะ” (ไปด้วยกันนะ)
เหนือเอ่ยตอบสิง พลางหันมามองแดนดินเพื่อดูท่าทางของเพื่อนว่าจะเอายังไง ก่อนที่แดนดินจะพยักหน้าให้เป็นอันตกลง เพราะหลังจากที่เห็นน้องสนุกสนาน ตนก็เหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้ว
ทั้งสี่ได้มุ่งหน้าไปตามขบวนแห่ มีคนพี่เดินนำและมีคนน้องเดินตาม ท่ามกลางผู้คนที่เริ่มทยอยกันเข้ามาเรื่อย ๆ ทำให้บรรยากาศในตอนนี้มีผู้คนอย่างเนืองแน่น
“ขอปะแป้งได้บ่ครับ”
หลังจากที่เดินกันมาสักพัก ก็ได้มีชายคนหนึ่งเดินปลีกตัวจากกลุ่มข้าง ๆ ตรงเข้ามาหาธีร์รัน ที่ตอนนี้กำลังมองซ้ายมองขวาเพื่อดูว่าชายปริศนาที่อยู่ตรงหน้ากำลังคุยอยู่กับใคร ก่อนที่จะใช้มือชี้มายังตัวเองพลางทำหน้าตาสงสัย
“น้องนั่นล่ะครับ”
“เอ่อ...ดะ ได้ครับ”
คนตัวเล็กตอบเสียงแผ่ว พลางเหลือบมองคนพี่ที่ตอนนี้เดินนำไปก่อนแล้ว ด้วยจำนวนคนที่เยอะหากยืดเยื้อเวลาไปมากกว่านี้อาจจะคลาดสายตากับคนพี่ได้ จึงได้ตอบตกลงไป
คนมาเยือนส่งยิ้มหวานปนเจ้าเล่ห์ ในขณะที่ธีร์รันกำลังชำเลืองมองหลังตามคนพี่ ก็ได้มีฝ่ามือใหญ่มาประกบลงบนพวงแก้มใส จนคนตัวเล็กสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนลงมาที่ลำคอระหงจนเจ้าของร่างขนลุกซู่ ก่อนจะใช้มือผลักคนตรงหน้าออก
ธีร์รันที่พยายามเดินหนีไปหาพี่ทั้งสาม กลับถูกเหนี่ยวรั้งไว้ด้วยมือหนา ถึงแม้จะพยายามสะบัดออกแต่ก็ไม่เป็นผล จนข้อมือเล็กเริ่มจะมีสีแดงก่ำ
“ปล่อยนะ”
ธีร์รันเริ่มมีใบหน้าซีดเผือด ร่างกายสั่นระริกไปด้วยความหวาดกลัว เพราะยิ่งเข้าใกล้ชายตรงหน้าก็ยิ่งได้กลิ่นแอลกอฮอล์ที่แรงมากขึ้น
“ไปนำอ้ายปะ ถึงสิเป็นผู้ชายแต่แบบนี้แหละสเปคอ้ายเลย”
ว่าพลางชายตรงหน้าก็ได้ยื่นจมูกเข้ามาใกล้ธีร์รัน ทำเอาคนตัวเล็กหลับตาปี๋ ก่อนจะรับรู้ถึงแรงดึงจากทางด้านหลัง ในขณะเดียวกันกับที่แรงจับตรงข้อมือเริ่มคลายลง จึงได้ค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น
“เฮ้ย! มึงอย่ามายุ่งกับคนของกู” (เฮ้ย! มึงอย่ามายุ่งกับคนของกู)
เป็นแดนดินที่ได้ผลักอกชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างเต็มแรง ก่อนจะเอ่ยพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ชายแปลกหน้าด้วยแววตาเอาเรื่อง ด้วยความที่กำลังโกรธสุดขีดจึงขบกรามแน่น จนเห็นกล้ามเนื้อขากรรไกรขยับ แววตาจ้องมองคนตรงหน้าอย่างดุดัน ก่อนจะจับข้อมือคนน้องไว้เบา ๆ พลางเบี่ยงกายเอาร่างหนามายืนบังคนตัวเล็กไว้ โดยมีสิงและเหนือเดินมาสมทบในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ห้ามไว้แต่อย่างใด
ตอนนี้สายตารอบข้างพลันจับจ้องมายังพวกเขา ซึ่งคนพี่ทั้งสามก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะกล้ามาทำนิสัยแบบนี้ใส่คนของเขา เห็นทีว่าจะยอมไม่ได้ ก่อนที่กลุ่มเพื่อนของชายตรงหน้าจะเข้ามาพยุงคนของตนให้ลุกขึ้น
“มึงเป็นแฟนน้องเขาเบาะ คือกล้ามาเสือก” ชายปริศนาชี้นิ้วไปทางด้านของแดนดิน พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดังจนคนตัวเล็กถึงกับสะดุ้งโหยง
“กูสิเป็นหยังมันกะบ่เกี่ยวกับมึง”
“บ่ได้เป็นแฟน กะอย่ามาหวงก้าง”
“ต้องขอโทษแทนหมู่นำเด้อจ้า สงสัยคงสิเมาหลาย” (ต้องขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะคะ สงสัยคงจะเมาหนัก)
เพื่อนของชายปริศนาที่เห็นว่าสถานการณ์เริ่มแย่ลง จึงได้เข้ามาห้ามปรามเพื่อน ก่อนจะรีบเอ่ยขอโทษออกมา
“เมาแล้วสิเฮ็ดแบบนี้ใส่ไผกะได้เบาะ” (เมาแล้วจะทำแบบนี้กับใครก็ได้เหรอ)
แดนดินที่อารมณ์กำลังพวยพุ่งด้วยความโกรธ จนตอนนี้ไม่ได้สนใจว่าคู่สนทนาจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ทำเอาธีร์รันที่ยืนอยู่ด้านหลังต้องเขย่าแขนคนพี่เบา ๆ เพื่อเป็นการเรียกสติ
“พี่แดนไม่เป็นไรหรอกเราไปกันเถอะ...นะ”
“พี่สิงพี่เหนือรันไม่เป็นอะไร ไม่ต้องเอาเรื่องเขาหรอก”
คนตัวเล็กเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ท่าทางกระวนกระวาย เพราะกลัวว่าตนจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดการทะเลาะในครั้งนี้ กลัวว่าจะทำให้คนพี่เกิดอันตราย ไม่อยากให้พี่ทั้งสามต้องมาถูกพูดถึงในทางเสีย ๆ หาย ๆ เพียงเพราะตน
“…”
“พี่แดน”
เมื่อพี่ทั้งสามไม่ยอมพูดอะไร เอาเพียงแต่จ้องมองกลุ่มคนข้างหน้าอย่างไม่คลาดสายตา ทำเอาธีร์รันใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ก่อนจะเอ่ยเรียกแดนดินอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่กึ่งจะร้องไห้
“อย่าให้กูเห็นมึงอีกแล้วกัน”
แดนดินเอ่ยทิ้งท้ายก่อนที่จะหันหลังกลับ พลางจูงแขนคนน้องให้เดินตามตนเอง โดยมีเหนือและสิงเดินมาปิดท้ายอีกที
เพียงวินาทีที่รู้ว่าคนน้องคลาดสายตาไป แดนดินก็กระสับกระส่ายจนอยู่ไม่สุข ภาวนาไม่ให้เกิดเรื่องอะไรไม่ดีขึ้น แต่ดูเหมือนว่าคำอ้อนวอนของเขาจะไม่เป็นผล เพราะเมื่อลองย้อนกลับมาดูกลับต้องมาพบว่า มีใครหน้าไหนก็ไม่รู้กำลังทำนิสัยแย่ ๆ ใส่คนน้อง
ความคิดต่าง ๆ พลันแล่นเข้ามาในหัว ถ้าตนไม่ปล่อยให้คนน้องเดินตามหลัง ถ้าตนดูแลคนน้องให้ดีกว่านี้ หรือถ้าตนไม่พาคนน้องมาตั้งแต่แรก เหตุการณ์แบบนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น
“พี่แดน”
ในระหว่างที่เดินมา ธีร์รันเห็นว่าคนพี่ยังไม่คลายจากความโกรธ ซึ่งโดยปกติตนไม่เคยเห็นแดนดินในมุมนี้มาก่อน จึงได้รวบรวมความกล้าเอ่ยเรียกขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
และเหมือนเป็นการเรียกสติคนที่อยู่ตรงหน้า พอสิ้นเสียงเรียกแดนดินได้หยุดฝีเท้าลง เขาก้มหน้าเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยมือแล้วหันกลับมามองคนตัวเล็กที่หยุดจ้องมองตนอยู่
“อ้ายขอโทษ”
สายตาแดงก่ำของคนตรงหน้ายิ่งทำให้รู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก เลยทำให้ไม่กล้าที่จะสบตาคนตัวเล็ก ก่อนจะหันหน้าไปมองทางอื่น
ธีร์รันทำท่าทางแปลกใจเพราะแดนดินเป็นฝ่ายเอ่ยขอโทษตน ทั้ง ๆ ที่คนพี่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแม้แต่น้อย กลับกันเป็นเขาเองที่เกือบจะทำให้คนพี่ต้องมีเรื่องแล้ว
“พี่ไม่ต้องขอโทษ รันต่างหากที่ต้องขอโทษที่ทำให้พี่เกือบจะมีเรื่องเพราะรัน”
คนตัวเล็กเอ่ยพร้อมกับก้มหน้าลง ก่อนที่น้ำตาที่กลั้นไว้นาน จะเริ่มหลั่งไหลออกมาดังสายน้ำที่เอ่อล้น ริมฝีปากถูกเม้มแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น ร่างบางเริ่มสั่นคลอนก่อนที่มือน้อย ๆ จะถูกยกขึ้นมาปาดน้ำตา
แดนดินที่เห็นดังนั้นก็ได้เอื้อมมือมาจับไหล่บาง พอคนน้องเงยหน้าขึ้นก็เหมือนมีเหล็กแหลมมาทิ่มแทงที่หัวใจ เมื่อเด็กน้อยคนที่เคยมีแต่รอยยิ้ม บัดนี้ ใบหน้ากลับถูกแทนที่ไปด้วยหยาดน้ำตา
“นี่แป้งที่มันทาเบาะ”
แดนดินเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย ก่อนที่จะวิ่งไปซื้อน้ำที่ร้านค้าใกล้ ๆ เพื่อนำกลับมาล้างหน้าล้างตัวให้กับคนน้อง ถึงแม้ว่าจะล้างแป้งออกหมดแล้ว แต่ก็ไม่สามารถล้างน้ำตาออกจากใบหน้าเล็กได้
ร่างสูงวิ่งจากไปอีกครั้ง โดยครั้งนี้แดนดินได้วิ่งไปหาเพื่อนที่ตอนนี้ยืนมองทั้งคู่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ก่อนจะถือขันแป้งจากสิงกลับมาหาคนตัวเล็ก
ฝ่ามือหนาค่อย ๆ ปะแป้งลงบนแก้มขาวบางอย่างแผ่วเบา ทำเอาธีร์รันนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา ถึงแม้จะมีฝ่ามือที่หนาเหมือนกัน แต่การกระทำจากคนพี่กลับทำให้รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ถูกส่งมาอย่างชัดเจน
“เซาไห้เด้อ เดี๋ยวแป้งที่อ้ายทาให้มันสิออกเบิด” (หยุดร้องนะ เดี๋ยวแป้งที่พี่ทาให้มันจะลบหมด)
คนตัวเล็กถึงกับเผยยิ้มก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ พอรู้ถึงเหตุผลที่คนพี่ทำเช่นนี้ กลับกลายเป็นว่าตนทำให้คนพี่ต้องเป็นห่วงอีกแล้ว
ร่างสูงที่เห็นคนน้องหัวเราะออกมาก็พลอยรู้สึกโล่งใจ เด็กร่าเริงคนนั้นกลับมาแล้ว พอสิงและเหนือเห็นว่าสถานการณ์เริ่มดีขึ้น จึงได้เดินเข้ามาสมทบกับทั้งคู่
“พวกอ้ายขอโทษเด้อที่เฮ็ดให้ย่าน” (พวกพี่ขอโทษนะที่ทำให้กลัว)
“โอเคขึ้นแล้วเนาะ” สิงเอ่ยพลางยกมือขึ้นมาลูบหัวคนตัวเล็กก่อนจะโยกเบา ๆ
“อื้อ ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วงรัน”
“มาขอบคงขอบคุณอิหยัง ปะ...ไปหาม่วนกันต่อ ลืมเหตุการณ์ที่มันบ่ดีซะเด้อ” (มาขอบคงขอบคุณอะไร ปะ...ไปสนุกกันต่อลืมเหตุการณ์ที่มันไม่ดีไปนะ)
“อื้อ”
ธีร์รันพยักหน้ารับก่อนที่จะโดนคนพี่ลากไปสนุกกับงาน จนทำให้เขาลืมเรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่ผ่านมาในวันนี้ไปได้
กว่าจะออกจากงานมาได้ก็ปาไปกว่าสองทุ่มครึ่ง แดนดินเสียสละชุดที่นำมาเปลี่ยนให้กับคนน้อง เพราะกลัวว่าจะไม่สบาย ทำให้ตอนนี้ต้องออกมานั่งรับลมในชุดที่เปียกเพียงคนเดียวที่ท้ายกระบะ
เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้เขานึกถึงความทรงจำเก่า ๆ
เมื่อก่อนก็เคยเกิดเหตุการณ์คล้าย ๆ แบบนี้ คนรักที่เขาเฝ้าทะนุถนอมเป็นอย่างดี กำลังนัวเนียอยู่กับชายอื่น เพียงแต่ครั้งนั้นเมื่อตนเข้าไปแยก กลับกลายเป็นว่าฝ่ายที่ถูกผลักจนล้มคือตัวของเขาเอง
และล้ม...ด้วยน้ำมือของคนที่เขารักเอง
“บ่แมนมันคิดสั้นแล้วเบาะสิง” “ปากมึงเบาะนั่น” สิงและเหนือที่เห็นว่าสายแล้วยังไม่เจอเพื่อนมาหาสักที ก็เกิดความร้อนใจกลัวว่าเพื่อนจะคิดอะไรที่ไม่ดี ปกติบอกว่าจะมาก็คือมาคำไหนคำนั้น จึงได้รีบบึ่งรถมาหาที่บ้านเผื่อเกิดเหตุอะไรตนจะได้ช่วยเหลือทัน เพราะตั้งแต่เมื่อวานที่เพื่อนกลับไป ตนก็ไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนอีก “กะมันวามันสิมาหาเฮา จนฮอดปานนี้กะยังบ่เห็น” “มื้อวานมันกะถืกสะกิดปมไปอีก” “บ่ดอก มันคงบ่คิดแบบนั้น” “มึงฟ่าวขับเร็ว ๆ แน กูใจบ่ดี” (มึงรีบขับเร็ว ๆ หน่อย กูใจไม่ดี) การโต้เถียงเกิดขึ
“อ๊ะ!” แดนดินได้ช้อนร่างของคนตัวเล็กให้ขึ้นมานั่งบนตัก พลางจับชายเสื้อของตนถอดผ่านศีรษะด้วยท่าทางที่ทะมัดทะแมง เผยให้เห็นร่างกายที่กำยำซึ่งยังคงเต็มไปด้วยมัดกล้ามและกลุ่มก้อนขนมปัง ก่อนที่จะไล่ไปถอดกางเกงของร่างบางออกจนหมดสิ้น สองมือได้ไปกอบกำเอาส่วนเนื้ออ่อนที่บริเวณก้นกลมของคนตัวเล็ก ขยำ ๆ อยู่นานจนเนื้อขาวนวลปลิ้นออกมาตามซอกนิ้ว ในขณะที่ริมฝีปากก็ยังคงเล็มเลียอยู่กับยอดปทุมสีหวาน จนธีร์รันต้องแอ่นอกสู้ด้วยความสาดเสียว “อ๊า! พี่” ร่องรอยสีกุหลาบที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบที่จะไม่มีพื้นที่ว่าง ทั้งรอยขบกัดและรอยดูดดึง จากความปรารถนาที่มีอย่างมากล้น ซึ่งธีร์รันก็ไม่ได้ปัดป้องแต่อย่างใด ปล่อยให้คนพี่ทำอย่างที่ใจอยาก เพราะการที่คนพี่จะต้องอดกลั้นถึงเพียงนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะตนทั้งนั้น
บรรยากาศยามค่ำที่มีสายลมพัดมาเป็นระยะ ๆ เมื่อมาปะทะกับผิวกาย ก็พลอยทำให้รับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกที่ถูกส่งมาเป็นอย่างดี ฤดูหนาวผ่านมาอีกครา ครั้งก่อนแดนดินยังจำได้ดี ตนเคยมีความสุขมาก ๆ ในช่วงนี้เมื่อปีที่แล้ว แต่ในขณะเดียวกันก็เจ็บปวดจนแทบเจียนตาย ความคิดถึงที่เขามีต่อคนรักอยู่ทุกวันก็แทบจะเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่วันนี้ ความรู้สึกกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น อาจจะเพราะแอลกอฮอล์ที่อยู่ในร่างกายหรืออะไรก็ตามแต่ ซึ่งมันทำให้เขาไม่ทันมองว่ามีสิ่งแปลกตาเข้ามาอยู่ในบ้านของเขา รู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อเดินลงจากรถมอเตอร์ไซค์มาแล้ว “รถไผวะ” (รถใครวะ) รถเก๋งคันหรูสีดำสวยที่จอดนิ่งสนิทอยู่ในบริเวณบ้านของเขา พอลองมองหาเจ้าของรถคันดังกล่าวก็เจอแต่ความเงียบสงบ ยิ่งพยายามนึกถึงที่มาที่ไปของรถคันนี้ก็ยิ่งทำให้สับสนขึ้นไปอีก ตนไม่รู้จักใครที่มีรถลักษณะแบบนี้ ยิ่งเป็นญาติยิ่งแล้วใหญ่ เมื่อลองเดินสำรวจรอบ ๆ ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ
“ก๊อก...ก๊อก!” “คุณรัน คุณท่านให้มาตามไปทานข้าวค่ะ” “รันยังไม่หิวครับ” แม่บ้านต่างก็หันหน้ามามองกันด้วยความลำบากใจ หนึ่งสัปดาห์มาแล้วตั้งแต่ที่คุณหนูของบ้านเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง ข้าวปลาก็กินแทบจะนับคำได้ ทำเอาทุกคนต่างพลอยเป็นห่วงกันไปหมด เมื่อการเรียกขานไม่เป็นผล แม่บ้านจึงได้ถอยหลังมาเพื่อเปิดทางให้กับหญิงสาวคนหนึ่งได้เดินไปที่หน้าประตูห้อง และทำการเรียกขานขึ้นอีกครั้ง “รัน...นี่ดาวเองนะ” “ดาวขอเข้าไปได้ไหม?” ความเงียบสงบมาเยือนอยู่สักพัก ก่อนที่ประตูบานใหญ่จะค่อย ๆ ถูกเปิดออก เผยให้เห
“สูกลับไปซะ” แดนดินเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้อง หลังจากที่พาเพื่อนกลับมาถึงบ้าน ในขณะที่จัดการทำแผลให้อยู่นั้น เหนือได้สังเกตสีหน้าท่าทางของเพื่อนที่ดูเลื่อนลอย แววตาดูหมดหวัง แม้ว่าจะเป็นเวลาที่สิงเช็ดแผลให้ ทั้ง ๆ ที่ควรจะเจ็บมากแท้ ๆ แต่แดนดิน กลับไม่มีแม้แต่จะส่งเสียงออกมา “กูวาเฮาต้องมาอยู่เป็นหมู่มัน” “กูย่านมันคิดสั้น เบิ่งทรงสิหนักกว่าตอนเลิกกับน้องวา” “อือ หนักกว่าหลายเลยล่ะ” เมื่อเห็นอาการของเพื่อนที่ไม่สู้ดีนักก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ ถ้าเจ็บป่วยทางกายยังพอหาทางรักษาให้ได้ แต่อาการทางใจตนคงต้องคอยดูอยู่ห่าง ๆ และรอเวลาที่จะคอยเยียวยาทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น&n
เมื่อใกล้ถึงฤดูเก็บเกี่ยว ท้องทุ่งนาถูกย้อมด้วยสีทองอร่ามของรวงข้าวที่โอนอ่อนลู่ลม เสียงรวงข้าวที่เสียดสีกันดังแผ่วเบายามเมื่อสายลมพัดผ่าน แสงแดดยามสายส่องกระทบไปทั่วผืนนาจนเกิดเป็นประกายระยิบระยับ “พี่จะเก็บเกี่ยวข้าวยังไงเหรอ” คำถามที่เอื้อนเอ่ยออกมา ในขณะที่กำลังเดินลัดเลาะอยู่บนคันนา ร่างสูงเดินนำและมีคนตัวเล็กเดินตาม การเดินสำรวจแปลงนาในทุก ๆ เช้า น่าจะเป็นกิจวัตรประจำวันของคนทั้งคู่ไปแล้ว “อ้ายวาสิเอารถเกี่ยวเอา” “แต่กะสิจ้างชาวบ้านเกี่ยวบางส่วน พอให้เพินมีรายได้” “แฟนใครใจดีจัง” แดนดินหันมายิ้มให้กับคนตัวเล็ก พร้อมกับแก้มบางที่ถูกเรียวนิ้วยาวหยิกให้เบ







![อุบัติรักฟีโรโมน [Omagaverse]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)