Masukดารินธิราเดินชมบรรยากาศยามค่ำคืนของ Pier 39 ท่าเรือจำนวนมากที่จอดเทียบท่าส่องแสงสีส้มสว่างไสวยามค่ำคืน
ชวนให้นึกถึงกลิ่นอายของความวินเทจเก่า ๆ ที่คละคลุ้งอยู่รอบท่าเรือคลาสสิคแห่งนี้
แต่การบันทึกภาพเพื่อเป็นไอเดียก็ต้องจบลง พลันใดเมื่อหยาดฝนเทกระหน่ำลงมา พร้อมกับลมกระโชกที่พัดโบกขึ้นมาจากอ่าวซานฟรานซิสโก ทำให้เรือลำใหญ่น้อยทั้งหลายโคลงเคลงตามคลื่นที่ยกตัวขึ้นมากระทบฝั่ง
เม็ดฝนที่โปรยปรายลงมาเทสาดบงพื้นทางเดินบดบังทัศนียภาพตรงหน้าให้พร่ามัว ผู้คนและนักท่องเที่ยวที่เดินออกมาชมวิวทิวทัศน์แห่กันวิ่งหลบฝนจ้าละหวั่น รวมทั้งเธอด้วย ทันใดเสียงคำรามก็ดังกึกก้อง ไฟฟ้าบริเวณนี้ดับพรึ่บมืดสนิท จึงแทบมองอะไรไม่เห็น
และเพราะความรีบร้อนของหญิงสาวทำให้โทรศัพท์ในมือกระเด็นหลุดจากกระเป๋ากางเกงยีนส์
ดารินธิราจึงก้มลงควานหาจนทั่วแต่พอหยิบขึ้นมา แขนเสื้อกลับคล้องเกี่ยวกับร่องไม้ทางเดิน ติดแน่นจนตึงแขนไปหมด พยายามดึงเท่าไหร่ก็ดึงไม่ออก
ตอนนี้เธอทั้งหนาวทั้งสั่น ปากและฟันกระทบกันเสียงดังจนแทบบรรเลงเป็นเพลง ดวงตาสลดหลี่มองหาความช่วยเหลือ และสะดุดเข้ากับแหวนที่ผู้ชายเย็นชาคนนั้นมอบให้ จึงลองกดแหวนหัวลูกปัดดูสักครั้ง
ทั้งที่รู้ว่าเขาอาจไม่มีทางมา ทว่าอย่างน้อยสิ่งนี้ก็ยังปลอบประโลมใจที่ห่อเหี่ยวและหดหู่ของเธอท่ามกลางพายุคลั่งนี้ได้
"บ้าชะมัด บ้า บ้าที่สุด"
มือของเธอกำหมัดแล้วต่อยลงบนพื้นไม้ รอคอยว่าจะมีเทวดาองค์ใดยื่นมือมาช่วยหญิงสาวผู้โชคร้ายอย่างเธอมั้ย
แต่เวลาก็ล่วงเลยมานาน นานจนมือไม้เริ่มซีดเซียว และดวงตาก็เริ่มฝ้าฟาง พลางคิดในใจว่าทางเดียวที่เธอจะรอดจากพายุห่าฟ้าคลั่งนี้ คือถอดเสื้อตัวนี้ออกซะ
ดารินธิราตัดสินใจถอดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวเจ้าปัญหาออกอย่างทุลักทุเล ตอนนี้ท่อนบนของเธอเปลือยล่อนจ้อนเหลือเพียงแต่บราสีดำ
พลันใดนั้นก็มีบางอย่างคลุมลงมาที่ตัวเธอ ดารินธิราเพ่งมองใบหน้าที่อยู่ในความมืด แต่เพราะมืดจนมองอะไรไม่เห็นและยิ่งฝนที่เทลงมาอย่างหนักยิ่งทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจนมากขึ้น
"นั่นใคร...." เธอตะโกนถาม
"ผมเอง"
เขาตะโกนบอกเธอออกไป เพราะเสียงฝนที่เทลงมาอย่างหนักทำให้การสนทนาเป็นไปอย่างยากลำบาก
ชายหนุ่มประคองเธอไปเรื่อย ๆ จนถึงทางออก กระทั่งมาถึงรถของเขา แม็กนัสรีบกดรีโมทเปิดรถแล้วเปิดประตูให้ร่างที่เปียกปอนหนาวสั่นรีบเข้าไปในรถ
ดวงตาอ่อนล้าชำเลืองมองร่างท่อนบนที่เปลือยเปล่าโชว์แผงอกขาวจั๊วะเต็มด้วยมัดกล้ามอันแข็งแกร่ง ที่แท้เขาก็ถอดเสื้อตัวเองแล้วสวมให้เธอใส่แทน
"เดมี่! คุณพักที่ไหนผมจะไปส่ง"
เขาถามขณะที่เร่งรีบขับรถพาเธอกลับไปส่งโรงแรม ทว่าหญิงสาวกลับเอาแต่เงียบใส่ไม่ยอมพูดยอมจา
มือหนาจึงยื่นไปแตะแก้มซีด ดึงมือกลับมาบังคับพวงมาลัย แล้วเหยียบมิดอย่างร้อนใจจนถึงโรงแรมที่เขาพักอยู่
เขาประคองเธอมาวางบนเตียงแล้วจัดการถอดเสื้อผ้าของเธอออกจนหมด หาผ้ามาเช็ดเนื้อเช็ดตัวไล่ไข้ที่กำลังปะทุขึ้น แต่ไม่ว่าสัมผัสไปยังจุดใด ก็ร้อนเหมือนไฟไปหมดจนเขาใจคอไม่ดี เขาจึงตัดสินใจให้ฮัลค์หาหมอมาดูอาการของเธอโดยด่วน
"คุณแม็กครับ หมอมาแล้วครับ"
ชายหนุ่มเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวาย ไม่นานนักหมอสาวก็ออกมา
"ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ภรรยาของคุณจะอาการดีขึ้น"
ใบหน้าขาวชะงักกับคำว่า 'ภรรยา'
"อ้อแล้วไงต่อครับ"
เขาไม่ปฏิเสธแถมยังทำตีเนียนคุยโต้ตอบกับหมอต่อ
"ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ หมอฉีดยาลดไข้ให้แล้ว แต่ไข้เธอสูงมากจึงต้องรอเวลาให้ร่างกายฟื้นตัวหน่อย ที่เหลือคุณก็ให้เธอทานยาจนหมด ถ้ามีไข้อีกก็คอยหมั่นเช็ดตัวบ่อย ๆ เน้นจิบน้ำอุ่นบ่อย ๆ หมอขอตัวกลับก่อนนะคะ"
"ขอบคุณมากครับหมอ ฮัลค์ไปส่งคุณหมอด้วย"
"ครับ"
19.45 น.
ร่างกายเปลือยเปล่าภายใต้ผ้าห่มสีขาวขยับยุกยิกเพราะพิษไข้ที่เล่นงานจนปวดร้าวไปทั้งตัว
"หิวน้ำ...หิวน้ำ"
ใบหน้าที่หลับซุกอยู่กับแขนของตนเองผงกขึ้นมาดู รินน้ำใส่แก้วประคองร่างที่ร้อนจัดขึ้นมาแหย่หลอดเข้าไปในปากแห้งผาก
ดารินธิราดูดน้ำจนแทบหมดแก้ว และผลอยหลับไปอย่างง่ายดาย
แต่พอกลางดึกเวลาเกือบตีสาม เสียงร้องอื้ออึงก็ดังขึ้น ทำเอาคนเฝ้าไข้ถึงกับนอนไม่ลง เพราะต้องคอยลุกขึ้นมาเช็ดตัวให้เธอตลอดทุกครั้งที่ไข้ขึ้นสูง
ชายหนุ่มผมเพ้าชี้ฟูเพราะอดหลับอดนอนเห็นเธอนอนขุดคู้ตะแคงตัวกอดก่ายตนเองอยู่ใต้ผ้าห่ม
"เอาว่ะ!....ลองดู"
มองดูพักหนึ่งจึงตัดสินใจถอดเสื้อนอนของตนเองออก ดึงร่างร้อนมาแนบชิด ดันให้ใบหน้าร้อนซุกนาบลงบนอกแกร่งของเขา และกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น เพื่อถ่ายเทความร้อนของเธอด้วยวิธีเนื้อแนบเนื้อ และเขาเชื่อว่าการกอดจะช่วยบรรเทาความเจ็บป่วยของเธอให้ดีขึ้นได้ไม่ช้าก็เร็ว
เปลือกตาหนักอึ้งเปิดขึ้นมองภาพเบื้องหน้าช้า ๆ ทว่ากลับเห็นใบหน้าขาวใสของอัจฉริยะหัวหงอกจ่อชิดอยู่กับใบหน้าของเธอแทน
ดารินธิราขยับจับตัวเองดูแล้วผมว่าเธอเปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนเขากับเธออุ่นเตียงกัน
"ผมรู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่"
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มปรือมองแล้วคว้าเอวคอดกิ่วเข้ามา ทำให้เกิดแรงบดเบียดเสียดสีของความนุ่มหยุ่นใต้ผ้าห่ม
"เมื่อคืนคุณกับฉัน......."
"ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ผมแค่นอนกอดคุณเฉย ๆ แล้วที่กอดก็เพราะคุณป่วย"
"คุณแค่พาฉันไปส่งโรงพยาบาลมันจะง่ายกว่ามั้ย"
"แต่ผมก็อัญเชิญหมอมารักษาถึงที่เลยนะ อีกอย่างผมโทรหาเลขาคุณ แล้วบอกว่าคุณไม่สบายหนักมาก ผมจะอาสาดูแลคุณเอง"
"ทำไมคุณถึงไปบอกกุ๊กไก่แบบนั้น เดี๋ยวก็เข้าใจผิดไปกันใหญ่หรอก"
"แต่ดูเหมือนว่าเลขาคุณจะเข้าใจผมผิดอยู่จริง ๆ แถมด่าผมว่าโลเลหลายใจ แล้วบอกอีกว่าเธออยากให้ผมลงเอยกับคุณมากกว่าฟีโอน่า ไม่ยักรู้เลยว่าเลขาคุณเชียร์ผมขนาดนี้" เขาพูดพลางยื่นปลายจมูกโด่งเข้ามาชิดกับปลายจมูกของดารินธิรา หญิงสาวผงะรีบพลิกตัวหันหลังให้อีกฝ่ายทันที
"ท....ทำอะไรของคุณ ไหนว่าเกลียดกัน" เดมี่บ่นด้วยน้ำเสียงงึมงำ
"อืม...เกลียด" เขาย้ำ ฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์พลางประทับริมฝีปากลงบนหัวไหล่ขาวเนียน พรมจูบวนเวียนไปมา
"ค....คุณ" ดารินธิรานั่งตัวแข็งรู้สึกเหมือนไข้กำลังจะขึ้นอีกรอบเพราะการกระทำชวนจั๊กจี้ของเขา
"ผมจะไม่ล่วงเกินคุณเดมี่" เสียงเข้มกระซิบบอก แล้วลุกลงจากเตียงนอน ปล่อยให้เธอนอนยึดผ้าห้มไว้กับตัวเองแน่นอย่างหวาดระแวง
แม็กนัสวิ่งออกไปตามโถงทางเดินอย่างไม่คิดชีวิต เขาไม่ได้วิ่งหนี แต่กำลังวิ่งล่อเหยื่อ การหายใจของเขาหนักหน่วงและรุนแรงไม่ต่างจากเสียงฝีเท้าของคิทซ์ โอซัลลิแวนที่วิ่งตามมาติด ๆ ชายผู้บุกรุกฉายานักแฮ็กเกอร์ขององค์กรใต้ดินผู้มีพละกำลังที่มหาศาล และความแค้นที่สั่งสมมานานหลายปีทำให้เขากลายเป็นสัตว์ร้ายที่น่ากลัวกว่าเดิม“แกจะหนีไปไหนไม่รอดหรอก แม็กนัส! ส่งเมียแกมา!” อีกฝ่ายตะโกนลั่นอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับยิงปืนพกกระบอกสำรองเข้าใส่ผนังใกล้ ๆ แม็กนัสเพื่อกดดันให้เขาจนมุมแม็กนัสไม่ตอบโต้ เขาทิ้งตัวลงสไลด์ไปตามพื้นโถงทางเดินที่ปูด้วยพรมขนสั้น แล้วใช้ช่วงเวลานั้นในการเตะขาโต๊ะไม้แกะสลักมูลค่ามหาศาลให้ล้มลงขวางทาง คิทซ์ที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงชนเข้ากับโต๊ะอย่างจัง ทำให้การไล่ล่าชะงักไปชั่วขณะติ๊ด... ติ๊ด...“แอ็กเซล รายงาน ทางเข้าปล่องระบายอากาศจะปลดล็อกในอีก 30 วินาที คุณแม็กต้องถึงจุดรวมพลชั้น B ภายใน 1 นาที”“ฉันกำลังไป! ดูแลเดมี่ให้ดี!” แม็กนัสตอบกลับทางไมค์ที่ซ่อนอยู่ใต้ปกเสื้อ ก่อนจะหักเลี้ยวเข้าสู่บันไดหนีไฟ แล้วเริ่มวิ่งลงบันไดไปทีละสองสามขั้น ถ้าตอนนี้ฮัลค์อยู่กับเขาด้วยก็คงจะดี เพราะเข
แม็กนัสคลายอ้อมกอดจากภรรยา แล้วใช้มือข้างหนึ่งกุมมือของเธอไว้แน่นขณะจ้องมองไปยังใบหน้าของสมาชิกทีมที่ปรากฏบนจออย่างจริงจังอีกครั้ง ทุกคนรู้ว่าคำสั่งของเขาไม่ใช่เรื่องเล่น และนี่เป็นเรื่องที่ต้องเอาชีวิตเข้าแลก“แอ็กเซล มานี้หน่อย" แม็กนัสหันไปกวักมือเรียกให้หัวหน้าบอดี้การ์ดเข้ามาข้างใน"ว่าไงครับบอส""ฉันอยากให้นายดูแลเรื่องเส้นทางหลบหนี ส่วนเคน จัดการเรื่องการสื่อสารและซุ่มโจมตีที่คาดไม่ถึง ผมต้องการชุดอำพรางที่ดีที่สุดสำหรับเดมี่” แม็กนัสออกคำสั่งรัวเร็ว ราวกับเครื่องจักรที่ทำงานด้วยความแม่นยำสูงบอดี้การ์ดหนุ่มคู่หูทั้งสองคนที่ปกติจะประจำอยู่ที่ซิลิคอลวัลเล่ย์ ถูกเรียกมากระทันหันเพราะพวกเขาฝีมือดีสุดในทีมบอดี้การ์ฺดที่เขาเคยจ้างมา หลังจากฟังคำสั่งเจ้านายเสร็จ ทั้งคู่จึงพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น “เข้าใจแล้วครับคุณแม็ก แต่การเคลื่อนย้ายภายใน 24 ชั่วโมงนั้นบีบมาก และปีกตะวันตกกำลังมีปัญหา เราสงสัยว่าคนที่มาใหม่คือกลุ่มสอดแนมจากองค์กรคู่แข่ง พวกมันกำลังพยายามเข้าถึงฐานข้อมูลหลัก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องเรา” เคนเอ่ยดารินธิราที่กำลังนั่งเงียบ ๆ อยู่ข้างสามีรู้สึกถึงความเย็นเยียบที่แผ่ซ่
แม็กนัสค่อย ๆ ประคองดารินธิราให้ลงจากตักแล้วจัดเสื้อคลุมคาร์ดิแกนให้เธออย่างเบามือ ราวกับว่าการสัมผัสแรงไปกว่านี้จะทำให้เธอแตกสลายเขาวางเธอไว้บนโซฟาตัวยาวที่แสนสบาย และเลื่อนไอแพดที่วางอยู่บนโต๊ะกาแฟเข้ามาใกล้ “เดี๋ยวผมขอคุยกับเดอะแก๊งไม่นานนะครับ” เขากระซิบที่ข้างหู ก่อนจะกดปุ่มเข้าร่วมการประชุมออนไลน์ทันทีที่ใบหน้าของสมาชิกทีมปรากฏขึ้นเต็มจอ บรรยากาศอบอุ่นเมื่อครู่ก็สลายหายไป กลายเป็นความเคร่งเครียดที่แผ่ออกมาทางหน้าจอ แม้แต่ฟิลิกซ์ หัวหน้าหน่วยข่าวกรองที่ปกติจะดูผ่อนคลายที่สุด ก็ยังมีคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน“สถานการณ์ล่าสุด...?” แม็กนัสไม่รอช้า เริ่มการประชุมด้วยน้ำเสียงที่กลับสู่ความจริงจังและเด็ดขาดทันทีทุกคนเริ่มรายงานสถานการณ์ที่ได้รับมอบหมาย โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวของกลุ่มอาชญากรที่พวกเขาแทรกซึมเข้ามา แม็กนัสพยายามอย่างยิ่งที่จะจดจ่อ แต่สายตาของเขาก็ลอบมองไปยังดารินธิราที่นั่งเท้าคางมองเขาด้วยรอยยิ้มอยู่บ่อยครั้ง“...สรุปคือ เป้าหมายหลักยังไม่มีการเคลื่อนไหว แต่มีสัญญาณแปลก ๆ ที่ปีกตะวันตก ดูเหมือนพวกเขาจะได้รับแขกที่ไม่คาดคิดมาเพิ่ม” เสียงของฟิลิกซ์ดังขึ้นจากลำโพง ก่อนที่เขาจะ
เรียวขาเล็กกระชับแน่นถูกฝ่ามือร้อนคลั่งรักคลั่งคะนึงหาของสามีปลดออกอย่างเร่งรัด ไม่ทันที่เธอจะเอ่ยถามเหตุการณ์ต่าง ๆ กับเขา ใบหน้าคมขาวก็ก้มลงมาปิดปากของเธอแนบสนิท และยังไม่ได้เตรียมตักตวงออกซิเจนเลยด้วยซ้ำจูบที่สูบแก่นวิญญาณและพลังงานในร่างกายที่อ่อนเพลียมาทั้งวันไปจนเกือบหมด ไหนจะปลายลิ้นที่ควานหาลิ้นของเธอแล้วเกี่ยวรัดไว้จนเธอแทบสำลักรสจุมพิตที่หนักหน่วงนี้ สุดท้ายเธอก็หัวหมุนตาลายแต่ก็ยังอยากตักตวงความสุขนี้กับเขาต่อไป ติ๊ดดดดดด ติ๊ดดดดดดเสียงร้องจากสมาร์ทวอชที่เดมี่ฝังดวลออร่าชิฟเอาไว้ที่หลังคอทำให้มันส่งสัญญาณมาที่เครื่องของเขาและเธอพร้อมกัน ใบหน้าตื่นตระหนกผละจูบออกด้วยความตกใจและรีบยกข้อมือดูสัญญาณเตือนประหลาดที่ขึ้นเป็นรูปเด็กทารก เขาจ้องนิ่งดวงตาไม่กระพริบ "นี่มัน...." แม็กนัสก้มลงหอมแก้มของเดมี่เพื่อปลอบประโลมเธอทันที แล้วยิ้มให้กับใบหน้าที่ซีดเป็นไก่ต้มของภรรยาด้วยความดีใจ "มีอะไรคะคุณแม็ก" "สงสัยว่าคุณกำลังจะมีทาสคนใหม่ให้ไอ้เจ้าปาตาโกไททันมาโยรัมซะแล้ว" "คะ.....หมายความว่าฉะ... ฉันท้อง" "อืม คุณท้อง ถึงว่าคุณต้านแรงจูบของผมไม่ได้เลย ทั้งที่ปกติคุณจะรุกกลับจนผมเสี
เดมี่ได้ยินพวกคิสท์ โอซัลลิแวนคุยกันเรื่องแผนที่ และแผนฆ่าสามีของเธอ ซึ่งความจริงเรื่องแผนที่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปพราะทุกๆ เส้นทางแทบจะปรากฏเด่นชัดอยู่ในรอยหยักสมองเรียบร้อยแล้ว เรื่องสำคัญกว่าที่เธอต้องกังวลคือจะปกป้องสามียังไงดีในสถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้ผู้หญิงอย่างเธออาจจะไม่ได้ดีพร้อมและเก่งไปหมดทุกเรื่อง แต่บางเรื่องก็จำเป็นแม้จะไม่เก่งและพร้อมก็ตาม ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะขอเป็นเบี้ยตัวหนึ่งที่จะดึงความสนใจของศัตรูสามีมาเป็นเธอแทน เธอไม่ลังเลเลย แต่เลือกด้วยความเด็ดขาด ในชีวิตนี้เธอเคยสูญเสียพ่อไป และก็เคยเสียศูนย์จากการไร้พ่อมานานหลายปี รวมทั้งเสียเวลากับการไม่เข้าใจความเจ็บปวดของคนที่เธอรัก และกว่าจะเข้าใจความรู้สึกของกันและกัน ก็ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมานับไม่ถ้วน วินาทีที่เธอก้าวมายังจุดที่อันตรายสุดขีดแล้ว จะถอยหลังกลับไปยังจุดเริ่มต้นก็คงจะป่วยการเสียแล้ว ถ้าแม็กนัสจะโกรธเธอเพราะความบุ่มบ่ามใจร้อนและเข้ามายุ่งกับงานของเขา เธอก็จะยอมรับ เพียงแต่ว่าขอให้เธอมีโอกาสช่วยเขาบ้างก็พอ ในห้องพักหรูวีไอพีชั้นสุดของโรงแรมซึ่งห้องของเดมี่อยู่ห่างกับห้องที่แม็กนัสอยู่เพียงสองห้อ
ฮัลค์ผู้ที่กุมความลับทุกอย่างไว้รีบวิ่งตามภรรยาของเจ้านายไปด้วยความเป็นกังวล เพราะเขากลัวว่ามันจะกลายเป็นเรื่องราวบานปลายใหญ่โต ทางที่ดีเปิดเผยความจริงกับเธอก่อนดีกว่า แล้วอย่างอื่นค่อยว่ากันอีกที“พาฉันไปร้านอาหารของแม่หน่อยได้ไหมคะ?”“คือว่า....ก่อนที่คุณเดมี่จะไป ผมขอให้คุณเดมี่ไปที่ๆ หนึ่งด้วยกันก่อนได้ไหมครับ”หญิงสาวรีบเช็ดน้ำหูน้ำตาที่เลอะเปื้อนเต็มดวงหน้า แล้วพยักหน้ารับเกือบสี่สิบนาทีบอดี้การ์ดหนุ่มจึงได้พาดารินธิรามาส่งที่บ้านทรงเอเฟรมของเธอ ดารินธิราหันไปมองหน้าเขาอย่างสับสนงุนงง“รีบเข้าบ้านก่อนเถอะครับ เพราะผมไม่รู้ว่ามีหูตาสัปปะรดที่ไหนคอยมองดูพวกเราอยู่หรือเปล่า”“ทำไมล่ะคะ?”เอ่ยถามพลางรีบร้อนลงจากรถก่อนจะยืนมองบ้านของตัวเองที่ไม่ได้กลับมาพักใหญ่ หญิงสาวหากุญแจบ้านที่ซ่อนไว้ใต้กระถางต้นไม้แล้วไขกุญแจ ทว่าไขเท่าไหร่ก็ไขไม่เข้า“เอ้…..หรือมันจะเสียแล้ว”“มันไม่ได้เสียหรอกครับ”ชายหนุ่มตัวโตยิ้มแล้วหยิบเอากุญแจอีกดอกที่อยู่ใต้กระถางต้นดอกคาเมเลียหน้าบ้านของดารินธิราออกมา แล้วหันซ้ายหันขวาดูท่าทีก่อนจะรีบไขเข้าไปในตัวบ้าน เขาก็ปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างออกมาหลังจากที่สับคัทเอ







