เขาเคยพูดเรื่องไว้หน้ากับเธอตอนไหน?เฉียวสือเนี่ยนรู้สึกตลกเหลือเกินแบบนี้แสดงว่าฮั่วเยี่ยนฉือยังคงไม่เชื่อเธอสินะ คิดว่าเธอจะเอาเรื่องหย่าไปทำลายชื่อเสียงของเขาเพิ่งแต่งงานได้ปีเดียวก็หย่า แถมมันก็ไม่ใช่เรื่องดีเด่อะไร เธอไม่มีทางเอาไปโพนทะนาข้างนอกหรอก“ฉันรับปากว่าจะไม่แพร่งพรายออกไปสักครึ่งคำ ถ้าคุณยังไม่เชื่อก็เพิ่มเข้าไปในข้อตกลงก็ได้”ฮั่วเยี่ยนฉือมองรอยยิ้มหยอกเย้าของเฉียวสือเนี่ยนแล้วรู้สึกขัดตาหลือเกิน “เลิกถ่วงเวลาได้แล้ว เซ็นชื่อ!”พูดอย่างกับว่าเธอจงใจถ่วงเวลาอย่างนั้นแหละเฉียวสือเนี่ยนคร้านจะเถียงกับฮั่วเยี่ยนฉือ คว้าปากกาเซ็นชื่อตัวเองลงไปโดยไม่ลังเลแม้แต่นิด“ตาคุณแล้ว!”เฉียวสือเนี่ยนโยนปากกาและหนังสือข้อตกลงไปยังด้านหน้าฮั่วเยี่ยนฉือที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโต๊ะกาแฟในเมื่อให้คนพรินต์เอกสารออกมาแล้ว ทำไมไม่รู้จักเซ็นชื่อลงไปเสียก่อนละ เสียเวลาจริง ๆ !ฮั่วเยี่ยนฉือสัมผัสได้ถึงสายตาค้อนปะหลับปะเหลือกของเฉียวสือเนี่ยน ทว่าเขายังคงอดทนไว้ไม่ระเบิดออกไป อย่างไรเสียอีกเดี๋ยวก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว อดทนกับเธออีกหน่อยแล้วกัน!เมื่อคว้าปากกาแล้ว ฮั่วเยี่ยนฉือก
เฉียวสือเนี่ยนลอบหัวเราะอยู่ในใจชาติก่อนเธอต้องทุกข์ทนรอตั้งแปดปี สุดท้ายก็แลกมาได้แค่ใบหย่ากับข่าวการแต่งงานใหม่ของเขากับป๋ายอีอีฮั่วเยี่ยนฉือจะมาตกหลุมรักเธอภายในช่วงเวลาสั้น ๆ สิบกว่าวันได้อย่างไร“ย่าพูดแค่ว่าถ้าหากเยี่ยนฉือได้รับรู้ถึงความดีแล้วหันมารักหนู หนูยังจะหย่ากับเขาอยู่ไหม?” คุณนายใหญ่ฮั่วถามย้ำอีกครั้งเฉียวสือเนี่ยนพยักหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวท่ามกลางสายตาคาดหวังของคุณย่า “หย่าค่ะ”ไม่ว่าชาตินี้จะเป็นอย่างไร เธอก็ไม่คิดที่จะเกี่ยวข้องกับฮั่วเยี่ยนฉือในแง่ไหน ๆ อีกความเจ็บปวดจากความรักนั่นน่ะ เธอได้รับมามากพอแล้วเธออยากหนีไปให้ไกลห่างจากฮั่วเยี่ยนฉือ แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่!……เมื่อออกมาจากห้องโถงของบ้านใหญ่ เฉียวสือเนี่ยนก็พบเข้ากับใบหน้าเย็นชาแลเคร่งขรึมของฮั่วเยี่ยนฉือวุ่นวายกับเรื่องหย่าอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายก็ไม่สำเร็จในสายตาของฮั่วเยี่ยนฉือ คงคิดว่าเธอกับคุณย่าต้องรวมหัวสมรู้ร่วมคิดทำเรื่องนี้ออกมาสินะพอขึ้นรถแล้วต้องหนีไม่พ้นถูกเขาซักไซ้ถามเอาความให้ขายหน้าแน่เฉียวสือเนี่ยนเลยไม่สนใจอะไรเขา และคิดจะเรียกแท็กซี่ไปเอง“ขึ้นรถ!”ฮั่วเยี่ยนฉือมองความ
เมื่อเห็นว่าใครโทรมา สีหน้าของฮั่วเยี่ยนฉือก็พลันอ่อนโยนลงหลายส่วน เขาปัดหน้าจอรับสาย“เยี่ยนฉือ ใกล้ถึงเวลาประชุมที่ป๋อโจวแล้วนะคะ อีกนานไหมกว่าคุณจะถึงที่นี่?”ในรถเงียบกริบ น้ำเสียงอ่อนหวานของป๋ายอีอีดังออกมาจากโทรศัพท์ของฮั่วเยี่ยนฉือ และคำพูดเหล่านั้นก็ทะลุเข้าหูเฉียวสือเนี่ยนครบทุกคำไม่มีขาดตกบกพร่องไม่นานมานี้เขาซื้อธนาคารเพื่อการลุงทุนป๋อโจวมา โดยมีป๋ายอีอีดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการชาติก่อน ป๋ายอีอีทำรายได้ให้ป๋อโจวเป็นกอบเป็นกำ จนได้รับสมญานามว่าราชินีแห่งบริษัทตอนนั้นเธอยอมรับไม่ได้ เพราะอยากเข้าบริษัทตระกูลฮั่ว เพื่อพิสูจน์ความสามารถของตัวเองเหมือนกันทว่ากลับถูกฮั่วเยี่ยนฉือเย้ยหยัน‘เธอจะไปทำงานเนี่ยนะ? เธอรู้จักวิธีเอาตัวรอดในบริษัทหรือไง? ป๋ายอีอีต้องใช้เวลา ทุมแรงกายแรงใจไปตั้งมากมายกว่าจะได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการบริษัท แต่เธอคิดจะใช้คำพูดทะเยอทะยานไม่กี่คำมาพิสูจน์ตัวเองเนี่ยนะ?’‘เฉียวสือเนี่ยน ฐานะทางบ้านของป๋ายอีอีไม่ได้มีเท่าเธอ แต่ป๋ายอีอีขยันสร้างความก้าวหน้าให้ตัวเอง ทั้งยังรู้หนังสือรู้มารยาท! ใครจะไปเหมือนเธอ ที่วัน ๆ นอกจากใช้อำนาจรังแกคนอื่นแล้วก็ท
ผู้ชายคนนี้มีหน้าตาหล่อเหลาอย่างร้ายกาจ บนกายสวมใส่ชุดสูททรงสบายๆ สีขาว หากคนทั่วไปใส่ชุดแบบนี้ละก็ ต้องกลายเป็นหายนะทางแฟชั่นแน่ ทว่าเขากลับใส่แล้วกลับให้ความรู้สึกสูงส่ง แลดูภูมิฐานระคนเกียจคร้านมากกว่าเหมือนกับปีศาจร้ายเฉียวสือเนี่ยนรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนกับเคยเจอคนคนนี้ที่ไหนมาก่อน เพียงแต่ตอนนี้ยังนึกไม่ออก“คุณชายโม่” คนขับรับรีบเรียกผู้ชายคนนั้นทันทีชายผู้ถูกเรียกว่าคุณชายโม่มองตรงไปที่เฉียวสือเนี่ยน“ขอโทษที่ทำให้คุณเสียเวลานะคะ ฉันจะรับผิดชอบทั้งหมดเอง” เฉียวสือเนี่ยนกล่าวขอโทษด้วยความจริงใจได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มก็แค่นเสียงหัวเราะชั่วร้ายออกมา“นอกจากค่าซ่อมรถแล้ว ยังมีค่าทำขวัญของผม แล้วก็ค่าเสียเวลาทำงาน—— ซึ่งมีสัญญาธุรกิจราคาหมื่นล้านรอให้ผมไปเซ็นสัญญาอยู่ แต่ตอนนี้ถูกคุณทำให้ล่าช้าไปแล้ว อย่างนั้นก็ให้คุณรับผิดชอบไปด้วยเลยนะ”ได้ฟังคำพูดละโมบราวกับราชสีห์อ้าปากงับเหยื่อของอีกฝ่ายแล้ว เฉียวสือเนี่ยนจึงคลี่ยิ้มบางๆ“คุณชายท่านนี้ ดูสง่าผ่าเผย ร่ำรวยเงินทองและบารมี ที่แท้ก็หากินด้วยการรีดไถเงินชาวบ้านแบบนี้เองสินะคะ”มิน่าเล่าคนขับรถถึงได้ถ่ายรูปเก็บไว้เป
“คุณนายฮั่ว ฉันลืมถามเธอไปหนึ่งคำถาม” โม่ซิวหย่วนเอ่ยอย่างชั่วร้าย ถามเธอเหรอ? โม่ซิวหย่วนยกโทรศัพท์ตนเองขึ้นอย่างตั้งใจ “คุณนายฮั่วคิดว่าระหว่างฉันกับคุณฮั่ว ใครจะชนะพนันกันนะ?” จากท่าทางการยกโทรศัพท์ขึ้นของเขา เฉียวสือเนี่ยนก็เข้าใจทันทีว่าโม่ซิวหยวนหมายถึงอะไร ก่อนหน้าที่เธอริเริ่มเก็บหมายเลขโทรศัพท์ของโม่ซิวหย่วนเอาไว้ และบอกว่าเธอต้องการขอคำแนะนำเพื่อหาเงิน ก็เพราะเธอคิดว่าโม่ซิวหยวนเก่งกว่าฮั่วเยี่ยนฉือ คำถามนั้นของโม่ซิวหยวนไม่เพียงแต่ทำให้เธออับอายเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่าคือต้องการยั่วยุฮั่วเยี่ยนฉือเฉียวสือเนี่ยนหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา พร้อมเอ่ยพูดหยั่งเชิง “การเดิมพันครั้งนี้ไม่ได้ใช้เพียงความแข็งแกร่งเท่านั้นแต่ยังต้องมีโชคด้วย” “งั้นคุณนายฮั่วคิดว่าโชคชะตาของฉันเป็นอย่างไรล่ะ?” “ฉันบอกไม่ได้หรอกค่ะ แต่ฉันหวังว่าโม่ฉาวฉีจะได้รับชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่” โม่ซิวหย่วนยังคงต้องการพูด แต่ฮั่วเยี่ยนฉือกดเลื่อนกระจกรถขึ้นเพื่อตัดจบบทสนทนาระหว่างพวกเขาทั้งคู่ “เธอไปสนิทกับเขาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” หลังจากเฉียวสือเนี่ยนหันหน้ากลับมา ฮั่วเยี่ยนฉือก็ไม่รีรอที่จะเอ่
รถของโม่ซิวหย่วนชนเข้ากับตัวกองโคลนปูนขนาดใหญ่บนไหล่ทาง ท้ายรถและตัวรถเองถูกชนจนไม่เหลือรูปทรงเดิมดูเหมือนรถของเขาจะพังยับกว่าฮั่วเยี่ยนฉือ เสียอีก ขณะนี้ เสียงรถพยาบาลก็ดังขึ้น ในไม่ช้าแพทย์ก็นำตัวโม่ซิวหย่วนออกจากรถโดยทันที “ไม่มีอาการบาดเจ็บหรือมีอาการกระดูกแตกหักอย่างชัดเจน เบื้องต้นวินิจฉัยได้ว่าเจ้าตัวปะทะกับถุงลมนิรภัยเข้าอย่างจังจึงทำให้หมดสติ…” หลังจากได้ยินคำพูดของหมอ เฉียวสือเนี่ยนพ่นลมหายใจด้วยความโล่งอกอย่างบอกไม่ถูกในขณะเดียวกันก็น่าแปลกใจ โม่ซิวหยวนและฮั่วเยี่ยนฉือต้องแค้นใจกันมากแค่ไหน เพียงเพราะความขัดแย้งทางธุรกิจ ดันเอาชีวิตมาเสี่ยงกันแบบนี้น่ะเหรอ? ……เฉียวสือเนี่ยนและฮั่วเยี่ยนฉือออกมาจากสถานีตำรวจ ด้านนอกเริ่มมืดแล้ว ได้ยินข่าวมาว่าโม่ซิวหย่วนฟื้นแล้ว ร่างกายไม่ได้รับผลกระทบหนักเท่าไร แต่เขามีอาการกระทบกระเทือนเล็กน้อยหลังจากที่ศีรษะกระแทกพวงมาลัย จึงต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลอีกสองสามวัน โม่ซิวหย่วนและฮั่วเยี่ยนฉือไม่ได้ติดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ พวกเขาต่างคนต่างรับผิดชอบในส่วนของตัวเอง เนื่องจากถนนที่เกิดอุบัติเหตุนั้นกว้างและมีรถยนต์
“จะไปไหนของเธอ มาทายาให้ฉันเดี๋ยวนี้!” “ขอโทษนะ พอดีฉันไม่ใช่หมอ และฉันเองก็ไม่ได้มีหน้าที่ที่ต้องทำ” เฉียวสือเนี่ยนปฏิเสธอย่างเย็นชา ฮั่วเยี่ยนฉือยิ่งไม่พอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อครู่เห็นได้ชัดว่าเขาร้อนใจและเป็นกังวลมาก สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา เปลี่ยนเร็วยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือ! “นี่ไม่ใช่หน้าที่ของเธองั้นเหรอ ลองคิดให้ดีซิว่าฉันบาดเจ็บเพราะใคร!” เฉียวสือเนี่ยนอยากจะพูดออกมาว่า ถ้าคุณไม่ขับรถชนด้วยความโมโห คงไม่บาดเจ็บแบบนี้หรอก แต่เห็นได้ชัดว่าฮั่วเยียนฉือต้องการจะคิดบัญชีกับเธอ และเฉียวสือเนี่ยนก็ไม่มีอารมณ์จะโต้เถียงกับเขาอีกแล้ว แค่ทายาเอง ใช้เวลาครู่เดียว ป้าหวังนำกล่องยามาให้ เฉียวสือเนี่ยนขมวดคิ้วก่อนจะหยิบสำลีและแอลกฮอล์ขึ้นมา “คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง ป้าไปทำธุระก่อน มีอะไรเรียกป้านะคะ” ป้าหวังไปแล้ว เฉียวสือเนี่ยนจึงเริ่มรักษาบาดแผลของฮั่วเยี่ยนฉือ แม้ว่ารอยขีดข่วนของเขาจะไม่ได้ร้ายแรง แต่เนื้อหนังของเขาก็ถูกเปิดเผยหลายที่ แถมเลือดก็ไหลออกมาไม่น้อย แอลกอฮอล์สัมผัสลงบาดแผล ฮั่วเยี่ยนฉือรู้สึกแสบ แต่เขาทำเพียงขมวดคิ้ว ไม่ส่งเสียงใด ๆ เฉียวสือเนี
“ฉันได้ยินว่าฮั่วเยี่ยนฉือบาดเจ็บ เลยมาดูสักหน่อย สือเนี่ยน เธออย่าเข้าใจผิดไปนะ!” ป๋ายอีอีเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ รีบอธิบายอย่างทันที “คือฉันมีเอกสารที่ต้องเอามาให้เยี่ยนฉือเซ็น ฉันไปห้องทำงานของเข าจึงได้ยินผู้ช่วยพิเศษโจวบอกว่าเขาบาดเจ็บ เยี่ยนฉือไม่ได้เป็นคนบอกฉันเองนะคะ!” เธอพูดอะไรแล้วหรือยัง ถึงบอกให้เธออย่าเข้าใจผิด เฉียวสือเนี่ยนกระตุกยิ้มขึ้นเอ่ย “คุณป๋าย ฉันขอแนะนำอะไรคุณสักอย่าง “ถ้าคุณไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจผิด ก็อย่าทำเรื่องที่ชวนให้เข้าใจผิดสิคะ” “เช่น ถ้าคุณรู้ว่าผู้ชายคนนี้มีภรรยา และถ้าภรรยาของเขาไม่ได้เชิญคุณมา ก็อย่ามาบ้านของเขาตามลำพัง” “ในเมื่อมาบ้านของอื่น ก็ต้องมีความตระหนักรู้ในตนเองด้วย เมื่อมานั่งกับสามีของคนอื่น ก็ควรรักษาระยะห่างทางสังคมสักนิด” เมื่อป๋ายอีอีได้ยินอย่างนั้น ใบหน้าของเธอก็แดงขึ้นเล็กน้อย และรีบขยับไปนั่งริมโซฟาแทน “สือเนี่ยน ฉัน……” “อย่าเรียกชื่อฉันอย่างสนิทสนมแบบนั้น” เฉียวสือเนี่ยนตัดบทสนทนาของเธอ “ฉันกับคุณป๋ายไม่ได้สนิทกันมากถึงขั้นเรียกชื่อแต่ไม่มีแซ่” “ถ้าคุณไม่อยากเรียกฉันว่าคุณนายฮั่ว ก็เรียกฉันว่าคุณเฉียวเถอะค่ะ”