ภายในบ้านสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ สามพ่อแม่ลูกกำลังถกเถียงกันถึงเรื่องงานแต่งงานที่จะถูกจัดขึ้นในอีกสองสัปดาห์ที่จะมาถึงนี้ เพราะเพียงตาเลื่อนแล้วเลื่อนอีกจนฝ่ายชายยื่นคำขาดมาแล้ว ฤกษ์งามยามดีตามวันเดือนปีเกิดของทั้งคู่ที่หาไว้ในปีนี้ก็ไม่มีอีกแล้วหากว่าเธอจะเลื่อนออกไปอีกฝ่ายชายก็คงไม่ยอม
“ตาไม่แต่งนะคะแม่” เพียงตาลูกสาวคนโตทำเสียงกระเง้ากระงอดหันไปทำสายตาอ้อนวอนใส่ผู้เป็นแม่ เหมือนกำลังบอกกลาย ๆ ว่าอยากให้แม่ช่วยเกลี้ยกล่อมพ่อให้ที
“ไม่แต่งไม่ได้นะลูก ทุกอย่างจัดเตรียมไว้หมดแล้ว แขกเหรื่อเราก็เชิญหมดแล้ว อีกอย่างเงินค่าสินสอดเขาก็จ่ายเรามาครึ่งนึงแล้ว” พาขวัญชี้แจงลูกสาวอย่างใจเย็น เงินที่ฝ่ายชายจ่ายมาแล้วห้าหมื่นบาทเธอก็ใช้เพื่อเตรียมงานแต่งงานไปบ้างแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงสองหมื่นห้าพันบาทเท่านั้น ลำพังเงินเดือนข้าราชการครูของเธอกับสามีคงเก็บไม่ได้เร็วขนาดนั้น
ได้ยินดังนั้นเพียงตาก็เม้มปากเข้าหากันแน่น
“จะไม่แต่งได้ยังไง ถ้าตาทำแบบนั้นพ่อก็เสียสัจจะน่ะสิ ต่อไปพ่อจะมองหน้าเพื่อนพ่อยังไง” ผู้เป็นพ่อทำเสียงขุ่น หนักใจกับลูกคนนี้เหลือเกิน หากล้มเลิกงานแต่งงานครั้งนี้เขากับธนาก็ต้องบาดหมางใจกัน
“พ่อก็แต่งเองสิคะ ยายลินก็มาชิ่งนอนเป็นง่อยไปซะก่อน เรื่องแย่ ๆ ก็เลยมาตกอยู่ที่ตาทั้งหมด” เพียงตาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นเธอที่ต้องเป็นคนรับผิดชอบคำสัญญาระหว่างพ่อกับเพื่อนพ่อ
“แต่เรื่องนี้มันเป็นความรับผิดชอบของตานะ จะไปโทษน้องอย่างนั้นก็ไม่ถูก อีกอย่างน้องก็ไม่ได้อยากเป็นอย่างนั้นสักหน่อย เราเองไม่ใช่เหรอที่ใช้ให้น้องปีนไปเก็บมะม่วงให้จนน้องต้องตกลงมานอนหมดสติอยู่แบบนี้” นพพลเตือนสติลูกสาวที่ชอบโยนความผิดไปให้น้องสาวฝาแฝด ตอนนี้ลูกสาวคนเล็กยังนอนสลบไสลอยู่ที่โรงพยาบาลในตัวอำเภอ เพราะเธอตกจากต้นไม้ทำให้ศีรษะกระแทกกับพื้นดินอย่างแรง ตอนนี้เธอเป็นตายร้ายดีเท่า ๆ กัน
“พ่อรักลูกไม่เท่ากัน” เพียงตาหันมาแว้ดใส่ผู้เป็นพ่อ
นพพลถอนหายใจออกมาแรง ๆ ไม่รู้ว่าเมื่อไรเพียงตาจะเข้าใจ และเลิกเปรียบเทียบตัวเองกับน้องสักที ทั้งที่ตัวเพียงตาเองนั่นแหละที่พ่อกับแม่ตามใจมาตลอด นพพลกล่อมมาหลายปีแล้วแต่ก็ยังไม่สำเร็จ คงถึงเวลาที่เขาต้องใช้ไม้แข็งบ้างแล้ว
“ยังไงตาก็ไม่แต่งเด็ดขาด มีพ่อแม่ที่ไหนอยากให้ลูกตัวเองแต่งงานกับคนตาบอดคะ พ่อกับแม่คิดอะไรอยู่ ทำไมต้องเอาคำสัญญาของตัวเองมาบังคับตาด้วย” เพียงตาพูดพลางเบ้ปากเหมือนจะร้องไห้ ไม่มีใครเข้าใจเธอสักคน คนไม่ได้รักกันจะแต่งงานกันได้อย่างไร เธอเกลียดการคลุมถุงชนที่สุด ถึงจะเป็นคำสัญญาของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็เถอะ
ผู้เป็นพ่อถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อีกหลายครั้ง
นพพลกับพาขวัญก็เห็นใจลูกสาวแต่จะให้ทำอย่างไรได้ เพราะนพพลได้ให้คำสัญญาไว้กับเพื่อนรักที่สามารถตายแทนกันได้ตั้งแต่ลูกของทั้งสองยังเด็ก นพพลกับธนาสัญญากันไว้ว่าจะให้ลูกคนโตเกี่ยวดองกันหากฝ่ายหญิงเรียนจบปริญญาตรี ทั้งสองจึงได้หมั้นหมายกันไว้ตั้งแต่เด็ก
ทุกอย่างเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดีเมื่อในวัยเด็ก ลูกของทั้งสองครอบครัวต่างเข้ากันได้ดีและไปมาหาสู่กันเป็นประจำ เพียงตาและคู่หมั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรแม้จะรู้ทุกอย่างล่วงหน้าแล้วว่าอนาคตพวกเขาจะกลายเป็นคนที่มีคู่แล้ว แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็มาเกิดขึ้นก่อน เมื่อจู่ ๆ ไกรสรคู่หมั้นของเพียงตาปวดศีรษะอย่างรุนแรงนานเป็นเดือนรักษาเท่าไรก็ไม่หาย แพทย์หาสาเหตุของโรคที่แน่ชัดไม่ได้ และสิ่งที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือสายตาของเขาค่อย ๆ พร่ามัว และสูญเสียการมองเห็นลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดโลกทั้งใบของเขาก็มืดสนิทในวัยเพียงสิบสามขวบ ทำให้เพียงตาคิดหนักมาโดยตลอด บางครั้งเธออยากหนีไปให้ไกลที่สุด จะได้ไม่ต้องมาทำตามคำสัญญาบ้าบอของบิดาเช่นนี้
“แต่งแล้วถ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้หากจะหย่าพ่อก็ไม่ห้าม” นพพลแนะลูกสาว หากวันข้างหน้าทั้งสองอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ค่อยเลิกรากันไปอย่างน้อยก็ถือว่าเขาทั้งสองได้ทำตามสัญญาแล้ว
“ไม่ค่ะ ยังไงตาก็ไม่แต่ง” ว่าจบเพียงตาก็หมุนร่างกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นไปบนห้องของตัวเอง
สองสามีภรรยาต่างคนต่างมองตากันนิ่งแล้วทอดถอนหายใจออกมายาว ๆ ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกมาจากปากท่านทั้งสอง
เสียงเคาะประตูดังขึ้นไพลินจึงหยุดความคิดไว้แค่นั้น พ่อกับแม่เดินเข้ามาหาเธอสีหน้าไม่สู้ดีนัก ไพลินเป็นคนอ่อนไหวง่ายกับเรื่องพวกนี้ พาขวัญเป็นห่วงความรู้สึกลูกสาวจริง ๆ “แม่ขอโทษนะลินที่บังคับลูกแต่งงาน” พาขวัญพูดกับลูกสาวด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิด ไม่คิดว่าไกรสรจะทำตัวเหมือนเด็กแบบนี้ แถมยังทำให้ลูกสาวของเธอเสียหน้าอีกด้วย ทั้งสองคิดว่าลูกสาวมาแอบนอนร้องไห้ในห้องคนเดียว แต่ผิดคาดหน้าตาเธอยังดูสดใสแววตาไม่มีความขุ่นมัวให้เห็นแม้แต่น้อย “ไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ ยังไงเรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว” เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีเหตุผลอะไรที่เธอต้องไปแคร์ขี้ปากชาวบ้าน อยู่ที่นี่เธอก็ไม่รู้จักใครเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว ถึงมีคนรู้จักเธอก็ไม่เคยแคร์เท่ากับคนในครอบครัว “แล้วลูกจะเอายังไงต่อ แม่คิดว่าพ่อไกรน่าจะไม่มาที่บ้านเราอีกแล้ว” เขาคงโกรธมากที่โดนหลอกให้แต่งงาน พาขวัญยังคิดไม่ออกว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร จะให้ไพลินทำอย่างไรกับผู้ชายที่ไม่ได้ต้องการลูกสาวเธอ ถ้าไพลินอยากจะเลิกกับเขาเธอก็คงไม่ห้ามแล้ว “เขาไม่มาเราก็ไปหาสิคะ ไม่เห็นจะยาก” เธอยิ้มบาง ๆ ให้พ
“ระวังหน่อยไกร” ผู้เป็นแม่ก้าวเท้ายาวเดินตามหลังลูกชายเข้ามาในบ้าน เขาเดินจ้ำอ้าวราวกับตามองเห็นปกติ ภายในเขตบริเวณบ้านนี้ไกรสรรู้ดีทุกซอกทุกมุม จึงไม่ใช่ปัญหาหากเขาจะเดินเร็วโดยที่ไม่ต้องมีใครพยุงมีเพียงไม้เท้านำทางเท่านั้น ร่างใหญ่หยุดอยู่กลางห้องโถงของบ้าน รู้ว่าแม่เดินมาใกล้จึงพูดขึ้น“ทำไมทุกคนต้องหลอกผมด้วย หรือเห็นว่าผมตาบอดคิดอยากจะทำอะไรก็ทำอย่างนั้นเหรอครับ” ไกรสรพูดออกมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ทำไมไม่มีใครบอกเขาสักคำว่ามีการเปลี่ยนตัวเจ้าสาว ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของเขาสักคน เห็นเขาเป็นหัวหลักหัวตอกันหมดไม่เว้นแม้แต่พ่อกับแม่ตัวเอง “ไม่ใช่อย่างนั้นนะไกร คือเรื่องมันฉุกละหุกเกินไปแม่กลัวว่าลูกจะรับไม่ได้” ขจีพรว่าเสียงอ้อมแอ้ม ไม่รู้จะอธิบายให้ลูกชายฟังอย่างไรดีเขาถึงจะเข้าใจ ถ้าบอกตอนนั้นก็กลัวว่างานแต่งจะล่มกลางครัน ฝ่ายเจ้าสาวอุตส่าห์แก้ไขสถาณการณ์ให้ แล้วเธอกับสามีจะทำมันพังได้อย่างไร “แล้วที่ทุกคนทำแบบนี้คิดว่าผมรับได้อย่างนั้นเหรอครับ แม่รู้ไหมว่าผมเสียใจแค่ไหน แค่ผมตาบอดผมก็เจ็บมากพออยู่แล้ว ไหนจะต้องมาโดนหลอกอีก มีแต่คนรังเกียจผม
หลังจากไพลินไหว้ขอขมาพ่อแม่แล้วก็นั่งรอเจ้าบ่าวยกขันหมากมาแปดโมงครึ่งขบวนขันหมากฝ่ายชายก็เริ่มขึ้น“โห่…ฮี่โห่…ฮี่โห่…ฮี่โหยยย…ฮิ้ว…”เสียงโห่ร้องดังก้องมาจากหน้าปากซอยหลายครั้ง ไพลินรู้สึกตื่นเต้นจนบอกไม่ถูก นี่หรือคืออาการของคนที่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานเจ้าบ่าวของเธอจะหน้าตาเป็นอย่างไรหนอขันหมากแห่มาถึงหน้าบ้านเจ้าสาว เจ้าบ่าวต้องผ่านประตูเงินประตูทองให้ได้ก่อน จากนั้นก่อนจะก้าวขาเข้าไปในบ้าน เจ้าบ่าวต้องล้างเท้าให้สะอาด ทุกขั้นตอนไกรสรมีแม่คอยพยุงอยู่ข้างกายตลอด แต่ทว่าเมื่อธนาเห็นหน้าเจ้าสาวก็ต้องแปลกใจ ทำไมถึงกลายเป็นไพลินไปได้ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่นแล้วหันไปหาเพื่อนรัก แววตาของเขาเต็มไปด้วยคำถาม ภรรยาของเขาก็ไม่ต่างกัน ถึงเพียงตากับไพลินจะมีใบหน้าที่คล้ายกันแต่ความผอมของไพลินก็ทำให้แยกแฝดสองคนนี้ได้โดยง่ายนพพลเดินหน้าเจื่อนเข้ามาหาธนาเพื่ออธิบายเรื่องทุกอย่าง“ทำไมเจ้าสาวถึงกลายเป็นลินไปได้” ธนาโน้มตัวเข้าไปใกล้แล้วกระซิบข้างหูเพื่อน ขจีพรยืนจ้องหน้านพพลด้วยสายตาคาดโทษ “เอ่อ…คือ…ยายตาหนีเข้ากรุงเทพฯไปแล้ว” นพพลพูดออกมาเสียงเบาเพราะเกรงว่าคนอื่นจะได้ยิน และเขายังไม่อยากให้
พาขวัญรู้มาตลอดว่าลูกสาวเลือกเรียนสาขาวิชาการจัดการโรงแรมเพราะอยากทำงานเอกชน และอยากแต่งตัวสวย ๆ ไม่อยากรับราชการครูเหมือนพ่อกับแม่เพราะได้เงินเดือนน้อย แต่พ่อกับแม่ก็ยังวางแผนเลือกคู่ชีวิตที่รวยกว่าให้เธอแต่เขาตาบอด อีกอย่างเพียงตาไม่อยากลำบากเป็นชาวไร่ชาวสวนเหมือนครอบครัวคู่หมั้น เธอจึงตัดสินใจทำแบบนี้ การเดินทางเข้าไปทำงานในเมืองหลวงคือความใฝ่ฝันของเพียงตามานานแล้ว“ตายจริง! แล้วอย่างนี้คุณแม่จะทำอย่างไรต่อคะ เวลาก็กระชั้นชิดเข้ามาแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์เอานะคะ” ช่างแต่งหน้าที่เป็นสาวเทียมพูดขึ้น“แม่ขอเวลาแป๊บนึงนะคะ แม่ก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ลินไปตามพ่อมาให้แม่ที” พาขวัญบอกลูกเสียงสั่นเครือ หัวใจยังเต้นกระหน่ำไม่ยอมหยุด“ค่ะ”ไม่ถึงห้านาทีนพพลก็เดินเร็วกระหืดกระหอบขึ้นมาบนห้องเพียงตา“พ่อคะ ยายตาหนีเข้ากรุงเทพฯไปแล้วค่ะ”“หือ! เป็นไปได้ยังไง” พาขวัญยื่นจดหมายในมือให้สามีดู“พ่อก็ลองอ่านดูสิคะ แล้วบอกแม่ทีว่าเราควรทำอย่างไรต่อ” นพพลไล่สายตาไปตามตัวอักษรที่ลูกสาวเขียนร่ายไว้บนแผ่นกระดาษ เขาอึ้งอยู่สักพักแล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ตอนนี้หัวใจเขาเต้นแรงมาก จะยกเลิกงานแต่งตอนนี้ก็ไม่
สองวันต่อมาสามแม่ลูกไปลองชุดแต่งงานที่ร้านในตัวเมือง เพียงตาเลือกชุดเจ้าบ่าวให้เข้ากับชุดของตน จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของร้านที่ต้องเอาชุดไปให้เจ้าบ่าวลอง เหตุเพราะไกรสรไม่ยอมออกมาข้างนอกเขาไม่อยากเจอผู้คน เพียงตาไม่ลืมที่จะเลือกชุดสวยให้กับน้องสาวด้วย “ตัวใส่ชุดนี้ก็แล้วกัน” “ทำไมถึงเลือกชุดให้เราสวยจัง อีกอย่างมันเป็นโทนสีเดียวกันกับชุดตัวด้วย ตัวไม่กลัวเราจะแย่งซีนเจ้าสาวเหรอ” ถามออกไปเพื่อดูเชิงพี่สาว ตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาในบ้านหลังนี้ไพลินก็รู้สึกได้ว่าพี่สาวของเธอไม่ได้ชอบขี้หน้าเธอนัก เหตุใดถึงยอมเลือกชุดสวย ๆ ให้เธอใส่ ถึงแม้จะดูเรียบกว่าแต่โทนสีก็เป็นโทนเดียวกันกับชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว “แย่งซีน?” เพียงตาย่นคิ้วเรียวเข้าหากัน ศัพท์คำนี้เธอไม่เคยได้ยินแต่เธอรู้ว่ามันเป็นภาษาอังกฤษน้องของเธอไปได้ยินมาจากใคร เพียงตารู้ว่าน้องสาวไม่เก่งภาษาอังกฤษเลย อีกทั้งตั้งแต่เธอฟื้นขึ้นมาไพลินมักจะมีคำศัพท์ภาษาอังกฤษแปลก ๆ มาคุยกับเธอเสมอจนหลายครั้งก็นึกแปลกใจ ว่านี่คือน้องของตนหรือไม่ ทำไมเธอดูฉลาดขึ้น พูดไทยคำอังกฤษคำบ่อยขึ้น บางครั้งก็อีสานคำไทยคำ “อ
ช่วงบ่ายวันต่อมาภายในบ้านปูนชั้นเดียวสีฟ้าน้ำทะเลหลังใหญ่ “พาพูดจริงเหรอ” ขจีพรถามพาขวัญด้วยท่าทางตื่นเต้นหันหน้าไปทางสามีแล้วยิ้มให้กัน เธอดีใจที่ลูกชายของเธอจะได้มีคนมาดูแลสักที อีกอย่างเพียงตาเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมทั้งหน้าตาและการศึกษา เธอเชื่อว่าว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้จะช่วยทำให้กิจการงานของครอบครัวเธอเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้อย่างแน่นอน “จริงสิคะ ตาเพิ่งบอกเมื่อวานฉันก็รีบมาบอกพี่พรกับพี่ธนานี่แหละจ้ะ” พาขวัญพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “ขอบใจพามากนะ” ธนากล่าว รู้สึกยินดีที่การแต่งงานครั้งนี้จะไม่ต้องบังคับใคร ลูกชายของเขาก็คงดีใจมาก “งั้นฉันขอตัวก่อนนะจ๊ะ จะรีบกลับไปดูยายลินน่ะค่ะ” “จ้ะ ตามสบายเถอะ” ว่าจบพาขวัญก็เดินกลับไปที่รถมอเตอร์ไซด์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ฉันหนักใจกับพ่อไกรนี่สิ จะทำยังไงให้เขายอมตัดผมและโกนหนวดได้” ขจีพรมีสีหน้าเป็นกังวลกับลูกชายของตนที่ไว้หนวดเครารุงรังและยังไว้ผมยาวจนถึงบั้นเอว เธอกลัวจริง ๆ กลัวว่าเพียงตาจะรับสภาพลูกชายของตนไม่ได้ เพราะเกือบสิบปีแล้วที่พวกเขาไม่ได้เจอกัน เหตุเพรา