ภายในห้องพักพิเศษสำหรับผู้ป่วย เปลือกตาสีอ่อนค่อย ๆ กะพริบถี่ เพื่อปรับรูม่านตาให้รับกับแสงไฟในห้องได้
โอย! ทำไมถึงได้รู้สึกปวดระบมไปทั้งตัวแบบนี้ อากาศก็หนาวเย็นมากกว่าเมื่อวานเสียอีก ไพลินคิดในใจ ทำไมที่อีสานถึงได้หนาวนัก
ดวงตากลมกลอกมองไปทั่วห้องเล็ก ๆ แล้วเกิดคำถามขึ้นในใจ
ที่นี่ที่ไหน?
มีเครื่องปรับอากาศแต่ไม่ได้เปิดใช้งาน มีเพียงพัดลมที่ส่ายหน้าไปมา คงเพราะอากาศเย็นกระมัง
ดวงตาดำขลับเหลือบมองขวดน้ำเกลือที่แขวนอยู่บนเสาน้ำเกลือ
อือ! มันคือโรงพยาบาล ถูกต้องแล้วเธอตกบ่อน้ำในสวนหลังบ้านยาย เธอก็ต้องอยู่โรงพยาบาล แต่โรงพยาบาลที่ไหนกันทำไมห้องถึงได้ดูโทรมนัก ทว่าอำเภอที่เธออยู่ก็เจริญมากแล้วไม่น่าจะมีห้องพักผู้ป่วยที่เก่าและโทรมแบบนี้ แล้วญาติพี่น้องของเธอหายไปไหนกันหมด
ลลิลไล่สายตาตามสายน้ำเกลือที่ห้อยระยางลงมายังแขนเรียวเล็กของตน ดวงตากลมเบิกโพลงด้วยความตกใจสุดขีดเมื่อมองเห็นแขนของตัวเองชัด ๆ ทำไมเธอถึงได้ผอมแห้งถึงเพียงนี้ ผิวขาวซีดไม่ได้ขาวนวลผ่องเหมือนผิวเดิมของเธอเลยแม้แต่น้อย
แกรก! เสียงคนเปิดประตูเข้ามาก่อนที่เธอจะคิดอะไรต่อ
ลลิลยิ้มแล้วหันมามองคนที่เดินเข้ามาในห้อง ในวินาทีแรกเธอคิดว่าเป็นพ่อกับแม่ของเธอ แต่แล้วหัวใจก็ต้องสลดวูบลงเมื่อเห็นชายหญิงแปลกหน้าเดินเข้ามาใกล้
“ลิน! ลินฟื้นแล้วเหรอลูก” พาขวัญและสามีรีบปรี่เข้ามาหาลูกสาวด้วยความดีใจหัวใจทั้งสองเต้นรัวเร็วเพราะไม่คิดว่าลูกจะฟื้นขึ้นมาอีก ทั้งสองยืนขนาบข้างเตียงผู้ป่วยทั้งสองฝั่ง จับมือลูกสาวขึ้นมากุมไว้
คิ้วเรียวของคนที่ถูกอ้างว่าเป็นลูกขมวดมุ่นเข้าหากัน ภาษาที่พวกเขาพูดกับเธอเป็นภาษาอีสานที่เธอคุ้นเคย
ลูกอย่างนั้นหรือ? ลลิลได้แต่ครุ่นคิดในใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นสองผัวเมียนี้ถึงได้รู้จักชื่อเธอ ลลิลมองหน้าชายหญิงข้างกายสลับกันไปมา หรือว่าเธอกำลังฝันไป
“ลินลูกแม่ แม่คิดว่าจะไม่เห็นลินฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว” พาขวัญพูดพลางน้ำตาแห่งความยินดีไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ในวันที่ลูกสาวตกต้นไม้จนสลบไปนั้นหมอบอกว่าลูกของเธออาจกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไปตลอดชีวิต แต่นี่เธอฟื้นขึ้นมาได้ราวกับมีปาฏิหาริย์
ลลิลรู้สึกลำคอแห้งผากพยายามกลืนน้ำลายที่แทบจะไม่มีลงไปอย่างยากลำบาก “น้ำ” ลลิลบอกผู้เป็นแม่เสียงแหบแห้ง พาขวัญจึงกุลีกุจอหยิบน้ำในเหยือกพลาสติกมารินใส่แก้วให้ลูก
“นี่จ้ะ” ผู้เป็นพ่อช่วยลูกสาวพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง ยิ่งเห็นลูกอยู่ในสภาพนี้ก็ยิ่งสงสาร ปกติไพลินก็เป็นคนป่วยออด ๆ แอด ๆ อยู่แล้วพอตกต้นไม้สลบไปไม่ได้กินอะไรเลยก็ยิ่งผอมมากกว่าเดิม
เช่นนั้นแล้วเรื่องที่พ่อกับแม่จะให้เธอเรียนต่อปริญญาตรีเหมือนกับพี่สาวจึงต้องหยุดไว้กลางครัน
ลลิลพยายามรื้อฟื้นความทรงจำอีกครั้ง เธอกลับมาที่อีสานบ้านเกิด กินข้าวกับครอบครัวในตอนเย็น ตื่นเช้ามาก็ไปบ้านยายแล้วก็ตกบ่อน้ำที่สวนหลังบ้านยาย
เธอยังไม่ตายใช่หรือไม่? ลลิลคิดถึงตอนนั้นก็เอ่ยปากถาม
“ฉันอยู่ที่ไหนเหรอคะ” ลลิลเปล่งภาษาอีสานออกมาเช่นกัน ทำไมความฝันนี้ถึงได้เหมือนจริงนัก ภาพสีชัดเจนเกินกว่าจะเป็นความฝัน
“ฉัน?” พาขวัญทวนคำก่อนจะหันหน้าไปสบตากับสามี ไพลินไม่เคยแทนตัวเองว่าฉัน ถ้าไม่แทนว่าหนูก็นแทนชื่อเล่นตัวเองแค่นั้น
“ลินพูดว่าอะไรนะลูก” นพพลถามย้ำอีกครั้งเผื่อว่าเขาอาจจะหูฝาด
“ตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหนคะ บ้าน ตำบล อำเภอ หรือจังหวัดอะไร แล้วพวกคุณเป็นใครคะ” เธอต้องการความกระจ่างทั้งหมด เพื่อยืนยันว่าเธอไม่ได้ฝันไป
พาขวัญถึงกับหน้าถอดสีเมื่อคิดว่าลูกตัวเองคงความจำเสื่อม น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วกลับไหลพรากออกมาอาบสองแก้ม
“พ่อคะลูกเรา…” พาขวัญพูดเสียงสั่น นพพลก็อยู่ในอาการช็อกเช่นกันแต่เขาไม่ได้ร้องไห้ออกมา
“ลินชื่อไพลินเป็นลูกแม่พากับพ่อนพมีพี่สาวชื่อตายังไงล่ะ ลินจำไม่ได้เหรอลูก บ้านที่เราอยู่นี่ก็คือบ้าน…” นพพลอธิบายลูกด้วยความใจเย็นแม้ในใจจะรู้สึกวูบโหวงแค่ไหนก็ตาม เหมือนมีก้อนอะไรขึ้นมาอุดหลอดลมไว้จนหายใจติดขัด ไพลินจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง
ลลิลพยักหน้าน้อย ๆ
“ฉันอยากเข้าห้องน้ำค่ะ” ในใจยังสับสนไม่มั่นใจว่านี่คือความจริงหรือความฝันกันแน่
“ลินแทนตัวเองว่าหนูหรือไม่ก็แทนว่าลินเหมือนเดิมได้ไหมลูก” พาขวัญรู้สึกใจคอไม่ดีที่ได้ยินลูกแทนตัวเองแบบนั้น
“อ้อ ค่ะ ปีนี้ลินอายุเท่าไรแล้วคะ”
“ยี่สิบสองปีจ้ะ”
“ยี่สิบสองปี?” ลลิลทวนคำผู้เป็นแม่เสียงสูง พาขวัญก็พยักหน้าให้ลูกเป็นคำตอบ
ตายแล้ว! เธออายุสามสิบแล้วนะ จู่ ๆ จะกลายเป็นเด็กอายุยี่สิบสองได้อย่างไรกัน หรือว่าวิญญาณเธอเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างนี้
ไม่นะ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ มันคงเป็นเรื่องเหลือเชื่อมาก “ปีนี้พอศออะไรเหรอคะ” ลลิลถามแม่ขึ้นอีกครั้ง
“พอศอสองพันห้าร้อยสามสิบหกจ้ะ”
อือ ปีเดียวกันกับที่เธอเกิดเลย แต่เธอกลับมาอยู่ในสถานที่แตกต่างไปจากบ้านเดิมของเธอ
มือเล็กผลักประตูห้องน้ำเปิดออกแล้วเอ่ยขึ้น “ลิลเข้าคนเดียวก็ได้ค่ะ” ลลิลมองหน้าผู้เป็นแม่อย่างชั่งใจ
“ลินเข้าคนเดียวได้จริง ๆ เหรอลูก” พาขวัญมีสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย กลัวลูกจะเป็นลมเป็นแล้งในห้องน้ำไปอีก
“จริงค่ะ” ถึงจะยังรู้สึกปวดตามกล้ามเนื้ออยู่บ้างแต่เธอก็ยังสามารถทรงตัวอยู่ได้ เพราะเดิมทีลลิลเป็นคนที่ชอบออกกำลังกายอยู่แล้ว
ลลิลปิดประตูลงแล้วก็ส่องกระจกดูรูปร่างหน้าตาของตัวเองทันที ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นใบหน้าของเจ้าของร่างเดิมชัด ๆ แก้มสองข้างซูบตอบ ดวงตาลึกโบ๋ สภาพเหมือนตายแล้วเกิดใหม่จริง ๆ
เพื่อความมั่นใจฝ่ามือเล็กจึงตบเข้าที่แก้มตัวเองแรง ๆ
เพียะ!
“โอ้ย! เจ็บจริงนี่หว่า” ลลิลสูดปากร้องคราง
“ลินเป็นอะไรไปลูก” พาขวัญที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำตะโกนถามเสียงร้อนรนเกรงว่าลูกจะล้มหัวฟาดฟื้น
“ปะ เปล่าค่ะ ลิลใกล้เสร็จแล้วค่ะแม่” ลลิลพูดออกไปเพราะเผลอร้องเสียงดัง แม่เธอจึงเงียบเสียง จากนั้นก็ยืนพิศมองดวงหน้าตัวเองอีกครั้ง
อา! เธออยู่ในร่างใหม่จริง ๆ ด้วย ร่างนี้ผอมจนแทบจะเหลือแค่หนังหุ้มกระดูก ว่าไปแล้วก็ตัวใหญ่กว่าไม้เสียบลูกชิ้นนิดหนึ่ง ถ้าเธออ้วนขึ้นอีกสักหน่อยหน้าตาก็คงไม่ขี้เหร่เหมือนตอนนี้ อย่างน้อยร่างใหม่นี้ก็มีคิ้วเรียวสวย ริมฝีปากหยักได้รูป และจมูกรั้นนิด ๆ
“เฮ้อ!” ลลิลถอนหายใจยาว ป่านนี้ทุกคนที่บ้านคงกำลังหาร่างเธอให้ควั่ก ยังไม่ทันได้เจอหน้ายายก็ต้องมาจากไปเสียแล้ว ทำไมชะตาเธอถึงได้อายุสั้นนัก เธอยังไม่ได้ทำใจเลยด้วยซ้ำ นี่แหละหนาพระท่านถึงได้บอกเสมอว่าความตายอยู่กับเราทุกฝีก้าว
หมดกันกับความหวังจะได้สามีหล่อรวยเหมือนหนุ่มเกาหลีผสมกับเมืองจีน แค่เห็นรูปร่างตัวเองตอนนี้ก็คงไม่มีผู้ชายคนไหนมาชายตามอง ขนาดตอนอยู่ยุคปัจจุบันเธอสวยและน่ารักจะตายยังไม่มีผู้ชายคนไหนมาเหลียวแล เคยถามเพื่อน ๆ พวกเขาบอกว่าเธอสวยและเก่งกว่าผู้ชายเกินไป ผู้ชายจึงไม่กล้าจีบ เหตุผลแบบนี้ก็มีด้วย
เสียงเคาะประตูดังขึ้นไพลินจึงหยุดความคิดไว้แค่นั้น พ่อกับแม่เดินเข้ามาหาเธอสีหน้าไม่สู้ดีนัก ไพลินเป็นคนอ่อนไหวง่ายกับเรื่องพวกนี้ พาขวัญเป็นห่วงความรู้สึกลูกสาวจริง ๆ “แม่ขอโทษนะลินที่บังคับลูกแต่งงาน” พาขวัญพูดกับลูกสาวด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิด ไม่คิดว่าไกรสรจะทำตัวเหมือนเด็กแบบนี้ แถมยังทำให้ลูกสาวของเธอเสียหน้าอีกด้วย ทั้งสองคิดว่าลูกสาวมาแอบนอนร้องไห้ในห้องคนเดียว แต่ผิดคาดหน้าตาเธอยังดูสดใสแววตาไม่มีความขุ่นมัวให้เห็นแม้แต่น้อย “ไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ ยังไงเรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว” เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีเหตุผลอะไรที่เธอต้องไปแคร์ขี้ปากชาวบ้าน อยู่ที่นี่เธอก็ไม่รู้จักใครเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว ถึงมีคนรู้จักเธอก็ไม่เคยแคร์เท่ากับคนในครอบครัว “แล้วลูกจะเอายังไงต่อ แม่คิดว่าพ่อไกรน่าจะไม่มาที่บ้านเราอีกแล้ว” เขาคงโกรธมากที่โดนหลอกให้แต่งงาน พาขวัญยังคิดไม่ออกว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร จะให้ไพลินทำอย่างไรกับผู้ชายที่ไม่ได้ต้องการลูกสาวเธอ ถ้าไพลินอยากจะเลิกกับเขาเธอก็คงไม่ห้ามแล้ว “เขาไม่มาเราก็ไปหาสิคะ ไม่เห็นจะยาก” เธอยิ้มบาง ๆ ให้พ
“ระวังหน่อยไกร” ผู้เป็นแม่ก้าวเท้ายาวเดินตามหลังลูกชายเข้ามาในบ้าน เขาเดินจ้ำอ้าวราวกับตามองเห็นปกติ ภายในเขตบริเวณบ้านนี้ไกรสรรู้ดีทุกซอกทุกมุม จึงไม่ใช่ปัญหาหากเขาจะเดินเร็วโดยที่ไม่ต้องมีใครพยุงมีเพียงไม้เท้านำทางเท่านั้น ร่างใหญ่หยุดอยู่กลางห้องโถงของบ้าน รู้ว่าแม่เดินมาใกล้จึงพูดขึ้น“ทำไมทุกคนต้องหลอกผมด้วย หรือเห็นว่าผมตาบอดคิดอยากจะทำอะไรก็ทำอย่างนั้นเหรอครับ” ไกรสรพูดออกมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ทำไมไม่มีใครบอกเขาสักคำว่ามีการเปลี่ยนตัวเจ้าสาว ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของเขาสักคน เห็นเขาเป็นหัวหลักหัวตอกันหมดไม่เว้นแม้แต่พ่อกับแม่ตัวเอง “ไม่ใช่อย่างนั้นนะไกร คือเรื่องมันฉุกละหุกเกินไปแม่กลัวว่าลูกจะรับไม่ได้” ขจีพรว่าเสียงอ้อมแอ้ม ไม่รู้จะอธิบายให้ลูกชายฟังอย่างไรดีเขาถึงจะเข้าใจ ถ้าบอกตอนนั้นก็กลัวว่างานแต่งจะล่มกลางครัน ฝ่ายเจ้าสาวอุตส่าห์แก้ไขสถาณการณ์ให้ แล้วเธอกับสามีจะทำมันพังได้อย่างไร “แล้วที่ทุกคนทำแบบนี้คิดว่าผมรับได้อย่างนั้นเหรอครับ แม่รู้ไหมว่าผมเสียใจแค่ไหน แค่ผมตาบอดผมก็เจ็บมากพออยู่แล้ว ไหนจะต้องมาโดนหลอกอีก มีแต่คนรังเกียจผม
หลังจากไพลินไหว้ขอขมาพ่อแม่แล้วก็นั่งรอเจ้าบ่าวยกขันหมากมาแปดโมงครึ่งขบวนขันหมากฝ่ายชายก็เริ่มขึ้น“โห่…ฮี่โห่…ฮี่โห่…ฮี่โหยยย…ฮิ้ว…”เสียงโห่ร้องดังก้องมาจากหน้าปากซอยหลายครั้ง ไพลินรู้สึกตื่นเต้นจนบอกไม่ถูก นี่หรือคืออาการของคนที่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานเจ้าบ่าวของเธอจะหน้าตาเป็นอย่างไรหนอขันหมากแห่มาถึงหน้าบ้านเจ้าสาว เจ้าบ่าวต้องผ่านประตูเงินประตูทองให้ได้ก่อน จากนั้นก่อนจะก้าวขาเข้าไปในบ้าน เจ้าบ่าวต้องล้างเท้าให้สะอาด ทุกขั้นตอนไกรสรมีแม่คอยพยุงอยู่ข้างกายตลอด แต่ทว่าเมื่อธนาเห็นหน้าเจ้าสาวก็ต้องแปลกใจ ทำไมถึงกลายเป็นไพลินไปได้ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่นแล้วหันไปหาเพื่อนรัก แววตาของเขาเต็มไปด้วยคำถาม ภรรยาของเขาก็ไม่ต่างกัน ถึงเพียงตากับไพลินจะมีใบหน้าที่คล้ายกันแต่ความผอมของไพลินก็ทำให้แยกแฝดสองคนนี้ได้โดยง่ายนพพลเดินหน้าเจื่อนเข้ามาหาธนาเพื่ออธิบายเรื่องทุกอย่าง“ทำไมเจ้าสาวถึงกลายเป็นลินไปได้” ธนาโน้มตัวเข้าไปใกล้แล้วกระซิบข้างหูเพื่อน ขจีพรยืนจ้องหน้านพพลด้วยสายตาคาดโทษ “เอ่อ…คือ…ยายตาหนีเข้ากรุงเทพฯไปแล้ว” นพพลพูดออกมาเสียงเบาเพราะเกรงว่าคนอื่นจะได้ยิน และเขายังไม่อยากให้
พาขวัญรู้มาตลอดว่าลูกสาวเลือกเรียนสาขาวิชาการจัดการโรงแรมเพราะอยากทำงานเอกชน และอยากแต่งตัวสวย ๆ ไม่อยากรับราชการครูเหมือนพ่อกับแม่เพราะได้เงินเดือนน้อย แต่พ่อกับแม่ก็ยังวางแผนเลือกคู่ชีวิตที่รวยกว่าให้เธอแต่เขาตาบอด อีกอย่างเพียงตาไม่อยากลำบากเป็นชาวไร่ชาวสวนเหมือนครอบครัวคู่หมั้น เธอจึงตัดสินใจทำแบบนี้ การเดินทางเข้าไปทำงานในเมืองหลวงคือความใฝ่ฝันของเพียงตามานานแล้ว“ตายจริง! แล้วอย่างนี้คุณแม่จะทำอย่างไรต่อคะ เวลาก็กระชั้นชิดเข้ามาแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์เอานะคะ” ช่างแต่งหน้าที่เป็นสาวเทียมพูดขึ้น“แม่ขอเวลาแป๊บนึงนะคะ แม่ก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ลินไปตามพ่อมาให้แม่ที” พาขวัญบอกลูกเสียงสั่นเครือ หัวใจยังเต้นกระหน่ำไม่ยอมหยุด“ค่ะ”ไม่ถึงห้านาทีนพพลก็เดินเร็วกระหืดกระหอบขึ้นมาบนห้องเพียงตา“พ่อคะ ยายตาหนีเข้ากรุงเทพฯไปแล้วค่ะ”“หือ! เป็นไปได้ยังไง” พาขวัญยื่นจดหมายในมือให้สามีดู“พ่อก็ลองอ่านดูสิคะ แล้วบอกแม่ทีว่าเราควรทำอย่างไรต่อ” นพพลไล่สายตาไปตามตัวอักษรที่ลูกสาวเขียนร่ายไว้บนแผ่นกระดาษ เขาอึ้งอยู่สักพักแล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ตอนนี้หัวใจเขาเต้นแรงมาก จะยกเลิกงานแต่งตอนนี้ก็ไม่
สองวันต่อมาสามแม่ลูกไปลองชุดแต่งงานที่ร้านในตัวเมือง เพียงตาเลือกชุดเจ้าบ่าวให้เข้ากับชุดของตน จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของร้านที่ต้องเอาชุดไปให้เจ้าบ่าวลอง เหตุเพราะไกรสรไม่ยอมออกมาข้างนอกเขาไม่อยากเจอผู้คน เพียงตาไม่ลืมที่จะเลือกชุดสวยให้กับน้องสาวด้วย “ตัวใส่ชุดนี้ก็แล้วกัน” “ทำไมถึงเลือกชุดให้เราสวยจัง อีกอย่างมันเป็นโทนสีเดียวกันกับชุดตัวด้วย ตัวไม่กลัวเราจะแย่งซีนเจ้าสาวเหรอ” ถามออกไปเพื่อดูเชิงพี่สาว ตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาในบ้านหลังนี้ไพลินก็รู้สึกได้ว่าพี่สาวของเธอไม่ได้ชอบขี้หน้าเธอนัก เหตุใดถึงยอมเลือกชุดสวย ๆ ให้เธอใส่ ถึงแม้จะดูเรียบกว่าแต่โทนสีก็เป็นโทนเดียวกันกับชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว “แย่งซีน?” เพียงตาย่นคิ้วเรียวเข้าหากัน ศัพท์คำนี้เธอไม่เคยได้ยินแต่เธอรู้ว่ามันเป็นภาษาอังกฤษน้องของเธอไปได้ยินมาจากใคร เพียงตารู้ว่าน้องสาวไม่เก่งภาษาอังกฤษเลย อีกทั้งตั้งแต่เธอฟื้นขึ้นมาไพลินมักจะมีคำศัพท์ภาษาอังกฤษแปลก ๆ มาคุยกับเธอเสมอจนหลายครั้งก็นึกแปลกใจ ว่านี่คือน้องของตนหรือไม่ ทำไมเธอดูฉลาดขึ้น พูดไทยคำอังกฤษคำบ่อยขึ้น บางครั้งก็อีสานคำไทยคำ “อ
ช่วงบ่ายวันต่อมาภายในบ้านปูนชั้นเดียวสีฟ้าน้ำทะเลหลังใหญ่ “พาพูดจริงเหรอ” ขจีพรถามพาขวัญด้วยท่าทางตื่นเต้นหันหน้าไปทางสามีแล้วยิ้มให้กัน เธอดีใจที่ลูกชายของเธอจะได้มีคนมาดูแลสักที อีกอย่างเพียงตาเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมทั้งหน้าตาและการศึกษา เธอเชื่อว่าว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้จะช่วยทำให้กิจการงานของครอบครัวเธอเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้อย่างแน่นอน “จริงสิคะ ตาเพิ่งบอกเมื่อวานฉันก็รีบมาบอกพี่พรกับพี่ธนานี่แหละจ้ะ” พาขวัญพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “ขอบใจพามากนะ” ธนากล่าว รู้สึกยินดีที่การแต่งงานครั้งนี้จะไม่ต้องบังคับใคร ลูกชายของเขาก็คงดีใจมาก “งั้นฉันขอตัวก่อนนะจ๊ะ จะรีบกลับไปดูยายลินน่ะค่ะ” “จ้ะ ตามสบายเถอะ” ว่าจบพาขวัญก็เดินกลับไปที่รถมอเตอร์ไซด์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ฉันหนักใจกับพ่อไกรนี่สิ จะทำยังไงให้เขายอมตัดผมและโกนหนวดได้” ขจีพรมีสีหน้าเป็นกังวลกับลูกชายของตนที่ไว้หนวดเครารุงรังและยังไว้ผมยาวจนถึงบั้นเอว เธอกลัวจริง ๆ กลัวว่าเพียงตาจะรับสภาพลูกชายของตนไม่ได้ เพราะเกือบสิบปีแล้วที่พวกเขาไม่ได้เจอกัน เหตุเพรา