ฉือฟางอินจำได้ขึ้นใจ เพราะนี่เป็นกลิ่นน้ำมันหอมระเหย ที่นางทำขึ้นมาให้กับเขา ในภายหลังที่นางได้รู้ว่าฉือหย่งหลิง แอบเข้ามาหานางในยามดึก เพื่อมาลูบท้องและนวดขาให้กับนาง นางจึงอยากตอบแทนความดีในของเขาข้อนี้ ฉือฟางอินจึงตั้งใจเตรียมน้ำผสมกับน้ำมันหอมระเหย ที่ช่วยในเรื่องขับไล่ความเหนื่อยล้า ให้ฉือหย่งหลิงได้แช่ตัวหลังจากที่ทำงานหนักมาทั้งวัน
สิ่งนี้เป็นหนึ่งในวิธีปรนนิบัติสามี ที่มารดาของนางได้ถ่ายทอดเคล็ดลับเอาไว้ให้ เมื่อครั้งที่มารดาและบิดาของนาง ยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอยู่ ฉือฟางอินมักจะเห็นมารดาของนาง เตรียมน้ำผสมน้ำมันหอมระเหยที่ทำมาจากสมุนไพร ไว้สำหรับให้กับบิดาของนางได้แช่ตัว ก่อนที่บิดาจะกลับมาจากการไปว่าราชการ ที่ราชสำนักในวังหลวงในทุกวัน
เมื่อฉือฟางอินถามมารดาอย่างใคร่รู้ มารดาของนางจึงใจสอนความรู้ให้นางอย่างละเอียดทุกขั้นตอน และยังบอกเคล็ดลับกรรมวิธี ที่จะสามารถเปลี่ยนกลิ่นกายของผู้ที่ลงไปแช่ ให้มีกลิ่นสมุนไพรอย่างที่คนทำเลือกแต่งกลิ่นขึ้นมาได้ ถ้าหากภรรยาอยากจะให้สามีมีกลิ่นกายเช่นไร ก็ให้จับคู่กลิ่นสมุนไพรที่ตนเองต้องการ นำไปทำน้ำมันหอมระเหย และผสมเข้ากับยาผ่อนคลายความเหนื่อยล้าสูตรไร้กลิ่น
กลิ่นจากส่วนผสมน้ำมันหอมระเหยอ่อนๆ นี้ จะหอมติดกายสามีไปนานร่วมหลายเดือน ซึ่งกรรมวิธีนี้เป็นเคล็ดลับที่ถูกถ่ายทอดมาจากสกุลโหลว สกุลเดิมของท่านยายของนาง ดังนั้นฉือฟางอินจึงจำได้ดีว่าสมุนไพรทั้งหมด ที่นางใช้แต่งกลิ่นทำน้ำมันหอมระเหยให้กับฉือหย่งหลิงนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นสมุนไพรที่ได้กลิ่นแล้วรู้สึกเย็นสดชื่น อย่างที่ไม่มีทางที่จะหาได้จากที่ไหน แล้วเหตุใดบุรุษผู้นี้ ถึงได้มีกลิ่นกายเหมือนกับฉือหย่งหลิงเช่นนี้
หรือว่า…
‘หรือว่าบุรุษผู้นี้ก็คือ ฉือหย่งหลิงอย่างนั้นหรือ!’
แต่นั่นจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ในเมื่อตอนนี้คนผู้นั้นกำลังติดพันภารกิจอยู่ในสนามรบ อยู่ที่ชายแดนทางเหนือ เขาจะเอาเวลาที่ไหนปลีกตัวมาที่นี่ได้ และอีกอย่างตัวนางเอง ก็ไม่ได้มีความสำคัญในชีวิต มากถึงขนาดที่จะทำให้เขา ทิ้งภารกิจสำคัญมาช่วยเหลือนางได้ หากเป็นเฉียนเอ๋อร์ก็ว่าไปอย่าง
เพราะในชาติที่แล้วตั้งแต่เฉียนเอ๋อร์คลอดออกมา ก็เป็นฉือหย่งหลิงที่คลุกคลีอยู่กับเฉียนเอ๋อร์มากกว่าใคร หากฉือหย่งหลิงทราบว่าเฉียนเอ๋อร์กำลังตกอยู่ในอันตราย ก็อาจเป็นไปได้ที่เขาจะรีบกลับมาช่วยลูก แต่เมื่อครู่นี้ระหว่างทางที่กำลังเดินอยู่ในป่า เฉียนเอ๋อร์เองก็ส่งเสียงร้องเรียกชายผู้นี้ ทำราวกับว่าพบผู้คุ้นเคยกัน เช่นนั้นนางจะต้องรู้ให้ได้ ว่าบุรุษผู้นี้ใช่ฉือหย่งหลิงจริงๆ หรือไม่
ระหว่างที่ฉือฟาอินกำลังคิดหาวิธี พิสูจน์ความจริงอยู่นั้น ที่เปลือกตาของนางก็เหมือนจะรู้สึกได้ถึงแสงสว่าง ที่เพิ่มจากตอนแรกที่เดินเข้ามาเส้นทางนี้เช่นนั้น นางจึงค่อยๆ ลืมขึ้นมา เมื่อลองมองดูรอบๆ ก็พบว่าทางข้างหน้า เริ่มมีแสงสว่างลอดเข้ามาบ้างแล้ว ประกอบกับทางที่ฉือหย่งหลิงกำลังเดินแบกนางและอุ้มเฉียนเอ๋อร์เอาไว้นั้น ก็ไม่ได้แคบเสียจนทำให้นางกลัวอีกแล้ว
ฉือฟางอินจึงอาศัยจังหวะนี้ ลอบสำรวจชายผู้นี้ที่กำลังแบกนางอยู่อย่างละเอียด แต่ด้วยชุดที่เขาสวมใส่อยู่นี้ ได้ปกปิดร่างกายของเขาไว้อย่างแน่นหนาและมิดชิด ทำให้นางไม่สามารถหารอยแผลเป็น บนร่างกายของฉือหย่งหลิงที่นางเคยเห็นได้ แต่ครั้นจะให้นางถือวิสาสะ ใช้มือแหวกเสื้อผ้าของเขาออก นางก็คงจะถูกเขาเหวี่ยงนางลงมากับพื้นเป็นแน่ แต่ในระหว่างที่ฉือฟางอินกำลังอับจนหนทาง จนเกือบจะถอดใจไปแล้วนั้น
สายตาของนางก็เหลือบไปเห็นรอยต่อระหว่างผ้าโพกหัว กับชุดของเขาที่อยู่ใต้คางนั้นไม่ได้ถูกเย็บให้ติดกัน นางจึงจำได้ว่าที่คอด้านหลังของฉือหย่งหลิงนั้น มีรอยแผลเป็นรูปกากบาทขนาดใหญ่อยู่ หากว่านางสามารถทำให้ ผ้าตรงคอด้านหลังของชายผู้นี้ร่นลงมาได้ ก็จะทำให้เห็นรอยแผลเป็น ที่อยู่ตรงนั้นได้อย่างแน่นอน
“ทางออกอยู่ด้านหน้านู่นแล้ว พวกเจ้ารีบล่วงหน้าไปบอกให้ชาวบ้านรู้กันก่อนเถิด ประเดี๋ยวพวกเขาจะแตกตื่นเอา”
“ขอรับ”
ด้านฉือหย่งหลิงที่ยังไม่รู้ตัว ว่าตนเองได้ถูกฉือฟางอินจับพิรุธได้เข้าให้แล้ว เมื่อเห็นทางออกไปหมู่บ้านอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาก็หันไปสั่งให้บิดาของจินซีจ่าวและคนที่เหลือ ให้รุดหน้าเดินเข้าหมู่บ้านไปก่อน แม้ในความเป็นจริงพวกชาวบ้าน หน้าจะรู้ดีกันอยู่แล้ว ว่าวันนี้พวกเขาจะต้องต้อนรับฮูหยินฉือฟางอินและคุณชายฉือเฟิ่งเฉียน ที่จะต้องมาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านหั้วห่าวชั่วคราว แต่กระนั้น การมีผู้ที่สวมใส่ชุดอำพรางตัว เดินเข้าไปในหมู่บ้านโดยที่ยังไม่มีผู้ใดบอกกล่าว เกรงว่าพวกชายบ้านจะแตกตื่นเอาได้
ด้านฉือฟางอินที่เห็นว่าคนอื่นๆ ที่เคยเดินอยู่ด้านหลัง เดินขึ้นไปข้างหน้ากันหมดทุกคนแล้ว นางจึงได้อาศัยช่วงจังหวะที่ชายผู้นี้ผ่านม่านเถาวัลย์ขนาดใหญ่ ก่อนจะถึงประตูทางออกเข้าไปในหมู่บ้าน จับเถาวัลย์เส้นหนึ่งมาข่วนที่หลังคอของเขา ทำทีเป็นว่าเขาถูกเถาวัลย์เส้นนี้เกี่ยวเข้าให้เอง เมื่อผิวหนังที่คอด้านหลังปรากฏต่อสายตา ฉือฟางอินก็ได้รู้ความจริง
‘ที่แท้ก็เป็นท่านจริงๆ สินะ ฉือหย่งหลิง’
มิน่าเล่าเขาถึงได้กล้าต่อว่านาง ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน บอกว่านางจงใจยั่วยวนชายอื่น ด้วยใจสวมชุดไม่เรียบร้อย เฮอะ! จะมีผู้ใดกล้าพูดกับนางด้วยวาจาร้ายกาจกับนางได้อีก ถ้าไม่ใช่ฉือหย่งหลิงผู้นี้ แต่เมื่อรู้แล้วนางจะทำอะไรได้ อย่างมากก็ทำได้แค่ต่อว่าเขาอยู่ในใจเช่นนี้ นั่นก็เพราะชุดอำพรางตัวที่เขาสวมใส่อยู่ นางเองก็เป็นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ นอกจากทราบแล้วว่าชุดนี้คือชุดอะไร นางก็ยังรู้อีกว่า การที่ฉือหย่งหลิงต้องใส่ชุดอำพรางตัวเช่นนี้ ก็เพื่ออำพรางตัวจากศัตรู นางจึงไม่สมควรปล่อยให้ความโกรธ นำพาให้ทุกอย่างแย่ลงเช่นนั้น นางก็จะคิดเสียว่าเรื่องนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนางก็แล้วกัน คนที่นางจะต้องสนใจ และให้ความสำคัญมากที่สุดในชาตินี้ มีเพียงคือเฉียนเอ๋อร์คนเดียวเท่านั้น ส่วนใครจะเป็นจะตายด้วยเรื่องอะไรก็แล้วแต่ชีวิตของคนผู้นั้นเถิด
“ขอบคุณ”
ฉือฟางอินแสร้งขอบคุณฉือหย่งหลิง อย่างคนผู้หนึ่งที่ได้รับการช่วยเหลือจากคนแปลกหน้า จากนั้นก็เอื้อมมือไปคว้าเฉียนเอ๋อร์มาไว้ในอ้อมกอด แล้วเดินไปหยุดยืนอยู่ด้านหลังของจินซีจ่าวแทน
“นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน
“ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได
“แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล
“อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่
“เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี