เหลียนเฟินมองเห็นไอปราณมารห่อหุ้มรอบตัวของหวังเยี่ยนหลงจึงถามดูให้แน่ใจว่าคนตรงหน้ายังมีสติดีหรือไม่
"เจ้าเป็นอันใดหรือไม่” เขาเดินถอยหลังตั้งหลัก
หวังเยี่ยนหลงไม่ตอบสิ่งใด ยังคงก้าวเข้ามาหาเหลียนเฟินพร้อมรอยยิ้มน่ากลัว พลันพุ่งเข้าหาโดยไม่ทันตั้งตัว
เขาจึงเอี้ยวตัวหลบไปอีกทางพลางร่ายอาคมเพื่อสลายปราณมารในตัวหวังเยี่ยนหลงเพราะคิดว่าคนตรงหน้าคงจะถูกปราณมารควบคุมเหมือนกับหญิงสาวในจวนขุนนาง
“ตั้งสติเสียที” เหลียนเฟินพยายามเรียกเขา หากแต่หวังเยี่ยนหลงยังคงตกอยู่ในภวังค์ ดวงตาเป็นสีแดงก่ำ ผิวหน้าขาวซีดเหมือนคนตาย
ครั้นเห็นว่าไม่อาจปลุกเขาให้ตื่นจากการถูกควบคุมได้ เหลียนเฟินจึงเสี่ยงร่ายอาคมประชิดตัวเขา มือสองข้างสัมผัสบนแผ่นหลังของหวังเยี่ยนหลงเพื่อถอนปราณมาร
เหลียนเฟินคิดแต่เพียงว่าหากสลายปราณมารได้ คนตรงหน้าก็จะปลอดภัยโดยไม่รู้เลยว่าเขาเป็นตัวการของเรื่องวุ่นวายทั้งหมด
เวลานี้ปราณมารควบคุมหวังเยี่ยนหลง ความรู้สึกอยากกัดกินร่างกายและวิญญาณมีเต็มเปี่ยม ทุกครั้งที่เหลียนเฟินพยายามสลายปราณมารให้ หวังเยี่ยนหลงจะเอามือปัดป้องและคอยหลบอยู่ร่ำไป
เหลียนเฟินจึงหาจังหวะเข้าใกล้ตัวเขาได้อย่างยากลำบาก กระนั้นความตั้งใจที่จะช่วยกลับไม่ลดถอย ครั้นสัมผัสตัวเขาได้ครั้งหนึ่งก็ถ่ายปราณทิพย์เข้าไปเพื่อสลายปราณมารได้หนึ่งส่วน
สัมผัสอบอุ่นจากเขาทำให้หวังเยี่ยนหลงรับรู้ได้ สติที่เลือนลางจึงค่อย ๆ กลับมา แต่กว่าจะทำได้ถึงเพียงนี้ก็ทำให้เหลียนเฟินสูญเสียพลังปราณของตัวเองไปไม่น้อย อาการเหนื่อยล้าเริ่มก่อตัวขึ้น
ตรงกันข้าม หวังเยี่ยนหลงกลับเริ่มควบคุมปราณมารรุนแรงนั่นได้ พละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นจากที่เคยเป็น
ปราณมารในร่างของหวังเยี่ยนหลงนั้นมีอยู่สองส่วน ส่วนที่เขาสร้างมันขึ้นมาเองจากการฝึกวิชาตำราของพรรคทลายฟ้า อีกส่วนมาจากปราณมารในศิลาหินที่พบเมื่อสิบแปดปีก่อน
แม้จะควบคุมปราณมารจากศิลาหินได้แล้ว หากแต่ว่ามันคล้ายมีความกระหายและสามารถเพิ่มพูนขึ้นได้ตลอดเวลา ยามที่มันอัดแน่นอยู่ในร่างกายของเขา มันก็พร้อมที่จะกัดกินเขาและช่วงชิงทุกอย่างให้ตกเป็นของมันตามความปรารถนาเดิม
ทว่า หวังเยี่ยนหลงรู้ว่ามันละโมบโลภมาก ครั้นปราณมารส่วนนั้นปะทุเพื่อทำร้ายตัวเขา หวังเยี่ยนหลงจะหาเหยื่อมาล่อให้มันออกไป แทนที่มันจะยึดร่างเหยื่อมาเป็นของตน มันกลับกระหายจนกลืนกินเจ้าของร่างทุกครั้งไปไม่นึกเสียดาย เพราะมันรู้ว่าตัวมันไม่มีทางดับสลาย ร่างของหวังเยี่ยนหลงจึงเหมือนภาชนะชิ้นดีที่หล่อเลี้ยงมันเอาไว้
ทุกครั้งที่กัดกินเหยื่อก็เหมือนได้อาหารโอชะมาเพิ่มพลังของตนให้แกร่งยิ่งขึ้นไปอีก
หวังเยี่ยนหลงเองก็รู้สึกได้ว่าปราณมารนั้นรุนแรงมากกว่าเดิมและก็รู้ว่าหากควบคุมมันได้ เขาจะกลายเป็นหนึ่งในใต้หล้า ไม่มีใครโค่นล้ม
ก่อนหน้านี้ หวังเยี่ยนหลงพยายามหาทางทำสิ่งนั้นมาโดยตลอด หากแต่ไม่มีวิธีใดเลยที่พอจะทำได้ จนกระทั่งวันนี้ เหลียนเฟินทำให้เขารู้สึกได้ว่าปราณมารรุนแรงนั่นกำลังไม่สามารถต่อกรกับเขาได้
ครั้นสติกลับมาบางส่วน จึงพอมองเห็นคนตรงหน้าลาง ๆ สัมผัสที่ส่งผ่านมาให้เขามันดึงดูดตัวเขาให้อยากชิดใกล้
ยามที่ปราณมารร้อนระอุบาดไหม้จนตัวแทบจะแตกเป็นเสี่ยง เวลานี้มีความอบอุ่นแทรกเข้ามา ร่างกายและจิตใจของเขาราวกับโหยหาที่พักพิง
เขาคว้ามือทั้งสองข้างของเหลียนเฟินที่กำลังส่งปราณทิพย์เข้ามาช่วยด้วยความสะลึมสะลือ
“เป็นอย่างไรบ้าง” เหลียนเฟินถามด้วยความเป็นห่วง รู้สึกว่าปราณมารในตัวคนผู้นี้รุนแรงยิ่งกว่าที่เคยพบ หากช่วยเขาได้สักนิดคงจะดีไม่น้อย ในใจนึกอยากให้คนตรงหน้าได้สติเพราะตัวเขาแทบจะหมดแรงแล้ว
“...” หวังเยี่ยนหลงไม่ตอบ ร่างกายกำลังสัมผัสกับความอบอุ่นนั้น หัวใจเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ เขาปล่อยให้เหลียนเฟินทำเช่นนั้นไปเรื่อย ๆ จนสติกลับมาได้เกือบทุกส่วน
จิตสังหารที่มีในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นกระหายความอ่อนโยนนั้น เขาสบตาของเหลียนเฟินที่มีแววกังวลใจ
“เจ้าตื่นแล้วใช่หรือไม่” น้ำเสียงความเป็นห่วงเป็นใยคนแปลกหน้าทำให้หวังเยี่ยนหลงยักยิ้ม
“ไร้เดียงสายิ่งนัก” เขาพูดคำหนึ่งออกมา สายตามองเหลียนเฟินไม่วาง
“ดีขึ้นแล้วหรือไม่”
“อื้ม” รอยยิ้มของหวังเยี่ยนหลงมีเลศนัย “ดีขึ้นแล้วแต่ยังคงไม่พอ” เขาต้องการสิ่งนั้นจากเหลียนเฟินอีก
“เช่นนั้น เจ้าก็อยู่เฉย ๆ ข้าจะสลายปราณมารช่วยเจ้า”
หากแต่ว่า หวังเยี่ยนหลงไม่ฟังคำพูดนั้น เขาดันร่างบางของเหลียนเฟินนอนราบบนพื้นห้อง
เหลียนเฟินรู้สึกได้ว่าไม่อาจสู้แรงของคนแปลกหน้าได้เลยแม้แต่น้อย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังพอสูสีกันได้บ้าง เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่
หวังเยี่ยนหลงนั่งคร่อมร่างของเหลียนเฟิน ใบหน้าโน้มลงมาหาร่างบาง ปลายจมูกของเขาไล้ลำคอของเหลียนเฟินอย่างกระหาย
“หยุดนะ เจ้าจะทำอันใด” เหลียนเฟินสะดุ้งไม่นึกว่าคนตรงหน้าจะทำเช่นนี้ “ตั้งสติหน่อยเถิด” เขาคิดในใจว่าการกระทำเช่นนี้เกิดจากถูกปราณมารควบคุม
“เฮอะ” หวังเยี่ยนหลงหัวเราะในลำคอ เมื่อครู่เขาอาจถูกปราณมารควบคุมจนอยากจะฆ่าเหลียนเฟิน แต่เวลานี้เขาเริ่มควบคุมปราณมารที่รุนแรงได้บางส่วนก็เพราะสัมผัสจากฝ่ามือของเหลียนเฟิน หากเป็นสัมผัสที่มากกว่านี้เล่าจะเกิดอันใดขึ้น
“ปล่อยข้า!” เหลียนเฟินดิ้นรนให้หลุดพ้น ปากร่ายอาคมจะเรียกกระบี่เงินของตนเองออกมา พลันริมฝีปากของทั้งคู่ประกบเข้าหากัน ชิวหาที่พยายามแทรกเข้าไปในโพรงปากนั้นถูกเขากัดเข้าอย่างแรง อีกฝ่ายจึงกัดริมฝีปากของเหลียนเฟินเป็นการลงโทษ
“โอ๊ย!”
“เจ้ากัดข้าก่อน” หวังเยี่ยนหลงยิ้มแป้น ไม่สำนึกว่าเพราะเหตุใดเหลียนเฟินจึงทำเช่นนั้น
“ใครใช้ให้เจ้าใส่มันเข้ามา”
“ช่วยไม่ได้ อาหารอยู่ตรงหน้า ข้าก็ต้องอยากลิ้มลองเป็นธรรมดา” หวังเยี่ยนหลงก้มหน้าเข้ามาใกล้เหลียนเฟินอีกรอบ
“อาหารหรือ เจ้าหิวก็ไปหาอะไรกินข้างนอกเสีย อย่ามายุ่งกับข้า” เขายังคงไม่เข้าใจจุดประสงค์ของหวังเยี่ยนหลง ตั้งแต่เกิดมา มีใครที่ไหนเคยพูดและกระทำเช่นนี้กับเขากันเล่า
คนใต้ร่างเห็นหวังเยี่ยนหลงกำลังจะทำอย่างเมื่อครู่ จึงโพล่งออกมา “ถ้าเจ้าใส่มันเข้ามา คราวนี้ข้าจะกัดให้ขาด”
สีหน้าของหวังเยี่ยนหลงนึกสงสัย “เจ้าจะเอาแรงที่ไหนมาห้ามข้า”
หลังจากพูดคุยกันมาเสียยืดยาว เหลียนเฟินจึงฉุกคิดได้ว่าคนผู้นี้ไม่ได้ถูกปราณมารควบคุมแล้ว
“เจ้ากำลังควบคุมปราณมารหรือ เพราะเหตุใด”
“...” หวังเยี่ยนหลงไม่ตอบ
“เจ้าหายดีก็ปล่อยข้าได้แล้ว” เหลียนเฟินพยายามรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีต่อต้านเขา ทว่า แรงนั้นยังน้อยนิดเกินไป เขาเสียพลังปราณไปมากโขเพราะช่วยสลายปราณมารในตัวคนตรงหน้า
“หายดีหรือ ไม่เลย ข้ายังต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าอีกมาก ช่วยข้าได้หรือไม่” ลมหายใจของเขารดต้นคอเหลียนเฟิน ทันทีที่ริมฝีปากสัมผัสโดน เหลียนเฟินก็หันมางับเข้าที่ใบหูของหวังเยี่ยนหลงอย่างจัง
“อย่ากัดข้า” น้ำเสียงของเขาดูหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีผู้ใดปฏิเสธเขาได้ เขาพูดจบแล้วทำต่ออีกครั้ง
“...” เหลียนเฟินพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แรงดูดเม้มที่ลำคอเริ่มรุนแรงขึ้นจนเขาไม่ทันได้สังเกตว่าทำไมเหลียนเฟินจึงไม่ต่อต้านเขา
ส่วนเหลียนเฟินนั้นคิดอยากจะกัดเขาอีกรอบแต่ทำไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้คนผู้นี้กระทำดังใจ ทุกสัมผัสระหว่างคนทั้งสองกระตุ้นบางอย่างที่หลับใหลในวิญญาณให้ตื่นขึ้น
สามเดือนต่อมาเช้าวันหนึ่งเสี่ยวหยุนมองเหลียนเฟินที่กำลังนอนหลับใหลในอ้อมกอดของเขา สายตาเต็มไปด้วยความรักท่วมท้นในใจก่อนจะพึมพำร่ายอาคมอย่างหนึ่งขึ้นมาพลันกรีดปลายนิ้วจนได้เลือดหยดหนึ่งหลอมรวมกับลูกกลมสีฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้เป็นวิชาที่เขาเพิ่งคิดค้นขึ้นมาได้แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกเสี่ยวหยุนตั้งชื่ออาคมนั้นว่า “พันธะวิญญาณ” อาคมที่สามารถผูกวิญญาณของพวกเขาทั้งสองไว้ด้วยกันในทุก ๆ ชาติ ไม่ว่าเหลียนเฟินจะเกิดเป็นผู้ใด อยู่ที่ไหน เขาจะรู้ได้ในทันที นับต่อจากนี้ไม่มีพรากจากลมหายใจของร่างบางในอ้อมกอดสัมผัสแผ่นอกกว้างของเขาเตือนสติให้รู้ตัว ล้มเลิกความคิดเช่นนั้น เสี่ยวหยุนยิ้มมุมปากพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วบีบอาคมนั้นให้แตกสลายไปริมฝีปากจุมพิตหน้าผากเรียกเหลียนเฟินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฟูเหรินของข้า”“อืม…” เหลียนเฟินยังคงงัวเงียพลันได้รับจุมพิตที่แก้ม โลมเลียลงลำคอ สัมผัสเรียวลิ้นร้อนชื้นดูดเม้มก่อนจะถูกใครบางคนคร่อมร่างกายท่อนบนเอาไว้“ฟูเหริน ท่านยังไม่ตื่นอีกหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำ
เหลียนเฟินนอนนิ่งบนแผ่นอกของเขา ส่วนล่างกระตุกบีบแก่นกายที่ค้างอยู่ราวกับเชิญชวนจึงถูกพลิกตัวเป็นฝ่ายนอนใต้ร่างพลางโดนเสี่ยวหยุนจับขาสองข้างยกขึ้นแล้วขย่มสะโพกเป็นจังหวะ“ข้าเพิ่งจะ…อ๊ะ...” เหลียนเฟินไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องเม้มปากตัวเองอีกครั้ง มือสองข้างจับหมอนที่วางอยู่ ขยำจนผ้ายับยู่ยี่ ลมหายใจร้อนหอบถี่ ฟังแล้วยิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายเกิดความต้องการอย่างยิ่งยวดแก่นกายที่ครูดเข้าออกเร่งขึ้นอย่างเร่าร้อนจนน้ำที่ปล่อยเอาไว้เมื่อครู่กระเซ็นเปรอะเปื้อน คนกระทำยิ้มมุมปากชอบใจยิ่งนักที่ได้เห็นร่องรอยของเขาบนตัวคนรักเมื่อโพรงเนื้อโอบรอบจนมิดแน่นขนัดยิ่งเสียวซ่านจนตาเหลือกลอย “อือ… เหลียนเฟิน” ในใจวนเวียนแต่คำว่า อีกนิด ข้าขออีกนิดในขณะที่คนใต้ร่างแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่ พึมพำแผ่วเบา “ข้าไม่ไหวแล้ว… อย่าเพิ่งขยับ”“จะให้ข้าหยุดจริงหรือ” เขาเอ่ยถามแต่ส่วนลับยังคงกระทุ้งเข้า ๆ ออก ๆ บดเบียดภายใน หยอกล้อเหลียนเฟินเพราะอยากเห็นสีหน้าแดงระเรื่อ สุขสม พลันวางขาทั้งสองข้างลงแล้วพลิกตัวเหลียนเฟินให้นอนคว่ำในพริบตาก่อนจะยกส
เหลียนเฟินโอบแขนรอบคอของเสี่ยวหยุนกดแรงโน้มตัวเขาลงมาหา จ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตาพลันยิ้มอ่อนโยน เอ่ยกระซิบยืนยันความรู้สึกของตัวเอง “ข้ารักเจ้า”คนได้ฟังคำรักน้ำตาไหลเอ่อไม่อาจกั้นด้วยความรู้สึกผิดระคนกับความรู้สึกอื่น ๆ ในใจ แม้รู้ตัวว่าไม่สมควรมายืนอยู่ข้างเขาแต่เวลานี้ก็ไม่อาจขยับกายหรือเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายได้เลยเขารักเหลียนเฟิน ผู้เป็นฟูเหรินของเขาและไม่อยากถูกพรากจากอีกแล้ว ทั้งยังดีใจเพราะใบหน้าที่มองเขาในเวลานี้ไม่ใช่ใบหน้าของคนที่เกลียดชังเขาจนต้องจ่อปลายกระบี่เข้าหาราวกับแค้นเคืองกันมาเนิ่นนาน“เสี่ยวหยุน” เสียงเรียกหาอ่อนหวานจับใจ “ยังคงจำได้อยู่ใช่หรือไม่ว่าเวลานี้เจ้าคือฟูจวินของข้า”“…” เขาพยักหน้าเล็กน้อย เม้มปากแน่นแล้วกอดเหลียนเฟินเอาไว้ครั้นสะสางความหลัง ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างพลันคลี่คลาย ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีกต่อไปหวังซีซวนและพรรคพวกแวะมาหาพวกเขาเหมือนอย่างเคย สังเกตได้ว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองคนดูอึมครึมเล็กน้อย ดวงตาเสี่ยวหยุนบวมช้ำปรากฏเด่นชัดจนอดถามไม่ได้“
ครั้นเรื่องราววุ่นวายที่ใจกลางตลาดจบลงไปได้ด้วยดี เหลียนเฟินจึงพาเสี่ยวหยุนกลับมาพักฟื้นร่างกายที่บ้านหลังน้อย พลางขอให้หวังซีซวนช่วยกลั่นยาสมุนไพรให้เขาจนกว่าจะหายดีเขาหลับลึกอยู่หลายวันเพราะใช้เรี่ยวแรงร่ายวิชาอาคมโดยไม่สนขีดจำกัดของตัวเองเพียงเพราะเป็นห่วงเหลียนเฟินและไม่อยากให้สถานการณ์ยืดเยื้อใบหน้าสงบนิ่งยามหลับใหลทำให้เหลียนเฟินโล่งใจได้บ้างว่าเขาคงไม่ได้ฝันร้ายเหมือนที่ผ่านมาจึงปล่อยให้คนตรงหน้าพักผ่อนให้เต็มที่“ท่านเซียน เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” หลี่จิ้นหลิงแวะมาเยี่ยมเพราะได้ข่าวว่าเสี่ยวหยุนยังไม่ฟื้น“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาเพียงแค่ต้องนอนให้เยอะ ๆ ก็เท่านั้น” เหลียนเฟินยิ้มให้อีกฝ่ายนึกขอบคุณที่เขาช่วยหาตำราต้องห้ามจนพบ“หากท่านเซียนต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องใด อย่าได้ลังเลใจที่จะบอกข้านะขอรับ” หลี่จิ้นหลิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องฟื้นฟูพลังชีวิตของท่าน ถ้าตำราต้องห้ามไม่ได้ผล ข้ายินดีหาหนทางอื่น”เหลียนเฟินส่ายหน้าเข้าใจดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่ว่าเขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว ไม่ว่าผลที่ได้จะออกมาเป็น
“ปล่อยคุณหนูหลี่” เหลียนเฟินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเห็นอีกฝ่ายเคลื่อนไหวรวดเร็ว เขากำกระบี่ในมือไว้แน่นพลันยกขึ้นมากันท่าไม่ให้เสิ่นหยางพุ่งตัวเข้าใกล้ระยะประชิดก่อนจะม้วนตัวแล้วถีบคนตรงหน้ากระเด็นไปอีกทางด้วยแรงที่ออมไว้สามส่วน“ฝีเท้าหนักใช่เล่น” เขาเอ่ยชม รอยยิ้มกวนประสาทราวกับถูกใจอย่างยิ่งยวด “อย่าขัดขืนนักเลย เมื่อครู่ข้าเพียงยั้งมือเอาไว้เท่านั้นเพราะไม่อยากทำให้ร่างกายของท่านเซียนมีบาดแผล”เสิ่นเหยา แฝดผู้พี่ที่จับตัวหลี่ฮวาเอาไว้ลูบปลายจมูกตัวเอง “หากท่านเซียนยินยอมมากับพวกข้า ข้าจะคืนสตรีนางนี้เป็นการแลกเปลี่ยน”“เช่นนั้นปล่อยนางก่อน” เหลียนเฟินไม่ตกลงง่าย ๆ และเป็นห่วงความปลอดภัยหลี่ฮวาที่เวลานี้กำลังกลั้นน้ำตาไม่ร้องไห้เสียงดังด้วยความหวาดกลัว“ท่านเซียนคงไม่รู้ว่าข้าเป็นผู้ใดจึงพยายามเล่นแง่ยืดเวลาออกไปใช่หรือไม่ แต่ข้ายืนยันได้เลยว่าสองชั่วยามต่อจากนี้ไม่มีผู้ใดเข้ามาก้าวก่ายที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอนและหากทุกสิ่งไม่เป็นอย่างที่ข้าต้องการ ข้าจะทำลายหมู่บ้านให้ราบคาบ” เสิ่นหยางประกาศก้อง คำพูดของเขาทำให้ชาวบ้านขวัญ
ครั้นพูดคุยเรื่องตำราต้องห้ามเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็กลับมายังบ้านหลังน้อยจึงได้เห็นว่าหลี่จิ้นหลิงกำลังนั่งเล่นอยู่ตั่งไม้กับเหลียนเฟินแววตาเสี่ยวหยุนเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”“ข้าเห็นว่าท่านเซียนเมาหลับไป วันนี้จึงอยากมาดูให้แน่ใจว่ามีอาการใดหรือไม่” เขายักไหล่พูดด้วยสีหน้าสบายอารมณ์หากแต่เสี่ยวหยุนอารมณ์ดีจึงไม่ใส่ใจแล้วเดินไปนั่งข้างเหลียนเฟิน เอ่ยกับเขาว่า “ข้าต้องไปหอสมุดวังหลวง คุณชายหวังซีซวนบอกว่าที่นั่นมีตำราเก็บไว้อยู่ อาจช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตของท่านได้”“เขาไม่ได้บอกหรือว่าที่แห่งนั้นห้ามให้คนนอกเข้าไป” เหลียนเฟินหรี่ตามองคนตรงหน้าที่ทำท่าเหมือนรู้ทุกอย่าง “หากคิดไปขโมยตำรามาก็หยุดแต่เพียงเท่านั้นเถิด พลังชีวิตของข้ามีแค่ครึ่งเดียวแล้วอย่างไร ไม่เห็นหรือว่าข้ายังแข็งแรงดี”“ไม่อยากอยู่กับข้านานกว่านี้หรือ” สีหน้าของเขาเศร้าสร้อยหากต้องล้มเลิกความตั้งใจ รู้ว่าบำเพ็ญคู่จะสามารถยืดอายุขัยออกไปได้ แต่หากพลังชีวิตของเขากลับมาเหมือนเดิม ย่อมมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันนานมากขึ้นไปอีกเ