ศิษย์วังธาราเหมันต์ผู้นี้ได้ออกเดินทางเพียงลำพังอีกครั้ง ยามนี้สหายผู้อบอุ่นอ่อนโยนแยกย้ายกลับสำนักของตน ข้างกายว่างเปล่า ไร้เสียงเจื้อยแจ้วคอยถาม จึงรู้สึกเหงาไปบ้างเล็กน้อย ทว่าช่วงเวลาอันแสนมีค่านี้ถูกเก็บไว้เป็นความทรงจำที่คงจะได้หวนระลึกถึง
เหลียนเฟินเดินทางผ่านเมืองฮวาอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เขารีบร้อนจนไม่ได้แวะเที่ยวชมเมืองที่มีดอกไม้ผลิบานสะพรั่ง จึงตั้งใจจะเดินเล่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้าพักในโรงเตี๊ยม
กลางดึก
กลิ่นเลือดคละคลุ้งลอยเข้ามายังห้องของเหลียนเฟิน เขาสะลึมสะลือลุกขึ้นมาเปิดหน้าต่างดูข้างนอกโรงเตี๊ยมแต่กลับไม่พบสิ่งใด
บรรยากาศเงียบสงบ ผู้คนต่างนอนหลับใหลในเรือนของตน มีเพียงเสียงสายลมพัดใบไม้สะบัดไหว
“แปลกนัก” เหลียนเฟินรู้สึกสังหรณ์ใจ เหตุใดอีกาถึงบินวนอยู่ที่ไกลลิบนั่น เขาสวมเสื้อผ้าแล้วรีบออกไปดูให้แน่ใจ
อีกฟากหนึ่งของเมืองฮวา
จวนขุนนางระดับกลางกำลังเกิดเรื่องโกลาหล ค่ำคืนที่ผู้คนในจวนควรจะนอนหลับกลับต้องพากันกระเสือกกระสนวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว
เสียงร้องไห้ ขอร้องใครสักคนมาช่วยเหลือดังก้องอยู่ด้านใน ราวกับมีม่านกั้นไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในจวนแห่งนี้
บนหลังคาใหญ่มีชายผู้หนึ่งยืนดูเหตุการณ์อย่างไม่ทุกข์ร้อน ขณะที่ชายอีกคนตามมาสมทบแล้วแจ้งข่าวเรื่องสำคัญ
“คนผู้นั้นเป็นลูกศิษย์ของหมิงฮวา เวลานี้นางกักตนปิดด่านสามปีขอรับ”
รอยยิ้มน่ากลัวปรากฏขึ้น เขาหัวเราะร่าไม่คิดว่าจะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้เกิดขึ้น
“นายท่าน เขากำลังมาแล้วขอรับ” ซวงเอ่ยปาก ทันทีที่เห็นเหลียนเฟินมุ่งหน้ามาทางนี้ก็รีบมารายงานเจ้านายของเขาในทันที
“ยุ่งไม่เข้าเรื่องจริง ๆ ศิษย์ของหมิงฮวาผู้นี้” หวังเยี่ยนหลงพึมพำ สายตายังคงจ้องมองไปที่หญิงสาวคนหนึ่งในเรือน
นางเป็นบุตรสาวคนโตของขุนนางผู้นี้ นิสัยใจคอเรียบร้อยเป็นที่รักของทุกคน ไม่มีเรื่องใดในชีวิตที่ต้องดิ้นรนโหยหา
แต่เวลานี้ นางกลับถือกระบี่หนักเล่มยาวลากดังเคร้ง เคร้ง ไปกับพื้นหินลานบ้าน สายตาเลื่อนลอยว่างเปล่า แต่รอยยิ้มกลับน่ากลัวราวถูกสะกด
ครั้นเดินผ่านผู้ใดในเรือน นางจะยกกระบี่เล่มนั้นง้างจนสุดแขนวิ่งไล่ต้อนคนเหล่านั้นจนมุมแล้วฟันฉับผ่าครึ่งอย่างไร้ปรานี
“คุณหนู ไว้ชีวิตบ่าวด้วยเจ้าค่ะ คุณหนู” เสียงอ้อนวอนของแม่นมที่เคยดูแลนางไม่ได้ทำให้นางได้สติแต่อย่างใด นางยกกระบี่ขึ้นมาแล้วแทงทะลุคนตรงหน้าไร้เยื่อใย
จากนั้นเดินเอนเอียงไม่มีสติผ่านเรือนเล็ก สวนน้ำจนมาถึงเรือนใหญ่ของใต้เท้าและฮูหยินผู้เป็นบิดามารดาของนาง
“เสี่ยวลี่อิน เจ้าเป็นอันใด วางกระบี่ลงก่อนดีหรือไม่” บิดาของนางพยายามพูดให้บุตรสาวใจเย็นลง ไฉนเลยไม่รู้ว่านางถูกผู้อื่นควบคุมอยู่
“ลี่อิน เจ้าได้ยินแม่หรือไม่”
เสี่ยวลี่อินไม่ได้ยินเสียงผู้ใด ในหัวของนางมีแต่ภาพชุดหนึ่งวนเวียน ภาพที่ทำให้นางเกิดความแค้นจนอยากสังหารทุกคน
“ชักช้าอยู่ใย เจ้ารอเวลานี้มานานแล้วไม่ใช่หรือ” เสียงของหวังเยี่ยนหลงดังขึ้นในความคิดของนาง
พลันกระบี่ฟันฉับไปที่ร่างของทั้งสองคนตรงหน้าในพริบตา
หวังเยี่ยนหลงดีดนิ้วครั้งหนึ่งสลายอาคมของเขาที่ร่ายใส่เสี่ยวลี่อิน
“ฮึก” ดวงตาของนางเบิกกว้าง เสียงร้องกลืนหายไปในลำคอเมื่อเห็นคนที่นางรักมากที่สุดอยู่ในสภาพเช่นนั้น
“ทะ...ท่านพ่อ ท่านแม่” น้ำตาเริ่มเอ่อล้น ความรู้สึกต่าง ๆ ประเดประดังเข้ามา
ขณะจะเอื้อมมือไปหาพวกเขากลับเห็นเลือดมากมายบนมือทั้งสองข้างของตัวเอง ข้างกายมีกระบี่เล่มหนึ่งตกอยู่ สายตาของนางกวาดมองรอบตัวที่เวลานี้มีเพียงร่างโชกเลือดของคนในจวน
จากนั้น ภาพของเรื่องราวทั้งหมดก็ปรากฏชัด สีหน้าของคนที่หวาดกลัวนาง เลือดที่สาดกระเซ็นเปื้อนหน้า มือคู่นี้ที่ฟาดฟันทุกสิ่งอย่าง เสี่ยวลี่อินได้เห็นแล้วว่าคนที่ทำเรื่องทั้งหมดคือนางเอง
เพราะเหตุใดกันเล่า ความแค้นเคืองนี้เป็นของผู้ใด ความทรงจำจอมปลอมนี้เป็นของผู้ใดกัน
หวังเยี่ยนหลงกระโดดลงมาจากบนหลังคา เขามองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความพึงพอใจ กระซิบในความคิดของเสี่ยวลี่อินแกมบีบบังคับนาง
“เจ้าฆ่าทุกคนในจวน เหตุใดจึงยืนทื่ออยู่เล่า มิใช่ว่าเจ้าต้องปาดคอตัวเองแล้วตามไปชดใช้ความผิดนี้ในนรกหรอกหรือ”
เสี่ยวลี่อินรู้สึกผิดเศร้าเสียใจจนแตกสลาย นางหยิบกระบี่ขึ้นมาอย่างง่ายดายแล้วทำตามที่หวังเยี่ยนหลงบอก “ข้าขอโทษ” คำพูดสุดท้ายของนางหายไปพร้อมลมหายใจ
ทันใดนั้นประตูบานใหญ่หน้าจวนก็เปิดออก เหลียนเฟินชะงักเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เขารีบพุ่งเข้ามาหาเสี่ยวลี่อินแล้วประคองร่างนางเอาไว้ มือข้างหนึ่งกดปากแผลเหวอะที่ลำคอเรียวของนาง
เขาร่ายอาคมเพื่อจะช่วยชีวิตนางเอาไว้ หากแต่ไม่ทันการณ์ นางจากไปอย่างไม่มีวันกลับเสียแล้ว
เหลียนเฟินวางร่างของนางอย่างแผ่วเบา เดินวุ่นไปรอบจวน ทว่าไม่พบผู้ใดที่รอดชีวิตเลยสักคน
เรื่องที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้มีเงื่อนงำหลายอย่าง เหลียนเฟินจึงร่ายอาคมกันไม่ให้ผู้ใดรู้ว่าเกิดเรื่องร้ายแรง มิเช่นนั้นแล้วชาวเมืองคงจะตื่นตูมตกใจ
เขาตรวจสอบรอบจวนใหม่อีกครั้ง พยายามหาว่าสิ่งใดคือสาเหตุที่ทำให้เกิดการสังหารคนในครอบครัวตนเองอย่างเหี้ยมโหด จากนั้นจึงนำเรื่องไปแจ้งที่ศาลาว่าการแล้วให้คนที่นั่นตรวจสอบเรื่องราวให้เงียบเชียบที่สุด
เช้าวันต่อมา
เหตุการณ์ในเมืองฮวายังคงดำเนินไปตามปกติ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าคืนที่ผ่านมาเกิดเรื่องร้ายแรงในจวนขุนนาง พวกเขาได้ยินเรื่องนี้จากเหลียนเฟิน ยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่มีทางเป็นไปได้ คุณหนูเสี่ยวลี่อิงไม่มีทางทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน
เหลียนเฟินพูดคุยกับคนในศาลาว่าการอยู่นาน แต่กลับไม่พบเบาะแสอื่นใดเพิ่มเติม
“น่ากลัวนักขอรับท่านนักพรต เกิดมาไม่เคยพบเคยเจอ” ชายผู้หนึ่งพูดกับเขา
“จริงขอรับ มีปีศาจเข้ามาในเมืองหรือ”
“พวกเจ้าอย่าเพิ่งคิดไปไกล บางทีเรื่องนี้อาจมีเบื้องหลัง ค่อย ๆ สืบสาวหาความเถิด” เหลียนเฟินแนะนำ
เขาเห็นปราณมารจาง ๆ ในตัวของเสี่ยวลี่อินจึงพอคาดเดาได้ว่านางเป็นผู้ลงมือทำเรื่องทั้งหมด
เขาทุ่มเทใช้เวลาสองสามวันเพื่อสะสางเรื่องลึกลับนี้จนแทบจะอดหลับอดนอน ช่วงนี้ไม่มีสิ่งใดแปลกไปจึงคิดจะงีบหลับสักครู่หนึ่ง
ทว่า เสียงกุกกักในห้องก็ทำให้เขางัวเงียตื่นขึ้นมาดู ร่างของคนผู้หนึ่งเต็มไปด้วยปราณมารไหลเวียน กลิ่นอายมันลึกล้ำทำบรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกจนขนลุก
เหลียนเฟินเรียกกระบี่เงินคู่กายออกมาจ่อไปที่คนผู้นั้น ห้ามไม่ให้เข้าใกล้ ร่ายอาคมแสงสีฟ้าหากสิ่งนั้นเป็นปีศาจ เขาจะสังหารมันในทันที
คนผู้นั้นเดินเข้าหาเหลียนเฟินอย่างช้า ๆ แสงจันทร์สาดส่องกระทบร่างกายและใบหน้าของเขา แววตาดูไร้สิ้นสติเพราะถูกปราณมารควบคุม
“เป็นเจ้าเองหรอกหรือ” เหลียนเฟินเอ่ยปาก คนผู้นี้ที่จู่ ๆ ก็โผล่เข้ามาแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหตุใดวันนี้ถึงปรากฏตัวต่อหน้าเขาได้
หวังเยี่ยนหลงแสยะยิ้ม ค่ำคืนที่ปราณมารรุนแรงที่สุดกำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ เขาไม่อาจควบคุมมันได้อย่างใจนึก สัญชาตญาณเอาชีวิตรอดเพียงอย่างเดียวที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของเขาคือ ฆ่ามัน
สามเดือนต่อมาเช้าวันหนึ่งเสี่ยวหยุนมองเหลียนเฟินที่กำลังนอนหลับใหลในอ้อมกอดของเขา สายตาเต็มไปด้วยความรักท่วมท้นในใจก่อนจะพึมพำร่ายอาคมอย่างหนึ่งขึ้นมาพลันกรีดปลายนิ้วจนได้เลือดหยดหนึ่งหลอมรวมกับลูกกลมสีฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้เป็นวิชาที่เขาเพิ่งคิดค้นขึ้นมาได้แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกเสี่ยวหยุนตั้งชื่ออาคมนั้นว่า “พันธะวิญญาณ” อาคมที่สามารถผูกวิญญาณของพวกเขาทั้งสองไว้ด้วยกันในทุก ๆ ชาติ ไม่ว่าเหลียนเฟินจะเกิดเป็นผู้ใด อยู่ที่ไหน เขาจะรู้ได้ในทันที นับต่อจากนี้ไม่มีพรากจากลมหายใจของร่างบางในอ้อมกอดสัมผัสแผ่นอกกว้างของเขาเตือนสติให้รู้ตัว ล้มเลิกความคิดเช่นนั้น เสี่ยวหยุนยิ้มมุมปากพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วบีบอาคมนั้นให้แตกสลายไปริมฝีปากจุมพิตหน้าผากเรียกเหลียนเฟินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฟูเหรินของข้า”“อืม…” เหลียนเฟินยังคงงัวเงียพลันได้รับจุมพิตที่แก้ม โลมเลียลงลำคอ สัมผัสเรียวลิ้นร้อนชื้นดูดเม้มก่อนจะถูกใครบางคนคร่อมร่างกายท่อนบนเอาไว้“ฟูเหริน ท่านยังไม่ตื่นอีกหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำ
เหลียนเฟินนอนนิ่งบนแผ่นอกของเขา ส่วนล่างกระตุกบีบแก่นกายที่ค้างอยู่ราวกับเชิญชวนจึงถูกพลิกตัวเป็นฝ่ายนอนใต้ร่างพลางโดนเสี่ยวหยุนจับขาสองข้างยกขึ้นแล้วขย่มสะโพกเป็นจังหวะ“ข้าเพิ่งจะ…อ๊ะ...” เหลียนเฟินไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องเม้มปากตัวเองอีกครั้ง มือสองข้างจับหมอนที่วางอยู่ ขยำจนผ้ายับยู่ยี่ ลมหายใจร้อนหอบถี่ ฟังแล้วยิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายเกิดความต้องการอย่างยิ่งยวดแก่นกายที่ครูดเข้าออกเร่งขึ้นอย่างเร่าร้อนจนน้ำที่ปล่อยเอาไว้เมื่อครู่กระเซ็นเปรอะเปื้อน คนกระทำยิ้มมุมปากชอบใจยิ่งนักที่ได้เห็นร่องรอยของเขาบนตัวคนรักเมื่อโพรงเนื้อโอบรอบจนมิดแน่นขนัดยิ่งเสียวซ่านจนตาเหลือกลอย “อือ… เหลียนเฟิน” ในใจวนเวียนแต่คำว่า อีกนิด ข้าขออีกนิดในขณะที่คนใต้ร่างแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่ พึมพำแผ่วเบา “ข้าไม่ไหวแล้ว… อย่าเพิ่งขยับ”“จะให้ข้าหยุดจริงหรือ” เขาเอ่ยถามแต่ส่วนลับยังคงกระทุ้งเข้า ๆ ออก ๆ บดเบียดภายใน หยอกล้อเหลียนเฟินเพราะอยากเห็นสีหน้าแดงระเรื่อ สุขสม พลันวางขาทั้งสองข้างลงแล้วพลิกตัวเหลียนเฟินให้นอนคว่ำในพริบตาก่อนจะยกส
เหลียนเฟินโอบแขนรอบคอของเสี่ยวหยุนกดแรงโน้มตัวเขาลงมาหา จ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตาพลันยิ้มอ่อนโยน เอ่ยกระซิบยืนยันความรู้สึกของตัวเอง “ข้ารักเจ้า”คนได้ฟังคำรักน้ำตาไหลเอ่อไม่อาจกั้นด้วยความรู้สึกผิดระคนกับความรู้สึกอื่น ๆ ในใจ แม้รู้ตัวว่าไม่สมควรมายืนอยู่ข้างเขาแต่เวลานี้ก็ไม่อาจขยับกายหรือเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายได้เลยเขารักเหลียนเฟิน ผู้เป็นฟูเหรินของเขาและไม่อยากถูกพรากจากอีกแล้ว ทั้งยังดีใจเพราะใบหน้าที่มองเขาในเวลานี้ไม่ใช่ใบหน้าของคนที่เกลียดชังเขาจนต้องจ่อปลายกระบี่เข้าหาราวกับแค้นเคืองกันมาเนิ่นนาน“เสี่ยวหยุน” เสียงเรียกหาอ่อนหวานจับใจ “ยังคงจำได้อยู่ใช่หรือไม่ว่าเวลานี้เจ้าคือฟูจวินของข้า”“…” เขาพยักหน้าเล็กน้อย เม้มปากแน่นแล้วกอดเหลียนเฟินเอาไว้ครั้นสะสางความหลัง ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างพลันคลี่คลาย ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีกต่อไปหวังซีซวนและพรรคพวกแวะมาหาพวกเขาเหมือนอย่างเคย สังเกตได้ว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองคนดูอึมครึมเล็กน้อย ดวงตาเสี่ยวหยุนบวมช้ำปรากฏเด่นชัดจนอดถามไม่ได้“
ครั้นเรื่องราววุ่นวายที่ใจกลางตลาดจบลงไปได้ด้วยดี เหลียนเฟินจึงพาเสี่ยวหยุนกลับมาพักฟื้นร่างกายที่บ้านหลังน้อย พลางขอให้หวังซีซวนช่วยกลั่นยาสมุนไพรให้เขาจนกว่าจะหายดีเขาหลับลึกอยู่หลายวันเพราะใช้เรี่ยวแรงร่ายวิชาอาคมโดยไม่สนขีดจำกัดของตัวเองเพียงเพราะเป็นห่วงเหลียนเฟินและไม่อยากให้สถานการณ์ยืดเยื้อใบหน้าสงบนิ่งยามหลับใหลทำให้เหลียนเฟินโล่งใจได้บ้างว่าเขาคงไม่ได้ฝันร้ายเหมือนที่ผ่านมาจึงปล่อยให้คนตรงหน้าพักผ่อนให้เต็มที่“ท่านเซียน เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” หลี่จิ้นหลิงแวะมาเยี่ยมเพราะได้ข่าวว่าเสี่ยวหยุนยังไม่ฟื้น“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาเพียงแค่ต้องนอนให้เยอะ ๆ ก็เท่านั้น” เหลียนเฟินยิ้มให้อีกฝ่ายนึกขอบคุณที่เขาช่วยหาตำราต้องห้ามจนพบ“หากท่านเซียนต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องใด อย่าได้ลังเลใจที่จะบอกข้านะขอรับ” หลี่จิ้นหลิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องฟื้นฟูพลังชีวิตของท่าน ถ้าตำราต้องห้ามไม่ได้ผล ข้ายินดีหาหนทางอื่น”เหลียนเฟินส่ายหน้าเข้าใจดีว่าทุกคนเป็นห่วงแต่ว่าเขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว ไม่ว่าผลที่ได้จะออกมาเป็น
“ปล่อยคุณหนูหลี่” เหลียนเฟินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเห็นอีกฝ่ายเคลื่อนไหวรวดเร็ว เขากำกระบี่ในมือไว้แน่นพลันยกขึ้นมากันท่าไม่ให้เสิ่นหยางพุ่งตัวเข้าใกล้ระยะประชิดก่อนจะม้วนตัวแล้วถีบคนตรงหน้ากระเด็นไปอีกทางด้วยแรงที่ออมไว้สามส่วน“ฝีเท้าหนักใช่เล่น” เขาเอ่ยชม รอยยิ้มกวนประสาทราวกับถูกใจอย่างยิ่งยวด “อย่าขัดขืนนักเลย เมื่อครู่ข้าเพียงยั้งมือเอาไว้เท่านั้นเพราะไม่อยากทำให้ร่างกายของท่านเซียนมีบาดแผล”เสิ่นเหยา แฝดผู้พี่ที่จับตัวหลี่ฮวาเอาไว้ลูบปลายจมูกตัวเอง “หากท่านเซียนยินยอมมากับพวกข้า ข้าจะคืนสตรีนางนี้เป็นการแลกเปลี่ยน”“เช่นนั้นปล่อยนางก่อน” เหลียนเฟินไม่ตกลงง่าย ๆ และเป็นห่วงความปลอดภัยหลี่ฮวาที่เวลานี้กำลังกลั้นน้ำตาไม่ร้องไห้เสียงดังด้วยความหวาดกลัว“ท่านเซียนคงไม่รู้ว่าข้าเป็นผู้ใดจึงพยายามเล่นแง่ยืดเวลาออกไปใช่หรือไม่ แต่ข้ายืนยันได้เลยว่าสองชั่วยามต่อจากนี้ไม่มีผู้ใดเข้ามาก้าวก่ายที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอนและหากทุกสิ่งไม่เป็นอย่างที่ข้าต้องการ ข้าจะทำลายหมู่บ้านให้ราบคาบ” เสิ่นหยางประกาศก้อง คำพูดของเขาทำให้ชาวบ้านขวัญ
ครั้นพูดคุยเรื่องตำราต้องห้ามเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็กลับมายังบ้านหลังน้อยจึงได้เห็นว่าหลี่จิ้นหลิงกำลังนั่งเล่นอยู่ตั่งไม้กับเหลียนเฟินแววตาเสี่ยวหยุนเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”“ข้าเห็นว่าท่านเซียนเมาหลับไป วันนี้จึงอยากมาดูให้แน่ใจว่ามีอาการใดหรือไม่” เขายักไหล่พูดด้วยสีหน้าสบายอารมณ์หากแต่เสี่ยวหยุนอารมณ์ดีจึงไม่ใส่ใจแล้วเดินไปนั่งข้างเหลียนเฟิน เอ่ยกับเขาว่า “ข้าต้องไปหอสมุดวังหลวง คุณชายหวังซีซวนบอกว่าที่นั่นมีตำราเก็บไว้อยู่ อาจช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตของท่านได้”“เขาไม่ได้บอกหรือว่าที่แห่งนั้นห้ามให้คนนอกเข้าไป” เหลียนเฟินหรี่ตามองคนตรงหน้าที่ทำท่าเหมือนรู้ทุกอย่าง “หากคิดไปขโมยตำรามาก็หยุดแต่เพียงเท่านั้นเถิด พลังชีวิตของข้ามีแค่ครึ่งเดียวแล้วอย่างไร ไม่เห็นหรือว่าข้ายังแข็งแรงดี”“ไม่อยากอยู่กับข้านานกว่านี้หรือ” สีหน้าของเขาเศร้าสร้อยหากต้องล้มเลิกความตั้งใจ รู้ว่าบำเพ็ญคู่จะสามารถยืดอายุขัยออกไปได้ แต่หากพลังชีวิตของเขากลับมาเหมือนเดิม ย่อมมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันนานมากขึ้นไปอีกเ