ณ กระท่อมโทรม ๆ หลังหนึ่งที่อยู่ท้ายจวนขนาดใหญ่ มีร่างของหญิงสาวที่ชื่อว่ามู่หลินหว่านนอนคว่ำหน้าอย่างอ่อนแรง เพราะอาการบาดเจ็บจากการถูกลงโทษโบยถึงสิบไม้ จนแผ่นหลังนั้นเต็มไปด้วยเลือดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มตอบ ๆ พรั่งพรูออกมาอย่างต่อเนื่องความอัดอั้นตันใจที่ไม่สามารถบอกกล่าวกับผู้ใดได้ ทั้งที่เป็นถึงบุตรสาวของฮูหยินเอกแห่งจวนเสนาบดี เป็นคุณหนูรองที่อยู่อย่างสุขสบายได้เพียงแค่สามปี มารดามาด่วนจากไปโดยไม่ทันได้ร่ำลาอันใดต่อกัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมามู่หลินหว่านถูกคนในจวนลืมเลือน ที่ซุกหัวนอนจากห้องกว้างขวางสวยงามกลับกลายเป็นกระท่อมแคบ ๆ ไม่มีอะไรสะดวกสบาย ถูกเรียกตัวไปรับใช้คุณหนูคุณชายคนอื่น ๆ ทำงานไม่ดีก็ถูกทุบตี แม้แต่บ่าวไพร่ก็ยังรังแกกลั่นแกล้งสารพัด
เมื่อเติบโตเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น จึงได้รู้ว่าบิดาของตนไม่เคยรักในตัวของมารดาสักนิด เขาร่วมมือกับสตรีที่รักเพื่อหวังแต่งงานกับมารดา เพราะสมบัติเงินทองที่ท่านตาท่านยายทิ้งไว้ให้มารดาเท่านั้น และในครั้งนี้ที่มู่หลินหว่านถูกลงโทษโบยมากกว่าทุกครั้ง เนื่องจากถูกมู่จือหย่ากล่าวหาว่านางขโมยปิ่นปักผมที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ด้วยการให้สาวใช้อย่างฮุ่ยเหมยนำมันไปซ่อนไว้ในกระท่อม มู่หลินหว่านนอนซมไม่มีใครนำทั้งยาหรืออาหารมามอบให้นางแม้แต่น้อย คล้ายกับว่าต้องการให้นางตายไปเสียได้ก็ดี ด้วยเหตุนี้ร่างกายที่ซูบผอมจึงทนกับอาการบาดเจ็บไม่ไหว ถึงกับละเมอเพ้อหาผู้เป็นมารดาที่จากไปนานว่าตนเองนั้นจะได้พบเจอกับมารดาแล้ว
“ทะ ทะ ท่านแม่ในที่สุดท่านก็มารับหว่านเออร์ไปอยู่กับท่านแล้วสินะ ฮึก หะ หะ เหตุใดถึงได้มารับหว่านเออร์ช้านักเล่า ท่านปล่อยให้หว่านเออร์ต้องทรมานอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ฮึก”
“หว่านเออร์ลูกแม่”
“ตะ ตะ แต่ตอนนี้หว่านเออร์กับท่านแม่จะได้อยู่ด้วยกันแล้ว ต่อไปไม่ต้องทนกับคนชั่วในจวนหลังนี้อีกละ..”
“ครืน ๆ ๆ ฟิ้ว ๆ ๆ เปรี้ยง ๆ ๆ”
เพียงแค่มู่หลินหว่านหมดลมหายใจไม่ถึงหนึ่งจิบชา เสียงดังจากบนท้องฟ้าก็ปั่นป่วนขึ้นมาทันทีทันใด ทำเอาผู้คนในจวนไม่กล้าออกจากเรือนของตนกันแม้แต่คนเดียว แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในกระท่อมผุพังนั้น กลับปรากฏเรื่องน่าอัศจรรย์ ร่างของมู่หลินหว่านกลับมาหายใจอีกครั้งแต่เมื่อลืมตาขึ้นมากลับไม่ใช่มู่หลินหว่านคนเดิม
“เฮือก!! โอย ไอ้พวกกากเดนสังคมทำไมมันไม่ยิ่งให้แม่นตั้งแต่นัดแรกวะ จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดก่อนจะโดนยิงซ้ำตายอีกรอบเนี่ย อูย ว่าแต่ทำไมมันเจ็บที่หลังแทนที่ขากับหัวกันล่ะ ไม่มี!! ที่หัวไม่มีรูถูกยิงด้วยปืนที่ขาก็ไม่มีอีกเหมือนกัน แล้วตกลงที่นี่ไม่ใช่ที่ไร่ของไอ้จอมเหรอ เอ๊ะ!! ตอนที่สติจะดับวูบไปเหมือนจะได้ยินเสียงใครสักคน ตอบรับคำขอที่ว่าอยากมาอยู่ในซีรี่ย์จีนหรือว่าจะมีเทพเทวดาส่งไอ้จอมมาตามคำขอจริง ๆ”
ขณะที่เจ้าจอมกำลังทบทวนความทรงจำก่อนตาย จู่ ๆ ก็มีภาพเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จนปวดหัวตาลายอยากจะอาเจียนมันออกมา
“ที่แท้ก็ส่งไอ้จอมมาอยู่ในร่างของคนถูกรังแกนี่เอง พวกคนใช้ในจวนว่าชั่วแล้วแต่พ่อของร่างนี้ชั่วยิ่งกว่า มู่หลินหว่านหากวิญญาณของเธอรับรู้ถึงการมีอยู่ของฉัน จงจากไปอย่างหมดห่วงและปล่อยวางเรื่องทุกอย่างซะ ส่วนความอัดอั้นตันใจกับความทุกข์ของเธอที่ผ่านมานั้น ฉันเจ้าจอมลูกสาวกำนันจงผู้นี้จะเอาคืนพวกมันให้เธอเอง ก่อนจะออกจากจวนแห่งนี้ฉันอาจจะสั่งสอนพวกมันได้ไม่มาก แต่ได้โปรดเชื่อใจฉันเถอะเมื่อใดที่ออกไปจากที่นี่ได้ และฉันสามารถสร้างกิจการจนมีเส้นสายที่ใหญ่กว่าพ่อของเธอ รับรองได้เลยว่าวันที่คนตระกูลมู่จะต้องมีชีวิตที่ตกต่ำ กลายเป็นขี้ปากชาวบ้านร้านตลาดไปทั่วแคว้น รวมถึงต้องชดใช้กับสิ่งที่ทำกับเธออย่างสาสมอยู่ไม่สู้ตายเท่านั้น ฉันจะมอบให้คนอย่างพวกมันที่รังแกเธอกับแม่ เป็นกำลังใจให้ฉันด้วยก็แล้วกันนะมู่หลินหว่าน” เจ้าจอมรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานของ
มู่หลินหว่าน ก็แทบจะทนไม่ไหวอยากจะเอาคืนคนพวกนั้น เพียงแต่ร่างการยังไม่เอื้ออำนวยเท่าใดนัก หลังจากนี้ต้องบำรุงร่างกายฟื้นคืนกำลังเสียแล้ว‘วูบ..ขอบคุณท่านมาก’
“เฮ้อ ร่างกายไม่มีแรงเอาซะเลยสาวน้อยคนนี้ ท่านเทพเทวดาผู้ที่พาฉัน เอ๊ย ข้ามายังที่แห่งนี้หากท่านมีอยู่จริงแล้วละก็ ได้โปรดเมตตาช่วยรักษาแผลที่หลังให้หน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ ขืนยังเป็นเช่นนี้ต่อไปอาจจะต้องตายซ้ำอีกรอบก็ได้เจ้าค่ะ”
“............”
“ว่าแล้วเชียวที่แท้พวกเทพอะไรเนี่ยไม่มีอยู่จริง ก็แค่เรื่องโกหกที่แต่งขึ้นให้คนจินตนาการก็เท่านั้น หรือว่าท่านเทพจะขี้เกียจทำงานเหมือนพวกดองงานไรงี้หากเป็นเช่นนี้ต้องร้องเรียนไปยังเง็กเซียนฮ่องเต้แล้ว เฮ้ โยว่ ท่านเง็กเซียนผู้ปกครองสวรรค์ท่านรู้หรือไม่ว่ามีเทพเทวดาที่อยู่ใต้อาณัติของท่านกำลังขี้เกียจทำงานอยู่นะ อย่าลืมไปตรวจสอบเทพเหล่านั้นด้วยนะเจ้าคะ”
“วูบบบบบ...!!”
“เอ๊ะ!! จู่ ๆ ก็เหมือนจะไม่รู้สึกเจ็บที่หลังหรือที่อื่นอีก ทั้งแผลเก่าแผลใหม่สงสัยท่านเทพคงจะกลัวเง็กเซียนฮ่องเต้ลงโทษเป็นแน่ ฮ่า ๆ ๆ ต้องแบบนี้ท่านเทพทำงานรวดเร็วมากไว้วันหน้า หากข้าสามารถห้าซื้อที่ดินผืนใหญ่ได้และสร้างบ้านสวนได้สำเร็จ พวกท่านค่อยลงมาเที่ยวพักผ่อนที่บ้านสวนของข้าได้เสมอนะเจ้าคะ สาธุ” เจ้าจอมพูดจบก็ยกมือไหว้ขึ้นเหนือหัว
‘นี่ ๆ ๆ เจ้าดูนางสิเห็นหรือไม่ข้าเตือนแล้วนะว่าอย่าส่งนางไปโลกอื่น แล้วเป็นอย่างไรล่ะทีนี้ปากกล้ายิ่งนักความเป็นกุลสตรีคุณหนูในห้องหออยู่ตรงไหน ท่าทางเช่นนี้คนเขาเรียกว่ารนหาที่เจ็บตัวชัด ๆ ถึงนางจะเป็นลูกของเจ้าก็เถอะหากยังมีครั้งหน้าอีก ข้าจะไม่เกรงใจกับการสั่งสอนนางเป็นแน่ ฮึ ไปดีกว่า’
‘แล้วนางมิใช้หลานรักของเจ้ารึเทพจันทรา แต่ข้าว่านางเป็นเช่นนี้ออกจะน่ารักน่าชังมากกว่านะ ฮ่า ๆ ๆ’
หลังจากข่มขู่ขอให้เทพเทวดาช่วยรักษาบาดแผลที่หลัง เจ้าจอมที่อยู่ในร่างของมู่หลินหว่านก็เริ่มสำรวจกระท่อมน้อย ๆ ว่าพอจะมีอะไรให้กินรองท้องได้บ้าง แต่ทว่าเดินหาอยู่สักพักมีเพียงน้ำเปล่าเย็นชืดเท่านั้น รวมถึงชุดเก่า ๆ ที่มีร่องรอยของการปะชุนอยู่เต็มไปหมด เจ้าจอมได้แต่ถอนหายใจให้กับความลำบากนี้ของมู่หลินหว่านแล้วจริง ๆ ดั่งสวรรค์ต้องการทดสอบว่าการรักษาของตนดีมากเพียงใด เพราะด้านนอกกระท่อมยามนี้มีเสียงเรียกจากฮุ่ยเหมย ผู้เป็นสาวใช้
คนสนิทของมู่จือหย่ามาตามนางไปปรนนิบัติรับใช้ แต่คนอย่างไอ้เจ้าจอมจะยอมให้ถูกรังแกได้อย่างไร งานนี้มันต้องสำแดงเดชกันบ้างเอาคืนเล็ก ๆ น้อย ๆ พอเป็นน้ำจิ้มไปก่อนก็แล้วกัน“ปัง ๆ ๆ นังหลินหว่านออกมาเดี๋ยวนี้คุณหนู่ใหญ่เรียกหาเจ้า แอบอู้อยู่หลายวันเกินไปแล้วนะเปิดประตูออกมา อย่าให้ข้าต้องใช้ไม้แข็งบุกเข้าไปตามถึงด้านในนะนังหลินหว่าน”
“แอ๊ด กึก เป็นอะไรแหกปากเสียงดังอยู่ได้มันน่ารำคาญนะ เจ้าเข้าใจคำว่าน่ารำคาญป่ะกินนกหวีดเป็นอาหารหรือไง เสียงถึงได้แหลมบาดหูขนาดนี้เรียกปกติเคาะประตูอย่างมีมารยาทน่ะ ทำเป็นไหมหรือทำเป็นแต่ไม่อยากทำงั้นสิ ยัง ๆ จะมองหน้าอีกข้าถามไม่ได้ยินหรือไง คำว่ามารยาทรู้จักมะเจ้านายไม่สั่งสอนเลยเหรอนังฮุ่ยเหมย”
“.........!!??”
“อ้าว ยังจะเงียบอีกถามไม่ตอบจะเงียบอีกนานไหมนังฮุ่ยเหมย ถ้าจะเงียบก็ดีข้าจะได้กลับไปนอนพักต่อ อย่าลืมปิดประตูให้ด้วยล่ะแต่อย่าปิดแรงเดี๋ยวมันจะพังเข้าใจแล้วนะ” มู่หลินหว่านคนใหม่พูดน้ำไหลไฟดับ จนฮุ่ยเหมยยังคงอึ้งกับท่าทางแปลก ๆ เหล่านี้
“จะ จะ เจ้าคือนังหลินหว่านจริง ๆ น่ะหรือเหตุใดถึงได้ไม่เหมือนเดิม เพราะถูกโบยจนสติเลอะเลือนไปแล้วการพูดจาการจาก็ดูแปลก ๆ ฟังไม่รู้เรื่องนกอะไรของเจ้าร้องหวีด ๆ ไม่มีนกตัวไหนส่งเสียงร้องเช่นนั้นหรอกนะ”
“เจ้าไม่รู้จัก อ้อ ไม่เป็นไรเอาเป็นว่าข้ารู้จักดีก็แล้วกัน ว่าธุระของเจ้ามาข้าไม่ว่างมายืนคุยกับบ่าวไม่มีมารยาทเช่นเจ้า”
“ฮึ ได้นอนพักหลายวันเข้าหน่อยทำปีกกล้าขาแข็ง พูดจาดั่งแม่ค้ากลางตลาดก่อนหน้านี้เหตุใดไม่ปากเก่งเช่นตอนนี้เล่า เอาเป็นว่าเจ้ารีบตามข้าไปพบคุณใหญ่ที่เรือนโดยเร็ว เพราะคุณหนูใหญ่มีงานสำคัญรอให้เจ้าไปทำรีบตามมาได้แล้ว เสียเวลาของข้าไปมากถ้าเจ้ายังไม่ยอมขยับเท้าละก็จะโดนอะไรย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจนะ”
“อ้อ หากข้าไม่ยอมทำตามที่เจ้าบอกมาข้าจะต้องเจ็บตัวสินะ แล้วเจ้าเคยเจ็บแบบข้าสักครั้งหรือยัง ถ้าข้าไม่ก้าวเท้าตามเจ้าไปในวันนี้ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง นอกจากจะโดนเจ้าทุบตีเป็นคนแรกเช่นทุกครั้ง”
“นังหลินหว่าน!! อย่ามาต่อปากต่อคำให้มากนักจะได้ไหม พอหายเจ็บก็ปากเก่งกว่าเดิมเชียวนะ แม่ของเจ้ายังไม่กล้าแม้จะต่อล้อต่อเถียงกับข้าเลยได้เจ้าจะยืนนิ่ง ๆ อยู่เช่นนั้นใช่ไหมได้เลยเจ้าอยากเจ็บตัวเพิ่ม ข้าฮุ่ยเหมยยินดีอย่างมากจะสนองให้เจ้าอะ..”
“เพี๊ยะ!! โอ้ย เพี๊ยะ!! โอ้ย หมับ โป๊ก!! โป๊ก!!”
“ข้าบอกว่าอย่างไรที่พูดออกไปมันไม่เข้าหูของเจ้าเลยรึ ห๊ะ!! ชอบรังแกคนอ่อนแอดีนักใช่ไหมวันนี้หากไม่สั่งสอนซะบ้าง เจ้าคงจะลืมตัวไปอีกนานว่าเจ้าคือสาวใช้ไม่ใช่เจ้านายของจวนนี้ โป๊ก!! เพราะข้าคือคุณหนูรองมู่หลินหว่านที่เป็นเจ้านาย สาวใช้เช่นเจ้ากล้าดียังไงมาออกคำสั่งจิกหัวใช้ข้า” มู่หลินหว่านทั้งตบทั้งจับหัวของฮุ่ยเหมยโขกกับขอบประตูกระท่อม
“กรี๊ดดด ปล่อยข้านะอย่าทำอีกเลยข้าเจ็บแล้ว โอ๊ย หัวของข้าปูดบวมถึงเพียงนี้แล้วหยุดมือซะที”
“หึ ทำไมยามที่ข้าร้องขอความเมตตาจากเจ้าล่ะ เคยมอบมันให้ข้าบ้างหรือไม่เคยคิดจะหยุดมือที่ทำร้ายข้าบ้างไหม ไม่เคยมีทั้งเจ้านายทั้งบ่าวสารเลวเหมือนกันหมด ก่อนที่เจ้าจะกลับไปรายงานกับมู่จือหย่าเจ้าต้องไปหาข้าวมาให้ข้ากินซะดี ๆ”
“เพ้ย!! เจ้ากล้าขู่ข้างั้นหรือนังหลินหว่าน สตรีที่โง่ไม่รู้ความเช่นเจ้าคิดจะสังหารข้ามันไม่ง่ายหรอกนะ..”
“งั้นหรือไม่โดนเพิ่มอีกสักทีสองทีคงจะไม่ดีขึ้น เช่นนั้นข้าจะช่วยทำให้เจ้าจดจำข้ามู่หลินหว่านไปตลอดชีวิต”
“ผั๊วะ! ผั๊วะ! อ๊ะ โอ๊ย ตุบ ตุบ อั่ก ปึก! ปึก! อ่ะ แค่ก ๆ ๆ”
“ยะ ยะ ยอมแล้วข้ายอมทำตามที่เจ้าบอก ได้โปรดหยุดมือของเจ้าเถิดข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว” ฮุ่ยเหมยถูกเจ้าจอมที่อยู่ในร่างของมู่หลินหว่าน ตบตีโดยใช้ทั้งมือและเท้าจนสภาพของฮุ่ยเหมยต่างกับตอนมาที่กระท่อมลิบลับ
“ผลัก! ยอมทำตามตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเจ็บตัวถึงเพียงนี้ รีบไปเอาอาหารมาให้ข้าได้แล้วอย่าได้ชักช้าอีก ไม่เช่นนั้นข้าอาจจะเปลี่ยนใจฝังเจ้าไว้ที่นี่แทน ส่วนคำแก้ตัวที่ข้าไม่ยอมไปเจ้าก็หาทางออกเอาเอง”
“ปะ ปะ ไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะท่านรอไม่นานข้าจะรีบกลับมา อูย”
ฮุ่ยเหมยไม่กล้าสบตากับมู่หลินหว่านอีก นางก้มหน้าวิ่งออกไป เพื่อทำตามที่ถูกข่มขู่ไว้อาหารบำรุงหลายอย่าง ที่วางอยู่บนถาดฮุ่ยเหมยยกไปยังกระท่อมเก่า ๆ อย่างรวดเร็ว นางไม่คิดไม่ฝันว่ามู่หลินหว่านจะเปลี่ยนไปได้เพียงนี้หลังจากถูกโบย สายตาที่มองมาน่ากลัวมากกว่ายามเจ้านายของตนโกรธเสียอีก แต่ฮุ่ยเหมยก็ต้องเจ็บตัวอีกครั้งเพราะตามมู่หลินหว่านไปไม่ได้ ทำให้มู่จือหย่าเสียเวลารออยู่ในเรือนตั้งนานสองนาน จนเกือบทำให้คู่หมั้นที่ตนอุตส่าห์แย่งมาจากมู่หลินหว่านได้ ไม่อยากรอจวนเจียนจะกลับจวนอยู่แล้วมู่จือหย่าถึงได้ออกมาพบ และกล่าวขออภัยกันอยู่ยกใหญ่ฝ่ายบุรุษจึงยอมยกโทษให้ เมื่อรู้ว่าที่มู่จือหย่าออกมาพบตนเองช้าเป็นเพราะถูกมู่หลินหว่าน คอยกลั่นแกล้งขัดขวางนางเอาไว้ไม่ยอมให้มาพบกับคู่หมั้น เพื่อสร้างความเกลียดชังในตัวของมู่หลินหว่านเพิ่มขึ้นไปอีก
“นังหลินหว่านมาได้เสียทีรีบมาช่วยข้าแต่งตัวเร็วเข้า ป่านนี้คุณชายเฉินคงมานั่งรออยู่ที่ห้องรับรองแขกนานแล้ว หากยังชักช้าอยู่อีกข้าจะสั่งให้คนโบยเจ้าเพิ่ม” มู่จือหย่าได้ยินเพียงเสียงเปิดประตูเรือน มิได้หันไปมองว่าคนที่มาใช่มู่หลินหว่านหรือไม่ จนกระทั่งมีเสียงตอบกลับมาถึงได้รู้ว่าเป็นฮุ่ยเหมยแทน
“คะ คะ คุณหนูบ่าวฮุ่ยเหมยเองเจ้าค่ะ ขออภัยคุณหนูที่ปล่อยให้ท่านต้องรอนานเช่นนี้ แต่ว่าบ่าวไม่สามารถพาตัวนังหลินหว่านมาได้ มิหนำซ้ำยังถูกนางทุบตีจนมีสภาพอย่างที่คุณหนูเห็นเจ้าค่ะ อูย เจ็บ”
“ฮุ่ยเหมย!! ฮึ่ย เพี๊ยะ!! โอ๊ย เพี๊ยะ!! โอ๊ย”
“ไร้ประโยชน์แค่กาฝากคนเดียวก็จัดการไม่ได้ แล้วจะให้เจ้าคอยอยู่ดูแลข้างกายข้าได้อย่างไร”
“คุณหนู ๆ ยามนี้อย่าเพิ่งลงโทษบ่าวเลยนะเจ้าคะ ท่านควรแต่งตัวให้งดงามและออกไปพบคุณชายเฉินเสียก่อน หากยังไม่ยอมออกไปบ่าวเกรงว่าคุณชายเฉินจะกลับจวน แทนที่คุณหนูจะได้ออกไปเดินเล่นให้สตรีด้านนอกอิจฉาท่านได้นะเจ้าคะ” ฮุ่ยเหมยรีบขัดอารมณ์โมโหของมู่จือหย่าไว้ด้วยชื่อของเฉินเยี่ยนหมิง
“หึ ถือว่าเจ้ารอดตัวไปก็แล้วกันรีบมาช่วยข้าแต่งตัว คราวหน้าหากยังทำงานไม่ได้เรื่องเช่นนี้อีก เจ้าจะถูกขายออกไปจากจวนหลังนี้อย่างถาวร” มู่จือหย่าพยายามอย่างมากกับการระงับความโกรธที่มี เพื่อปรับเปลี่ยนสีหน้าให้กลับมาเรียบร้อยอ่อนหวาน สำหรับเรียกร้องความสนใจจากบุรุษที่ตนหลงใหลมาตั้งแต่เยาว์วัย
“มู่หลินหว่านท่านพ่อและท่านแม่แย่งทุกอย่างจากมารดาเจ้าได้ ตัวข้าก็แย่งบุรุษที่ควรเป็นของเจ้ามาอยู่ข้างกายของข้า คนไร้ค่าเช่นเจ้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งฮูหยินขุนนางชั้นสูง”
และในที่สุดวันที่หวังซินหยางรอคอยก็มาถึงเสียที ทุกคนตื่นขึ้นมาช่วยกันจัดเตรียมงานพิธีการตรวจดูความเรียบร้อย ตลอดจนหีบสินสอดมากมายที่นำมาวางให้แขกได้เห็นว่าเจ้าบ่าวให้ความสำคัญกับเจ้าสาวมากเพียงใด ด้านในห้องนอนของหลินหว่านมีน่าซือและฟางจือฉิงช่วยกันอาบน้ำให้เจ้าสาว ด้วยการใช้สมุนไพรเนื่องจากเป็นความเชื่อว่าจะนำโชคลาภ ความสุข และความสำเร็จมาให้ เช่น ใบไผ่ ดอกบัว หรือดอกมะลิ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และความงาม จากนั้นชุดเจ้าสาวสีแดงปักดิ้นทองด้วยลวดลายที่สวยงามก็ถูกสวมใส่บนเรือนร่างที่งดงามไร้ที่ติของหลินหว่าน เครื่องหัวเป็นรูปทรงดอกบัวและมีปิ่นปักผมรูปนกยูงหลังจากแต่งตัวเสร็จ หลินหว่านมีหน้าที่นั่งรอเจ้าบ่าวมารับตัวและใช้พัดปิดบังใบหน้าเอาไว้เมื่อได้เวลาเสียงฝีเท้ามากมายดังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ยิ่งทำให้หัวใจของหลินหว่านเริ่มเต้นถี่รัว เพราะนี่เป็นการแต่งงานครั้งแรกของนางทั้งสองชาติภพเชียวนะ“เจ้าบ่าวได้เวลารับตัวเจ้าสาวแล้ว”เสียงของจิ้นกงกงผู้รับผิดชอบดำเนินการเรื่องพิธีดังขึ้นบริเวณด้านหน้าห้อง หวังซินหยางเดินผ่านประตูเข้ามาดวงตาคมกริบทอดมองไปร่างของเจ้าสาวที่นั่งรอเขาอยู่ เมื่
หวังซินหยางและหลินหว่านเดินจูงมือกันลงมาจากเชิงเขา ก่อนที่ทั้งสองจะลงมาถึงด้านล่างก็มองเห็นแล้วว่ามีใครจับกลุ่มยืนรออยู่บ้าง เมื่อเป็นเช่นนี้หลินหว่านจึงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต นางให้หวังซินหยางบอกกับทุกคนเรื่องที่บ้านสวนแห่งนี้ของนาง กำลังจะมีงานมงคลเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า“นี่อาหยางเจ้าต้องอธิบายกับเปิ่นหวางและทุกคนแล้วนะ เล่นเดินจับมือคุณหนูโจวไม่ปล่อยเช่นนี้หมายความว่าไร แล้วไอ้ที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาตลอดทางนั่นอีกรีบบอกมาเร็วเข้า” หยางอ๋องเห็นท่าทีของพระสหายที่ดูมีความสุขเกินไป จึงสงสัยว่ามีอะไรที่พวกเขารู้เห็นกันเพียงสองคนหรือไม่“นั่นสิพี่ใหญ่ท่านบอกพวกเรามาเถิด มิใช่แค่ท่านอ๋องที่อยากรู้แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ล้วนอยากรู้ทุกคนเลยล่ะ” พระชายาหวังแอบคิดอยู่ในใจว่าจะเป็นอย่างที่คิดไหม“คุณชายหยะ....”“เอาล่ะ ๆ ๆ เจ้าไม่ต้องถามเพิ่มแล้วเหวินเสียน ไหน ๆ ก็อยู่พร้อมหน้ากันทั้งหมดเช่นนั้นขอบอกให้ทุกคนทราบว่า หว่านเออร์ยินดีแต่งเข้าตระกูลหวังในฐานะสะใภ้ใหญ่แล้ว และงานมงคลสมรสจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ เมื่อบิดาของข้านำสินสอดมารับขวัญว่าที่ลูกสะใภ้” พอได้บอกออกไปหวังซินหยางรู้สึกสบายใจมากกว่าเดิมเสียอ
แม้ว่าจะมีแขกสูงศักดิ์ช่วยประเดิมเข้าพักในบ้านสวนของหลินหว่าน แต่ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติเพียงแต่ต้องจัดสรรเวลาใหม่ เพื่อดูแลและอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าไม่ว่าจะเรื่องอาหาร เสื้อผ้าสำหรับทำกิจกรรมตามตารางที่หลินหว่านทำไว้ รวมถึงงานที่ทำร่วมกับชาวบ้านอย่างธูปสมุนไพรไล่ยุง ซึ่งครอบครัวของใต้เท้าหลัวและครอบครัวใต้เท้าจิ่ง อยากซื้อกลับไปใช้ที่จวนในเมืองหยางฉินจำนวนหลายห่อ หลินหว่านจึงได้แนะนำให้ซื้อกับตัวแทนของหมู่บ้านหลูหยาง ทำให้ใต้เท้าหลัวได้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของคนในหมู่บ้านแห่งนี้ จนเกิดแนวความคิดจะใช้หมู่บ้านหลูหยางเป็นต้นแบบ เพื่อให้หมู่บ้านในพื้นที่อื่น ๆ รักและสามัคคีเช่นนี้บ้าง ใต้เท้าหลัวยังคิดไปถึงเรื่องการคิดค้นผลิตภัณฑ์ประจำหมู่บ้าน ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริงออกมาวางขายด้วยเช่นกันเมื่อกิจการในฝันได้เริ่มต้นขึ้นตามที่ต้องการแล้ว หลินหว่านจึงมอบหมายให้หยุนเหลียงไปซื้อร้านค้าในเมืองหลางหลิว สำหรับทำเป็นร้านขายขนมครกและรับสมัครลูกจ้างประจำร้านห้าคน เพราะมันเป็นกิจการแรกที่หลินหว่านใช้หาเงินหลังจากย้ายมาอยู่ที่นี่ โดยจะให้น่าซือไปตรวจบัญชีของร้านทุกสิบห้าวัน“คุณหนูให้เ
ระหว่างทางกลับหมู่บ้านหลูหยางรถม้าของหลินหว่านได้หยุดกลางคัน เนื่องจากฟางติงฉ่ายบิดาของฟางจื่อฉิงกำลังจะตามไปที่หมู่บ้านหลูเฟินพอดี เมื่อบังเอิญเจอกันเหอซู่เผิงจึงได้เรียกเอาไว้และบอกว่า ยามนี้ฟางจื่อฉิงอยู่บนรถม้าของหลินหว่านแล้ว จึงได้บอกให้ทุกคนกลับหมู่บ้านแทนเพราะไม่อยากให้มีเรื่องราวใหญ่โตพอทุกคนในหมู่บ้านรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับฟางจื่อฉิง พวกเขาต่างก็มาเยี่ยมและให้กำลังใจกับฟางจื่อฉิง เพราชาวบ้านเองต่างก็เอ็นดูนางและเห็นการเติบโตของนางมาตั้งแต่เด็ก บางคนถึงกับโกรธแค้นหมู่บ้านหลูเฟินที่ไม่คิดจะยื่นมือช่วยเหลือฟางจื่อฉิงสักนิด ยามที่ถูกสองแม่ลูกนั่นรุมทำร้ายเอาแต่ยืนมองดั่งก้อนหิน แต่เมื่อได้ยินว่าคุณหนูโจวเจ้าของน้ำปุ๋ยหมักให้ส่งจดหมายถึงหยางอ๋อง ว่าไม่ต้องการขายมันให้กับคนไร้ศีลธรรมจึงพอจะลดความโกรธลงมาได้ “สมน้ำหน้าพวกนั้นแล้วในเมื่อคุยกันไม่เข้าใจ ควรตามฟางเหม่ยไปรับฟังและหาทางออกร่วมกันถึงจะถูก แต่นี่กลับบังคับให้ฉิงเออร์หย่าขาดกับสามีตัวดีนั่นท่าเดียว” นางหงโยวที่มาเยี่ยมและให้กำลังทั้งสหายกับบุตรสาวนั่งพูดด้วยความโมโห“ต่อไปทุกคนจะมีชีวิตที่ดีขึ้นไปด้วยกันทั้งเมือง แต่
ต้นยามเฉินของเช้าวันต่อมาหลังจากทานมื้อเช้าที่แสนอร่อย หลินหว่านและทุกคนจึงได้เริ่มต้นตกแต่งภายในบ้านแต่ละหลัง โดยที่นางไม่ลืมหยิบภาพวาดที่คัดเลือกมาบางส่วน นำมาตกแต่งเพิ่มให้กับผนังห้องไม่ให้ดูโล่งจนเกินไป หลินหว่านเน้นความอบอุ่นและสวยงามด้วยการผสมผสานเครื่องตกแต่งที่ทำจากไม้คุณภาพดี มีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ เพิ่มความมีเสน่ห์ให้กับห้องรับแขกด้านในห้องนั่งเล่นส่วนตัวนั้นหลินหว่านจัดวางเก้าอี้ตัวใหญ่นั่งได้อย่างสบาย ๆ พร้อมโต๊ะกลางที่มีลายไม้สวยงามผนังห้องประดับด้วยงานศิลปะ ที่สื่อถึงวัฒนธรรมจีนเป็นการสร้างบรรยากาศที่สงบฝั่งห้องทานอาหารตกแต่งด้วยโต๊ะไม้ขนาดพอดีและเก้าอี้ที่มีเบาะรองนั่งสีอ่อน ตรงกลางโต๊ะมีแจกันดอกไม้สดเพิ่มความสดชื่นและสีสันยามนั่งทานอาหาร ส่วนห้องนอนถูกออกแบบให้เป็นที่พักผ่อนอย่างแท้จริง โดยใช้เตียงที่มีหัวเตียงทำจากไม้สลักลวดลายละเอียด พร้อมด้วยผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนในโทนสีเนื้อและสีทอง ที่ช่วยสร้างความอบอุ่นและผ่อนคลายให้กับการนอนหลับ ผนังห้องตกแต่งด้วยภาพธรรมชาติที่ช่วยสร้างบรรยากาศสงบและเหมาะสำหรับการพักผ่อน จากฝีมือของจิตรกรทั้งสามคนที่วาดภาพได้งดงามไม่แพ้จิตร
เมื่อได้รับพระราชานุญาตตามฎีกาที่ตนได้ถวายต่อฮ่องเต้แล้ว หวังซินหยางยังไม่กลับจวนในทันทีเขากลับไปที่สำนักตรวจสอบ เพื่อสะสางงานที่ยังค้างอยู่เล็กน้อยและพิจารณารายชื่อ เหล่าหัวหน้าแต่ละกลุ่มตามผลงานที่ผ่านมาเป็นแนวทางในการคัดเลือก สำหรับตำแหน่งผู้รักษาการสำนักตรวจสอบในเมืองหลวง แต่ไม่ว่าหวังซินหยางจะเลือกหัวหน้าคนใดขึ้นมาก็ตาม ทุกคนในสำนักตรวจสอบย่อมเคารพการตัดสินใจของเขา เพราะทุกคนล้วนทำงานร่วมกันมานานเสี่ยงอันตรายมาก็มาก นั่นจึงเป็นเรื่องง่ายก่อนที่หวังซินหยางจะตัดสินใจเลือก ‘สุยอี้หยวน’ รับภาระดูแลสำนักตรวจสอบในเมืองหลวงแทนเขา และหวังซินหยางยังได้เตรียมส่งมอบงานที่เป็นคดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้พวกเขาที่นี่ได้ทำฆ่าเวลา เมื่อใดที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับขุนนางที่ทำผิดกฎหมายของแคว้น เวลานั้นพวกเขาทุกคนจะได้ทำงานร่วมกันอีกครั้งด้านหลินหว่านที่จัดการกับสิ่งของต่าง ๆ ของตนเรียบร้อย จึงได้แวะไปสนทนากับว่าที่พระชายาเอกของหยางอ๋อง อย่างหวังลี่ถิงที่พักหลังนางต้องดูแลตนเองเป็นอย่างดี ทั้งกริยามารยาทรวมถึงเรื่องรูปร่างผิวพรรณที่ต้องงดงามที่สุด ยามที่สวมชุดแต่งงานจะยิ่งทำให้ดูสง่างามเพิ่มขึ้นอีกหลายเท