หลังจากได้รับอิสระพร้อมหนังสือตัดขาดมาอยู่ในมือของตนแล้ว มู่หลินหว่านเดินออกจากจวนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แม้ชุดที่สวมใส่จะเก่าจนมองไม่ออกว่ามันคือสีอะไร และแทบทั้งตัวยังมีร่อยรอยของการปะชุนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่สามารถทำให้รอยยิ้มนั้นจางหายไปได้ ยิ่งเดินมาได้ครึ่งทางมู่หลินหว่านได้ยินเสี่ยวลวี่พูดขึ้น เกี่ยวกับเงินในห้องเก็บสมบัติที่เพิ่งจะเก็บกวาดมาได้
“นายหญิงเจ้าคะสิ่งแรกที่ท่านต้องทำก็คือไปร้านขายเสื้อผ้าเจ้าค่ะ เพราะชุดที่ท่านใส่ในตอนนี้ไม่น่ามองเป็นอย่างยิ่ง”
“หือ เสี่ยวลวี่หรอกหรือเจ้าหายไปไหนมาเห็นเงียบไปเสียนาน ข้าลองเรียกดูก็ไม่มีการตอบกลับจากเจ้าเลย”
“เสี่ยวลวี่ไปจัดการเรื่องห้องเก็บสมบัติให้ท่านอย่างไรเล่า ยามนี้ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะ”
“งั้นแสดงว่าตอนนี้หากข้าต้องการซื้อสิ่งใดก็ตาม ย่อมมีเงินใช้จ่ายได้ไม่ว่าจะถูกหรือแพงใช่ไหมเสี่ยวลวี่”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะนายหญิงท่านเลือกเสือผ้าชุดสวย ๆ มาหลาย ๆ ชุดเลยนะเจ้าคะ จากนั้นไปหาที่หารถม้าสำหรับเดินทางไปจากเมืองหลวงแห่งนี้ ว่าแต่นายหญิงจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ใดหรือเจ้าคะ”
“อืม ข้าไม่อยากอยู่ที่แคว้นเว่ยแห่งนี้แล้วล่ะเสี่ยวลวี่ สถานที่ที่คิดว่าเหมาะสมและน่าจะดีกว่าหลายเท่า ข้าคิดว่าจะไปแคว้นหยางน่ะมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เข้าไปทำความสะอาด ด้านในห้องทำงานของเสนาบดีมู่มีข้อมูลการค้าของแคว้นหยาง เราไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กันที่นั่นเถิดส่วนคนชั่วพวกนี้ รอสักวันหนึ่งที่ข้ามีผู้หนุนหลังตำแหน่งใหญ่โต ค่อยจัดการแก้แค้นให้กับท่านแม่ก็ยังไม่สายเกินไป แต่ตอนที่ข้ายังเด็กเคยมีสาวใช้กับบ่าวของท่านแม่ ที่ติดตามมาจากบ้านเดิมคอยดูแลข้างกายทุกวัน ต่อมาเมื่อท่านแม่ไม่อยู่แล้วพวกเขาก็ถูกไล่ออกไปเช่นกัน ตัวข้าจำได้เพียงว่าชื่ออะไรส่วนใบหน้านั้นเลือนรางเต็มที เสี่ยวลวี่เจ้าพอจะมีวิธีไหนตามหาพวกเขาได้บ้างไหม ทั้งสองคนชื่อว่าน่าซือกับหยุนเหลียงหากพวกเขายังอยู่ในเขตเมืองหลวง ข้าต้องการตามหาพวกเขาให้พบเสียก่อน จะได้เดินทางไปแคว้นหยางด้วยกัน”
“แน่นอนว่าเสี่ยวลวี่ย่อมมีวิธีสืบหาพวกเขาให้นายหญิง ตอนนี้ท่านสบายใจได้แล้วนะเจ้าคะไปซื้อสิ่งของที่จำเป็นกันเถิดเจ้าค่ะ”
“อื้อ ขอบใจนะเสี่ยวลวี่”
“ยินดีรับใช้นายหญิงเจ้าค่ะ”
มู่หลินหว่านเดินตามหาร้านค้าขายเสื้อผ้าสำเร็จ จนผู้คนในเมืองหลวงที่เดินสวนทางกับนางต่างมองด้วยความสงสาร แต่มู่หลินหว่านมิได้สนใจผู้อื่นว่าจะคิดอย่างไร นางยังคงตามหาร้านค้าต่อไปจนพบกับร้านผ้าขนาดกลาง ๆ ที่มีลูกค้าอยู่ไม่มากนัก และรอจนกว่าลูกค้าจะออกจากร้านจนหมดแล้ว ค่อยเข้าไปด้านในร้านเพื่อสอบถามถึงชุดตัดสำเร็จรวมถึงราคาขายแต่ละชุด มู่หลินหว่านเลือกชุดสำเร็จสีอ่อน ๆ มาสองสามชุด และขอใช้ห้องของทางร้านเพื่อเปลี่ยนไปสวมชุดใหม่ทันที เจ้าของร้านที่เห็นยังเอ่ยปากชมว่านางงดงามน่ารักสมวัย ก่อนจะออกจากร้านเถ้าแก่ยังมอบผ้าคลุมหน้าให้อีกหนึ่งผืน มู่หลินหว่านเข้าใจความหมายของมันได้เป็นอย่างดี
ขณะที่ปล่อยให้มู่หลินหว่านเลือกซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ เสี่ยวลวี่ได้หายตัวไปพบปะกับเหล่าต้นไม้ใบหญ้าทั้งหลาย ที่ขึ้นอยู่ตามตรอกซอกซอยในเมืองหลวง โดยขอความช่วยเหลือให้ตามหาคนชื่อน่าซือและหยุนเหลียง เหล่าสหายต้นไม้ก็ยินดีให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ซึ่งเสี่ยวลวี่จะมาพบหลังจากนี้อีกครึ่งชั่วยาม สหายต้นไม้ทั้งหลายจึงรีบส่งข่าวไปยังมุมต่าง ๆ เผื่อจะได้ข้อมูลก่อนจะครบเวลาตามที่เสี่ยวลวี่บอกไว้
ส่วนมู่หลินหว่านนั่งรอเสี่ยวลวี่อยู่ในร้านน้ำชาร้านหนึ่ง และได้หยิบหนังสือตัดขาดฉบับนั้นขึ้นมาอ่านอีกครั้ง เมื่อเห็นประโยคหนึ่งที่ห้ามมิให้นางใช้แซ่มู่อีกหลังจากออกจากตระกูล ฉะนั้นนางแค่กลับไปใช้แซ่ของมารดาก็ไม่เป็นปัญหาอันใด นับจากวันนี้เป็นต้นไปชื่อแซ่ของนางก็คือ ‘โจวหลินหว่าน’
“เฮ้อ ในที่สุดข้าก็พาเจ้าหลุดพ้นจากตระกูลน่ารังเกียจนั่นมาได้เสียที มู่หลินหว่านขอให้เจ้ากับมารดาได้เกิดเป็นแม่ลูกกันอีกครั้ง และมีชีวิตที่ยืนยาวมากว่าในชาตินี้เถิดนะ เอ๊ะ! จะว่าไปแล้วเสี่ยวลวี่หายไปไหนนะตั้งแต่ออกจากจวน ก็หายเงียบไปเลยทุกทีต้องชวนข้าคุยแท้ ๆ”
“แว๊บ! กรี๊ดด อุ๊บ!”
“นายหญิงเจ้าคะข้าพอจะได้ข่าวคนของมารดาท่านแล้วเจ้าค่ะ”
“เสี่ยวลวี่!! โธ่เอ้ยข้าขอร้องละนะถ้าจะปรากฏตัวช่วยส่งเสียงบอกล่วงหน้าได้ไหม เจ้าเล่นปุ๊บปั้บโผล่ออกมาเช่นนี้ข้าเป็นต้องตกใจทุกทีสิน่า ค่อย ๆ ทำให้ชินไปที่ละนิดได้หรือไม่เสี่ยวลวี่คนงาม”
“แฮะ ๆ ๆ ขออภัยเจ้าค่ะเสี่ยวลวี่ลืมตัวไปหน่อยว่าท่านยังไม่ชิน คราวหน้าจะไม่ลืมอีกแล้วเจ้าค่ะนายหญิง ข้าดีใจที่มีข่าวคนของมารดาท่านจากเหล่าสหายต้นไม้ จึงรีบกลับมาเพื่อบอกกับท่านเจ้าค่ะ”
“เจ้าพูดจริงหรือเสี่ยวลวี่ที่ว่าได้ข่าวคนของท่านแม่น่ะ แล้วสหายของเจ้าพวกเขาบอกว่าอย่างไรบ้าง ยามนี้ทั้งสองคนพักอยู่ที่ใดยังสบายดีอยู่หรือไม่” โจวหลินหว่านถามเสี่ยวลวี่ด้วยความตื่นเต้น
“ใจเย็น ๆ เจ้าค่ะนายหญิงไม่ต้องรีบร้อน ข้าจะเล่าให้ฟังเดี๋ยวนี้ สหายของข้าบอกว่าทั้งสองคนยังคงอยู่ที่เมืองหลวง โดยยึดอาชีพขายเซาปิ่งที่ตลาดเช้าทุกวันไม่ยอมกลับบ้านเกิด คงหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้พบเจอท่านที่เติบโตเป็นสตรีงดงาม ท่ามกลางผู้คนมากมายที่เดินกันไปมาบนถนนในเมืองหลวงสักครั้งก็เป็นได้เจ้าค่ะ”
“พวกเขาช่างซื่อสัตย์กับท่านแม่ของข้ายิ่งนักเสี่ยวลวี่ ทั้งที่สามารถกลับไปอยู่กับครอบครัวได้แท้ ๆ แต่กลับยังคงรอคอยเพื่อจะได้พบเจอกับข้า ที่ถูกกักขังใช้งานเยี่ยงทาสอยู่ภายในจวนนั่นสิบกว่าปี ใครจะรู้ว่ายามนี้ข้าผ่านพ้นวัยปักปิ่นมาแล้วถึงหนึ่งปี ในวงสังคมชนชั้นสูงไม่เคยมีใครเคยเห็นใบหน้าของคุณหนูรองผู้นี้ แม้แต่คู่หมั้นในวัยเด็กยังถูกพี่สาวต่างมารดาแย่งชิงไปเป็นของตนเอง ไม่เป็นไรยามนี้ข้าคือโจวหลินหว่านที่จะกลับมาแก้แค้นตระกูลมู่อย่างแน่นอน หากทั้งสองคนนั่นต้องไปขายของที่ตลาดในตอนเช้า เช่นนั้นพวกเราไปดูที่ตลาดกันเถิดเสี่ยวลวี่”
“เจ้าค่ะนายหญิง”
ณ ตอนนี้โจวหลินหว่านรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก อย่างน้อยในการเดินทางไปต่างแคว้นในครั้งนี้นางก็ไม่ได้ตัวคนเดียว เมื่อเริ่มกิจการอย่างไรเสียก็ต้องมีคนคอยช่วยเหลือ หากมีคนของมารดาติดตามไปย่อมเป็นเรื่องดีมากกว่าหลายเท่า โจวหลินหว่านเดินไปตามทางที่เสี่ยวลวี่คอยบอก ซึ่งไม่มีใครสามารถมองเห็นเสี่ยวลวี่ได้ นอกจากโจวหลินหว่านเจ้านายผู้นี้เท่านั้น
พอเดินมาถึงตลาดก็สอดส่ายสายตามองหาคนขายเซาปิ่งทันที และสายตาของโจวหลินหว่านก็มองหาจนเจอ นางรีบเดินไปยังหน้าร้านของคนทั้งสองโดยไม่ส่งเสียงใด ๆ น่าซือคิดว่ามีลูกค้ามาซื้อเซาปิ่งของตนจึงพูดเหมือนกับทุก ๆ วัน โดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง เมื่อลูกค้ายังคงเงียบไม่ยอมสั่งเซาปิ่งเสียที น่าซือจำเป็นต้องหยุดมือที่นวดแป้งและเงยหน้า เพื่อสอบถามคนเป็นลูกค้าอีกครั้งแต่ทุกอย่างคล้ายหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ด้วยหญิงสาวผู้มีใบหน้างดงามที่ยืนอยู่ตรงหน้า ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับเจ้านายของนางยิ่งนัก หยุนเหลียงที่รู้สึกว่าน่าซือเงียบเกินไปก็หันมามอง และเกิดอาการเช่นเดียวกับน่าซือไปอีกคน
“ลูกค้ารอสักประเดี๋ยวนะเจ้าคะเตายังไม่ร้อน หากท่านไม่รีบสามารถไปเดินเลือกซื้อเสียก่อนแล้วค่อยกลับมารับก็ได้เจ้าค่ะ ข้าจะห่อแยกเก็บไว้ให้ท่านเป็นอย่างดี”
“ไส้ผักคงขายดีไม่น้อยเลยนะเจ้าคะแม่ค้า”
“ขวับ!...........!!”
“ฮูหยิน!/ฮูหยิน!” น่าซือและหยุนเหลียงเรียกหญิงสาวตรงหน้าว่าฮูหยิน ทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เนื่องจากเจ้านายของพวกเขาตายไปแล้ว
“ท่านอาทั้งสองฮูหยินที่พวกท่านพูดถึงใช่โจวเชี่ยนเหยาหรือไม่เจ้าคะ?”
“ชะ ชะ ใช่แล้วเจ้าค่ะฮูหยินของพวกข้าแซ่โจวมีนามว่าเชี่ยนเหยา ไม่ทราบว่าเหตุใดคุณหนูท่านนี้ถึงได้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับฮูหยินนักเล่า” น่าซือเกิดความสงสัยมากมายจึงอยากถามให้แน่ใจ
“ท่านอาน่าซือเซาปิ่งของท่านไส้ผักอร่อยที่สุดนะเจ้าคะ หว่านเออร์ชอบกินไส้ผักใส่เนื้อแค่เล็กน้อย หากไม่กินผักจะปวดท้องจนล้มป่วยท่านอาน่าซือสอนไว้เช่นนั้น” นี่เป็นความทรงจำในวัยเด็กของมู่หลินหว่านตัวจริง
“ฮึก ๆ หยะ หยะ หยุนเหลียงคุณหนูของบ่าวในที่สุดก็ได้พบกับท่านแล้ว ฮือ ๆ ๆ คุณหนูของน่าซือช่างงดงามเหมือนฮูหยินยิ่งนักเจ้าค่ะ”
“บ่าวหยุนเหลียงคารวะคุณหนูขอรับ”
“จริงด้วยสิเจ้าคะบ่าวมัวแต่ดีใจ จนเสียมารยาทกับคุณหนูไปได้ บ่าวน่าซือคารวะคุณหนูเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้อง ๆ ๆ ท่านอาทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ ยิ่งตอนนี้พวกท่านมิได้เป็นบ่าวไพร่ในจวนของผู้ใด แต่เป็นเจ้าของแผงขายเซาปิ่งจะคารวะผู้น้อยเช่นข้าคงไม่เหมาะสมนัก ว่าแต่พวกท่านตั้งร้านค้าเสร็จเรียบร้อยหรือยังเจ้าคะ”
“พวกเราสองคนเพิ่งจะเตรียมเปิดร้านเท่านั้นเจ้าค่ะ หยุนเหลียงข้าว่าวันนี้พวกเราหยุดขายสักหนึ่งวันเถิด จะได้ไปนั่งพูดคุยกับคุณหนูที่บ้านของพวกเรา ขืนอยู่ที่นี่นาน ๆ ชุดคุณหนูจะมีแต่กลิ่นควันไฟเอาได้เจ้าเห็นด้วยกับข้าไหม”
“อือ ข้าก็คิดเช่นเจ้าน่าซือยังดีที่ยกของลงไม่หมด ใช้เวลาเก็บของไม่นานต้องรบกวนคุณหนูรอประเดี๋ยวนะขอรับ”
“ท่านอาตามสบายเถิดเจ้าค่ะข้ามิได้เร่งรีบอันใด พวกท่านค่อย ๆ เก็บมันขึ้นเกวียนเถิดอย่าได้รีบร้อนเลยเจ้าค่ะ”
“รบกวนคุณหนูรอพวกเราประเดี๋ยวนะเจ้าคะ หยุนเหลียงรีบเก็บของขึ้นเกวียนเร็วเข้า”
“ข้าก็เร่งมืออยู่เจ้าไม่ต้องรีบถึงเพียงนั้นหรอกน่าซือ ของแค่ไม่กี่อย่างเองไม่นานก็เก็บเรียบร้อยแล้วล่ะ เจ้าพาคุณหนูไปรอข้าที่เกวียนเถิดของพวกนี้ข้าจะเข็นไปเอง”
“ได้ ๆ ๆ คุณหนูเจ้าคะไปรอหยุนเหลียงที่เกวียนกันเถิดเจ้าค่ะ แล้วนี่ไม่มีสาวใช้คอยติดตามท่านเลยหรือเจ้าคะ” น่าซือสงสัยที่คุณหนูของตนเดินมาเพียงลำพัง ไม่เห็นวี่แววของสาวใช้ส่วนตัวสักคน
“ไว้ถึงเรือนของท่านอาแล้วข้าจะเล่าให้ฟังนะเจ้าคะ”
“เอาตามที่คุณหนูว่ามาก็ได้เจ้าค่ะ”
น่าซือคอยประคองบุตรสาวของเจ้านายเกรงว่าโจวหลินหว่านจะล้มก็มิปาน เพราะรูปร่างที่ผอมบางประหนึ่งจะถูกลมพัดปลิวไปได้ทุกเมื่อ ทั้งสองคนรออยู่ที่เกวียนไม่นานหยุนเหลียงก็เข็นข้าวของกลับมา เมื่อยกทุกอย่างขึ้นเกวียนจนครบแล้วจึงได้กลับหมู่บ้านนอกเมืองทันที อดีตบ่าวของมารดาโจวหลินหว่านได้เช่าบ้านอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ ตั้งแต่วันที่ถูกไล่ออกจากจวนตระกูลมู่ภายหลังเจ้านายของตนสิ้นใจได้ไม่นาน พวกเขาหวังเอาไว้ว่าจะได้เจอคุณหนูตัวน้อย ๆ อีกสักครั้ง ค่อยตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตว่าจะทำอย่างไรต่อไป
เมื่อมาถึงเรือนของน่าซือกับหยุนเหลียงแล้ว โจวหลินหว่านได้บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตนเอง ระหว่างที่เติบโตอยู่ในจวนแห่งนั้นว่าต้องพบเจอกับสิ่งใดบ้าง พร้อมทั้งยื่นหนังสือตัดขาดจากเสนาบดีมู่ให้พวกเขาได้ดูเป็นหลักฐาน ว่านางถูกไล่ออกมาแล้วอดีตบ่าวทั้งสองพอได้ฟังถึงกับน้ำตาซึม รู้สึกโกรธแค้นคนในจวนแห่งนั้นทั้งหมดถึงกับสาปแช่งสารพัด และโจวหลินหว่านตัดสินใจถามทั้งคู่ว่าจะอยู่ที่นี่ต่อ หรือจะติดตามนางไปยังแคว้นหยางเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น
และเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าน่าซือกับหยุนเหลียงไม่คิดปฏิเสธ พวกเขายินดีเป็นอย่างมากที่จะได้ติดตามนาง เช่นเดียวกับติดตามมารดาของนางต่อไป
“สารเสว!! เป็นพ่อคนที่จิตใจชั่วช้ายิ่งนักข้าไม่คิดเลยว่า คนเช่นเสนาบดีมู่จะกลายเป็นบุรุษพูดจาสัปปลับทำร้ายบุตรสาวแท้ ๆ ได้ถึงเพียงนี้ ที่แท้ก็วางแผนชั่วกับฮูหยินมานานนี่เอง” หยุนเหลียงที่ฟังเรื่องราวจากปากของโจวหลินหว่าน พร้อมหลักฐานในมือก็ให้รู้สึกโกรธแค้นยิ่งนัก
“โธ่ ฮูหยินของบ่าวท่านไม่น่าตัดสินใจเลือกรักบุรุษเช่นนี้เลย สุดท้ายก็แสดงธาตุแท้ออกมาให้เห็นจนได้ บ่าวขออภัยที่ไม่ได้อยู่ดูแลปกป้องคุณหนูได้ หากไม่ถูกขับไล่ออกมาท่านคงไม่พบเจอเรื่องราวที่หนักหนาเช่นนี้ บ่าวผิดเองเจ้าค่ะที่ไม่ยอมคุกเข่าอ้อนวอนเสนาบดีมู่ คุณหนูได้โปรดอภัยให้บ่าวด้วยเถิดเจ้าค่ะ ฮือ ๆ ๆ” น่าซือยังคงคิดโทษตนเองที่ไม่ยอมร้องขอความเมตตากับเสนาบดีมู่
“ท่านอาทั้งสองเจ้าคะเรื่องมันผ่านไปแล้วอย่าได้คิดถึงมันอีกเลย โชคดีที่ดวงจิตของข้าได้ท่านเทพคอยดูแลเอาไว้ ทั้งยังประสิทธิ์ประศาสตร์วิชาความรู้อีกหลายแขนงให้ติดตัว ต่อไปภายภาคหน้าจะได้ใช้เพื่อทำมาหากินสร้างตัวได้ และตอนนี้ตัวข้าเป็นอิสระไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลมู่อีก แต่ความแค้นของท่านแม่จะต้องได้รับการแก้แค้นอย่างสาสม ขอเพียงในอนาคตพวกเรามีผู้หนุนหลังที่ตำแหน่งใหญ่โตกว่า จะบดขยี้ตระกูลนี้ให้แหลกอย่างไรก็ได้เจ้าค่ะ ท่านอาทั้งสองพวกท่านยินดีติดตามข้าไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่แคว้นหยางหรือไม่เจ้าคะ”
“ยินดีสิขอรับคุณหนูถึงท่านจะไม่ถามเรื่องนี้ แต่พวกข้าสองคนก็ยังยินดีติดตามท่านไปอย่างแน่นอนขอรับ”
“ใช่เจ้าค่ะพวกเราจะปล่อยให้คุณหนูเดินทางเพียงลำพังได้อย่างไร เส้นทางไปแคว้นหยางไม่ใกล้ไม่ไกลแต่ใช่ว่าจะไม่มีอันตรายนะเจ้าคะ ยิ่งคุณหนูของน่าซืองดงามเช่นนี้ยิ่งอันตรายหลายเท่าเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นหากพวกเราออกเดินทางตั้งแต่ตอนนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ แต่ข้าอยากให้ท่านอาหยุนเหลียงเปลี่ยนจากเกวียนวัวเป็นรถม้า การเดินทางจะได้รวดเร็วขึ้นกว่าเดิมอีกสักหน่อยเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องราคาของการจ้างรถม้าข้าพอรู้ว่ามันแพงกว่าเกวียนวัวมาก นี่คือเงินสิบตำลึงรบกวนท่านอาหยุนเหลียงช่วยจัดการ ขอด้านในรถม้าบุผ้ารองนั่งที่หนาสักหน่อยก็ดี จะได้นั่งกันได้สบายไม่ปวดเมื่อยระหว่างทางนะเจ้าคะ” โจวหลินหว่านยืนถุงใส่ตำลึงเงินให้กับหยุนเหลียงไป
“ขอรับคุณหนูท่านรออยู่ที่นี่กับน่าซือไปก่อน บ่าวจะไปจัดการเรื่องรถม้าให้เองขอรับ”
“รบกวนท่านอาหยุนเหลียงแล้วเจ้าค่ะ”
หยุนเหลียงถือถุงเงินกระโดดขึ้นเกวียนวัวไปอย่างรวดเร็ว เพื่อนำเกวียนวัวไปเปลี่ยนเป็นรถม้าอย่างดี คุณหนูของเขาจะได้นั่งหรือนอนได้อย่างสบาย ตลอดระยะเวลานับเดือนต่อจากนี้เป็นต้นไป ส่วนน่าซือมิได้นั่งรออยู่เฉย ๆ นางรีบเข้าไปเก็บของที่จำเป็น ซึ่งมีอยู่ไม่กี่อย่างใส่ห่อผ้าเอาไว้และไม่ลืมเรื่องเสบียงอาหาร ที่ทั้งสามคนต้องมีติดตัวไว้ทานระหว่างเดินทางอีก ข้าวสารอาหารแห้งที่ยังมีเหลืออยู่น่าซือเก็บมาจนหมด ไม่มีหลงเหลือให้เจ้าของบ้านเช่าได้มาเก็บไปใช้ประโยชน์แทนตนเองหรอก โจวหลินหว่านกับน่าซือรออยู่สองเค่อโดยประมาณ หยุนเหลียงก็นำบังคับรถม้าคันใหญ่มาแทนเกวียน ยามนี้ข้าวของยกย้ายขึ้นรถม้าทั้งหมดแล้วจึงได้เวลาออกเดินทางอย่างจริงจังเสียที และนี่ยังเป็นครั้งแรกของโจวหลินหว่านที่จะเดินทางไปต่างแคว้น
ด้านจวนตระกูลมู่กว่าจะรู้ว่าในห้องเก็บสมบัติไม่เหลือสิ่งใดให้หยิบใช้ ก็ต่อเมื่อใกล้จะถึงวันจัดงานเลี้ยงน้ำชาที่ต้องใช้เงินจำนวนมากและเครื่องประดับบางส่วน ถึงได้พบว่าสมบัติที่สะสมไว้มากมายยามนี้เหลือเพียงห้องว่างเปล่า แม้แต่เศษเงินเหรียญอีแปะยังไม่ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าสักเหรียญ ไม่ว่าเสนาบดีมู่จะสอบสวนบ่าวไพร่และคนในจวนทั้งหมดอย่างไร ก็ไม่อาจทราบสาเหตุที่แท้จริงได้ว่าหีบสมบัติมากมายที่มีจะอันตรธานหายไปได้อย่างไร้ร่อยรอย
..............
“ฮึบ โอ้ว นี่สวรรค์ประทานพรถึงกับส่งบุรุษหน้าตาหล่อเหลา เพื่อมอบให้เป็นการตอบแทนที่ข้าทำความดีใช่หรือไม่นะ”
และในที่สุดวันที่หวังซินหยางรอคอยก็มาถึงเสียที ทุกคนตื่นขึ้นมาช่วยกันจัดเตรียมงานพิธีการตรวจดูความเรียบร้อย ตลอดจนหีบสินสอดมากมายที่นำมาวางให้แขกได้เห็นว่าเจ้าบ่าวให้ความสำคัญกับเจ้าสาวมากเพียงใด ด้านในห้องนอนของหลินหว่านมีน่าซือและฟางจือฉิงช่วยกันอาบน้ำให้เจ้าสาว ด้วยการใช้สมุนไพรเนื่องจากเป็นความเชื่อว่าจะนำโชคลาภ ความสุข และความสำเร็จมาให้ เช่น ใบไผ่ ดอกบัว หรือดอกมะลิ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และความงาม จากนั้นชุดเจ้าสาวสีแดงปักดิ้นทองด้วยลวดลายที่สวยงามก็ถูกสวมใส่บนเรือนร่างที่งดงามไร้ที่ติของหลินหว่าน เครื่องหัวเป็นรูปทรงดอกบัวและมีปิ่นปักผมรูปนกยูงหลังจากแต่งตัวเสร็จ หลินหว่านมีหน้าที่นั่งรอเจ้าบ่าวมารับตัวและใช้พัดปิดบังใบหน้าเอาไว้เมื่อได้เวลาเสียงฝีเท้ามากมายดังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ยิ่งทำให้หัวใจของหลินหว่านเริ่มเต้นถี่รัว เพราะนี่เป็นการแต่งงานครั้งแรกของนางทั้งสองชาติภพเชียวนะ“เจ้าบ่าวได้เวลารับตัวเจ้าสาวแล้ว”เสียงของจิ้นกงกงผู้รับผิดชอบดำเนินการเรื่องพิธีดังขึ้นบริเวณด้านหน้าห้อง หวังซินหยางเดินผ่านประตูเข้ามาดวงตาคมกริบทอดมองไปร่างของเจ้าสาวที่นั่งรอเขาอยู่ เมื่
หวังซินหยางและหลินหว่านเดินจูงมือกันลงมาจากเชิงเขา ก่อนที่ทั้งสองจะลงมาถึงด้านล่างก็มองเห็นแล้วว่ามีใครจับกลุ่มยืนรออยู่บ้าง เมื่อเป็นเช่นนี้หลินหว่านจึงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต นางให้หวังซินหยางบอกกับทุกคนเรื่องที่บ้านสวนแห่งนี้ของนาง กำลังจะมีงานมงคลเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า“นี่อาหยางเจ้าต้องอธิบายกับเปิ่นหวางและทุกคนแล้วนะ เล่นเดินจับมือคุณหนูโจวไม่ปล่อยเช่นนี้หมายความว่าไร แล้วไอ้ที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาตลอดทางนั่นอีกรีบบอกมาเร็วเข้า” หยางอ๋องเห็นท่าทีของพระสหายที่ดูมีความสุขเกินไป จึงสงสัยว่ามีอะไรที่พวกเขารู้เห็นกันเพียงสองคนหรือไม่“นั่นสิพี่ใหญ่ท่านบอกพวกเรามาเถิด มิใช่แค่ท่านอ๋องที่อยากรู้แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ล้วนอยากรู้ทุกคนเลยล่ะ” พระชายาหวังแอบคิดอยู่ในใจว่าจะเป็นอย่างที่คิดไหม“คุณชายหยะ....”“เอาล่ะ ๆ ๆ เจ้าไม่ต้องถามเพิ่มแล้วเหวินเสียน ไหน ๆ ก็อยู่พร้อมหน้ากันทั้งหมดเช่นนั้นขอบอกให้ทุกคนทราบว่า หว่านเออร์ยินดีแต่งเข้าตระกูลหวังในฐานะสะใภ้ใหญ่แล้ว และงานมงคลสมรสจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ เมื่อบิดาของข้านำสินสอดมารับขวัญว่าที่ลูกสะใภ้” พอได้บอกออกไปหวังซินหยางรู้สึกสบายใจมากกว่าเดิมเสียอ
แม้ว่าจะมีแขกสูงศักดิ์ช่วยประเดิมเข้าพักในบ้านสวนของหลินหว่าน แต่ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติเพียงแต่ต้องจัดสรรเวลาใหม่ เพื่อดูแลและอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าไม่ว่าจะเรื่องอาหาร เสื้อผ้าสำหรับทำกิจกรรมตามตารางที่หลินหว่านทำไว้ รวมถึงงานที่ทำร่วมกับชาวบ้านอย่างธูปสมุนไพรไล่ยุง ซึ่งครอบครัวของใต้เท้าหลัวและครอบครัวใต้เท้าจิ่ง อยากซื้อกลับไปใช้ที่จวนในเมืองหยางฉินจำนวนหลายห่อ หลินหว่านจึงได้แนะนำให้ซื้อกับตัวแทนของหมู่บ้านหลูหยาง ทำให้ใต้เท้าหลัวได้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของคนในหมู่บ้านแห่งนี้ จนเกิดแนวความคิดจะใช้หมู่บ้านหลูหยางเป็นต้นแบบ เพื่อให้หมู่บ้านในพื้นที่อื่น ๆ รักและสามัคคีเช่นนี้บ้าง ใต้เท้าหลัวยังคิดไปถึงเรื่องการคิดค้นผลิตภัณฑ์ประจำหมู่บ้าน ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริงออกมาวางขายด้วยเช่นกันเมื่อกิจการในฝันได้เริ่มต้นขึ้นตามที่ต้องการแล้ว หลินหว่านจึงมอบหมายให้หยุนเหลียงไปซื้อร้านค้าในเมืองหลางหลิว สำหรับทำเป็นร้านขายขนมครกและรับสมัครลูกจ้างประจำร้านห้าคน เพราะมันเป็นกิจการแรกที่หลินหว่านใช้หาเงินหลังจากย้ายมาอยู่ที่นี่ โดยจะให้น่าซือไปตรวจบัญชีของร้านทุกสิบห้าวัน“คุณหนูให้เ
ระหว่างทางกลับหมู่บ้านหลูหยางรถม้าของหลินหว่านได้หยุดกลางคัน เนื่องจากฟางติงฉ่ายบิดาของฟางจื่อฉิงกำลังจะตามไปที่หมู่บ้านหลูเฟินพอดี เมื่อบังเอิญเจอกันเหอซู่เผิงจึงได้เรียกเอาไว้และบอกว่า ยามนี้ฟางจื่อฉิงอยู่บนรถม้าของหลินหว่านแล้ว จึงได้บอกให้ทุกคนกลับหมู่บ้านแทนเพราะไม่อยากให้มีเรื่องราวใหญ่โตพอทุกคนในหมู่บ้านรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับฟางจื่อฉิง พวกเขาต่างก็มาเยี่ยมและให้กำลังใจกับฟางจื่อฉิง เพราชาวบ้านเองต่างก็เอ็นดูนางและเห็นการเติบโตของนางมาตั้งแต่เด็ก บางคนถึงกับโกรธแค้นหมู่บ้านหลูเฟินที่ไม่คิดจะยื่นมือช่วยเหลือฟางจื่อฉิงสักนิด ยามที่ถูกสองแม่ลูกนั่นรุมทำร้ายเอาแต่ยืนมองดั่งก้อนหิน แต่เมื่อได้ยินว่าคุณหนูโจวเจ้าของน้ำปุ๋ยหมักให้ส่งจดหมายถึงหยางอ๋อง ว่าไม่ต้องการขายมันให้กับคนไร้ศีลธรรมจึงพอจะลดความโกรธลงมาได้ “สมน้ำหน้าพวกนั้นแล้วในเมื่อคุยกันไม่เข้าใจ ควรตามฟางเหม่ยไปรับฟังและหาทางออกร่วมกันถึงจะถูก แต่นี่กลับบังคับให้ฉิงเออร์หย่าขาดกับสามีตัวดีนั่นท่าเดียว” นางหงโยวที่มาเยี่ยมและให้กำลังทั้งสหายกับบุตรสาวนั่งพูดด้วยความโมโห“ต่อไปทุกคนจะมีชีวิตที่ดีขึ้นไปด้วยกันทั้งเมือง แต่
ต้นยามเฉินของเช้าวันต่อมาหลังจากทานมื้อเช้าที่แสนอร่อย หลินหว่านและทุกคนจึงได้เริ่มต้นตกแต่งภายในบ้านแต่ละหลัง โดยที่นางไม่ลืมหยิบภาพวาดที่คัดเลือกมาบางส่วน นำมาตกแต่งเพิ่มให้กับผนังห้องไม่ให้ดูโล่งจนเกินไป หลินหว่านเน้นความอบอุ่นและสวยงามด้วยการผสมผสานเครื่องตกแต่งที่ทำจากไม้คุณภาพดี มีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ เพิ่มความมีเสน่ห์ให้กับห้องรับแขกด้านในห้องนั่งเล่นส่วนตัวนั้นหลินหว่านจัดวางเก้าอี้ตัวใหญ่นั่งได้อย่างสบาย ๆ พร้อมโต๊ะกลางที่มีลายไม้สวยงามผนังห้องประดับด้วยงานศิลปะ ที่สื่อถึงวัฒนธรรมจีนเป็นการสร้างบรรยากาศที่สงบฝั่งห้องทานอาหารตกแต่งด้วยโต๊ะไม้ขนาดพอดีและเก้าอี้ที่มีเบาะรองนั่งสีอ่อน ตรงกลางโต๊ะมีแจกันดอกไม้สดเพิ่มความสดชื่นและสีสันยามนั่งทานอาหาร ส่วนห้องนอนถูกออกแบบให้เป็นที่พักผ่อนอย่างแท้จริง โดยใช้เตียงที่มีหัวเตียงทำจากไม้สลักลวดลายละเอียด พร้อมด้วยผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนในโทนสีเนื้อและสีทอง ที่ช่วยสร้างความอบอุ่นและผ่อนคลายให้กับการนอนหลับ ผนังห้องตกแต่งด้วยภาพธรรมชาติที่ช่วยสร้างบรรยากาศสงบและเหมาะสำหรับการพักผ่อน จากฝีมือของจิตรกรทั้งสามคนที่วาดภาพได้งดงามไม่แพ้จิตร
เมื่อได้รับพระราชานุญาตตามฎีกาที่ตนได้ถวายต่อฮ่องเต้แล้ว หวังซินหยางยังไม่กลับจวนในทันทีเขากลับไปที่สำนักตรวจสอบ เพื่อสะสางงานที่ยังค้างอยู่เล็กน้อยและพิจารณารายชื่อ เหล่าหัวหน้าแต่ละกลุ่มตามผลงานที่ผ่านมาเป็นแนวทางในการคัดเลือก สำหรับตำแหน่งผู้รักษาการสำนักตรวจสอบในเมืองหลวง แต่ไม่ว่าหวังซินหยางจะเลือกหัวหน้าคนใดขึ้นมาก็ตาม ทุกคนในสำนักตรวจสอบย่อมเคารพการตัดสินใจของเขา เพราะทุกคนล้วนทำงานร่วมกันมานานเสี่ยงอันตรายมาก็มาก นั่นจึงเป็นเรื่องง่ายก่อนที่หวังซินหยางจะตัดสินใจเลือก ‘สุยอี้หยวน’ รับภาระดูแลสำนักตรวจสอบในเมืองหลวงแทนเขา และหวังซินหยางยังได้เตรียมส่งมอบงานที่เป็นคดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้พวกเขาที่นี่ได้ทำฆ่าเวลา เมื่อใดที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับขุนนางที่ทำผิดกฎหมายของแคว้น เวลานั้นพวกเขาทุกคนจะได้ทำงานร่วมกันอีกครั้งด้านหลินหว่านที่จัดการกับสิ่งของต่าง ๆ ของตนเรียบร้อย จึงได้แวะไปสนทนากับว่าที่พระชายาเอกของหยางอ๋อง อย่างหวังลี่ถิงที่พักหลังนางต้องดูแลตนเองเป็นอย่างดี ทั้งกริยามารยาทรวมถึงเรื่องรูปร่างผิวพรรณที่ต้องงดงามที่สุด ยามที่สวมชุดแต่งงานจะยิ่งทำให้ดูสง่างามเพิ่มขึ้นอีกหลายเท