ในยุค 70 และพบว่ามีลูกถึงสามคน และถูกครอบครัวสามีเอาเปรียบเป็นอย่างมาก เธอจึงตั้งปณิธานอันแน่วแน่ว่าจะเปลี่ยนความเป็นอยู่ของพวกเขาให้ดีขึ้นให้ได้!
View Moreช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนหลังจากพ้นช่วงฤดูการเก็บเกี่ยว ชาวบ้านหลายคนต่างกำลังพักผ่อนหย่อนใจหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาเป็นเวลานานหากแต่ยังไม่ได้ปลดปล่อยอารมณ์ไปตามสายลมที่กำลังเย็นสบายก็ต้องพากันสะดุ้งเมื่อมีเสียงหนึ่งที่คุ้นเคยดังลั่นหมู่บ้าน
“ทำไมห้ะ สามีของฉันหาเงินมาไม่ใช่น้อยกับอีแค่เงินสองหยวนทำไมให้ฉันไม่ได้” เสียงแหลมสูงที่เป็นที่คุ้นชินของชาวบ้านดังลั่น “เธอโวยวายอะไรอีกแล้ว” ชาวบ้านที่กำลังพักผ่อนอยู่พูดคุยกันอย่างมึนงง เธอได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงปากร้ายเป็นที่นินทาสนุกปากของชาวบ้าน “คงทะเลาะกับแม่สามีอีกแล้ว” หนึ่งในนั้นพูดขึ้น “ครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเงิน” “อั๊ยยา ผู้หญิงที่วันๆ เอาแต่โวยวายด่าทอไม่สมควรที่จะเก็บเงิน จางจื่อหานส่งเงินมาเดือนนึงไม่ใช่น้อยหากให้เธอเก็บคงมีแต่ผลาญจนหมด ดูสิตอนนี้ยังกล้าขอเงินมากถึงสองหยวน” หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเอ่ยอย่างเยาะหยัน “แต่แม่เฒ่าจางก็ลำเอียงเกินไป จางจื่อหานไปเป็นทหารอยู่ที่กองทัพส่งเงินมาทุกเดือนแต่ลูกเมียของเขากับใส่เสื้อผ้าขาดวิ่น แล้วดูลูกๆ ของจางจื่อซวานสิใส่เสื้อผ้าใหม่ใส่ทุกปี แบบนี้ไม่เท่ากับว่าเอาเงินของจื่อหานไปเลี้ยงครอบครัวพี่ชายแทนลูกเมียเขาเหรอ” ชาวบ้านอีกคนเอ่ย “จื่อหานไม่ค่อยได้กลับบ้าน กลับมาก็มาทีก็แค่วันสองวันแค่ใช้เวลากับผู้เป็นแม่ก็หมดแล้วจะเอาเวลาไหนมาสนใจลูกเมีย” ชาวบ้านต่างพากันนินทากันสนุกปาก เดากันไปต่างๆ นาๆ ว่าตอนนี้หญิงปากร้ายกับแม่ผัวจะปะทะกันไปถึงไหนบ้าง นี่แทบจะเป็นเรื่องสนุกปากของหมู่บ้านเลยก็ว่าได้ “อึก” ซิ่วอิงกรีดร้องออกมาด้วยอาการเจ็บศรีษะ ตอนนี้เธอรู้สึกมึนหัวเป็นอย่างมากจนไม่อยากที่จะลืมตาตื่นขึ้นมา “แม่ แม่เป็นยังไงบ้าง” เสียงเล็กๆ ของเด็กน้อยสร้างความมึนงงให้กับซิ่วอิงเป็นอย่างมาก เด็กมากจากไหน? เธอจำได้ว่าเธอเสียชีวิตจากการถูกรถชนแล้วไม่ใช่เหรอ “แม่ เจ็บมากไหมจ๊ะ” เสียงเด็กผู้หญิงดังขึ้น ซิ่วอิงพยายามลืมตาเธอกวาดตามองไปรอบๆ เห็นเด็กหน้าตามอมแมมสามคนยืนเฝ้าเธออยู่ คนหนึ่งเป็นเด็กผู้ชายวัยสิบขวบกอดอกพิงผนังหน้าตาเย็นชา อีกสองคนเป็นเด็กผู้หญิงวัยเก้าขวบและเด็กผู้ชายวัยเจ็ดขวบกำลังมองมาที่เธออย่างเป็นห่วง ซิ่วอิงตกใจดีดตัวลุกขึ้นทันที เธอเริ่มมองไปรอบๆ อีกครั้งพบว่าภายในห้อง ทั้งข้าวของเครื่องใช้ รวมถึงเตียงที่เธอนอนอยู่นั้นไม่คุ้นตา ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะไหลเวียนเข้ามาในหัว เจ้าของร่างมีชื่อว่า ซิ่วอิง เช่นเดียวกันกับเธอ ถูกพ่อและแม่บ้านเดิมจับแต่งงานกับคนที่ชื่อว่า จางจื่อหาน เพื่อที่จะนำเงินค่าสินสอดไปจัดงานแต่งให้น้องชาย จางจื่อหานเป็นทหารรับใช้ในกองทัพและส่งเงินมาที่บ้านทุกเดือนเพียงแต่เงินทั้งหมดอยู่ในความดูแลของแม่เฒ่าจาง ครอบครัวสามีไม่ชอบเธอทั้งของเอาเงินที่สามีของเธอแลกมาด้วยชีวิตนั้นปรนเปรอครอบครัวลูกชายคนโตอย่างจางจื่อซวาน ชื่อเสียงของซิ่วอีในหมู่บ้านนี้ก็ไม่ค่อยจะดีนักเธอขึ้นชื่อว่าเป็นคนปากร้าย ชอบโวยวาย และไร้เหตุผล ร่างเดิมกับจางจื่อหานมีลูกด้วยกันสามคน คนโตเป็นผู้ชายอายุ 10 ขวบ ชื่อว่า ซีซวน คนรองเป็นเด็กผู้หญิงวัย 9 ขวบ ชื่อว่า ซูเม่ย คนเล็กเป็นเด็กผู้ชายอายุ 7 ขวบ ชื่อว่า ซีห่าว พวกเขาไม่เคยได้รับการดูแลที่ดีจากผู้เป็นย่านักแตกต่างจากลูกๆ ของลุงและป้าสะใภ้เป็นอย่างมาก เหตุการณ์ล่าสดที่เกิดขึ้นคือเจ้าของร่างไปขอเงินแม่สามีจำนวนสองหยวนเพื่อไปหาหมอในเมือง ผลคือแม่สามีนอกจาไมใหแล้ววด่าว่าเธอสิ้นเปลือง ด้วยความที่เจ้าของร่างมีสกิลปากไม่ธรรมดาจึงเกิดการโต้เถียงกันใหญ่โตจนในที่สุดเจ้าของร่างก็ถูกสะใภ้ใหญ่ของบ้านผลักจนหัวชนผนังบ้านหมดสติไป ไม่สิ ต้องเรียกว่าเสียชีวิตเลยเพราะมันทำให้เธอโผล่มาอยู่ในร่างนี้ ซิ่วอิงที่ได้รับรู้เรื่องราวก็อดที่จะสงสารเจ้าของร่างและเด็กๆ ไม่ได้ ไม่แปลกเลยที่เธอจะเป็นคนอารมณ์ร้ายก็ในเมื่อเธอถูกปฏิบัติไม่เป็นธรรมมาตลอด “แม่ครับ” ลูกชายคนเล็กเอ่ยเรียกแม่อย่างกล้าๆ กลัวๆ ด้วยว่าหากเจ้าของร่างอารมณ์ไม่ดีก็มักจะด่าทอลูกของตนเองเช่นกัน “แม่ไม่เป็นไร ลูกๆ ไปเล่นเถอะ” ซิ่วอิงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เล่นไม่ได้จ้ะ ป้าสะใภ้ให้พวกเราไปตัดหญ้าเพื่แลกกแต้มคะแนน” ซูเม่ยเอ่ยบอก ป้าสะใภ้มักจะบอกให้พวกเขาไปทำงานแลกคะแนนกลับมาก็ต้องทำงานบ้านผิดกับลูกชายลูกชายของตนเองที่วันๆ ไม่ต้องหยิบจับอะไร “งั้นอาเม่ยกับอาซวนก็ไปทำก่อนเถอะ เดี๋ยวงานบ้านแม่จัดการเอง อาห่าวยังเด็กเกินไปให้อยู่กับแม่ที่บ้านนี่แหละ” ทันทีที่ซิ่วอิงพูดจบลูกชายคนโตกับลูกสาวก็ทำหน้าราวกับเห็นผี แม่ของพวกเขาแปลกไป! นี่ยังใช่แม่ของพวกเขาอยู่หรือไม่! นอกจากจะไม่ด่าแล้วยังพูดจาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอีก นี่มันผิดปกติที่สุด ซีซวนมองอย่างแปลกใจครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกจากบ้านไป ซูเม่ยเห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งตามหลังพี่ชายไปทันที ส่วนซีห่าวเขายังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจอะไรเมื่อเห็นว่าแม่อ่อนโยนในใจเขาก็มีความสุข “เอาล่ะ หิวหรือยัง” ซิ่วอิงเอ่ยถามลูกชายคนเล็ก เธอไม่รู้ว่าตอนนี้เวลาเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าเด็กๆ ได้กินข้าวหรือยังเมื่อครู่เธอก็ลืมถามเด็กสองคนนั่น “กินได้เหรอครับ” ซีห่าวเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ทำไมจะกินไม่ได้ล่ะ” ซิ่วอิงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ก็บ้านเรากินอาหารแค่วันละหนึ่งมื้อ มีแค่ปู่ย่าและครอบครัวลุงที่ได้กินวันละสามมื้อ” ซีห่าวเอ่ยตอบผู้เป็นแม่ “….” จริงสินะ แม่สามีให้เธอและลูกๆ กินอาหารวันละหนึ่งมื้อโดยให้เหตุผลว่าพวกเขาสิ้นเปลืองเกินไป ผิดกับครัวครัวของลูกชายคนโตที่ได้กินอาหารวันละสามมื้อ เรื่องนี้เจ้าของร่างเดิมทำอะไรไม่ได้นอกจากโวยวายและด่าทอในทุกวัน “ไม่เป็นไร ถ้าหิวก็แค่กิน” ซิ่วอิงลูบหัวเด็กน้อย ริมฝีปากสวยยกยิ้มที่มุมปากคิดจะให้เธออยู่แบบอดๆ อยากๆ เหรอ ฝันไปเถอะ ซิ่วอิงพาลูกชายคนเล็กมาที่ครัวก่อนจะแอบหยิบเอาไข่ไก่เอามาต้มให้ลูกชายคนเล็ก ในเวลานี้แม่สามีพาครอบครัวลูกชายคนโตไปซื้อของในเมืองส่วนพ่อสามีคงจะไปพูดคุยกันที่ลานประชุม เมื่อเป็นช่วงหยุดหลายคนมักจะไปนั่งเล่นจับกลุ่มพูดคุยกันที่นั่นนี่จึงเป็นโอกาสดีที่เธอะทำอาหารและซ่อนไว้ให้ลูกๆ ซิ่วอิงมองดูเด็กน้อยที่มองมาที่เธอตาแป๋วก็นึกสงสาร เขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ เนื้อตัวมอมแมมร่างกายก็ผอมแห้งจากการขาดสารอาหาร ดูสิคนเป็นพ่อเข้าร่วมกองทัพส่งเงินมาแทนที่ลูกเมียจะได้ใช้แต่กลับเอาไปเลี้ยงดูครอบครัวลูกชายคนโต มันน่าโมโหนัก! ซิ่วอิงจัดการต้มไข่จำนวนห้าฟองก่อนจะรีบพาลูกกลับไปที่ฝั่งห้องของตนเอง ในยุคที่อดอยากไข่ห้าฟองนับเป็นของมีค่ามาก “นังตัวดี แกอยู่ไหน!” เสียงตะโกนของแม่เฒ่าจางดังลั่นจนเพื่อนบ้านต่างพากันชะโงกหน้าออกมาดู ตอนนี้แม่เฒ่าโกรธจนตัวสั่น ซีห่าวที่ได้ยินก็ตกใจกลัวจะถูกตีอีกรีบเข้าไปกอดคนเป็นแม่ทันที “ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” ซิ่วอิงปลอบเด็กน้อยเธอใช้มือบางลูบหลังเขาอย่างอ่อนโยน “แก นังตัวดี แกขโมยไข่ฉันไปใช่ไหมห้ะ” แม่เฒ่าจางเข้ามายังห้องของบ้านรอพร้อมกับตะคอกใส่ลูกสะใใภ้คนรองด้วยความโมโห “อะไร กล่าวหาอะไร” ซิ่วอิงตอบกลับ “แม่ แม่ เกิดอะไรขึ้น” ซูเม่ยกับซีซวนเพิ่งกลับมาจากตัดหญ้าเมื่อได้ยินเสียงโวยวายก็พากันรีบวิ่งเข้ามา “ก็แม่ของแกขโมยไข่ไก่ของฉัน ไข่ไก่ที่ฉันเก็บไว้ให้อาถิงกับอาเฉิงตัวน้อยๆ ตอนนี้มันหายไป!” แม่เฒ่าจางพูดอย่างโมโห ซูเม่ยกับซีซวนได้ยินถึงกับตะลึงแม่ของพวกเขาน่ะหรือจะกล้าขโมยไข่ปกติถ้าไม่มีกินอย่างมากก็แค่โวยวายและด่าทอ เรื่องนี้มันเหนือความคาดหมาย “ย่า ฉันว่าอาจจะเป็นการเข้าใจผิด” ซูเม่ยเอ่ยกับผู้เป็นย่า “เข้าใจผิดอะไร พวกแกมันหมาป่าตาขาวฉันให้ข้าวกินยังกล้ามาขโมยไข่” แม่เฒ่าจางด่าทอจะเข้าไปตีซูเม่ย ซิ่วอิงเห็นดังนั้นจึงรีบดึงตัวลูกกสาวมาหลบหลัง “น้องสะใภ้ทำไม่ถึงเลวแบบนี้ ไข่ของอาถิงกับอาเฉิงยังกล้าขโมย” เหมยลี่สะใภ้ใหญ่พูดขึ้น เธออิจฉาซิ่วอิงที่มีรูปร่างหน้าตาดี ผิวขาวเนียนละเอียดและงดงามยิ่งกับหญิงสาวในเมือง ผิดกับพวกเธอที่ผิวดำแห้งก้านอีกทั้งยังอวบอ้วนขึ้น เรื่องความงามของผู้หญิงมันจะยอมกันได้อย่างไร “พี่สะใภ้ ลูกชายกับลูกสาวพี่หิวได้แต่ลูกๆ ของฉันหิวไม่ได้งั้นเหรอ แม่ พวกเขาก็เป็นหลานของแม่เหมือนกันทำไมถึงลำเอียงแบบนี้!” ซิ่วอิงตอบกลับ เรื่องนี้เธอไม่ผิดทีเด็กสองคนนั้นยังกินได้แล้วทำไมลูกๆ ของเธอถึงจะกินไม่ได้ “แก แกพูดแบบนี้ได้ยังไง” แม่เฒ่าจางชี้หน้าโกรธจนตัวสั่น “ฉันพูดผิดตรงไหน พ่อของลูกไปเป็นทหาร เงินที่ส่งกับมาแลกด้วยชีวิตของเขาแต่ลูกของเขาไม่แม้แต่จะได้กินอิ่มท้อง แม่ดูพวกเขาสิ ร่างกายผอมแห้งเสื้อผ้าก็เก่าจนขาดแต่ดูครอบครัวลูกชายคนโตของแม่กับอยู่ดีกินดี พวกเขามีสิทธิอะไรมาใช้เงินของพ่อเด็กๆ” “เรื่องนี้อย่าให้พ่อของแกรู้” แม่เฒ่าจางเอ่ยบอกลูกชายคนโต แม้ว่าพ่อเฒ่าจางจะลำเอียงรักลูกชายคนโตแต่เขาก็มักจะไว้หน้าตัวเองเสมอไม่แสดงออกถึงความลำเอียงมากเกินไป วันนี้พ่อเฒ่าจางมัววแต่ไปพูดคุยกับเพื่อนฝูงทำให้ทั้งสามคนคิดวางแผนที่จะทำเรื่องนี้“คุณแม่คะ แล้วนังนั่นจะไม่ไปแจ้งสันติบาลเหรอคะ” เหมยลี่เองก็อยากได้เงินห้าร้อยหยวนแต่เธอก็กังวลไม่ได้ หากนังปากร้ายนั่นไปแจ้งสันติบาลหรือคณะกรรมการปฏิวัติพวกเธออาจจะถูกจับ“มีลูกสะใภ้ที่ไหนจะแจ้งจับแม่สามี” จะสามารถทำแบบนั้นได้ยังไง ไม่เคยมีสะใภ้คนไหนกล้าแจ้งจับแม่สามีแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่โดนทุบตีก็ตามมันถูกมองว่าเป็นปกติเว้นเสียแต่ว่าจะมีคนตาย“แต่มันแยกบ้านไปแล้วนะคะ” เหมยลี่ไม่แน่ใจว่าสามารถทำแบบนั้นได้ เธอไม่อยากถูกจับ“นี่สะใภ้ใหญ่ เธอกลายเป็นคนขี้ขลาดตั้งแต่เมื่อไหร่” แม่เฒ่าจางพูดอย่างไม่สบอารมณ์“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะแม่” เหมยลี่ที่เห็นแม่สามีเริ่มไม่พอใจก็ไม่กล้าที่จะแย้งอีก ในใจก็แอบเห็นด้วยว่าจางจื่อหานคงไม่แจ้งจับแม่ตัวเองหรอก“แม่ครับ ผมว่าเราควรไปตอนที่มันออกไปทำงาน” เวลานั้นชาวบ้านจะออกไปทำงานแลกคะแนนกันหมดไม่มีใครอยู่บ้านถือว่าทางสะด
หลังจากที่จางจื่อหานกลับไปที่กองทัพซิ่วอิงก็ยังคงทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ เพียงแต่ตอนนี้เธอคิดว่าเธอควรเริ่มไม่ทำงานแลกแต้มไม่งั้นส่วนแบ่งอาหารเธอจะได้น้อยลงเธอตั้งใจแล้วว่าจะทำให้ลูกๆ ของเจ้าของร่างกินอิ่มและนอนหลับได้เต็มที่หากเธอไม่ไปทำงานเกรงว่าอาหารจะไม่พอ วันนี้ซิ่วอิงจึงตื่นตั้งแต่ตีห้ามาเตรียมอาหารเช้าเป็นแพนเค้กและไข่ผัดมะเขือเทศ ส่วนแบ่งอาหารตอนแยกบ้านได้มาเยอะพอสมควรประกอบกับที่จางจื่อชิงนำมาให้ทำให้พวกเขามีอาหารเพียงพอที่จะกินอิ่มท้อง“แม่ทำไมวันวันนี้ตื่นเช้าจัง” ซูเม่ยที่ตื่นขึ้นมาเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ ส่วนซีซวนทำเพียงเหลือบมองแล้วนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว“ตื่นมาทำอาหาร” ซิ่วอิงเอ่ยตอบ เด็กคนนี้จะหาว่าเธอตื่นสายเหรอ?“แม่แปลกไปมาก” ซูเม่ยพูดพร้อมกับกินอาหาร“รีบกินจะได้รีบไปทำงาน” ซิ่วอิงเอ่ยบอกเด็กสาว“วันนี้แม่จะไปทำงานด้วยเหรอ” เธอเห็นการแต่งตัวของคนเป็นแม่ก็พอจะเดาได้“แน่นอน ตอนนี้เราแยกบ้านแล้วต้องทำงานแลกคะแนน” ซิ่วอิงเอ่ยบอกเด็กสาวด้วยรอยยิ้ม“เมื่อก่อนไม่เห็นจะทำ” ซีซวนพึมพำเบาๆ“เมื่อก่อนแม่แค่เห็นว่าต่อให้ทำเราก็ไม่ได้กินดีกว่าเดิมเหมือนทำแล้วให้คนอื่นได้กิน แต่ตอ
“แม่ ฉันกลับมาแล้ว” ซุเม่ยรีบวิ่เข้ามาชโะโงกหน้าดูอาหารบนโต๊ะดวงทาของเธอวาววับ ซีซวนเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเรียบนิ่งไม่ต่างจากผู้เป็นพ่อแต่ซิ่วอิงแอบเห็นว่าตอนที่มองอาหารดวงตาของเขาเป็นประกายไม่น้อย เด็กก็คือเด็กสินะ“ล้างมือหรือยัง” ซิ่วอิงเอ่ยถามเด็กๆ“แม่ไม่ต้องห่วง พวกฉันล้างเรียบร้อยแล้ว” ซีห่าวพูดพร้อมกับชูสองมือให้แม่ของตัวเองดู“งั้นรีบมากินเถอะ พ่อเขารอนานแล้ว” ซิ่วอิงรีบบอกเด็กๆ จากนั้นทั้งห้าคนก็ลงมือทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย“แพนเค้กนี้อร่อยมาก ไข่ผัดกุ้ยช่ายนี่ก็เหมือนกันฉันไม่เคยเคยกินอะไรแบบนี้มาก่อน” คำพูดไร้เดียงสาของลูกสาวไม่ต่างจากเข็มนับพันที่ทิ่มลงที่ใจของผู้เป็นพ่อ ริมฝีปากหนาขบเม้มจนเลือดห่อจนกระทั่งมีมือเรียวมาจับมือข้างที่เขาวางไว้บนขา จางจื่อหานหันไปมองไปใบหน้าของภรรยาเธอยกยิ้มบางๆ ให้เขาดูอบอุ่นและอ่อนโยนหัวใจของเขารู้สึกผ่อนคลายลง“พ่อกลับมาแล้วต่อไปนี้พวกเราจะได้กินแต่ของอร่อย” ซิ่วอิงพูดพร้อมกับคีบอาหารให้กับซีห่าวตัวน้อย“ห่าวห่าว เวลาผู้ใหญ่ให้ของต้องพูดว่ายังไง” ซิ่วอิงพูดกับเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเธอต้องค่อยๆ สอนเขา“ขอบคุณครับแม่” ซีห่าวเอ่ยขอบคุณพ
จางจื่อหานพาซิ่วอิงกลับมาเก็บสองที่ห้อง สองสามีภรรยาช่วยกันเก็บของใส่กล่องไม้ยิ่งเก็บข้าวของจื่อหานก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ ภรรยาและลูกๆ ของเขามีเพียงเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ของทั้งห้องมีแค่สองกล่องไม้ เขารู้สึกล้มเหลวในฐานะสามีและพ่อโดยสมบูรณ์ ดวงตาสีเข้มมองไปที่ภรรยาอย่างรู้สึกผิดเมื่อก่อนเธอและลูกๆ ต้องลำบากเป็อย่างมากแต่เขากลับไม่รู้อะไรเลย“แม่จ๊ะ ป้าสะใภ้บอกว่าเราต้องออกไปจากที่นี่ เป็นเรื่องจริงเหรอจ๊ะ” ซูเม่ยเอ่ยถาม ซีซวนและซีห่าวก็เดินเข้ามาในห้อง ซีห่าวรีบเข้าไปกอดผู้เป็นแม่ในทันที“ผมจะไปกับแม่” ซีห่าวกลัวว่าแม่จะทิ้งจึงกอดไว้แน่น ซิ่วอิงคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน“แน่นอน พวกเราจะไปด้วยกันทั้งหมด” ซิ่วอิงพูดพร้อมกับยกมือเรียวลูบหัวเด็กน้อย“เราจะย้ายบ้านเหรอจ๊ะแม่” ซูเม่ยเอ่ยถามผู้เป็นแม่ด้วยดวงตาเป็นประกาย ถ้าเธอไม่ต้องอยู่ที่บ้านหลังนี้อีกนับว่าเป็นเรื่องที่ดี“ใช่ ต่อไปนี้จะย้ายไปอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน” ซิ่วอิงตอบด้วยรอยยิ้ม“ยกของไปไว้ที่บ้านท้ายหมู่บ้าน” จางจื่อหานเอ่ยบอกลูกชายคนโตเสียงเรียบ ซีซวนเห็นสายตาของพ่อก็ไม่กล้าขัดรีบยกกล่องไม้ออกไปทันที“เราจะไปอยู่บ้านร้างท้ายหม
“นี่แก แก อั๊ยหยาชีวิตฉันทำไมถึงโชคร้ายแบบนี้มีลูกชายก็ไม่เชื่อฟัง ลูกสะใภ้ก็อกตัญญู” แม่เฒ่าจางเริ่มเล่นละครร้องห่มร้องไห้ตัดพ้อชะตาชีวิตตัวเอง“แม่ว่าพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ไม่?” ซิ่วอิงเอ่ยถามด้วยใบหน้าใสซื่อ“ฉันด่าเธอนั่นแหละ” แม่เฒ่าจางมองค้อนทันที“โอ้ งั้นเหรอ” ซิ่วอิงยกยิ้มแบบไม่ใส่ใจ“แก เจ้าเล็กดูเมียของลูกสิ เธอต้องการทำให้แม่ปวดใจตาย” แม่เฒ่าจางเอ่ยกับลูกชายหวังให้ลูกชายหย่ากับภรรยา“แม่ เรามาตกลงกันดีๆ เถอะ ผมจะแยกบ้านแม่ควรแบ่งเงินที่เราควรจะได้” จางจื่อหานไม่สนใจการแสดงของแม่เฒ่า“นี่ลูก” แม่เฒ่าจางพูดไม่ออก เธอรู้สึกเหมือนสูญเสียลูกชายที่เชื่อฟังไปแล้ว“เอาล่ะ พอกันได้แล้ว เจ้าเล็กจะแยกบ้านเราควรมอบเงินให้เขา” พ่อเฒ่าจางพูดออกมาในที่สุด หากเขายังปล่อยให้ภรรยาดื้อรั้นต่อไปลูกสะใภ้คนรองอาจจะไปคณะกรรมการปฏิวัติจริงๆ ถึงตอนนี้เราทุกคนจะมีความผิด“ไม่มีเงินแล้ว” แม่เฒ่าจางยังคงยืนกราน“ไปเอาออกมา ร้อยหยวนหรือสองร้อยหยวนนำมันออกมา” พ่อเฒ่าจางพูดเสียงแข็ง“ฉันจะไปมีเงินมากขนาดนั้นได้ยังไง ให้พวกเขายี่สิบหยวนก็พอนี่ถือว่ามากที่สุดแล้ว” แม่เฒ่าจางไม่ยินยอมที่จะเสียเงินจำนวนมากไป“จ
แม่เฒ่าจางนั่งกำตะเกียบจ้องมองไปยังครอบครัวของลูกชายคนรองด้วยสายตาไม่ค่อยจะพอใจ เธอไม่ชอบที่จะเห็นนังปากร้ายกับลูกๆ กินอาหารบนโต๊ะอย่างมีความสุข ถ้าไม่ใช่ว่าสามีต้องการไว้หน้าลูกชายคนเล็กเธอคงไล่พวกมันไปแล้ว เมื่อวานขโมยไข่เธอไปวันนี้ยังมีหน้ามากินอาหารอีก ยิ่งคิดเธอยิ่งโมโห!“นี่เจ้าเล็ก” ในที่สุดแม่เฒ่าจางก็ทนไม่ไหวที่จะสั่งสอนลูกชาย“แม่กินข้าวเถอะ” จางจื่อหานบอกผู้เป็นแม่แล้วคีบอาหารให้ภรรยา ซิ่วอิงเงยหน้ามองเขา“กิน” จางจื่อหานเอ่ยบอกเธอก่อนจะคีบอาหารของตนเองเข้าปาก“นี่แกยังเห็นหัวแม่คนนี้อยู่ไหม” แม่เฒ่าจางเริ่มโมโหที่ลูกชายคนเล็กไม่สนใจเธอ“นี่น้องชาย ทำไมถึงเมินแม่แบบนี้” จางจื่อซวานอดไม่ได้ที่จะสั่งสอนเขา“พี่ใหญ่คิดมากไป” จางจื่อหานเอ่ยตอบน้ำเสียงเรียบ เขาไม่ได้เมินแม่แค่ต้องก่อนกินข้าวให้เรียบร้อยก่อนพูดคุย“น้องสามีไม่ได้อยู่บ้านดูแลแม่กลับมาก็ทำตัวห่างเหินแบบนี้มันใช้ไม่ได้” เหมยลี่พูดขึ้น“สะใภ้ใหญ่พูดถูก งั้นคุณควรกลับบ้านมาดูแลพ่อแม่” ซิ่วอิงเอ่ยขึ้นบ้าง ทั้งๆ ที่จางจื่อหานส่งเงินมาให้พวกเขาใช้จ่ายยังจะบอกว่าเขาไม่ได้ดูแลพ่อแม่อีก“นี่ นี่” สะใภ้ใหญ่เหมยลี่พูดไม่ออก“
Comments