LOGINห้องที่คุ้นเคย?
เจ้าของขนตาแพยาวไร้การเสริมแต่ง กวาดมองไปทั่วห้องก่อนขึงตาโต ชนิดกว้างครั้งแรกในชีวิต ก็ตอนเห็นควันโขมงพร้อมกลิ่นลอยอยู่บนอากาศ บริเวณนอกโดยมีประตูเลื่อนกั้นกลางระหว่างห้องนอนกับระเบียง ด้วยกระจกที่ใสมองเห็นจากข้างในแต่ทึบข้างนอกไร้ผ้าม่านปกคลุม ทำให้เจ้าของควันถูกมองไม่ชัด เขายืนอยู่ในท่าหันหลัง ด้วยสภาพผ้าเช็ดตัวพันรอบเอวอย่างหมิ่นเหม่
หญิงสาวก้มมองเลือดบนเตียงสลับกับเขาอยู่หลายรอบ ก่อนกรีดร้องสุดเสียงก็ตอนเขามองข้ามไหล่กลับมา
“กรี๊ด!!!!”
ครืน ครืน
“เฮือก!”
เสียงโทรศัพท์ทำคนบนเตียงสะดุ้งตื่น ร่างบางผุดลุกขึ้นนั่งพลางกุมขมับ ไม่ใช่แค่ความตกใจจากฝันเสมือนจริงทำให้เธอปวดหัว แต่เป็นฤทธิ์จากแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปอย่างหนักหน่วงของเมื่อคืนด้วย
“บ้าจริง”
อินถาลูบหน้า กว่าจะรับโทรศัพท์ได้ปล่อยให้ดังตั้งนาน
(เธอ เป็นไงบ้าง)
“นะ นักรบ”
เสียงแหบพร่าร้องเรียก ปลายสายที่มักจะโทรมาได้จังหวะ และเธอมักจะลืมดูหน้าจอก่อนกดรับทุกที
(ฟังจากเสียง น่าจะดูแย่เหมือนกันนะ ไหวไหมเนี่ย ถ้าไม่ไหวลางานก็ได้ เดี๋ยวเรื่องลูกค้าที่นัดไว้วันนี้ รบจะไปแทนเอง)
“เดี๋ยวนะ..”
หญิงสาวหันมองนาฬิกาบนหัวเตียง บอกให้รู้อีกครึ่งชั่วโมงจะสาย เธอไปไม่ทันนัดที่ว่านั้นแน่ การหลับตานิ่งมาพร้อมกับเสียงถอนหายใจ
(ว่าไง โอเคไหม)
“ใครมาส่ง ฉะ ฉัน แกเหรอ?”
ไม่ได้สนใจเรื่องที่ปลายสายพูด การงุนงงทำให้ต้องสูดลมหายใจเข้าปอดเน้นๆอีกครั้ง เป็นตัวช่วยอย่างหนึ่งต่อการตั้งสติ ภาพสุดท้ายของเมื่อคืนก่อนจะถูกตัดไปคือเธออยู่กับเขาจริงๆ
(รบไง)
“ฮะ!?”
(นี่จำอะไรไม่ได้เลยเหรอ)
“ไม่อะ..”
(เฮ้อ ก็คงใช่ เมาซะขนาดนั้น บอกแล้วให้รบยืนรอหน้าห้องน้ำซะก็จบ)
ดวงตาแดงก่ำขึงขึ้นจากความตกใจเท่าทวี กวาดมองไปทั่ว เห็นรอบบริเวณเป็นห้องของเธอ ก็ยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่ แต่รู้สึกโล่งใจเปราะหนึ่งก็ตอนก้มลงสำรวจแล้วพบเสื้อผ้ายังอยู่ครบ
“ฝันเป็นตุเป็นตะขนาดนั้นเลย?”
(ฝัน? ใครฝัน? เธอไม่ได้ฝัน รบไปส่งจริงๆ ไม่เชื่อถามพี่ รปภ ดู)
“เกี่ยวอะไรกับพี่ รปภ?”
(ก็เขาหามหัว รบหามท้าย)
"ฮะ? อะไรนะ! หามหัวหามท้าย ล้อเล่นปะเนี่ย"
(ล้อเล่นกับผีอะดิ เขายังบ่นอยู่เลย เห็นตัวเล็กๆแบบนี้หนักใช่เล่นเลยนะฮะ ฮ่าๆๆ )
"พูดให้จริงนะรบ ถ้าไม่จริงฉันจะตุยท้องแก"
(เอามีดมาปาดคอเลยก็ได้)
"ชิ! ว่าแต่เขาคนนั้นล่ะ จำได้ว่าเจอเขาที่ห้องน้ำ"
ปลายสายเงียบไปสักพัก เพื่อใช้ความคิด
(คนไหน? อ่อ.. คนนั้นนะหรือ ใช่เขาแบกเธอมาส่งที่โต๊ะ เชื่อไหมพี่มลขอโทษขอพายใหญ่เลย คงรู้จักกัน )
อินถากลืนน้ำลายก้อนใหญ่ ได้แต่ตำหนิตัวเองในใจที่จำอะไรไม่ได้เลย
“แบก?”
(อันที่จริงก็ไม่ใช่แบกหรอก เรียกว่าพาดบ่ามาจะดีกว่า)
ฮะ?! ทำไมมันฟังดูแย่กว่าเดิมล่ะ...
อินถาขึงโตขณะฟังปลายสายเล่า
(รบเห็นเธอหายไปนาน ก็เลยเดินกลับไปใหม่ เขากำลังอุ้มเธอมาที่โต๊ะพอดี มารู้ว่าเป็นเจ้าของผับก็ตอนพี่มลทักนั่นแหละ )
“ฮะ เจ้าของผับ?”
(อืม โอเคอิน เราขับรถอยู่อะ เอาเป็นว่าเธอพักผ่อนไปนะ ช่วงบ่ายจะไปเจอลูกค้าแทนให้ ตอนนี้ขอทำงานเราก่อน)
“อะ อืม”
เสียงแผ่วเบาตัดบทด้วยความเหม่อลอย ใจไม่ได้อยู่ในห้องนี้สักเท่าไหร่ แต่หายกลับไปยังอดีตช่วงเมื่อคืน
สรุป ฝันไปหรอกหรือเนี่ย?!
“หึ ตลกชะมัด”
กว่าจะเรียกสติกลับมาได้อย่างครบถ้วนก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยง ร่างบางในชุดกางเกงขาสั้นสีดำเสื้อยืดสีขาวยืนพิงโต๊ะบาร์ ในมือถือแก้วน้ำที่ดื่มไปแล้วครึ่งหนึ่งอย่างใจลอย ก่อนจะวางมันลงก้นกระแทกแล้วเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พลางกดโทรศัพท์แนบหูไปด้วย ทว่าปลายสายให้ฝากข้อความเสียงซะงั้น
++เฮ้ นักรับสุดหล่อครับ ถ้าไม่รับสายคือไม่ว่าง ได้ยินไหมไม่ว่าง บอกว่าไม่ว่าง เอ๊! ยังไม่วางอีก++
ติ๊ด!
“ไอ้บ้า”
หญิงสาวสบถด่ากลั้วหัวเราะ ส่ายศีรษะให้กับความทะเล้นของเจ้าของเสียง เปลี่ยนเป้าหมายเป็นการเร่งแต่งตัว อย่าให้ทันนักรบต้องทำงานแทน ไม่เช่นนั้นเธอจะถูกมองไม่ดี การถูกมองแย่ในเรื่องงานสำหรับเธอนั้นเรื่องใหญ่มาก ความเมาจะต้องไม่เป็นอุปสรรคกับสิ่งนี้!
และถ้าจำเป็นจะมีอุปสรรคจริงๆ ภาวนาให้เป็นเรื่องอื่นดีกว่า เรื่องที่มนุษย์ธรรมดาอย่างเธอควบคุมไม่ได้ อาทิเช่น เวลาประจวบเหมาะที่เรียกว่าบังเอิญ จังหวะเธอเปิดประตูออกมา แล้วประตูข้างห้องนั้นก็เปิดออกมาด้วย
ชิ้ง!
สายตาคนทั้งคู่บรรจบสบกัน แน่นอนหากแข่งว่าใครเป็นผู้ชนะในเรื่องจ้องตาคงหนีไม่พ้นเขา ร่างสูงไม่มีแม้แต่สะทกสะท้าน แถมเลิกคิ้วสูงอีกต่างหาก
“อะไรติดหน้าพี่งั้นหรือ?”
เหมือนโดนสะกดจิต คนตัวเล็กยืนนิ่ง ราวอัมพาตจับริมฝีปาก ถูกเม้มสนิทขยับไม่ได้ กลายเป็นจำต้องส่ายหัว ใช้สมองอย่างหนักหน่วงเพื่อเลือกระหว่างการหมุนตัวหนี กับเดินหน้าให้รู้แล้วรู้รอด และแน่นอนเธอเลือกอย่างหลัง
“เมื่อคืนเป็นคุณใช่ไหมคะ”
หัวคิ้วคนถูกถามย่นลงเล็กน้อยขณะมองหน้าหล่อน ก่อนคลายสู่สภาพเดิมตอนนึกขึ้นได้ ลากสายตายากจะคาดเดานั้นหลุบลง จดจ่ออยู่ตรงมือที่พันด้วยผ้าพันแผลแล้วยิ้มมุมปาก
“คิดว่าน่าจะใช่..”
ด้วยแววตาเฉยเมยเย็นชา คราวนี้เป็นอินถาที่ต้องขมวดคิ้วบ้างเพราะงงในท่าทางของเขา คล้ายๆกับว่าเมื่อคืนมีอะไรมากกว่าที่นักรบ เพื่อนของเธอเล่า
“ขอบคุณนะคะ ที่ช่วยเหลือฉัน..คือฉันเมาซะจนไม่ได้สติ..”
“ค่ะ พี่ทราบ”
“คะ?”
ยิ่งประโยคนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ดวงตาคู่สวยขึงขึ้น พร้อมอ้าปากเหวอ ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังสื่อ
มุมปากผู้ชายตรงหน้ากระตุก ขณะล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วเดินเชื่องช้าเข้ามา
เรื่อยๆซะจนหญิงสาวต้องเป็นฝ่ายถอย ก่อนจะเจอทางตันด้วยแผ่นหลังแนบชิดประตู กลายเป็นหนูติดจั่นหลังวงแขนของเขายกขึ้นมาเหนือศีรษะ เท้ายันไว้กับขอบประตู ต้องการขังคนตัวเล็กไม่ให้ขยับ
“แล้ว..แผลเป็นยังไงบ้าง”
โน้มหน้าลงมากระซิบข้างหู
อ๊างงง!
เขาจงใจอ่อยเธอชัดๆ
อะไรกันเนี่ย?! เจตนาจริงๆต้องการจะหาคำตอบ มายืนยันให้มั่นใจว่าแท้จริงแล้วเป็นเธอที่เพ้อเจ้อ เก็บเอาเขาไปฝัน หรือเป็นเขาทำจริง แต่กลับถูกเพิ่มความทรงจำให้หวั่นไหวซะงั้น!
“เอ่อ..ดีขึ้นแล้วค่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มมุมปากอีกครั้ง ก้มลงต่ำมากกว่าเดิม
“เหรอคะ..”
แม้จะไม่เข้าใจกับสิ่งที่เขาสื่อ แต่เธอก็ชอบแบบนี้ หญิงสาวพยักหน้า มือข้างที่เจ็บเผลอขยุ้มเสื้อตรงตำแหน่งหัวใจ และเหมือนร่างสูงจะสังเกตเห็น เขาเหลือบตาลงมาดู จ้องเขม็งผ้าก็อตนั้นก่อนจะพามือตัวเองเลื่อนมากุมเบาๆ
"พี่ขอโทษแทนผู้หญิงของพี่ด้วยนะ”
พร้อมประโยคที่ทำให้คนได้ยินหัวใจร่วงหล่นลงตาตุ่ม
“คะ?”
“...ที่กล้าดีไปทำหนูเจ็บ”
หลายวันต่อมาหลังเสร็จสิ้นงานศพของสามี และไม่มีอะไรต้องข้องเกี่ยว อินถาและครอบครัวก็พากันกลับบ้านของตัวเอง เธอเลือกที่จะอยู่กับผู้เป็นแม่ เพื่อที่การเป็นอยู่หลังจากนี้ของเธอกับลูก อย่างน้อยพื้นเพของที่นี่ก็ยังฟื้นฟูสภาพจิตใจให้ได้ดีกว่าที่นั่น ที่ที่เห็นถนนบางเส้น สถานที่บางแห่ง เมื่อเห็นแล้วจะต้องทำให้เธอร้องไห้เรียกได้ว่าอยู่ในระยะทำใจที่แท้จริง หญิงสาวประมาณเวลาไม่ได้จะหายขาดเมื่อไหร่ แต่จะเข้มแข็งให้มากที่สุด เพื่อลูกของเธอ พอๆกับคนรอบข้าง พวกเขาเองก็คาดคะเนไม่ได้เช่นเดียวกัน แต่ก็จะอยู่เคียงข้างไม่ไปไหน คอยให้กำลังใจ และเติมเต็มความอบอุ่นซึ่งกันและกันอยู่เสมอ เรียกได้ว่าผู้รับอาจจะต้องสำลักเข้าสักวัน เนื่องจากหยิบยื่นมากเกินไปวันเวลาผ่านไป เป็นวัน เป็นเดือนและปี เธอก็ยังคงเดินย่ำอยู่กับที่ ยังรู้สึกเหมือนเรื่องที่เสียใจเพิ่งจะผ่านมาไม่กี่วัน ยังคงร้องไห้ทุกครั้งที่นึกถึง ยังคงเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นหน้าลูก ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาและบุคลิกท่าทาง เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่จะจดจำเขาได้ ราวกับเขาอยู่ใกล้ไม่ไปไหน เป็นของขวัญรอให้เปิดกล่องใหม่ ที่กล่องนั้นก็คือลูก เพียงแค่รอเวลาเท่านั้น แต่
โสมสุดาถึงกับยืนนิ่งอยู่กับที่ เมื่อเห็นท่าทางนั้นของลูกสาว หล่อนกำลังเรียบเรียงเหตุการณ์ด้วยสมองอันอื้ออึง เกี่ยวกับพฤติกรรมคนตรงหน้าเทียบกับข่าวในจอทีวีที่สามีกำลังดูอยู่ ในขณะเดียวกันเรียกร้องความสนใจให้สามีหล่อนหันมาด้วย เขากดปิดทีวีด้วยรีโมททันที ก่อนเดินเร็วมาประคองเธอ“เกิดอะไรขึ้น?”เอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษ หญิงสาวไม่ตอบ เอาแต่ส่ายหน้าร้องไห้ สายตากวาดมองหาลูก ทันทีที่เด็กน้อยถึงตัวสาวเจ้าก็โอบไว้แน่นยิ่งเจ็บปวดไปมากกว่านั้นก็ตอนที่มองหน้าลูก เห็นสีหน้าของตัวเองในม่านตาสนิมกำลังงุนงง และไร้เดียงสา ทว่าคงไม่เท่ากับตายายของเขาทั้งคู่ ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้จากผู้เป็นลูก ทั้งคู่ถึงกับมองหน้ากันด้วยความตกใจ“พ่อของหนูไม่อยู่แล้วลูก..”ด้านของนักรบ หลังสืบมาได้ว่าศพของราล์ฟถูกนำไปทำพีธีกรรมตามศาสนาและลอยอังคาร จึงส่งรูปบรรยากาศบอกเพื่อนสาวที่กำลังเดินทางจากต่างประเทศมาพร้อมลูกน้อยวัยขวบเศษ โดยเขาอาสารอรับพวกเขาที่สนามบิน และแน่นอนกับความโศกเศร้ามาเยือนแบบไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นบรรยากาศในรถจึงเงียบเชียบ แม้แต่เขายังไม่กล้าเล่นกับหลานหลังชำเลืองมองหน้าแม่ที่กำลังนั่งร้องไห้ น้ำตาไหลอาบ
หลุดออกมาจากห้องนั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ชายหนุ่มจะต้องทำใจแข็งแค่ไหนคงมีแต่เขาเท่านั้นที่รู้สัญญาณเตือนบอกถึงการเคลื่อนไหวของศัตรู ที่อาจเกิดอันตรายได้ทุกเมื่อ หากเขาประมาทเลินเล่อจนเกินไป นั่นเพราะจะไม่มีทางรู้ได้เลยพวกมันไปที่ไหน หากแต่จะต้องปลอดภัยไว้ก่อนฉะนั้นการออกห่างจากลูกเมียเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำ เพราะหากผิดพลาด นั่นหมายความถึงแก่ชีวิต!ราล์ฟเดินห่างออกมาจากที่อยู่อาศัยของเธอไกลพอควร เขาหยุดอยู่ที่สะพานสักพักเพื่อสงบสติอารมณ์ และเมื่อก้มลงไปเห็นผิวน้ำยามกระทบแสงไฟบนท้องถนน เกิดสะท้อนแสงราวกับกากเพชร กลับพบว่าความเศร้าโศกเมื่อครู่ได้ติดตามมาด้วย และเพิ่มปริมาณอีกเท่าทวีคูณ ชนิดที่เรื่องราวสามารถฉายซ้ำได้อย่างต่อเนื่อง แบบไม่ติดขัดสักนิดภายในม่านตาของเขาเต็มไปด้วยภาพของลูกน้อย ทารกเพศชายที่หลับใหลอยู่ในเปล ช่างถอดแบบมาจากเขาไม่มีผิด โดยไม่ต้องคิดตรวจดีเอ็นเอให้เสียเวลา เขาคือพ่อของเด็กคนนั้น และอีกไม่นานก็จะต้องกำพร้ามือสากกำราวเหล็กไว้แน่น ความเจ็บปวดแผ่ไปทั่วร่าง จนด้านชาไปทั้งตัว ไม่มีหนทางใหม่ และไร้ซึ่งทางออก แม้ตอนนี้อยากจะย้อนเวลากลับไปแค่ไหนก็ตาม คนอย่างเขาที่ไม่ใช่บ
กระจกบานใสหนาที่กั้นกลางระหว่างคนทั้งสองไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความรู้สึกเลย สัญชาตญาณแรกแห่งวินาทีที่เจอกันเข็มเวลาเหมือนหยุดเดิน ไม่คิดไม่ฝันคนตรงหน้าจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ เขามาได้อย่างไร? นั่นเป็นคำถามเดียววนเวียนในหัวเธอ“ระ ราล์ฟ..”เสียงใสครางชื่อ เจ้าของยืนขนานกันอีกฝั่ง เขาจ้องมองเธอในลักษณะท่าโน้มตัวลงมา ก่อนริมฝีปากจะค่อยๆคลี่ยิ้มให้อาจฝันไป..และเหมือนการกระทำของเธอจะน่าขำขับสำหรับเขา ถึงได้ฉีกยิ้มกว้างมากขึ้นกว่าเดิม หลังเธอหยิกแก้มตัวเองยืดออกอย่างบ้าคลั่งก๊อกๆเขาเคาะ ใช้ข้อนิ้วชี้กระทบกระจกสองสามที เป็นการช่วยให้เธอตื่น และยอมรับมันว่าภาพที่เห็นเป็นความจริง พลางชี้นิ้วไปทางประตูเป็นการแสดงทีท่าขอให้เธอเปิด“คุณ..”ซึ่งไม่นานเกินรอ เขายิ้มอีกครั้งหลังประตูถูกดึงเข้าไปพร้อมเสียงเรียกขานที่ไม่ได้ยินมานาน แม้ว่าจะได้มาด้วยเสียงสั่นเครือ กลับดังกังวานอยู่ในโซนสมอง หัวใจพองโตราวกับต้นไม้ที่ผ่านช่วงหน้าแล้งมาเจอฝนตกหมับ!ราล์ฟไม่รอรี ให้ประโยคต่อไปได้เอื้อนเอ่ย เขารวบร่างบางมากอด รัดกุมกระชับไว้แน่น....แน่นอนดวงตาที่กำลังขึงกว้าง บวกความรู้สึกตื่นตระหนกตกใจ ตอบสนองบางอย่าง
อีกหลายเดือนต่อมาระยะเวลาและกำลังใจของคนรอบข้าง บรรเทาอาการซึมเศร้าหลังคลอดของอินถาลงได้บ้าง บวกกับลูกของเธออยู่ในช่วงวัยเดินเตาะแตะและหัดพูดพอดี ความน่ารักและน่าเอ็นดูจึงค่อยๆละลายความรู้สึกที่เป็นอยู่ให้เจือจางหายไปวันนี้เป็นวันคริสต์มาส ครอบครัวของเธอเลือกที่จะเฉลิมฉลองแบบเล็กๆภายในบ้าน อาหารเต็มโต๊ะกว่าปกติพาคนทั้งหมดตื่นเต้นไม่น้อย แต่คงไม่เยอะไปกว่าพ่อเลี้ยงของเธอที่ดูตื่นเต้นกว่าผู้ใดในงาน คืนนี้ภารกิจสำคัญของเขาคือการอุ้มเจ้าหนูเอื้อมไปหยิบดาวบนยอดต้นคริสต์มาส แน่นอนเขาฝึกท่อนแขนให้มีความกำยำและทรงพลังเป็นอย่างดี อุตส่าห์ไม่ยกของหนักร่วมเป็นเดือนๆก็เพื่อวันนี้ โดยเลือกที่จะออกำลังกายเบาๆ ยืดเส้นยืดสายแทน“เอาล่ะโรแวน พร้อมหรือยัง”“พร้อมฮะ”เสียงหวานของเด็กน้อยที่เพิ่งจะผ่านวัยทารกพูดขึ้น เรียกรอยยิ้มอย่างเอ็นดูจากคนรอบข้างไม่น้อย อินถาเองก็ยิ้มตอบในทุกครั้งที่ลูกหันมามอง ประหนึ่งต้องการให้ผู้เป็นแม่ดูเขาและเชยชม“ว้าววว”“เก่งมากค่ะลูก”“สุดยอดไปเลยหลานยาย”เสียงดีใจและปรบมือดังขึ้นทันทีที่เขาทำได้ หญิงสาวหัวเราะระรื่นให้ลูกชายก่อนจะทิ้งแผ่นหลังพิงพนักเก้าอี้ที่นั่งเมื่อเขาล
เสียงจอแจที่ฟังไม่ได้ศัพท์ของผู้คนดังกระจายไปทั่วพื้นที่ เป็นเรื่องปกติของผู้คนในละแวกนี้ไปแล้วร่างสูงในลักษณะแต่งตัวมิดชิดก้มหน้าก้มตาเดินผ่านผู้คนซึ่งนั่งอยู่เป็นจุดและกลุ่มก้อนไปอย่างเงียบๆ โชคดีตรงพื้นที่นั้นเป็นสาธารณะเปิดให้คนเดินผ่านไม่ซ้ำหน้าสักคน จึงไม่มีใครสนใจเขาเท่าไหร่นัก คงมองว่าเป็นหนึ่งในลูกค้าที่มาซื้อบริการ“ถอยไปสิวะ เกะกะอยู่ได้!”บ่อยครั้งกับการปะทะกับคนเมา แล้วเกือบพลั้งทำร้ายเขา แต่นั่นเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งที่อยู่ในความคิด เขามักใช้กลบเกลื่อนความเหงาระหว่างเดินไปตามทางเดินไม่นานชะลอช้าและหยุดเมื่อถึงที่หมาย คือบ้านกึ่งปูนกึ่งไม้หลังหนึ่งตรงหน้า เขากวาดมองอยู่สักพักพร้อมพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะตัดสินใจผลักประตูเข้าไป แวบแรกที่เห็นทำให้ต้องแปลกใจไม่น้อย ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีอยู่จริง แบบบรรยากาศต่างลิบคนละอย่างกับข้างนอก“มาหาใครเหรอครับ”เสียงเด็กคนหนึ่งทักถาม ดวงตาใสแป๋วทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์ เพราะมันเหมือนกับดวงตาของใครคนหนึ่ง เขากลั้นหายใจ กว่าจะกลับมาเป็นปกติได้เกือบได้เขินอายต่อหน้าเด็กคนนั้น ทว่าแค่ดวงตาแดงก่ำใช่ว่าจะปกปิดความรู้สึกภายในทั้งหมดราล์ฟยิ้มมุม







