ห้องที่คุ้นเคย?
เจ้าของขนตาแพยาวไร้การเสริมแต่ง กวาดมองไปทั่วห้องก่อนขึงตาโต ชนิดกว้างครั้งแรกในชีวิต ก็ตอนเห็นควันโขมงพร้อมกลิ่นลอยอยู่บนอากาศ บริเวณนอกโดยมีประตูเลื่อนกั้นกลางระหว่างห้องนอนกับระเบียง ด้วยกระจกที่ใสมองเห็นจากข้างในแต่ทึบข้างนอกไร้ผ้าม่านปกคลุม ทำให้เจ้าของควันถูกมองไม่ชัด เขายืนอยู่ในท่าหันหลัง ด้วยสภาพผ้าเช็ดตัวพันรอบเอวอย่างหมิ่นเหม่
หญิงสาวก้มมองเลือดบนเตียงสลับกับเขาอยู่หลายรอบ ก่อนกรีดร้องสุดเสียงก็ตอนเขามองข้ามไหล่กลับมา
“กรี๊ด!!!!”
ครืน ครืน
“เฮือก!”
เสียงโทรศัพท์ทำคนบนเตียงสะดุ้งตื่น ร่างบางผุดลุกขึ้นนั่งพลางกุมขมับ ไม่ใช่แค่ความตกใจจากฝันเสมือนจริงทำให้เธอปวดหัว แต่เป็นฤทธิ์จากแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปอย่างหนักหน่วงของเมื่อคืนด้วย
“บ้าจริง”
อินถาลูบหน้า กว่าจะรับโทรศัพท์ได้ปล่อยให้ดังตั้งนาน
(เธอ เป็นไงบ้าง)
“นะ นักรบ”
เสียงแหบพร่าร้องเรียก ปลายสายที่มักจะโทรมาได้จังหวะ และเธอมักจะลืมดูหน้าจอก่อนกดรับทุกที
(ฟังจากเสียง น่าจะดูแย่เหมือนกันนะ ไหวไหมเนี่ย ถ้าไม่ไหวลางานก็ได้ เดี๋ยวเรื่องลูกค้าที่นัดไว้วันนี้ รบจะไปแทนเอง)
“เดี๋ยวนะ..”
หญิงสาวหันมองนาฬิกาบนหัวเตียง บอกให้รู้อีกครึ่งชั่วโมงจะสาย เธอไปไม่ทันนัดที่ว่านั้นแน่ การหลับตานิ่งมาพร้อมกับเสียงถอนหายใจ
(ว่าไง โอเคไหม)
“ใครมาส่ง ฉะ ฉัน แกเหรอ?”
ไม่ได้สนใจเรื่องที่ปลายสายพูด การงุนงงทำให้ต้องสูดลมหายใจเข้าปอดเน้นๆอีกครั้ง เป็นตัวช่วยอย่างหนึ่งต่อการตั้งสติ ภาพสุดท้ายของเมื่อคืนก่อนจะถูกตัดไปคือเธออยู่กับเขาจริงๆ
(รบไง)
“ฮะ!?”
(นี่จำอะไรไม่ได้เลยเหรอ)
“ไม่อะ..”
(เฮ้อ ก็คงใช่ เมาซะขนาดนั้น บอกแล้วให้รบยืนรอหน้าห้องน้ำซะก็จบ)
ดวงตาแดงก่ำขึงขึ้นจากความตกใจเท่าทวี กวาดมองไปทั่ว เห็นรอบบริเวณเป็นห้องของเธอ ก็ยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่ แต่รู้สึกโล่งใจเปราะหนึ่งก็ตอนก้มลงสำรวจแล้วพบเสื้อผ้ายังอยู่ครบ
“ฝันเป็นตุเป็นตะขนาดนั้นเลย?”
(ฝัน? ใครฝัน? เธอไม่ได้ฝัน รบไปส่งจริงๆ ไม่เชื่อถามพี่ รปภ ดู)
“เกี่ยวอะไรกับพี่ รปภ?”
(ก็เขาหามหัว รบหามท้าย)
"ฮะ? อะไรนะ! หามหัวหามท้าย ล้อเล่นปะเนี่ย"
(ล้อเล่นกับผีอะดิ เขายังบ่นอยู่เลย เห็นตัวเล็กๆแบบนี้หนักใช่เล่นเลยนะฮะ ฮ่าๆๆ )
"พูดให้จริงนะรบ ถ้าไม่จริงฉันจะตุยท้องแก"
(เอามีดมาปาดคอเลยก็ได้)
"ชิ! ว่าแต่เขาคนนั้นล่ะ จำได้ว่าเจอเขาที่ห้องน้ำ"
ปลายสายเงียบไปสักพัก เพื่อใช้ความคิด
(คนไหน? อ่อ.. คนนั้นนะหรือ ใช่เขาแบกเธอมาส่งที่โต๊ะ เชื่อไหมพี่มลขอโทษขอพายใหญ่เลย คงรู้จักกัน )
อินถากลืนน้ำลายก้อนใหญ่ ได้แต่ตำหนิตัวเองในใจที่จำอะไรไม่ได้เลย
“แบก?”
(อันที่จริงก็ไม่ใช่แบกหรอก เรียกว่าพาดบ่ามาจะดีกว่า)
ฮะ?! ทำไมมันฟังดูแย่กว่าเดิมล่ะ...
อินถาขึงโตขณะฟังปลายสายเล่า
(รบเห็นเธอหายไปนาน ก็เลยเดินกลับไปใหม่ เขากำลังอุ้มเธอมาที่โต๊ะพอดี มารู้ว่าเป็นเจ้าของผับก็ตอนพี่มลทักนั่นแหละ )
“ฮะ เจ้าของผับ?”
(อืม โอเคอิน เราขับรถอยู่อะ เอาเป็นว่าเธอพักผ่อนไปนะ ช่วงบ่ายจะไปเจอลูกค้าแทนให้ ตอนนี้ขอทำงานเราก่อน)
“อะ อืม”
เสียงแผ่วเบาตัดบทด้วยความเหม่อลอย ใจไม่ได้อยู่ในห้องนี้สักเท่าไหร่ แต่หายกลับไปยังอดีตช่วงเมื่อคืน
สรุป ฝันไปหรอกหรือเนี่ย?!
“หึ ตลกชะมัด”
กว่าจะเรียกสติกลับมาได้อย่างครบถ้วนก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยง ร่างบางในชุดกางเกงขาสั้นสีดำเสื้อยืดสีขาวยืนพิงโต๊ะบาร์ ในมือถือแก้วน้ำที่ดื่มไปแล้วครึ่งหนึ่งอย่างใจลอย ก่อนจะวางมันลงก้นกระแทกแล้วเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พลางกดโทรศัพท์แนบหูไปด้วย ทว่าปลายสายให้ฝากข้อความเสียงซะงั้น
++เฮ้ นักรับสุดหล่อครับ ถ้าไม่รับสายคือไม่ว่าง ได้ยินไหมไม่ว่าง บอกว่าไม่ว่าง เอ๊! ยังไม่วางอีก++
ติ๊ด!
“ไอ้บ้า”
หญิงสาวสบถด่ากลั้วหัวเราะ ส่ายศีรษะให้กับความทะเล้นของเจ้าของเสียง เปลี่ยนเป้าหมายเป็นการเร่งแต่งตัว อย่าให้ทันนักรบต้องทำงานแทน ไม่เช่นนั้นเธอจะถูกมองไม่ดี การถูกมองแย่ในเรื่องงานสำหรับเธอนั้นเรื่องใหญ่มาก ความเมาจะต้องไม่เป็นอุปสรรคกับสิ่งนี้!
และถ้าจำเป็นจะมีอุปสรรคจริงๆ ภาวนาให้เป็นเรื่องอื่นดีกว่า เรื่องที่มนุษย์ธรรมดาอย่างเธอควบคุมไม่ได้ อาทิเช่น เวลาประจวบเหมาะที่เรียกว่าบังเอิญ จังหวะเธอเปิดประตูออกมา แล้วประตูข้างห้องนั้นก็เปิดออกมาด้วย
ชิ้ง!
สายตาคนทั้งคู่บรรจบสบกัน แน่นอนหากแข่งว่าใครเป็นผู้ชนะในเรื่องจ้องตาคงหนีไม่พ้นเขา ร่างสูงไม่มีแม้แต่สะทกสะท้าน แถมเลิกคิ้วสูงอีกต่างหาก
“อะไรติดหน้าพี่งั้นหรือ?”
เหมือนโดนสะกดจิต คนตัวเล็กยืนนิ่ง ราวอัมพาตจับริมฝีปาก ถูกเม้มสนิทขยับไม่ได้ กลายเป็นจำต้องส่ายหัว ใช้สมองอย่างหนักหน่วงเพื่อเลือกระหว่างการหมุนตัวหนี กับเดินหน้าให้รู้แล้วรู้รอด และแน่นอนเธอเลือกอย่างหลัง
“เมื่อคืนเป็นคุณใช่ไหมคะ”
หัวคิ้วคนถูกถามย่นลงเล็กน้อยขณะมองหน้าหล่อน ก่อนคลายสู่สภาพเดิมตอนนึกขึ้นได้ ลากสายตายากจะคาดเดานั้นหลุบลง จดจ่ออยู่ตรงมือที่พันด้วยผ้าพันแผลแล้วยิ้มมุมปาก
“คิดว่าน่าจะใช่..”
ด้วยแววตาเฉยเมยเย็นชา คราวนี้เป็นอินถาที่ต้องขมวดคิ้วบ้างเพราะงงในท่าทางของเขา คล้ายๆกับว่าเมื่อคืนมีอะไรมากกว่าที่นักรบ เพื่อนของเธอเล่า
“ขอบคุณนะคะ ที่ช่วยเหลือฉัน..คือฉันเมาซะจนไม่ได้สติ..”
“ค่ะ พี่ทราบ”
“คะ?”
ยิ่งประโยคนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ดวงตาคู่สวยขึงขึ้น พร้อมอ้าปากเหวอ ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังสื่อ
มุมปากผู้ชายตรงหน้ากระตุก ขณะล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วเดินเชื่องช้าเข้ามา
เรื่อยๆซะจนหญิงสาวต้องเป็นฝ่ายถอย ก่อนจะเจอทางตันด้วยแผ่นหลังแนบชิดประตู กลายเป็นหนูติดจั่นหลังวงแขนของเขายกขึ้นมาเหนือศีรษะ เท้ายันไว้กับขอบประตู ต้องการขังคนตัวเล็กไม่ให้ขยับ
“แล้ว..แผลเป็นยังไงบ้าง”
โน้มหน้าลงมากระซิบข้างหู
อ๊างงง!
เขาจงใจอ่อยเธอชัดๆ
อะไรกันเนี่ย?! เจตนาจริงๆต้องการจะหาคำตอบ มายืนยันให้มั่นใจว่าแท้จริงแล้วเป็นเธอที่เพ้อเจ้อ เก็บเอาเขาไปฝัน หรือเป็นเขาทำจริง แต่กลับถูกเพิ่มความทรงจำให้หวั่นไหวซะงั้น!
“เอ่อ..ดีขึ้นแล้วค่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มมุมปากอีกครั้ง ก้มลงต่ำมากกว่าเดิม
“เหรอคะ..”
แม้จะไม่เข้าใจกับสิ่งที่เขาสื่อ แต่เธอก็ชอบแบบนี้ หญิงสาวพยักหน้า มือข้างที่เจ็บเผลอขยุ้มเสื้อตรงตำแหน่งหัวใจ และเหมือนร่างสูงจะสังเกตเห็น เขาเหลือบตาลงมาดู จ้องเขม็งผ้าก็อตนั้นก่อนจะพามือตัวเองเลื่อนมากุมเบาๆ
"พี่ขอโทษแทนผู้หญิงของพี่ด้วยนะ”
พร้อมประโยคที่ทำให้คนได้ยินหัวใจร่วงหล่นลงตาตุ่ม
“คะ?”
“...ที่กล้าดีไปทำหนูเจ็บ”
เสียงร้องมาพร้อมกับเท้าสะดุด ผลของการเดินเร็วจนเกินไป แล้วหยุดชะงักกลางคัน เพราะภาพตรงหน้าคือผู้ชายคนหนึ่งยืนเปลือยล่อนจ้อนอยู่หน้าไม่อาย!สามารถใช้คำนี้ได้เลยอินถาอ้าปากค้างมองตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนขึงตาโตก็ตอนเห็นตรงนั้นประเจิดประเจ้อ“เหวอ!”เธอเบือนหน้าหนีไปทางอื่น หลังตั้งสติได้ว่าไม่ควรจ้องนาน กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ สาบานเลยว่าสิ่งที่เห็นเต็มสองตาเมื่อครู่ จะไม่มีวันลืม“ขอโทษค่ะ พี่ไม่คิดว่าหนูจะกลับมาเร็ว”แล้วถ้าเดินกลับมาช้าจะเป็นยังไงเล่า จะล่องหนหรือหายตัวไปนะหรือ“คุณมีคาถาหายตัวได้รึไงกัน”ร่างบางกัดฟันกรอดเอ่ยเสียงแผ่ว ยังคงยืนหันหลังให้เขาอยู่ คนถูกถามกระตุกยิ้ม กลั้นขำ“ก็จะหันหลังให้ จะไม่ยืนโจ่งแจ้งแบบนี้”“ห๊า..” ถึงกับลืมตาโพลง คิดตามที่เขาพูด เมื่อคิดยังไงก็ไม่ใช่เหตุผลถึงกับคอตก “คุณก็รอหนูกลับมาก่อนก็ได้นี่ ของสงวนแบบนั้นไม่ควรเอาออกมาให้เห็นกันง่ายๆรู้ไหมคะ”“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ไม่ถือ”What??!อินถากะพริบตาถี่ เขาโดนซ้อมจนสมองตีลังกากลับหลังไปแล้วกระมัง“แต่ถาเป็นผู้หญิงนะคะ”“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอโทษก็แล้วกัน ขอผ้าเช็ดตัวให้พี่ได้หรือยัง”“ยะ อย่าเข้ามานะคะ”สาวเจ้
“เฮ้ยคุณ!”เธอปล่อยถุงอาหารหลุดมือ พร้อมขึงตาขึ้นกว้าง มากกว่าปกติ ความตกใจลืมหมดแม้ความเย็นชื้นจากสายฝนที่กระหน่ำเทลงไม่ขาดสาย ไม่เหลือพื้นที่แห้งบนเสื้อผ้า แล้วนิ่งทำอะไรไม่ถูก จนเห็นร่างนั้นเริ่มขยับเขยื้อนอีกครั้ง ถึงจะถลาเข้าไปช่วยประคองดึงให้ลุกขึ้นมาส่วนเขาพยายามแหงนหน้า ใช้ม่านตาพร่ามัวที่สายฝนเม็ดใหญ่พรั่งพรูใส่ไม่หยุดมอง ก่อนนิ่วหน้าตอนเธอทำเขาเจ็บ บางทีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลก็สำคัญ เสียดายที่ไม่จดจำสมัยได้เรียน“ตัวคุณหนักมาก ฉันคนเดียวไม่ไหวหรอก ไปตามคนมาช่วยดีกว่า”หมับ!แขนเรียวถูกฉุดรั้งทันทีที่พูดจบ ด้วยแรงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดของเขา“คะ?”ก่อนอ้าปากค้าง หลังเขาส่ายหน้าท้ายที่สุดเป็นเธอที่ต้องพยายาม ดิ้นรนพยุงพาไปยังรถจอดอย่างทุลักทุเล ความหนักของเซลล์ทุกส่วนเป็นอุปสรรคให้ต้องกัดฟันกรอด หลังใช้เท้ายึดพื้นให้มั่นคง เพื่อทรงตัวจังหวะหิ้วปีกเขาลุก“ค่อยๆนะ”“เกิดอะไรขึ้นคะ คนพวกนั้นเป็นใคร มาทำร้ายคุณทำไม”อินถาหันไปถาม ดึงเข็มขัดมาคาดลำตัว เตรียมทำหน้าที่เป็นพลขับ บวกกับความสับสนพยายามไขข้อข้องใจ ให้เหมาะสมไม่คุ้มเสียแก่การตัดสินใจช่วยเหลือเขาด้วยตัวเองแ
ยิ่งใกล้ไตรมาสสุดท้ายงานยิ่งล้นมือ หลายวันมานี้อินถาไม่มีเวลาแม้แต่จะเข้ายิม หรือโผล่หน้าสดไปให้พนักงานร้านกาแฟได้เห็น ชีวิตมีอยู่แค่สองทาง คือทางกลับบ้านกับทางไปทำงาน และสายทุกวัน“ฮ๊าววว~”เสียงหาววอดผสานกับเสียงเสียดสีของก้นแก้วกาแฟเลื่อนผ่านโต๊ะเนื้อไม้มาจอดอยู่ตรงหน้า สาวเจ้าเหลือบมอง พยักหน้ายิ้มบางๆแทนคำขอบคุณ“ขอบใจนะ”“เมื่อคืนดึกหรือ”นักรบทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม ในมือก็ถืออยู่อีกแก้วหนึ่ง“ใช่~ พี่ติ๋วอะดิ แกบ้าจี้อะไรไม่รู้โทรมาสั่งให้แก้งานกะทันหัน กะจะไม่รับสายแล้วนะ แต่ก็กลัวจะเป็นเรื่องด่วนหรือเป็นแกเองที่ขอความช่วยเหลือ”ได้ทีอินถาบ่นใหญ่ ทว่าสายตาไม่ได้จับจ้องคู่สนทนา แต่หรี่ต่ำมองแก้วในมือตัวเอง มองควันที่พวยพุ่งจากความร้อนนั้นอยู่ดีๆในหัวเกิดมีภาพแห่งความทรงจำเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านทำไมกันนะ กับอีแค่ยาไม่กี่แผง ถึงได้มีอิทธิพลทำให้เธอรู้สึกดีได้มากขนาดนี้ ทั้งๆที่เขานั้นก็มีเจ้าของอยู่แล้วอินถาเผลอยิ้ม แอบเข้าข้างตัวเอง แต่ปัจจุบันเขานั้นหายไปเลย ไร้วี่แววแม้แต่เงา เสียงเงียบราวกับไม่มีใครอยู่ในห้องข้างๆในขณะเดียวกันก็ตกเป็นเป้าสายตาของเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อไปด้วย เ
อินถายืนสงบนิ่งให้กับความสับสนของตัวเองที่ได้มาอย่างไม่ทันตั้งตัว ในมือชูถุงยาขึ้น มองมันราวกับเป็นของวิเศษแวบมาจากทิศทางใดไม่รู้สักแห่ง ก่อนจะหันซ้ายหันขวามองหาเขา เจ้าของผู้กระทำนำพา ทว่าทั้งทางเดินพบแต่ความว่างเปล่าความรู้สึกกระดี่ได้น้ำถูกเก็บไว้ในที่ตื้น ชนิดหากไม่รีบทำอะไรสักอย่างอาจโผล่พ้นออกมาให้เห็นได้เนื่องจากยากต่อการควบคุม เธอถึงได้เร่งเปิดประตูแล้วพาตัวเองเข้าไปในห้องนั้น เพื่อกระโดดโลดเต้น ดีใจประหนึ่งถูกรางวัลฉลากกินแบ่งรัฐบาล จิตใต้สำนึกบวกสัญชาตญาณกระซิบบอกให้เข้าข้างตัวเอง สิ่งนี้ที่ถืออยู่อาจเป็นของเขาผู้ชายที่แอบชอบไม่รอช้าหญิงสาวรีบคลี่ปมของมันทันที ก่อนจะหยิบออกมาดูทีละชิ้น เมื่อพบว่าเป็นยารักษาแผลทั้งภายในและภายนอก ก็ขึงตาโต“พระเจ้าคะ..” มือผสานเข้าหากัน แหงนหน้าขึ้น พร้อมยิ้มปลื้มดุจน้ำตาจะไหล ซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าจูปิเตอร์ “ทรงได้ยินคำขอของอินถาแล้วสินะคะ อินถาสามารถตัดชุดแต่งงานรอได้เลยใช่ไหม งื้อ..”ความตื่นเต้นถึงขนาดหัวเราะดังลั่นห้องอย่างลืมอาย จากนั้นจึงจะเดินไปทิ้งตัวลงกลางเตียง“เฮ้อ สบายใจจัง...”แล้วเผลอหลับไปเพราะความเพลียในที่สุดด้
ตลอดการเดินทางระหว่างคอนโดกับสถานที่นัดลูกค้า คนหลังพวงมาลัยเอาที่เหม่อลอย เอาแต่นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ การเจอกันระหว่างเขากับเธอ ที่มันไม่ราบรื่นสักเท่าไหร่ ทำให้สมองเธอปั่นป่วน โชคดีมากไม่เกิดอันตรายใดๆระหว่างเดินทาง แล้วถึงที่หมายอย่างปลอดภัยอินถายกมือลูบหน้า บุคลิกนี้จะมีก็แต่ยามเผลอตอนเรียกสติเท่านั้น เมื่อใดที่เห็นเมื่อนั้นจะรู้ได้ทันทีสาวเจ้ากำลังประหม่า ไร้ความเป็นตัวของตัวเอง และเครียดสะสมมา“บ้าจริง”เธอพึมพำหลังดับเครื่องยนต์ ล็อครถแล้วเดินลงไป แสงแดดจ้าช่วงกลางวันที่ไม่สามารถควบคุมได้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ปลุกให้เธอตื่น หายสับสนขึ้นมาบ้าง เตือนตัวเองให้เกียรติตัวเองอย่าได้เอาคนนอกเข้ามา แม้ไม่ถึงกับรกสมอง แต่ก็มีผลต่อการทำงาน เนื่องจากอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะต้องเจอลูกค้าแล้วตุบ!เสียงโยนกระเป๋าลงเบาะมาก่อนเจ้าของจะทิ้งตัวนั่ง นักรบที่กำลังนั่งอ่านรายละเอียดงานเพื่อจะทำแทน ถึงกับสะดุ้ง หันขวับมองสีหน้าฉงน“อิน?”“กลับออฟฟิศไปเลย”“ฮะ?”“นี่ไงฉันมาแล้ว”“บอกว่าให้พักไง”ชายหนุ่มยานคาง พลางสายหน้าเอือมระอา ไม่ได้สนใจประโยคทักทาย ไม่พอยังก้มลงอ่านเอกสารต่อ“เรื่องอะไร งานขอ
ห้องที่คุ้นเคย?เจ้าของขนตาแพยาวไร้การเสริมแต่ง กวาดมองไปทั่วห้องก่อนขึงตาโต ชนิดกว้างครั้งแรกในชีวิต ก็ตอนเห็นควันโขมงพร้อมกลิ่นลอยอยู่บนอากาศ บริเวณนอกโดยมีประตูเลื่อนกั้นกลางระหว่างห้องนอนกับระเบียง ด้วยกระจกที่ใสมองเห็นจากข้างในแต่ทึบข้างนอกไร้ผ้าม่านปกคลุม ทำให้เจ้าของควันถูกมองไม่ชัด เขายืนอยู่ในท่าหันหลัง ด้วยสภาพผ้าเช็ดตัวพันรอบเอวอย่างหมิ่นเหม่หญิงสาวก้มมองเลือดบนเตียงสลับกับเขาอยู่หลายรอบ ก่อนกรีดร้องสุดเสียงก็ตอนเขามองข้ามไหล่กลับมา“กรี๊ด!!!!”ครืน ครืน“เฮือก!”เสียงโทรศัพท์ทำคนบนเตียงสะดุ้งตื่น ร่างบางผุดลุกขึ้นนั่งพลางกุมขมับ ไม่ใช่แค่ความตกใจจากฝันเสมือนจริงทำให้เธอปวดหัว แต่เป็นฤทธิ์จากแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปอย่างหนักหน่วงของเมื่อคืนด้วย“บ้าจริง”อินถาลูบหน้า กว่าจะรับโทรศัพท์ได้ปล่อยให้ดังตั้งนาน(เธอ เป็นไงบ้าง)“นะ นักรบ”เสียงแหบพร่าร้องเรียก ปลายสายที่มักจะโทรมาได้จังหวะ และเธอมักจะลืมดูหน้าจอก่อนกดรับทุกที(ฟังจากเสียง น่าจะดูแย่เหมือนกันนะ ไหวไหมเนี่ย ถ้าไม่ไหวลางานก็ได้ เดี๋ยวเรื่องลูกค้าที่นัดไว้วันนี้ รบจะไปแทนเอง)“เดี๋ยวนะ..”หญิงสาวหันมองนาฬิกาบนหัวเตียง
“มายืนรอใครครับ”อินถาตัดสินใจเงยหน้าขึ้น กล้าที่จะสบตากับเขา ไม่รู้จะต้องขอบคุณความเมาดีไหม ที่ทำให้เธอมั่นหน้าได้ขนาดนี้“ยืนรอ? อ่อๆ มะ ไม่ค่ะ ไม่ได้รอใคร”แต่ถึงกระนั้นน้ำเสียงก็ยังสั่นเครืออยู่ดี ความประหม่าทำลิ้นพัน และไม่รู้ว่าจริงไหมที่เธอเห็นเขายิ้มมุมปาก ขณะยื่นมือมาแตะต้นแขนเรียว“โต๊ะอยู่ไหนครับ”น้ำเสียงอบอุ่น ท่าทางอ่อนโยน ก่อนหน้านี้ไม่เคยโผล่ออกมาจากตัวเขา มันเป็นไปได้อย่างไร สาวเจ้าอ้าปากค้าง มัวแต่ยืนงง จนเขาต้องถามซ้ำ“ว่าไงครับ โต๊ะอยู่ไหน""ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวอินไปเอง""คุณเมามากนะ เดินไปคนเดียวไม่ไหวหรอก ผมจะพาไป""เอ่อ..""บอกมาเถอะครับ"ทำไมตอนนี้แลดูเข้าถึงง่ายนัก หรือนี่เป็นนิสัยปกติ ของเขา อาจเป็นเพราะเธอไม่เคยมีโอกาสได้พูดคุย จึงรู้จักเขาไม่ดีพอ“เอ่อ ตรงโน้นค่ะ”อินถาบุ้ยหน้าไปยังทิศทางที่เดินจากมา ชายหนุ่มมองตามพลางพยักหน้า“โอเคครับ ไปครับ”"อ๋าาา"สาวเจ้าเบ้ปาก หลังถูกเขาฉวยข้อมือข้างที่บาดเจ็บ“ขอโทษครับ ผมไม่เห็นว่าคุณมีแผล ไปโดนอะไรมาครับ”สาบานว่าเขาจำเธอไม่ได้?อินถาขมวดคิ้ว มองเข้าไปในตาสีอำพันลึกลับคู่นั้นผู้ชายคนนี้ดูยังไงก็เป็นลูกผสม ไม่ใช่เอเช
“ขอโทษค่ะ”สัญชาตญาณสั่งให้รีบพลั้งโพล่งเพราะหล่อนนั้นเป็นฝ่ายผิด แต่กลับต้องชะงักกลางคันหลังเงยหน้าขึ้น เห็นเจ้าของแผงอกแกร่งถูกชนเข้าอย่างจัง เขาคือบุคคลแสนคุ้นเคย แฝงอยู่ในพื้นที่ความทรงจำมากกว่างานที่ทำซะอีก“ผมไม่เป็นไรครับ แล้วคุณ..”หญิงสาวอ้าปากค้าง ไม่ทันได้ฟังคำพูด และไม่ทันได้ห้ามเพื่อนชายที่กำลังดึงให้ห่างไปจากจุดนั้น“ดะ เดี๋ยว”แน่นอนความไม่ดูจังหวะ ทำให้เธอหงุดหงิด คิ้วคู่ขมวดชนกัน หันค้อนขวับฝ่ายชายทันทีที่มาถึงในขณะนักรบไม่ได้ทุกข์ร้อน แค่เลิกคิ้วสูง สีหน้ามึนงง“อะไร?”“แกนะแก..” ต่างจากคนตัวเล็กที่ชี้หน้าอยากจะด่ากราด ทว่าด้วยสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย จึงทำได้แค่กัดฟันกรอด “จุ้นจ้านจริงๆ”“ฮะ?”“รีบอยู่ได้ ”มองเข้าไปในร้าน ที่คนอื่นนั่งอยู่ ซึ่งพวกเขากำลังหันหน้าคุยกันอย่างออกรส กว่าจะหันมาเห็นทั้งคู่ก็ตอนที่เดินเข้าไปแล้ว"อ่าว""ดูสิ ใช่เขาจะสนใจเรา"“เดี๋ยวนะ เธอโมโหอะไรเนี่ย”“โมโหดิ ก็แก!”“หืม? ฉัน? ฉันทำไม?”“เออ ช่างมันเถอะ”ขนาดมาถึงยังฉุนไม่หาย แต่เมื่อไม่สามารถอธิบายออกมาได้ จึงทำได้แค่โบกมือ แล้วเดินนำเข้าไปหาผู้คนตรงโต๊ะนั้น“อะไรของเธอวะ”โซน VIP บรรยาก
ถนนใหญ่ใจกลางเมืองที่มีรถวิ่งเร็วราวกับแข่งกัน ประหนึ่งใครชนะจะได้น้ำมันฟรี รวมถึงการซ่อมห้องเครื่องหลังใช้งานอย่างหนักเพื่อพ่นควันดำสาเหตุหลักของการเกิดมลพิษ ถึงต้องมีสะพานลอย และทางม้าลายเอื้อความสะดวกให้กับคนเดินเท้า ซึ่งหากว่าถ้าจำเป็นก็คงไม่มีใครกล้าเสี่ยง เพราะแม้จะเดินข้ามทางม้าลายแล้ว ยังการันตีไม่ได้ว่านั่นจะปลอดภัยเจ้าของร่างบางในชุดเสื้อยืดตัวใหญ่สีขาว กางเกงขายาวทรงกระบอกสีกากี กับผ้าใบสีขาวอีกคู่หนึ่ง ถึงได้เลือกข้ามสะพานลอยมากกว่าการข้ามทางม้าลายขาวดำนั้น และนั่นเป็นสาเหตุหลักทำให้คนในรถหงุดหงิด เพราะความล่าช้าในการเดินทาง“นาน นานมาก”บ่นอุบหลังเธอมาถึง และเปิดประตูรถขึ้นมา“แล้วไง? ความปลอดภัยต้องมาก่อน”หล่อนยักไหล่ สีหน้ากวนประสาทแสดงออกถึงความไม่ทุกข์ร้อนไม่ต่างกัน“ครับ เป็นตัวอย่างที่ดีมากครับ”นักรบพยักหน้ายกนิ้วหัวแม่มือชมเชยให้ เก็บเบรกมือเพื่อเตรียมตัวออก ทว่าจังหวะหันกลับไป คนข้างๆทำให้อ้าปากเหวอซะก่อน พลางมองตั้งแต่หัวจรดเท้า“อะไรครับเนี่ย”“อะไร? ก็แต่งตัวปกติไง ยังไม่ชินอีกเหรอ”“เปล่า..” เขาส่ายศีรษะ แพ่งเล็งไปยังจุดเดียว จิ้มแรงๆจงใจทำให้เจ็บ “หมายถึงไ