LOGINตลอดการเดินทางระหว่างคอนโดกับสถานที่นัดลูกค้า คนหลังพวงมาลัยเอาที่เหม่อลอย เอาแต่นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ การเจอกันระหว่างเขากับเธอ ที่มันไม่ราบรื่นสักเท่าไหร่ ทำให้สมองเธอปั่นป่วน โชคดีมากไม่เกิดอันตรายใดๆระหว่างเดินทาง แล้วถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
อินถายกมือลูบหน้า บุคลิกนี้จะมีก็แต่ยามเผลอตอนเรียกสติเท่านั้น เมื่อใดที่เห็นเมื่อนั้นจะรู้ได้ทันทีสาวเจ้ากำลังประหม่า ไร้ความเป็นตัวของตัวเอง และเครียดสะสมมา
“บ้าจริง”
เธอพึมพำหลังดับเครื่องยนต์ ล็อครถแล้วเดินลงไป แสงแดดจ้าช่วงกลางวันที่ไม่สามารถควบคุมได้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ปลุกให้เธอตื่น หายสับสนขึ้นมาบ้าง เตือนตัวเองให้เกียรติตัวเองอย่าได้เอาคนนอกเข้ามา แม้ไม่ถึงกับรกสมอง แต่ก็มีผลต่อการทำงาน เนื่องจากอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะต้องเจอลูกค้าแล้ว
ตุบ!
เสียงโยนกระเป๋าลงเบาะมาก่อนเจ้าของจะทิ้งตัวนั่ง นักรบที่กำลังนั่งอ่านรายละเอียดงานเพื่อจะทำแทน ถึงกับสะดุ้ง หันขวับมองสีหน้าฉงน
“อิน?”
“กลับออฟฟิศไปเลย”
“ฮะ?”
“นี่ไงฉันมาแล้ว”
“บอกว่าให้พักไง”
ชายหนุ่มยานคาง พลางสายหน้าเอือมระอา ไม่ได้สนใจประโยคทักทาย ไม่พอยังก้มลงอ่านเอกสารต่อ
“เรื่องอะไร งานของฉัน ฉันก็ควรทำเอง แถมวันนี้เป็นวันแจ้งเกิด”
“ก็รู้ตัวนี่”
“อะไรนะ?!”
“เปล่าๆ”
นักรบยิ้มแฉ่ง อินถาถอนหายใจพรืด ประหนึ่งแบกความหงุดหงิดมาเต็มบ่าแล้วปาทิ้งทั้งหมดลงตรงนี้
“หืม นี่แก.. กะจะทำให้กันหมดเลยเหรอ”
“ใช่สิ” คนถูกถามพยักหน้า สายตายังคงจดจ่ออยู่บนใบงาน “ถึงบอกให้พักไง”
“จะบ้าเหรอ?”
“ไม่เห็นบ้าตรงไหน”
“เดี๋ยวๆ เอามาเลย” ทว่าถูกเจ้าของงานแย่งชิงไป อินถาดึงแฟ้มไปทั้งหมด พร้อมทำหน้าหงุดหงิด “อย่ามาทำให้ต้องดูแย่”
“ดูแย่ตรงไหน แค่อยากช่วย”
นักรบเงยหน้ากลั้วขำ
“ถึงฉันจะเมาไม่ได้สติ จำอะไรไม่ได้เลย ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทิ้งงานปะ ฉันก็มีความรับผิดชอบเหมือนกันนะเว้ย”
“ก็ไม่ได้ว่า~”
คู่สนทนายานเสียง คราวนี้ขึงตาทำหน้าทะเล้น
“ว่าแต่งานแกล่ะ เสร็จแล้วเหรอ มาจุ้นจ้านงานคนอื่นเขาเนี่ย”
พลันหุบยิ้มทันควัน
“อ้าว คนเขาช่วยหาว่าจุ้นเฉย อีกอย่างไม่ใช่คนอื่นนะ นี่ใคร? เพื่อนนะครับ”
เอามือชี้ตัวเอง ทำเครื่องหมายถูกใต้คาง อินถาเห็นจึงหลุดยิ้ม ส่ายหน้าเอือมระอาคืนบ้าง
“แล้วไง? ว่างแล้วสิ”
“ก็..น่าจะนะ”
“ฮ่าๆๆ โด่ววว อีรบ! ฟ้องพี่ติ๋วคอยดู”
“เฮ้ย”
แล้วทั้งคู่ก็หยอกล้อกัน จนกระทั่งลูกค้ามาถึง อินถาขอให้นักรบนั่งรอก่อน และห้ามไม่ให้เข้าไปร่วมวงคุยงานชิ้นนั้น เนื่องจากเป็นงานสำคัญของเธอ
และไม่ว่าด้วยเหตุอะไรที่ให้ต้องรอ เขากลับเต็มใจทำตามที่ขอ แม้การบอกกำลังว่างจะเป็นเรื่องที่เขาโกหกก็เถอะ
เพราะอันที่จริง บนโต๊ะทำงานของเขา เต็มไปด้วยเอกสารเต็มซะจนไม่มีที่จะเก็บ แถมเป็นงานที่จะต้องเคลียร์ให้เสร็จก่อนไตรมาสนี้ด้วยซ้ำ
“แปปนึงนะ..”
หญิงสาวหันกลับมาขยับปากให้เขาอ่าน หลังลุกเดินไปหาลูกค้าที่นั่งรออยู่อีกโต๊ะด้วยท่าทางน่ารักๆ ส่วนเขาจีบมือเป็นสัญญาณคำว่าตกลงพร้อมขยิบตา ท่าทางนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วิต่อหน้าของเธอ พอหันหลังให้รอยยิ้มที่ชื่นมื่นก็หายวับไปทันที
ชายหนุ่มรู้สัญชาตญาณลึกๆกำลังกระซิบเตือนบางอย่าง จังหวะหัวใจของเขาพองโตและเต้นถี่ไม่เป็นจังหวะ ประหนึ่งว่า หากวันนี้เขามีความสุข ในอนาคตอาจจะเจ็บปวดก็เป็นได้ ดังนั้นระหว่างทางเดินนี้ จะเลือกเก็บเกี่ยวความทรงจำไว้ หรือจะถอยหลังนี้ก็สุดแล้วแต่การตัดสินใจของเขา
จะสู้ หรือจะยอม..
เนื่องจากคู่ต่อสู้กระดูกใหญ่มาก!
“เรียบร้อย”
สิบห้านาทีให้หลังอินถาเดินกลับมา นักรบที่กำลังเล่นเกมเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเลิกเล่นกลางคันเพื่อต้องการสนใจเธออย่างเต็มที่
“เสร็จแล้วเหรอ เป็นไงบ้าง เขาสนใจไหม”
“ไม่..” หญิงสาวทำหน้าเศร้า ก่อนจะยิ้มแป้นภายหลัง “ไม่เหลือ! กิ้วๆๆ”
“จริงดิ”
“อื้ม”
“ดีใจด้วย”
พาดให้นักรบหัวเราะตามด้วย เขาดีใจไปกับเธอที่สามารถทำงานสำเร็จ แผนงานยอดขายที่วางไว้ในที่ประชุมทะลุเป้า ทว่าอยู่ๆกลับต้องทำหน้างง เมื่อเธอพยักหน้าเชิญชวนขณะเก็บของใส่กระเป๋า
“ไป”
“ไปไหน?”
“กินข้าวไง”
“กินข้าว?”
บรรยากาศกลับกร่อนลง หลังการงุนงงที่มีมากจนเกินไปของเขาทำอีกฝ่ายหงุดหงิด สาวเจ้าชักสีหน้าใส่ แล้วเดินเชิดหน้าไปยังทางออก
“โวะ ไปจ่ายเงินไป เอารถไปคนละคันนะ ฉันจะไปรอที่รถ”
ปล่อยให้เขายืนเกาหัวแกรกๆ ตามลำพัง
“อะไรของนางวะ”
ร้านอาหารริมน้ำขึ้นชื่อเรื่องความอร่อย อินถาตัดสินใจมาเพราะเป็นตัวเลือกอยู่ในใจนานแล้ว มีเมนูอาหารหลายรายการที่สนใจอยากลอง และพาครอบครัวมากินภายหลัง ทว่าวันนี้เมื่อได้โอกาส ไม่ต้องมานั่งกินคนเดียวให้เขิน เรื่องอะไรจะปล่อยให้มันหลุดมือ
“ไกลเหมือนกันนะ”
นักรบบ่นอุบ หลังจอดรถแล้วลงเดินมาหา หญิงสาวยืนรออยู่มองค้อน
“ย่ะ แล้วจะถอนคำพูด ตามมา”
เลือกที่จะเดินนำไปไม่ตอบโต้ ทว่าลับหลังสาวเจ้าคงไม่เห็นเขานั้นแอบยิ้มอยู่ เป็นบุญอย่างยิ่งที่ได้มาทานข้าวกับเธอสองต่อสอง
“รับอะไรดีคะ”
“เมนูตามนี้เลยค่ะ”
พนักงานจดอาหารรับแผ่นกระดาษขนาด A4 ซึ่งถูกคลี่ออกจากการพับหลายทบไปถือไว้ หล่อนอ่านมันคร่าวๆก่อนจะโน้มตัวรับพร้อมรอยยิ้ม
“ได้เลยค่ะ”
ขณะเดียวกันคนยื่นให้ก็ยิ้มกว้างไม่ต่าง จะมาหุบยิ้มก็ตอนละสายตาจากแผ่นหลังหล่อนสบเข้ากับสายตาของนักรบ
“เอิ่ม..” เธอกะพริบตาถี่ “อะไร?”
“ถึงกับจดมาเลยเรอะ ตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย”
“ใช่ไง ก็อยากกินมานานแล้วอะ แต่หาเวลามาไม่ได้สักที”
“กะจะมาด้วย?!”
“เออ กะจะพาแม่มาด้วยแหละ แต่รายนั้นเลื่อนวันลาพักร้อนซะแล้ว”
นักรบพยักหน้าตั้งใจฟังเมื่อเรื่องที่เธอกำลังจะพูดเป็นเรื่องส่วนตัว เขาเองก็เคยได้ยินมาบ้างว่าแม่ของหล่อนอยู่ต่างประเทศ ทว่าแค่ผิวเผินจากคนอื่น
“อยู่คนเดียวมานานแล้วเหรอ”
“ก็ตั้งแต่ท่านมีครอบครัวใหม่ ตอนนั้นฉันเรียนอยู่มัธยมปลาย”
“โห นี่เธออยู่คนเดียวมานานขนาดนั้นเลย”
“อื้ม ทำไมอ่า ไม่เห็นเป็นไร”
“แล้วญาติคนอื่นล่ะ อยู่ที่นี่บ้างไหม”
“มีแต่ฝ่ายพ่อ แม่เลิกกับพ่อนานแล้ว ไม่ค่อยสนิท”
ประโยคหลังหล่อนส่ายหัว
“แล้วพี่น้องล่ะ”
พลางยิ้มเศร้า แน่นอนคำตอบล่าสุดของเธอกลายเป็นบทสนทนาครั้งสุดท้าย ก่อนจะพากันเงียบลงจนกระทั่งอาหารถูกยกมาเสิร์ฟ
“ฉันเป็นลูกคนเดียว”
อีกเหตุผลที่ทำให้บทสนทนาต้องยุติลงกลางคันก็คือเธอไม่ได้อยากรู้เรื่องของเขา มีแต่เขาที่รับบทเป็นพิธีกรอยู่ฝ่ายเดียว
กว่าบทสนทนาจะมีมาใหม่อีกครั้งก็ตอนทั้งคู่พากันวิจารณ์เรื่องอาหาร โดยการรีวิวครั้งนี้ไปในทางที่ดีมากกว่าตำหนิ อินถาดูมีความสุขทุกครั้งหลังอาหารถูกตักเข้าปากไปมีรสชาติถูกอกถูกใจ ต่างจากคนตรงกันข้าม สำหรับคนลิ้นจระเข้ ไม่เคยซีเรียสอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อย่างเขา ไม่ใช่รสชาติอาหารที่ทำให้เขานั้นยิ้มตามอย่างมีความสุข แต่รอยยิ้มนั้นมาจากรอยยิ้มของเธอ
สาวเจ้าดูมีชีวิตชีวามากกว่าตอนอยู่กับเพื่อนคนอื่นๆที่งาน ทั้งคู่พากันหัวเราะ สลับกับการตะเบ็งเสียงใส่ ที่ระดับของความดังอยู่ที่ความตื่นเต้นของเรื่องที่คุย
จนกระทั่ง..
ถึงเวลากลับบ้าน
อินถาเป็นคนจ่ายค่าอาหารทั้งหมด เธอยิ้มกว้างมาตลอดทาง ขณะเดินมาที่รถราวกับดีใจมากที่สามารถเป็นผู้ชนะหลังบังคับให้เขานั่งอยู่เฉยๆ ไม่คิดจะแย่งจ่าย และเชื่อฟังได้
“ถึงแล้วโทรบอกด้วยนะ”
นักรบกล่าว ก่อนจะแยกย้ายกันไปขึ้นรถของตัวเอง
ท่ามกลางความเงียบภายในรถ ที่มีแค่เสียงเพลงผ่อนคลายเปิดคลอเบาๆ ทำอินถายิ้มกว้างพร้อมส่ายหน้าอีกครั้งเมื่อมองกระจกหลังไปเห็นรถอีกคัน อันที่จริงเขาสามารถขับแซงเธอไปก็ได้ แต่เลือกที่จะขับตาม เพื่อให้มั่นใจว่าเธอนั้นถึงคอนโดอย่างปลอดภัยแล้ว
ถ้าต้องให้คะแนนของภารกิจทั้งหมดในวันนี้ สำหรับอินถาถือดีว่าเยี่ยมแบบห้าดาว แม้ระหว่างวันงานจะยุ่งซะจนปวดหัวไมเกรนขึ้นแต่เธอก็ไม่ติด ยังคงยิ้มร่าขณะเดินขึ้นลิฟต์ได้ แถมยังอุตส่าห์ฮัมเพลงที่ฟังมาจากในรถ จะมาหุบยิ้มพร้อมสีหน้างุนงงอีกทีก็ตอนเดินมาถึงห้องแล้วเห็นถุงปริศนาแขวนอยู่
เป็นถุงสีขาวขุ่นสร้างความงุนงงให้กันไม่น้อย หญิงสาวเลิกคิ้วสูงแทน หลังดึงออกมาดูแล้วพบว่ามันคือถุงสารพัดยาที่ได้มาจากร้านยาในห้าง
หลายวันต่อมาหลังเสร็จสิ้นงานศพของสามี และไม่มีอะไรต้องข้องเกี่ยว อินถาและครอบครัวก็พากันกลับบ้านของตัวเอง เธอเลือกที่จะอยู่กับผู้เป็นแม่ เพื่อที่การเป็นอยู่หลังจากนี้ของเธอกับลูก อย่างน้อยพื้นเพของที่นี่ก็ยังฟื้นฟูสภาพจิตใจให้ได้ดีกว่าที่นั่น ที่ที่เห็นถนนบางเส้น สถานที่บางแห่ง เมื่อเห็นแล้วจะต้องทำให้เธอร้องไห้เรียกได้ว่าอยู่ในระยะทำใจที่แท้จริง หญิงสาวประมาณเวลาไม่ได้จะหายขาดเมื่อไหร่ แต่จะเข้มแข็งให้มากที่สุด เพื่อลูกของเธอ พอๆกับคนรอบข้าง พวกเขาเองก็คาดคะเนไม่ได้เช่นเดียวกัน แต่ก็จะอยู่เคียงข้างไม่ไปไหน คอยให้กำลังใจ และเติมเต็มความอบอุ่นซึ่งกันและกันอยู่เสมอ เรียกได้ว่าผู้รับอาจจะต้องสำลักเข้าสักวัน เนื่องจากหยิบยื่นมากเกินไปวันเวลาผ่านไป เป็นวัน เป็นเดือนและปี เธอก็ยังคงเดินย่ำอยู่กับที่ ยังรู้สึกเหมือนเรื่องที่เสียใจเพิ่งจะผ่านมาไม่กี่วัน ยังคงร้องไห้ทุกครั้งที่นึกถึง ยังคงเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นหน้าลูก ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาและบุคลิกท่าทาง เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่จะจดจำเขาได้ ราวกับเขาอยู่ใกล้ไม่ไปไหน เป็นของขวัญรอให้เปิดกล่องใหม่ ที่กล่องนั้นก็คือลูก เพียงแค่รอเวลาเท่านั้น แต่
โสมสุดาถึงกับยืนนิ่งอยู่กับที่ เมื่อเห็นท่าทางนั้นของลูกสาว หล่อนกำลังเรียบเรียงเหตุการณ์ด้วยสมองอันอื้ออึง เกี่ยวกับพฤติกรรมคนตรงหน้าเทียบกับข่าวในจอทีวีที่สามีกำลังดูอยู่ ในขณะเดียวกันเรียกร้องความสนใจให้สามีหล่อนหันมาด้วย เขากดปิดทีวีด้วยรีโมททันที ก่อนเดินเร็วมาประคองเธอ“เกิดอะไรขึ้น?”เอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษ หญิงสาวไม่ตอบ เอาแต่ส่ายหน้าร้องไห้ สายตากวาดมองหาลูก ทันทีที่เด็กน้อยถึงตัวสาวเจ้าก็โอบไว้แน่นยิ่งเจ็บปวดไปมากกว่านั้นก็ตอนที่มองหน้าลูก เห็นสีหน้าของตัวเองในม่านตาสนิมกำลังงุนงง และไร้เดียงสา ทว่าคงไม่เท่ากับตายายของเขาทั้งคู่ ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้จากผู้เป็นลูก ทั้งคู่ถึงกับมองหน้ากันด้วยความตกใจ“พ่อของหนูไม่อยู่แล้วลูก..”ด้านของนักรบ หลังสืบมาได้ว่าศพของราล์ฟถูกนำไปทำพีธีกรรมตามศาสนาและลอยอังคาร จึงส่งรูปบรรยากาศบอกเพื่อนสาวที่กำลังเดินทางจากต่างประเทศมาพร้อมลูกน้อยวัยขวบเศษ โดยเขาอาสารอรับพวกเขาที่สนามบิน และแน่นอนกับความโศกเศร้ามาเยือนแบบไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นบรรยากาศในรถจึงเงียบเชียบ แม้แต่เขายังไม่กล้าเล่นกับหลานหลังชำเลืองมองหน้าแม่ที่กำลังนั่งร้องไห้ น้ำตาไหลอาบ
หลุดออกมาจากห้องนั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ชายหนุ่มจะต้องทำใจแข็งแค่ไหนคงมีแต่เขาเท่านั้นที่รู้สัญญาณเตือนบอกถึงการเคลื่อนไหวของศัตรู ที่อาจเกิดอันตรายได้ทุกเมื่อ หากเขาประมาทเลินเล่อจนเกินไป นั่นเพราะจะไม่มีทางรู้ได้เลยพวกมันไปที่ไหน หากแต่จะต้องปลอดภัยไว้ก่อนฉะนั้นการออกห่างจากลูกเมียเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำ เพราะหากผิดพลาด นั่นหมายความถึงแก่ชีวิต!ราล์ฟเดินห่างออกมาจากที่อยู่อาศัยของเธอไกลพอควร เขาหยุดอยู่ที่สะพานสักพักเพื่อสงบสติอารมณ์ และเมื่อก้มลงไปเห็นผิวน้ำยามกระทบแสงไฟบนท้องถนน เกิดสะท้อนแสงราวกับกากเพชร กลับพบว่าความเศร้าโศกเมื่อครู่ได้ติดตามมาด้วย และเพิ่มปริมาณอีกเท่าทวีคูณ ชนิดที่เรื่องราวสามารถฉายซ้ำได้อย่างต่อเนื่อง แบบไม่ติดขัดสักนิดภายในม่านตาของเขาเต็มไปด้วยภาพของลูกน้อย ทารกเพศชายที่หลับใหลอยู่ในเปล ช่างถอดแบบมาจากเขาไม่มีผิด โดยไม่ต้องคิดตรวจดีเอ็นเอให้เสียเวลา เขาคือพ่อของเด็กคนนั้น และอีกไม่นานก็จะต้องกำพร้ามือสากกำราวเหล็กไว้แน่น ความเจ็บปวดแผ่ไปทั่วร่าง จนด้านชาไปทั้งตัว ไม่มีหนทางใหม่ และไร้ซึ่งทางออก แม้ตอนนี้อยากจะย้อนเวลากลับไปแค่ไหนก็ตาม คนอย่างเขาที่ไม่ใช่บ
กระจกบานใสหนาที่กั้นกลางระหว่างคนทั้งสองไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความรู้สึกเลย สัญชาตญาณแรกแห่งวินาทีที่เจอกันเข็มเวลาเหมือนหยุดเดิน ไม่คิดไม่ฝันคนตรงหน้าจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ เขามาได้อย่างไร? นั่นเป็นคำถามเดียววนเวียนในหัวเธอ“ระ ราล์ฟ..”เสียงใสครางชื่อ เจ้าของยืนขนานกันอีกฝั่ง เขาจ้องมองเธอในลักษณะท่าโน้มตัวลงมา ก่อนริมฝีปากจะค่อยๆคลี่ยิ้มให้อาจฝันไป..และเหมือนการกระทำของเธอจะน่าขำขับสำหรับเขา ถึงได้ฉีกยิ้มกว้างมากขึ้นกว่าเดิม หลังเธอหยิกแก้มตัวเองยืดออกอย่างบ้าคลั่งก๊อกๆเขาเคาะ ใช้ข้อนิ้วชี้กระทบกระจกสองสามที เป็นการช่วยให้เธอตื่น และยอมรับมันว่าภาพที่เห็นเป็นความจริง พลางชี้นิ้วไปทางประตูเป็นการแสดงทีท่าขอให้เธอเปิด“คุณ..”ซึ่งไม่นานเกินรอ เขายิ้มอีกครั้งหลังประตูถูกดึงเข้าไปพร้อมเสียงเรียกขานที่ไม่ได้ยินมานาน แม้ว่าจะได้มาด้วยเสียงสั่นเครือ กลับดังกังวานอยู่ในโซนสมอง หัวใจพองโตราวกับต้นไม้ที่ผ่านช่วงหน้าแล้งมาเจอฝนตกหมับ!ราล์ฟไม่รอรี ให้ประโยคต่อไปได้เอื้อนเอ่ย เขารวบร่างบางมากอด รัดกุมกระชับไว้แน่น....แน่นอนดวงตาที่กำลังขึงกว้าง บวกความรู้สึกตื่นตระหนกตกใจ ตอบสนองบางอย่าง
อีกหลายเดือนต่อมาระยะเวลาและกำลังใจของคนรอบข้าง บรรเทาอาการซึมเศร้าหลังคลอดของอินถาลงได้บ้าง บวกกับลูกของเธออยู่ในช่วงวัยเดินเตาะแตะและหัดพูดพอดี ความน่ารักและน่าเอ็นดูจึงค่อยๆละลายความรู้สึกที่เป็นอยู่ให้เจือจางหายไปวันนี้เป็นวันคริสต์มาส ครอบครัวของเธอเลือกที่จะเฉลิมฉลองแบบเล็กๆภายในบ้าน อาหารเต็มโต๊ะกว่าปกติพาคนทั้งหมดตื่นเต้นไม่น้อย แต่คงไม่เยอะไปกว่าพ่อเลี้ยงของเธอที่ดูตื่นเต้นกว่าผู้ใดในงาน คืนนี้ภารกิจสำคัญของเขาคือการอุ้มเจ้าหนูเอื้อมไปหยิบดาวบนยอดต้นคริสต์มาส แน่นอนเขาฝึกท่อนแขนให้มีความกำยำและทรงพลังเป็นอย่างดี อุตส่าห์ไม่ยกของหนักร่วมเป็นเดือนๆก็เพื่อวันนี้ โดยเลือกที่จะออกำลังกายเบาๆ ยืดเส้นยืดสายแทน“เอาล่ะโรแวน พร้อมหรือยัง”“พร้อมฮะ”เสียงหวานของเด็กน้อยที่เพิ่งจะผ่านวัยทารกพูดขึ้น เรียกรอยยิ้มอย่างเอ็นดูจากคนรอบข้างไม่น้อย อินถาเองก็ยิ้มตอบในทุกครั้งที่ลูกหันมามอง ประหนึ่งต้องการให้ผู้เป็นแม่ดูเขาและเชยชม“ว้าววว”“เก่งมากค่ะลูก”“สุดยอดไปเลยหลานยาย”เสียงดีใจและปรบมือดังขึ้นทันทีที่เขาทำได้ หญิงสาวหัวเราะระรื่นให้ลูกชายก่อนจะทิ้งแผ่นหลังพิงพนักเก้าอี้ที่นั่งเมื่อเขาล
เสียงจอแจที่ฟังไม่ได้ศัพท์ของผู้คนดังกระจายไปทั่วพื้นที่ เป็นเรื่องปกติของผู้คนในละแวกนี้ไปแล้วร่างสูงในลักษณะแต่งตัวมิดชิดก้มหน้าก้มตาเดินผ่านผู้คนซึ่งนั่งอยู่เป็นจุดและกลุ่มก้อนไปอย่างเงียบๆ โชคดีตรงพื้นที่นั้นเป็นสาธารณะเปิดให้คนเดินผ่านไม่ซ้ำหน้าสักคน จึงไม่มีใครสนใจเขาเท่าไหร่นัก คงมองว่าเป็นหนึ่งในลูกค้าที่มาซื้อบริการ“ถอยไปสิวะ เกะกะอยู่ได้!”บ่อยครั้งกับการปะทะกับคนเมา แล้วเกือบพลั้งทำร้ายเขา แต่นั่นเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งที่อยู่ในความคิด เขามักใช้กลบเกลื่อนความเหงาระหว่างเดินไปตามทางเดินไม่นานชะลอช้าและหยุดเมื่อถึงที่หมาย คือบ้านกึ่งปูนกึ่งไม้หลังหนึ่งตรงหน้า เขากวาดมองอยู่สักพักพร้อมพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะตัดสินใจผลักประตูเข้าไป แวบแรกที่เห็นทำให้ต้องแปลกใจไม่น้อย ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีอยู่จริง แบบบรรยากาศต่างลิบคนละอย่างกับข้างนอก“มาหาใครเหรอครับ”เสียงเด็กคนหนึ่งทักถาม ดวงตาใสแป๋วทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์ เพราะมันเหมือนกับดวงตาของใครคนหนึ่ง เขากลั้นหายใจ กว่าจะกลับมาเป็นปกติได้เกือบได้เขินอายต่อหน้าเด็กคนนั้น ทว่าแค่ดวงตาแดงก่ำใช่ว่าจะปกปิดความรู้สึกภายในทั้งหมดราล์ฟยิ้มมุม







