ตลอดการเดินทางระหว่างคอนโดกับสถานที่นัดลูกค้า คนหลังพวงมาลัยเอาที่เหม่อลอย เอาแต่นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ การเจอกันระหว่างเขากับเธอ ที่มันไม่ราบรื่นสักเท่าไหร่ ทำให้สมองเธอปั่นป่วน โชคดีมากไม่เกิดอันตรายใดๆระหว่างเดินทาง แล้วถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
อินถายกมือลูบหน้า บุคลิกนี้จะมีก็แต่ยามเผลอตอนเรียกสติเท่านั้น เมื่อใดที่เห็นเมื่อนั้นจะรู้ได้ทันทีสาวเจ้ากำลังประหม่า ไร้ความเป็นตัวของตัวเอง และเครียดสะสมมา
“บ้าจริง”
เธอพึมพำหลังดับเครื่องยนต์ ล็อครถแล้วเดินลงไป แสงแดดจ้าช่วงกลางวันที่ไม่สามารถควบคุมได้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ปลุกให้เธอตื่น หายสับสนขึ้นมาบ้าง เตือนตัวเองให้เกียรติตัวเองอย่าได้เอาคนนอกเข้ามา แม้ไม่ถึงกับรกสมอง แต่ก็มีผลต่อการทำงาน เนื่องจากอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะต้องเจอลูกค้าแล้ว
ตุบ!
เสียงโยนกระเป๋าลงเบาะมาก่อนเจ้าของจะทิ้งตัวนั่ง นักรบที่กำลังนั่งอ่านรายละเอียดงานเพื่อจะทำแทน ถึงกับสะดุ้ง หันขวับมองสีหน้าฉงน
“อิน?”
“กลับออฟฟิศไปเลย”
“ฮะ?”
“นี่ไงฉันมาแล้ว”
“บอกว่าให้พักไง”
ชายหนุ่มยานคาง พลางสายหน้าเอือมระอา ไม่ได้สนใจประโยคทักทาย ไม่พอยังก้มลงอ่านเอกสารต่อ
“เรื่องอะไร งานของฉัน ฉันก็ควรทำเอง แถมวันนี้เป็นวันแจ้งเกิด”
“ก็รู้ตัวนี่”
“อะไรนะ?!”
“เปล่าๆ”
นักรบยิ้มแฉ่ง อินถาถอนหายใจพรืด ประหนึ่งแบกความหงุดหงิดมาเต็มบ่าแล้วปาทิ้งทั้งหมดลงตรงนี้
“หืม นี่แก.. กะจะทำให้กันหมดเลยเหรอ”
“ใช่สิ” คนถูกถามพยักหน้า สายตายังคงจดจ่ออยู่บนใบงาน “ถึงบอกให้พักไง”
“จะบ้าเหรอ?”
“ไม่เห็นบ้าตรงไหน”
“เดี๋ยวๆ เอามาเลย” ทว่าถูกเจ้าของงานแย่งชิงไป อินถาดึงแฟ้มไปทั้งหมด พร้อมทำหน้าหงุดหงิด “อย่ามาทำให้ต้องดูแย่”
“ดูแย่ตรงไหน แค่อยากช่วย”
นักรบเงยหน้ากลั้วขำ
“ถึงฉันจะเมาไม่ได้สติ จำอะไรไม่ได้เลย ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทิ้งงานปะ ฉันก็มีความรับผิดชอบเหมือนกันนะเว้ย”
“ก็ไม่ได้ว่า~”
คู่สนทนายานเสียง คราวนี้ขึงตาทำหน้าทะเล้น
“ว่าแต่งานแกล่ะ เสร็จแล้วเหรอ มาจุ้นจ้านงานคนอื่นเขาเนี่ย”
พลันหุบยิ้มทันควัน
“อ้าว คนเขาช่วยหาว่าจุ้นเฉย อีกอย่างไม่ใช่คนอื่นนะ นี่ใคร? เพื่อนนะครับ”
เอามือชี้ตัวเอง ทำเครื่องหมายถูกใต้คาง อินถาเห็นจึงหลุดยิ้ม ส่ายหน้าเอือมระอาคืนบ้าง
“แล้วไง? ว่างแล้วสิ”
“ก็..น่าจะนะ”
“ฮ่าๆๆ โด่ววว อีรบ! ฟ้องพี่ติ๋วคอยดู”
“เฮ้ย”
แล้วทั้งคู่ก็หยอกล้อกัน จนกระทั่งลูกค้ามาถึง อินถาขอให้นักรบนั่งรอก่อน และห้ามไม่ให้เข้าไปร่วมวงคุยงานชิ้นนั้น เนื่องจากเป็นงานสำคัญของเธอ
และไม่ว่าด้วยเหตุอะไรที่ให้ต้องรอ เขากลับเต็มใจทำตามที่ขอ แม้การบอกกำลังว่างจะเป็นเรื่องที่เขาโกหกก็เถอะ
เพราะอันที่จริง บนโต๊ะทำงานของเขา เต็มไปด้วยเอกสารเต็มซะจนไม่มีที่จะเก็บ แถมเป็นงานที่จะต้องเคลียร์ให้เสร็จก่อนไตรมาสนี้ด้วยซ้ำ
“แปปนึงนะ..”
หญิงสาวหันกลับมาขยับปากให้เขาอ่าน หลังลุกเดินไปหาลูกค้าที่นั่งรออยู่อีกโต๊ะด้วยท่าทางน่ารักๆ ส่วนเขาจีบมือเป็นสัญญาณคำว่าตกลงพร้อมขยิบตา ท่าทางนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วิต่อหน้าของเธอ พอหันหลังให้รอยยิ้มที่ชื่นมื่นก็หายวับไปทันที
ชายหนุ่มรู้สัญชาตญาณลึกๆกำลังกระซิบเตือนบางอย่าง จังหวะหัวใจของเขาพองโตและเต้นถี่ไม่เป็นจังหวะ ประหนึ่งว่า หากวันนี้เขามีความสุข ในอนาคตอาจจะเจ็บปวดก็เป็นได้ ดังนั้นระหว่างทางเดินนี้ จะเลือกเก็บเกี่ยวความทรงจำไว้ หรือจะถอยหลังนี้ก็สุดแล้วแต่การตัดสินใจของเขา
จะสู้ หรือจะยอม..
เนื่องจากคู่ต่อสู้กระดูกใหญ่มาก!
“เรียบร้อย”
สิบห้านาทีให้หลังอินถาเดินกลับมา นักรบที่กำลังเล่นเกมเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเลิกเล่นกลางคันเพื่อต้องการสนใจเธออย่างเต็มที่
“เสร็จแล้วเหรอ เป็นไงบ้าง เขาสนใจไหม”
“ไม่..” หญิงสาวทำหน้าเศร้า ก่อนจะยิ้มแป้นภายหลัง “ไม่เหลือ! กิ้วๆๆ”
“จริงดิ”
“อื้ม”
“ดีใจด้วย”
พาดให้นักรบหัวเราะตามด้วย เขาดีใจไปกับเธอที่สามารถทำงานสำเร็จ แผนงานยอดขายที่วางไว้ในที่ประชุมทะลุเป้า ทว่าอยู่ๆกลับต้องทำหน้างง เมื่อเธอพยักหน้าเชิญชวนขณะเก็บของใส่กระเป๋า
“ไป”
“ไปไหน?”
“กินข้าวไง”
“กินข้าว?”
บรรยากาศกลับกร่อนลง หลังการงุนงงที่มีมากจนเกินไปของเขาทำอีกฝ่ายหงุดหงิด สาวเจ้าชักสีหน้าใส่ แล้วเดินเชิดหน้าไปยังทางออก
“โวะ ไปจ่ายเงินไป เอารถไปคนละคันนะ ฉันจะไปรอที่รถ”
ปล่อยให้เขายืนเกาหัวแกรกๆ ตามลำพัง
“อะไรของนางวะ”
ร้านอาหารริมน้ำขึ้นชื่อเรื่องความอร่อย อินถาตัดสินใจมาเพราะเป็นตัวเลือกอยู่ในใจนานแล้ว มีเมนูอาหารหลายรายการที่สนใจอยากลอง และพาครอบครัวมากินภายหลัง ทว่าวันนี้เมื่อได้โอกาส ไม่ต้องมานั่งกินคนเดียวให้เขิน เรื่องอะไรจะปล่อยให้มันหลุดมือ
“ไกลเหมือนกันนะ”
นักรบบ่นอุบ หลังจอดรถแล้วลงเดินมาหา หญิงสาวยืนรออยู่มองค้อน
“ย่ะ แล้วจะถอนคำพูด ตามมา”
เลือกที่จะเดินนำไปไม่ตอบโต้ ทว่าลับหลังสาวเจ้าคงไม่เห็นเขานั้นแอบยิ้มอยู่ เป็นบุญอย่างยิ่งที่ได้มาทานข้าวกับเธอสองต่อสอง
“รับอะไรดีคะ”
“เมนูตามนี้เลยค่ะ”
พนักงานจดอาหารรับแผ่นกระดาษขนาด A4 ซึ่งถูกคลี่ออกจากการพับหลายทบไปถือไว้ หล่อนอ่านมันคร่าวๆก่อนจะโน้มตัวรับพร้อมรอยยิ้ม
“ได้เลยค่ะ”
ขณะเดียวกันคนยื่นให้ก็ยิ้มกว้างไม่ต่าง จะมาหุบยิ้มก็ตอนละสายตาจากแผ่นหลังหล่อนสบเข้ากับสายตาของนักรบ
“เอิ่ม..” เธอกะพริบตาถี่ “อะไร?”
“ถึงกับจดมาเลยเรอะ ตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย”
“ใช่ไง ก็อยากกินมานานแล้วอะ แต่หาเวลามาไม่ได้สักที”
“กะจะมาด้วย?!”
“เออ กะจะพาแม่มาด้วยแหละ แต่รายนั้นเลื่อนวันลาพักร้อนซะแล้ว”
นักรบพยักหน้าตั้งใจฟังเมื่อเรื่องที่เธอกำลังจะพูดเป็นเรื่องส่วนตัว เขาเองก็เคยได้ยินมาบ้างว่าแม่ของหล่อนอยู่ต่างประเทศ ทว่าแค่ผิวเผินจากคนอื่น
“อยู่คนเดียวมานานแล้วเหรอ”
“ก็ตั้งแต่ท่านมีครอบครัวใหม่ ตอนนั้นฉันเรียนอยู่มัธยมปลาย”
“โห นี่เธออยู่คนเดียวมานานขนาดนั้นเลย”
“อื้ม ทำไมอ่า ไม่เห็นเป็นไร”
“แล้วญาติคนอื่นล่ะ อยู่ที่นี่บ้างไหม”
“มีแต่ฝ่ายพ่อ แม่เลิกกับพ่อนานแล้ว ไม่ค่อยสนิท”
ประโยคหลังหล่อนส่ายหัว
“แล้วพี่น้องล่ะ”
พลางยิ้มเศร้า แน่นอนคำตอบล่าสุดของเธอกลายเป็นบทสนทนาครั้งสุดท้าย ก่อนจะพากันเงียบลงจนกระทั่งอาหารถูกยกมาเสิร์ฟ
“ฉันเป็นลูกคนเดียว”
อีกเหตุผลที่ทำให้บทสนทนาต้องยุติลงกลางคันก็คือเธอไม่ได้อยากรู้เรื่องของเขา มีแต่เขาที่รับบทเป็นพิธีกรอยู่ฝ่ายเดียว
กว่าบทสนทนาจะมีมาใหม่อีกครั้งก็ตอนทั้งคู่พากันวิจารณ์เรื่องอาหาร โดยการรีวิวครั้งนี้ไปในทางที่ดีมากกว่าตำหนิ อินถาดูมีความสุขทุกครั้งหลังอาหารถูกตักเข้าปากไปมีรสชาติถูกอกถูกใจ ต่างจากคนตรงกันข้าม สำหรับคนลิ้นจระเข้ ไม่เคยซีเรียสอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อย่างเขา ไม่ใช่รสชาติอาหารที่ทำให้เขานั้นยิ้มตามอย่างมีความสุข แต่รอยยิ้มนั้นมาจากรอยยิ้มของเธอ
สาวเจ้าดูมีชีวิตชีวามากกว่าตอนอยู่กับเพื่อนคนอื่นๆที่งาน ทั้งคู่พากันหัวเราะ สลับกับการตะเบ็งเสียงใส่ ที่ระดับของความดังอยู่ที่ความตื่นเต้นของเรื่องที่คุย
จนกระทั่ง..
ถึงเวลากลับบ้าน
อินถาเป็นคนจ่ายค่าอาหารทั้งหมด เธอยิ้มกว้างมาตลอดทาง ขณะเดินมาที่รถราวกับดีใจมากที่สามารถเป็นผู้ชนะหลังบังคับให้เขานั่งอยู่เฉยๆ ไม่คิดจะแย่งจ่าย และเชื่อฟังได้
“ถึงแล้วโทรบอกด้วยนะ”
นักรบกล่าว ก่อนจะแยกย้ายกันไปขึ้นรถของตัวเอง
ท่ามกลางความเงียบภายในรถ ที่มีแค่เสียงเพลงผ่อนคลายเปิดคลอเบาๆ ทำอินถายิ้มกว้างพร้อมส่ายหน้าอีกครั้งเมื่อมองกระจกหลังไปเห็นรถอีกคัน อันที่จริงเขาสามารถขับแซงเธอไปก็ได้ แต่เลือกที่จะขับตาม เพื่อให้มั่นใจว่าเธอนั้นถึงคอนโดอย่างปลอดภัยแล้ว
ถ้าต้องให้คะแนนของภารกิจทั้งหมดในวันนี้ สำหรับอินถาถือดีว่าเยี่ยมแบบห้าดาว แม้ระหว่างวันงานจะยุ่งซะจนปวดหัวไมเกรนขึ้นแต่เธอก็ไม่ติด ยังคงยิ้มร่าขณะเดินขึ้นลิฟต์ได้ แถมยังอุตส่าห์ฮัมเพลงที่ฟังมาจากในรถ จะมาหุบยิ้มพร้อมสีหน้างุนงงอีกทีก็ตอนเดินมาถึงห้องแล้วเห็นถุงปริศนาแขวนอยู่
เป็นถุงสีขาวขุ่นสร้างความงุนงงให้กันไม่น้อย หญิงสาวเลิกคิ้วสูงแทน หลังดึงออกมาดูแล้วพบว่ามันคือถุงสารพัดยาที่ได้มาจากร้านยาในห้าง
เสียงร้องมาพร้อมกับเท้าสะดุด ผลของการเดินเร็วจนเกินไป แล้วหยุดชะงักกลางคัน เพราะภาพตรงหน้าคือผู้ชายคนหนึ่งยืนเปลือยล่อนจ้อนอยู่หน้าไม่อาย!สามารถใช้คำนี้ได้เลยอินถาอ้าปากค้างมองตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนขึงตาโตก็ตอนเห็นตรงนั้นประเจิดประเจ้อ“เหวอ!”เธอเบือนหน้าหนีไปทางอื่น หลังตั้งสติได้ว่าไม่ควรจ้องนาน กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ สาบานเลยว่าสิ่งที่เห็นเต็มสองตาเมื่อครู่ จะไม่มีวันลืม“ขอโทษค่ะ พี่ไม่คิดว่าหนูจะกลับมาเร็ว”แล้วถ้าเดินกลับมาช้าจะเป็นยังไงเล่า จะล่องหนหรือหายตัวไปนะหรือ“คุณมีคาถาหายตัวได้รึไงกัน”ร่างบางกัดฟันกรอดเอ่ยเสียงแผ่ว ยังคงยืนหันหลังให้เขาอยู่ คนถูกถามกระตุกยิ้ม กลั้นขำ“ก็จะหันหลังให้ จะไม่ยืนโจ่งแจ้งแบบนี้”“ห๊า..” ถึงกับลืมตาโพลง คิดตามที่เขาพูด เมื่อคิดยังไงก็ไม่ใช่เหตุผลถึงกับคอตก “คุณก็รอหนูกลับมาก่อนก็ได้นี่ ของสงวนแบบนั้นไม่ควรเอาออกมาให้เห็นกันง่ายๆรู้ไหมคะ”“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ไม่ถือ”What??!อินถากะพริบตาถี่ เขาโดนซ้อมจนสมองตีลังกากลับหลังไปแล้วกระมัง“แต่ถาเป็นผู้หญิงนะคะ”“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอโทษก็แล้วกัน ขอผ้าเช็ดตัวให้พี่ได้หรือยัง”“ยะ อย่าเข้ามานะคะ”สาวเจ้
“เฮ้ยคุณ!”เธอปล่อยถุงอาหารหลุดมือ พร้อมขึงตาขึ้นกว้าง มากกว่าปกติ ความตกใจลืมหมดแม้ความเย็นชื้นจากสายฝนที่กระหน่ำเทลงไม่ขาดสาย ไม่เหลือพื้นที่แห้งบนเสื้อผ้า แล้วนิ่งทำอะไรไม่ถูก จนเห็นร่างนั้นเริ่มขยับเขยื้อนอีกครั้ง ถึงจะถลาเข้าไปช่วยประคองดึงให้ลุกขึ้นมาส่วนเขาพยายามแหงนหน้า ใช้ม่านตาพร่ามัวที่สายฝนเม็ดใหญ่พรั่งพรูใส่ไม่หยุดมอง ก่อนนิ่วหน้าตอนเธอทำเขาเจ็บ บางทีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลก็สำคัญ เสียดายที่ไม่จดจำสมัยได้เรียน“ตัวคุณหนักมาก ฉันคนเดียวไม่ไหวหรอก ไปตามคนมาช่วยดีกว่า”หมับ!แขนเรียวถูกฉุดรั้งทันทีที่พูดจบ ด้วยแรงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดของเขา“คะ?”ก่อนอ้าปากค้าง หลังเขาส่ายหน้าท้ายที่สุดเป็นเธอที่ต้องพยายาม ดิ้นรนพยุงพาไปยังรถจอดอย่างทุลักทุเล ความหนักของเซลล์ทุกส่วนเป็นอุปสรรคให้ต้องกัดฟันกรอด หลังใช้เท้ายึดพื้นให้มั่นคง เพื่อทรงตัวจังหวะหิ้วปีกเขาลุก“ค่อยๆนะ”“เกิดอะไรขึ้นคะ คนพวกนั้นเป็นใคร มาทำร้ายคุณทำไม”อินถาหันไปถาม ดึงเข็มขัดมาคาดลำตัว เตรียมทำหน้าที่เป็นพลขับ บวกกับความสับสนพยายามไขข้อข้องใจ ให้เหมาะสมไม่คุ้มเสียแก่การตัดสินใจช่วยเหลือเขาด้วยตัวเองแ
ยิ่งใกล้ไตรมาสสุดท้ายงานยิ่งล้นมือ หลายวันมานี้อินถาไม่มีเวลาแม้แต่จะเข้ายิม หรือโผล่หน้าสดไปให้พนักงานร้านกาแฟได้เห็น ชีวิตมีอยู่แค่สองทาง คือทางกลับบ้านกับทางไปทำงาน และสายทุกวัน“ฮ๊าววว~”เสียงหาววอดผสานกับเสียงเสียดสีของก้นแก้วกาแฟเลื่อนผ่านโต๊ะเนื้อไม้มาจอดอยู่ตรงหน้า สาวเจ้าเหลือบมอง พยักหน้ายิ้มบางๆแทนคำขอบคุณ“ขอบใจนะ”“เมื่อคืนดึกหรือ”นักรบทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม ในมือก็ถืออยู่อีกแก้วหนึ่ง“ใช่~ พี่ติ๋วอะดิ แกบ้าจี้อะไรไม่รู้โทรมาสั่งให้แก้งานกะทันหัน กะจะไม่รับสายแล้วนะ แต่ก็กลัวจะเป็นเรื่องด่วนหรือเป็นแกเองที่ขอความช่วยเหลือ”ได้ทีอินถาบ่นใหญ่ ทว่าสายตาไม่ได้จับจ้องคู่สนทนา แต่หรี่ต่ำมองแก้วในมือตัวเอง มองควันที่พวยพุ่งจากความร้อนนั้นอยู่ดีๆในหัวเกิดมีภาพแห่งความทรงจำเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านทำไมกันนะ กับอีแค่ยาไม่กี่แผง ถึงได้มีอิทธิพลทำให้เธอรู้สึกดีได้มากขนาดนี้ ทั้งๆที่เขานั้นก็มีเจ้าของอยู่แล้วอินถาเผลอยิ้ม แอบเข้าข้างตัวเอง แต่ปัจจุบันเขานั้นหายไปเลย ไร้วี่แววแม้แต่เงา เสียงเงียบราวกับไม่มีใครอยู่ในห้องข้างๆในขณะเดียวกันก็ตกเป็นเป้าสายตาของเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อไปด้วย เ
อินถายืนสงบนิ่งให้กับความสับสนของตัวเองที่ได้มาอย่างไม่ทันตั้งตัว ในมือชูถุงยาขึ้น มองมันราวกับเป็นของวิเศษแวบมาจากทิศทางใดไม่รู้สักแห่ง ก่อนจะหันซ้ายหันขวามองหาเขา เจ้าของผู้กระทำนำพา ทว่าทั้งทางเดินพบแต่ความว่างเปล่าความรู้สึกกระดี่ได้น้ำถูกเก็บไว้ในที่ตื้น ชนิดหากไม่รีบทำอะไรสักอย่างอาจโผล่พ้นออกมาให้เห็นได้เนื่องจากยากต่อการควบคุม เธอถึงได้เร่งเปิดประตูแล้วพาตัวเองเข้าไปในห้องนั้น เพื่อกระโดดโลดเต้น ดีใจประหนึ่งถูกรางวัลฉลากกินแบ่งรัฐบาล จิตใต้สำนึกบวกสัญชาตญาณกระซิบบอกให้เข้าข้างตัวเอง สิ่งนี้ที่ถืออยู่อาจเป็นของเขาผู้ชายที่แอบชอบไม่รอช้าหญิงสาวรีบคลี่ปมของมันทันที ก่อนจะหยิบออกมาดูทีละชิ้น เมื่อพบว่าเป็นยารักษาแผลทั้งภายในและภายนอก ก็ขึงตาโต“พระเจ้าคะ..” มือผสานเข้าหากัน แหงนหน้าขึ้น พร้อมยิ้มปลื้มดุจน้ำตาจะไหล ซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าจูปิเตอร์ “ทรงได้ยินคำขอของอินถาแล้วสินะคะ อินถาสามารถตัดชุดแต่งงานรอได้เลยใช่ไหม งื้อ..”ความตื่นเต้นถึงขนาดหัวเราะดังลั่นห้องอย่างลืมอาย จากนั้นจึงจะเดินไปทิ้งตัวลงกลางเตียง“เฮ้อ สบายใจจัง...”แล้วเผลอหลับไปเพราะความเพลียในที่สุดด้
ตลอดการเดินทางระหว่างคอนโดกับสถานที่นัดลูกค้า คนหลังพวงมาลัยเอาที่เหม่อลอย เอาแต่นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ การเจอกันระหว่างเขากับเธอ ที่มันไม่ราบรื่นสักเท่าไหร่ ทำให้สมองเธอปั่นป่วน โชคดีมากไม่เกิดอันตรายใดๆระหว่างเดินทาง แล้วถึงที่หมายอย่างปลอดภัยอินถายกมือลูบหน้า บุคลิกนี้จะมีก็แต่ยามเผลอตอนเรียกสติเท่านั้น เมื่อใดที่เห็นเมื่อนั้นจะรู้ได้ทันทีสาวเจ้ากำลังประหม่า ไร้ความเป็นตัวของตัวเอง และเครียดสะสมมา“บ้าจริง”เธอพึมพำหลังดับเครื่องยนต์ ล็อครถแล้วเดินลงไป แสงแดดจ้าช่วงกลางวันที่ไม่สามารถควบคุมได้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ปลุกให้เธอตื่น หายสับสนขึ้นมาบ้าง เตือนตัวเองให้เกียรติตัวเองอย่าได้เอาคนนอกเข้ามา แม้ไม่ถึงกับรกสมอง แต่ก็มีผลต่อการทำงาน เนื่องจากอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะต้องเจอลูกค้าแล้วตุบ!เสียงโยนกระเป๋าลงเบาะมาก่อนเจ้าของจะทิ้งตัวนั่ง นักรบที่กำลังนั่งอ่านรายละเอียดงานเพื่อจะทำแทน ถึงกับสะดุ้ง หันขวับมองสีหน้าฉงน“อิน?”“กลับออฟฟิศไปเลย”“ฮะ?”“นี่ไงฉันมาแล้ว”“บอกว่าให้พักไง”ชายหนุ่มยานคาง พลางสายหน้าเอือมระอา ไม่ได้สนใจประโยคทักทาย ไม่พอยังก้มลงอ่านเอกสารต่อ“เรื่องอะไร งานขอ
ห้องที่คุ้นเคย?เจ้าของขนตาแพยาวไร้การเสริมแต่ง กวาดมองไปทั่วห้องก่อนขึงตาโต ชนิดกว้างครั้งแรกในชีวิต ก็ตอนเห็นควันโขมงพร้อมกลิ่นลอยอยู่บนอากาศ บริเวณนอกโดยมีประตูเลื่อนกั้นกลางระหว่างห้องนอนกับระเบียง ด้วยกระจกที่ใสมองเห็นจากข้างในแต่ทึบข้างนอกไร้ผ้าม่านปกคลุม ทำให้เจ้าของควันถูกมองไม่ชัด เขายืนอยู่ในท่าหันหลัง ด้วยสภาพผ้าเช็ดตัวพันรอบเอวอย่างหมิ่นเหม่หญิงสาวก้มมองเลือดบนเตียงสลับกับเขาอยู่หลายรอบ ก่อนกรีดร้องสุดเสียงก็ตอนเขามองข้ามไหล่กลับมา“กรี๊ด!!!!”ครืน ครืน“เฮือก!”เสียงโทรศัพท์ทำคนบนเตียงสะดุ้งตื่น ร่างบางผุดลุกขึ้นนั่งพลางกุมขมับ ไม่ใช่แค่ความตกใจจากฝันเสมือนจริงทำให้เธอปวดหัว แต่เป็นฤทธิ์จากแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปอย่างหนักหน่วงของเมื่อคืนด้วย“บ้าจริง”อินถาลูบหน้า กว่าจะรับโทรศัพท์ได้ปล่อยให้ดังตั้งนาน(เธอ เป็นไงบ้าง)“นะ นักรบ”เสียงแหบพร่าร้องเรียก ปลายสายที่มักจะโทรมาได้จังหวะ และเธอมักจะลืมดูหน้าจอก่อนกดรับทุกที(ฟังจากเสียง น่าจะดูแย่เหมือนกันนะ ไหวไหมเนี่ย ถ้าไม่ไหวลางานก็ได้ เดี๋ยวเรื่องลูกค้าที่นัดไว้วันนี้ รบจะไปแทนเอง)“เดี๋ยวนะ..”หญิงสาวหันมองนาฬิกาบนหัวเตียง
“มายืนรอใครครับ”อินถาตัดสินใจเงยหน้าขึ้น กล้าที่จะสบตากับเขา ไม่รู้จะต้องขอบคุณความเมาดีไหม ที่ทำให้เธอมั่นหน้าได้ขนาดนี้“ยืนรอ? อ่อๆ มะ ไม่ค่ะ ไม่ได้รอใคร”แต่ถึงกระนั้นน้ำเสียงก็ยังสั่นเครืออยู่ดี ความประหม่าทำลิ้นพัน และไม่รู้ว่าจริงไหมที่เธอเห็นเขายิ้มมุมปาก ขณะยื่นมือมาแตะต้นแขนเรียว“โต๊ะอยู่ไหนครับ”น้ำเสียงอบอุ่น ท่าทางอ่อนโยน ก่อนหน้านี้ไม่เคยโผล่ออกมาจากตัวเขา มันเป็นไปได้อย่างไร สาวเจ้าอ้าปากค้าง มัวแต่ยืนงง จนเขาต้องถามซ้ำ“ว่าไงครับ โต๊ะอยู่ไหน""ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวอินไปเอง""คุณเมามากนะ เดินไปคนเดียวไม่ไหวหรอก ผมจะพาไป""เอ่อ..""บอกมาเถอะครับ"ทำไมตอนนี้แลดูเข้าถึงง่ายนัก หรือนี่เป็นนิสัยปกติ ของเขา อาจเป็นเพราะเธอไม่เคยมีโอกาสได้พูดคุย จึงรู้จักเขาไม่ดีพอ“เอ่อ ตรงโน้นค่ะ”อินถาบุ้ยหน้าไปยังทิศทางที่เดินจากมา ชายหนุ่มมองตามพลางพยักหน้า“โอเคครับ ไปครับ”"อ๋าาา"สาวเจ้าเบ้ปาก หลังถูกเขาฉวยข้อมือข้างที่บาดเจ็บ“ขอโทษครับ ผมไม่เห็นว่าคุณมีแผล ไปโดนอะไรมาครับ”สาบานว่าเขาจำเธอไม่ได้?อินถาขมวดคิ้ว มองเข้าไปในตาสีอำพันลึกลับคู่นั้นผู้ชายคนนี้ดูยังไงก็เป็นลูกผสม ไม่ใช่เอเช
“ขอโทษค่ะ”สัญชาตญาณสั่งให้รีบพลั้งโพล่งเพราะหล่อนนั้นเป็นฝ่ายผิด แต่กลับต้องชะงักกลางคันหลังเงยหน้าขึ้น เห็นเจ้าของแผงอกแกร่งถูกชนเข้าอย่างจัง เขาคือบุคคลแสนคุ้นเคย แฝงอยู่ในพื้นที่ความทรงจำมากกว่างานที่ทำซะอีก“ผมไม่เป็นไรครับ แล้วคุณ..”หญิงสาวอ้าปากค้าง ไม่ทันได้ฟังคำพูด และไม่ทันได้ห้ามเพื่อนชายที่กำลังดึงให้ห่างไปจากจุดนั้น“ดะ เดี๋ยว”แน่นอนความไม่ดูจังหวะ ทำให้เธอหงุดหงิด คิ้วคู่ขมวดชนกัน หันค้อนขวับฝ่ายชายทันทีที่มาถึงในขณะนักรบไม่ได้ทุกข์ร้อน แค่เลิกคิ้วสูง สีหน้ามึนงง“อะไร?”“แกนะแก..” ต่างจากคนตัวเล็กที่ชี้หน้าอยากจะด่ากราด ทว่าด้วยสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย จึงทำได้แค่กัดฟันกรอด “จุ้นจ้านจริงๆ”“ฮะ?”“รีบอยู่ได้ ”มองเข้าไปในร้าน ที่คนอื่นนั่งอยู่ ซึ่งพวกเขากำลังหันหน้าคุยกันอย่างออกรส กว่าจะหันมาเห็นทั้งคู่ก็ตอนที่เดินเข้าไปแล้ว"อ่าว""ดูสิ ใช่เขาจะสนใจเรา"“เดี๋ยวนะ เธอโมโหอะไรเนี่ย”“โมโหดิ ก็แก!”“หืม? ฉัน? ฉันทำไม?”“เออ ช่างมันเถอะ”ขนาดมาถึงยังฉุนไม่หาย แต่เมื่อไม่สามารถอธิบายออกมาได้ จึงทำได้แค่โบกมือ แล้วเดินนำเข้าไปหาผู้คนตรงโต๊ะนั้น“อะไรของเธอวะ”โซน VIP บรรยาก
ถนนใหญ่ใจกลางเมืองที่มีรถวิ่งเร็วราวกับแข่งกัน ประหนึ่งใครชนะจะได้น้ำมันฟรี รวมถึงการซ่อมห้องเครื่องหลังใช้งานอย่างหนักเพื่อพ่นควันดำสาเหตุหลักของการเกิดมลพิษ ถึงต้องมีสะพานลอย และทางม้าลายเอื้อความสะดวกให้กับคนเดินเท้า ซึ่งหากว่าถ้าจำเป็นก็คงไม่มีใครกล้าเสี่ยง เพราะแม้จะเดินข้ามทางม้าลายแล้ว ยังการันตีไม่ได้ว่านั่นจะปลอดภัยเจ้าของร่างบางในชุดเสื้อยืดตัวใหญ่สีขาว กางเกงขายาวทรงกระบอกสีกากี กับผ้าใบสีขาวอีกคู่หนึ่ง ถึงได้เลือกข้ามสะพานลอยมากกว่าการข้ามทางม้าลายขาวดำนั้น และนั่นเป็นสาเหตุหลักทำให้คนในรถหงุดหงิด เพราะความล่าช้าในการเดินทาง“นาน นานมาก”บ่นอุบหลังเธอมาถึง และเปิดประตูรถขึ้นมา“แล้วไง? ความปลอดภัยต้องมาก่อน”หล่อนยักไหล่ สีหน้ากวนประสาทแสดงออกถึงความไม่ทุกข์ร้อนไม่ต่างกัน“ครับ เป็นตัวอย่างที่ดีมากครับ”นักรบพยักหน้ายกนิ้วหัวแม่มือชมเชยให้ เก็บเบรกมือเพื่อเตรียมตัวออก ทว่าจังหวะหันกลับไป คนข้างๆทำให้อ้าปากเหวอซะก่อน พลางมองตั้งแต่หัวจรดเท้า“อะไรครับเนี่ย”“อะไร? ก็แต่งตัวปกติไง ยังไม่ชินอีกเหรอ”“เปล่า..” เขาส่ายศีรษะ แพ่งเล็งไปยังจุดเดียว จิ้มแรงๆจงใจทำให้เจ็บ “หมายถึงไ