LOGINใครบอกอกหักนั้นเจ็บสุด แอบรักเขาข้างเดียวก็เจ็บไม่ต่างกันหรอก อยู่ที่ว่าใครจะจัดการมันอย่างไร
View Moreเพล้ง!
เสียงหล่นแตกของกระเบื้องจากห้องข้างๆทำอินถาสะดุ้งตื่น ดีดตัวจากการนอนหงายเป็นนั่งหลังตรงทั้งที่ยังไม่ลืมตา เสียงถอนหายใจแรงถูกพ่นตอนเห็นเวลาตีสี่
“วันนี้กลับมาช้ากว่าปกตินะ..”
ก่อนจะทิ้งตัวลงหลับต่อก็หลังจากพึมพำพร้อมยิ้มกว้าง
หกโมงกว่า..
เสียงโทรศัพท์ปลุกให้ตื่นอีกครั้ง น่าแปลกคราวนี้คนบนเตียงกลับหงุดหงิด ขณะควานหาเสียงนั้นใต้ผ้าห่ม เมื่อคืนเธอผล็อยหลับกลางคัน ยังไม่ทันได้วางมันตรงที่ประจำ โต๊ะข้างเตียง
และเมื่อเห็นเบอร์โทรเจ้าของสายเรียกเข้า...
“ฮัลโหล~ ค่า”
(วันนี้วันเกิดหัวหน้า แผนกเราจะรวมเงินกันซื้อของขวัญ แกโอนเงินมาเลยนะ)
ฮะ?!
แค่ปลุกให้ตื่นทั้งที่กำลังหลับสบายและเป็นวันหยุดก็รู้สึกว่าเสียมารยาทจะแย่แล้ว ยังไม่พอยังจะมาพูดเรื่องเงินแต่เช้าอีก?!
อินถาแยกเขี้ยวใส่โทรศัพท์ ผุดลุกขึ้นนั่งขัดตะหมาด
ด้วยสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงปรกหน้า จำต้องเสยมันขึ้นไปลวกๆอัตโนมัติ บวกใจร้อนรุ่มใคร่ตะโกนด่ากราดให้สาแก่ใจ ทว่าทำได้แค่นั้นเพราะคนในสายไม่ใช่คนที่เธอจะกระทำอย่างที่คิดได้ แม้ในใจอยากจะด่าสุดๆก็ตาม
เดี๊ยะ!!!
“ได้ค่ะพี่ติ๋ว เท่าไหร่คะ”
(คนละสี่พัน)
“ฮะ?!”
ปลิดทิ้งเลยจ้ะ
ราวกับกระดกเครื่องดื่มชูกำลังจนหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
(ตกใจอะไรขนาดนั้นฮะ)
ปลายสายกลั้วหัวเราะ ต่างจากเธอลอบกลืนน้ำลายลงคอก้อนใหญ่
“ตกใจสิพี่ อะไรคือของขวัญ รถเรอะ? ทำไมมันแพงนักล่ะ”
(เอ้อ เป็นความคิดที่ดี ที่จริงน่าจะซื้อรถ)
“ประชด~ ว่าแต่แผนกเรามีตั้งสิบกว่าคนไม่ใช่รึ”
(ก็ใช่ไง นี่ยังไม่พอนะ พี่ยังต้องออกส่วนที่เหลือไปอีก ที่ยัยเมย์ไปเลือกมาคือระดับพรีเมียม)
“แล้วพี่ก็เห็นด้วย?”
(อืม..)
“โธ่พี่ติ๋ว พี่ก็รู้เมย์มันมีความเป็นอัตตาสูงขนาดไหน ให้มันเลือกก็ตายกันพอดีสิ”
อินถาโวยวาย เหลือบตามองบนสลับกับการเต้นร่าบนเตียง รู้สึกถูกรบกวนการนอนก่อนหน้าเป็นเรื่องเล็กไปโดยปริยาย นี่สิเรื่องใหญ่ยิ่งกว่า เพราะมันกำลังจะลามปามมารบกวนเงินอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ในบัญชี ซึ่งจะต้องใช้ให้พอถึงสิ้นเดือน
(ทีแรกพี่ก็ไม่เห็นด้วยหรอก แต่เมย์มันบอกว่าของที่เลือกมาจะต้องกินใจหัวหน้าแน่ๆ พี่เห็นก็ว่ามันจริง ก็เลยเอ้า..โอเค เผื่อจะมีผลต่อโบนัสปีนี้)
เหรอ....
“เข้าใจคิดนะพี่ หัวหน้ากินใจ แต่เรากินแกลบเนี่ยนะ มันคุ้มตรงไหนกัน”
(แกก็นะ..เข้าใจพูด)
ปลายสายเสียงอ่อน เริ่มคิดตามลูกน้องฝ่ายนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไปตกลงปลงใจกับลูกน้องฝ่ายโน้น ส่อแววอย่างเห็นได้ชัดว่าหัวหน้าของเธอไร้ความเป็นผู้นำสุดๆ หญิงสาวส่ายหัวเอือมระอา
“พี่ บอกตามตรงนะ เงินที่เหลืออยู่ตอนนี้ไม่พอใช้อ่า ขืนให้พี่ไปซื้อของขวัญให้หัวหน้า ครึ่งเดือนที่เหลือถาต้องกินกระดุมแน่ๆเลย ทิ้งถาสักคนได้ไหมพี่ หัวหน้าจะไม่ปลื้มก็ไม่เป็นไร ปกติก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าถาอยู่แล้ว”
(ไม่ได้!)
กีรติหรือติ๋วเกือบจะหลวมตัวตามลูกน้องอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดประโยคล่าสุดที่ว่าไม่เข้าหูหล่อน ให้กลายเป็นนางมารร้ายขึ้นมาทันที
(เด็กของพี่จะต้องเป็นคนที่รักหัวหน้าทุกคน!)
“เอ่อ..”
อะไรวะ..
ทั้งที่หัวหน้าไม่ต้องรักเราก็ได้นะหรือ? ยุติธรรมตรงไหนก่อน คำนี้คิดได้แค่ในใจ
อินถาเก็บความรู้สึก อึดอัดสุดตรงที่ไม่สามารถเผยธาตุแท้ได้เลย ทำได้แค่สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ถอนออกมาให้เบาที่สุด แสร้งขำกลบเกลื่อน
“แหะๆๆ อันที่จริงไม่ต้องทำเพื่อถาขนาดนั้นก็ได้พี่ติ๋ว ถ้าเขาจะรักยืนเฉยๆเขาก็รักนะพี่”
(อย่ามาตลก พี่ไม่ใช่เพื่อนเล่น)
“เอ๋า ก็ไม่เคยคิดว่าเป็นเพื่อนเล่นหรอก และที่พูดก็ไม่ได้เล่นด้วย ไอ้เรื่องของขวัญ วันกงวันเกิดที่มันนอกเหนือจากงานอะไรเนี่ย มันควรเกิดขึ้นจากความสมัครใจของลูกน้องไหมอะ เนี่ยๆ อีก 2 อาทิตย์จะต้องผ่อนรถ จ่ายค่าห้อง”
(ก็เพราะเช่าคอนโดแพงแบบนั้นไง แกเลยขาดสภาวะคล่อง ขาดอิสระทางการเงิน)
“อ่าวติ๋ว เอ๊ยพี่ติ๋ว ไหงพูดแบบนั้น ถาก็พอใจของถาแล้วปะ กับเงินเดือนที่ได้และความเป็นอยู่ มันสะดวกสบายถา ที่ไม่เกี่ยวกับใครอื่น ใครจะไปรู้ล่ะ ว่านอกจากการทำงานให้ถูกใจ จะต้องเอาใจด้วย ตลก”
(เอาเถอะๆ ขี้เกียจเถียงกับแกแล้ว ว่ามาจะเอายังไง แต่บอกไว้ก่อนเพื่อนคนอื่นสมัครใจกันทุกคน ยกเว้นแกนะตอนนี้)
อืม...
เอาเป็นว่าถ้าไม่มีเรื่องไร้สาระที่พวกแม่งนี้ทำอยู่ การใช้ชีวิตให้รอดของแต่ละเดือนก็สมบูรณ์แบบทุกประการ ไม่ต้องขวนขวายหา ไม่ต้องทะเยอทะยาน และไม่ต้องดิ้นรน ชีวิตก็จะอยู่บนเส้นกราฟที่ไม่มีการดึงขึ้นให้สูง หรือร่วงลงต่ำเลย
“อันนี้พี่ถามถาเหรอ”
(แต่ต้องไม่ใช่ที่แกขอเมื่อกี้นี้นะ ไอ้เมื่อกี้มันไม่ได้)
“อ่าว”
(มันไม่ได้ถา เข้าใจไหม? ไม่ได้จ้ะหนู)
“งั้นถายืมเงินพี่ติ๋ว”
(อ่าว..)
“อ่าวไม่ได้พี่ มันคือทางเลือกสุดท้าย ไหนๆพี่จ่ายส่วนเกินไปแล้ว งั้นรบกวนพี่ช่วยรวมของถาไปด้วยละกัน..”
(แต่ว่า..)
“รบกวนด้วยนะพี่ ขอบคุณค่ะ”
อินถามัดมือชก ตัดบทตัดสายไม่สนใจเสียงคัดค้านทันควัน พร้อมปิดเครื่องหนีทันที วันนี้เป็นวันหยุดของเธอ ถึงจะถูกด่าล้านพยางค์ ถ้าไม่รับสาย ก็ไม่ได้ยินหรอก
“ค่อยไปแสร้งบีบน้ำตาวันทำงานก็แล้วกัน..”
เธอพึมพำท่าทางห่อเหี่ยว ถอนใจแรงเตรียมล้มตัวนอนต่อ ทว่าบางอย่างกลับทำให้ต้องชะงักค้าง เบิกตาโพลงฟื้นคืนชีพอีกที
มันคือกลิ่นโชยมาของควันบุหรี่ข้างห้อง อิทธิพลของมันสามารถเปลี่ยนจากการถอนหายใจของเธอเป็นการสูดลมหายใจเข้าปอดแทนได้ ทั้งที่เป็นมลพิษ
ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นและดีใจได้เท่ากับ..ตอนนี้ที่เวลาหกโมง
เขาคนนั้นยังอยู่ อยู่ในห้องของเขา!
หลายวันต่อมาหลังเสร็จสิ้นงานศพของสามี และไม่มีอะไรต้องข้องเกี่ยว อินถาและครอบครัวก็พากันกลับบ้านของตัวเอง เธอเลือกที่จะอยู่กับผู้เป็นแม่ เพื่อที่การเป็นอยู่หลังจากนี้ของเธอกับลูก อย่างน้อยพื้นเพของที่นี่ก็ยังฟื้นฟูสภาพจิตใจให้ได้ดีกว่าที่นั่น ที่ที่เห็นถนนบางเส้น สถานที่บางแห่ง เมื่อเห็นแล้วจะต้องทำให้เธอร้องไห้เรียกได้ว่าอยู่ในระยะทำใจที่แท้จริง หญิงสาวประมาณเวลาไม่ได้จะหายขาดเมื่อไหร่ แต่จะเข้มแข็งให้มากที่สุด เพื่อลูกของเธอ พอๆกับคนรอบข้าง พวกเขาเองก็คาดคะเนไม่ได้เช่นเดียวกัน แต่ก็จะอยู่เคียงข้างไม่ไปไหน คอยให้กำลังใจ และเติมเต็มความอบอุ่นซึ่งกันและกันอยู่เสมอ เรียกได้ว่าผู้รับอาจจะต้องสำลักเข้าสักวัน เนื่องจากหยิบยื่นมากเกินไปวันเวลาผ่านไป เป็นวัน เป็นเดือนและปี เธอก็ยังคงเดินย่ำอยู่กับที่ ยังรู้สึกเหมือนเรื่องที่เสียใจเพิ่งจะผ่านมาไม่กี่วัน ยังคงร้องไห้ทุกครั้งที่นึกถึง ยังคงเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นหน้าลูก ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาและบุคลิกท่าทาง เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่จะจดจำเขาได้ ราวกับเขาอยู่ใกล้ไม่ไปไหน เป็นของขวัญรอให้เปิดกล่องใหม่ ที่กล่องนั้นก็คือลูก เพียงแค่รอเวลาเท่านั้น แต่
โสมสุดาถึงกับยืนนิ่งอยู่กับที่ เมื่อเห็นท่าทางนั้นของลูกสาว หล่อนกำลังเรียบเรียงเหตุการณ์ด้วยสมองอันอื้ออึง เกี่ยวกับพฤติกรรมคนตรงหน้าเทียบกับข่าวในจอทีวีที่สามีกำลังดูอยู่ ในขณะเดียวกันเรียกร้องความสนใจให้สามีหล่อนหันมาด้วย เขากดปิดทีวีด้วยรีโมททันที ก่อนเดินเร็วมาประคองเธอ“เกิดอะไรขึ้น?”เอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษ หญิงสาวไม่ตอบ เอาแต่ส่ายหน้าร้องไห้ สายตากวาดมองหาลูก ทันทีที่เด็กน้อยถึงตัวสาวเจ้าก็โอบไว้แน่นยิ่งเจ็บปวดไปมากกว่านั้นก็ตอนที่มองหน้าลูก เห็นสีหน้าของตัวเองในม่านตาสนิมกำลังงุนงง และไร้เดียงสา ทว่าคงไม่เท่ากับตายายของเขาทั้งคู่ ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้จากผู้เป็นลูก ทั้งคู่ถึงกับมองหน้ากันด้วยความตกใจ“พ่อของหนูไม่อยู่แล้วลูก..”ด้านของนักรบ หลังสืบมาได้ว่าศพของราล์ฟถูกนำไปทำพีธีกรรมตามศาสนาและลอยอังคาร จึงส่งรูปบรรยากาศบอกเพื่อนสาวที่กำลังเดินทางจากต่างประเทศมาพร้อมลูกน้อยวัยขวบเศษ โดยเขาอาสารอรับพวกเขาที่สนามบิน และแน่นอนกับความโศกเศร้ามาเยือนแบบไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นบรรยากาศในรถจึงเงียบเชียบ แม้แต่เขายังไม่กล้าเล่นกับหลานหลังชำเลืองมองหน้าแม่ที่กำลังนั่งร้องไห้ น้ำตาไหลอาบ
หลุดออกมาจากห้องนั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ชายหนุ่มจะต้องทำใจแข็งแค่ไหนคงมีแต่เขาเท่านั้นที่รู้สัญญาณเตือนบอกถึงการเคลื่อนไหวของศัตรู ที่อาจเกิดอันตรายได้ทุกเมื่อ หากเขาประมาทเลินเล่อจนเกินไป นั่นเพราะจะไม่มีทางรู้ได้เลยพวกมันไปที่ไหน หากแต่จะต้องปลอดภัยไว้ก่อนฉะนั้นการออกห่างจากลูกเมียเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำ เพราะหากผิดพลาด นั่นหมายความถึงแก่ชีวิต!ราล์ฟเดินห่างออกมาจากที่อยู่อาศัยของเธอไกลพอควร เขาหยุดอยู่ที่สะพานสักพักเพื่อสงบสติอารมณ์ และเมื่อก้มลงไปเห็นผิวน้ำยามกระทบแสงไฟบนท้องถนน เกิดสะท้อนแสงราวกับกากเพชร กลับพบว่าความเศร้าโศกเมื่อครู่ได้ติดตามมาด้วย และเพิ่มปริมาณอีกเท่าทวีคูณ ชนิดที่เรื่องราวสามารถฉายซ้ำได้อย่างต่อเนื่อง แบบไม่ติดขัดสักนิดภายในม่านตาของเขาเต็มไปด้วยภาพของลูกน้อย ทารกเพศชายที่หลับใหลอยู่ในเปล ช่างถอดแบบมาจากเขาไม่มีผิด โดยไม่ต้องคิดตรวจดีเอ็นเอให้เสียเวลา เขาคือพ่อของเด็กคนนั้น และอีกไม่นานก็จะต้องกำพร้ามือสากกำราวเหล็กไว้แน่น ความเจ็บปวดแผ่ไปทั่วร่าง จนด้านชาไปทั้งตัว ไม่มีหนทางใหม่ และไร้ซึ่งทางออก แม้ตอนนี้อยากจะย้อนเวลากลับไปแค่ไหนก็ตาม คนอย่างเขาที่ไม่ใช่บ
กระจกบานใสหนาที่กั้นกลางระหว่างคนทั้งสองไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความรู้สึกเลย สัญชาตญาณแรกแห่งวินาทีที่เจอกันเข็มเวลาเหมือนหยุดเดิน ไม่คิดไม่ฝันคนตรงหน้าจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ เขามาได้อย่างไร? นั่นเป็นคำถามเดียววนเวียนในหัวเธอ“ระ ราล์ฟ..”เสียงใสครางชื่อ เจ้าของยืนขนานกันอีกฝั่ง เขาจ้องมองเธอในลักษณะท่าโน้มตัวลงมา ก่อนริมฝีปากจะค่อยๆคลี่ยิ้มให้อาจฝันไป..และเหมือนการกระทำของเธอจะน่าขำขับสำหรับเขา ถึงได้ฉีกยิ้มกว้างมากขึ้นกว่าเดิม หลังเธอหยิกแก้มตัวเองยืดออกอย่างบ้าคลั่งก๊อกๆเขาเคาะ ใช้ข้อนิ้วชี้กระทบกระจกสองสามที เป็นการช่วยให้เธอตื่น และยอมรับมันว่าภาพที่เห็นเป็นความจริง พลางชี้นิ้วไปทางประตูเป็นการแสดงทีท่าขอให้เธอเปิด“คุณ..”ซึ่งไม่นานเกินรอ เขายิ้มอีกครั้งหลังประตูถูกดึงเข้าไปพร้อมเสียงเรียกขานที่ไม่ได้ยินมานาน แม้ว่าจะได้มาด้วยเสียงสั่นเครือ กลับดังกังวานอยู่ในโซนสมอง หัวใจพองโตราวกับต้นไม้ที่ผ่านช่วงหน้าแล้งมาเจอฝนตกหมับ!ราล์ฟไม่รอรี ให้ประโยคต่อไปได้เอื้อนเอ่ย เขารวบร่างบางมากอด รัดกุมกระชับไว้แน่น....แน่นอนดวงตาที่กำลังขึงกว้าง บวกความรู้สึกตื่นตระหนกตกใจ ตอบสนองบางอย่าง
อีกหลายเดือนต่อมาระยะเวลาและกำลังใจของคนรอบข้าง บรรเทาอาการซึมเศร้าหลังคลอดของอินถาลงได้บ้าง บวกกับลูกของเธออยู่ในช่วงวัยเดินเตาะแตะและหัดพูดพอดี ความน่ารักและน่าเอ็นดูจึงค่อยๆละลายความรู้สึกที่เป็นอยู่ให้เจือจางหายไปวันนี้เป็นวันคริสต์มาส ครอบครัวของเธอเลือกที่จะเฉลิมฉลองแบบเล็กๆภายในบ้าน อาหารเต็มโต๊ะกว่าปกติพาคนทั้งหมดตื่นเต้นไม่น้อย แต่คงไม่เยอะไปกว่าพ่อเลี้ยงของเธอที่ดูตื่นเต้นกว่าผู้ใดในงาน คืนนี้ภารกิจสำคัญของเขาคือการอุ้มเจ้าหนูเอื้อมไปหยิบดาวบนยอดต้นคริสต์มาส แน่นอนเขาฝึกท่อนแขนให้มีความกำยำและทรงพลังเป็นอย่างดี อุตส่าห์ไม่ยกของหนักร่วมเป็นเดือนๆก็เพื่อวันนี้ โดยเลือกที่จะออกำลังกายเบาๆ ยืดเส้นยืดสายแทน“เอาล่ะโรแวน พร้อมหรือยัง”“พร้อมฮะ”เสียงหวานของเด็กน้อยที่เพิ่งจะผ่านวัยทารกพูดขึ้น เรียกรอยยิ้มอย่างเอ็นดูจากคนรอบข้างไม่น้อย อินถาเองก็ยิ้มตอบในทุกครั้งที่ลูกหันมามอง ประหนึ่งต้องการให้ผู้เป็นแม่ดูเขาและเชยชม“ว้าววว”“เก่งมากค่ะลูก”“สุดยอดไปเลยหลานยาย”เสียงดีใจและปรบมือดังขึ้นทันทีที่เขาทำได้ หญิงสาวหัวเราะระรื่นให้ลูกชายก่อนจะทิ้งแผ่นหลังพิงพนักเก้าอี้ที่นั่งเมื่อเขาล
เสียงจอแจที่ฟังไม่ได้ศัพท์ของผู้คนดังกระจายไปทั่วพื้นที่ เป็นเรื่องปกติของผู้คนในละแวกนี้ไปแล้วร่างสูงในลักษณะแต่งตัวมิดชิดก้มหน้าก้มตาเดินผ่านผู้คนซึ่งนั่งอยู่เป็นจุดและกลุ่มก้อนไปอย่างเงียบๆ โชคดีตรงพื้นที่นั้นเป็นสาธารณะเปิดให้คนเดินผ่านไม่ซ้ำหน้าสักคน จึงไม่มีใครสนใจเขาเท่าไหร่นัก คงมองว่าเป็นหนึ่งในลูกค้าที่มาซื้อบริการ“ถอยไปสิวะ เกะกะอยู่ได้!”บ่อยครั้งกับการปะทะกับคนเมา แล้วเกือบพลั้งทำร้ายเขา แต่นั่นเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งที่อยู่ในความคิด เขามักใช้กลบเกลื่อนความเหงาระหว่างเดินไปตามทางเดินไม่นานชะลอช้าและหยุดเมื่อถึงที่หมาย คือบ้านกึ่งปูนกึ่งไม้หลังหนึ่งตรงหน้า เขากวาดมองอยู่สักพักพร้อมพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะตัดสินใจผลักประตูเข้าไป แวบแรกที่เห็นทำให้ต้องแปลกใจไม่น้อย ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีอยู่จริง แบบบรรยากาศต่างลิบคนละอย่างกับข้างนอก“มาหาใครเหรอครับ”เสียงเด็กคนหนึ่งทักถาม ดวงตาใสแป๋วทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์ เพราะมันเหมือนกับดวงตาของใครคนหนึ่ง เขากลั้นหายใจ กว่าจะกลับมาเป็นปกติได้เกือบได้เขินอายต่อหน้าเด็กคนนั้น ทว่าแค่ดวงตาแดงก่ำใช่ว่าจะปกปิดความรู้สึกภายในทั้งหมดราล์ฟยิ้มมุม






Comments