เมืองหย่งกง...
ชาวเมืองได้จัดเทศกาลหมื่นโคมวิญญาณซึ่งตรงกับคืนจันทร์เต็มดวงของเดือนสิบ ในค่ำคืนนี้ โคมไฟนับพันลอยล่องเหนือแม่น้ำ เปล่งประกายแสงระยิบระยับ ส่องทางให้วิญญาณที่จากไปได้สู่ภพภูมิที่ดีขึ้น ผู้คนต่างมารวมตัวกันเพื่อร่วมพิธีอุทิศดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้ว
แต่ไม่ใช่แค่เพียงมนุษย์ที่มาร่วมเทศกาลนี้ มารบางตนก็แฝงตัวมาเพื่อแสวงหาพลังจากดวงวิญญาณที่ถูกอัญเชิญ พวกมันดูดกลืนวิญญาณเพื่อเสริมพลังให้ตนเอง
ข่าวลือกระจายไปทั่วเมืองว่าคืนนี้จะมีหญิงสาวที่มีมุกพลังจันทราเดินทางมาถึงเมืองแห่งนี้ และแน่นอน ไป๋เทียนหลง บุตรจ้าวแห่งจอมมาร ก็จะมาที่นี่เช่นกัน เขามาที่นี่เพื่อแสวงหามุกพลังจันทราไปให้ท่านจ้าวแห่งจอมมาร ผู้เป็นบิดาของเขา
ไป๋เทียนหลงปลอมตัวมาในชุดสีน้ำเงินลายครามสง่างาม เขายืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ถือโคมไฟที่ส่องแสงระยิบระยับในมือเพื่อลอยไปตามแม่น้ำ
แต่แล้วเขาก็พบกับหญิงสตรีผู้หนึ่ง นางเดินตรงเข้ามาหาเขา ความงามของนางสะกดทุกๆ สายตา นางงดงามราวกับดวงจันทรา ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนนางคือ มู่หลิน ผู้ที่เขาเคยพบในป่าครั้งนั้น
“นี่ท่านคือคนที่ข้าช่วยชีวิตท่านไว้ในป่าใช่หรือไม่?”
มู่หลินเอ่ยถามด้วยเสียงสงบ
“เจ้าจำข้าได้...ข้าต้องขอบคุณแม่นางอีกครั้ง” ไป๋เทียนหลงตอบกลับอย่างนุ่มนวล แต่ในดวงตาเขามีแสงแห่งความหลงใหลที่ต้องเก็บซ่อนไว้
“แล้วเหตุใดข้าจึงหมดสติอยู่ตรงนั้น?
ท่านทำอะไรกับข้ากัน?” มู่หลินถามต่อ ความสงสัยยังคงอยู่ในใจ
ไป๋เทียนหลงยิ้มบางๆ ขณะที่ตอบ
“แม่นางอย่าละเมอไปเลย ข้าและแม่นางแยกย้ายกันออกจากป่าโดยดีแล้ว”
มู่หลินครุ่นคิดสักพัก คำถามยังคงหมุนวนอยู่ในหัว
“ทำไมข้าไม่จำเหตุการณ์นั้นได้? เกิดอะไรขึ้นกับข้ากันแน่?”
ไป๋เทียนหลงมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม ก่อนที่จะรีบกล่าวอย่างรีบร้อน
“ไม่มีอันใดแล้วข้าขอตัว”
“เดี๋ยวก่อน ข้าชื่อมู่หลิน แล้วท่านชื่ออะไร”
“เรียกข้าว่าไป๋เทียนหลง ข้าขอตัว”
“ผู้ชายอะไร เย็นชาชะมัด ถือว่ามีหน้าตาดีหรืออย่างไร” นางพึมพำในลำคอ
ทันทีที่มู่หลินหันหลังเดินออกไป เหล่ามารปีศาจที่รอคอยอยู่นานก็เริ่มเคลื่อนไหว เหมือนจะได้กลิ่นพลังบริสุทธิ์จากตัวเธอ ปีศาจหมู, ปีศาจวัว ต่างปล่อยแสงพลังอันมืดมิดออกมา พุ่งไปที่ตัวมู่หลินอย่างไม่ทันตั้งตัว
โคมที่เธอถืออยู่ตกลงจากมือและมู่หลิงล้มลงไปกองกับพื้นทันที แสงพลังจากหมู่มารพุ่งเข้าใส่นางอีกครั้ง
ทันใดนั้น ไป๋เทียนหลงพุ่งเข้ามาบดบังแสงแห่งความชั่วร้ายจากเหล่าปีศาจ เขายืนนิ่งอยู่ข้างหน้ามู่หลิน ปล่อยพลังจอมมารใส่ปีศาจทันที
“พวกเจ้า...อย่าได้แตะต้องนางเด็ดขาด!”
เขากระซิบเสียงต่ำ แต่มันแฝงไปด้วยอำนาจที่ทำให้บรรยากาศรอบตัวหนาวเยือก
“พวกข้าผิดไปแล้วท่านจอมมาร! อภัยให้พวกข้าเถอะ!”
ปีศาจทั้งสองรีบหลบหนีไปทันที เมื่อเห็นพลังของไป๋เทียนหลงที่เต็มไปด้วยอำนาจและอาคมจากพลังจอมมารเก่งกล้า
เขาพยุงนางให้ลุกขึ้นยืนอย่างอ่อนโยน ดวงตาของเขามองนางด้วยความห่วงใยอย่างชัดเจน ริมฝีปากบอบบางของเขาเอ่ยคำถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
มู่หลินเงยหน้าขึ้นและยิ้มให้เขา แม้ว่าจะมีความเจ็บอยู่บ้าง แต่นางยังคงต้องทำเข้มแข็งอยู่
“ข้าไม่เป็นไร เมื่อครู่ที่ล้มลงไป ข้าแค่ไม่ได้ตั้งตัว ไม่อย่างนั้นปีศาจสองตนนั้นทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
เขายิ้มที่มุมปากเยาะนางอย่างน้อยๆ แต่ไม่ทันจะรู้ตัว มู่หลินก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เจ้ายิ้มอะไรไม่ทราบ?”
เขาหันมาสบตานาง แววตาของเขาเย็นชา แต่ในใจกลับมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่
“ข้าเปล่ายิ้ม เจ้าแค่คิดไปเอง”
เขากล่าวเสียงเรียบๆ
มู่หลินมองเขาด้วยความขบคิดแล้วกล่าวขอบคุณ
“ขอบคุณที่ช่วยข้า”
เขายักไหล่เล็กน้อยแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงทุ้มที่ไร้อารมณ์
“ข้าแค่ไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณเจ้า เราหายกันแล้ว” จากนั้นเขาก็เดินจากไปทันที
แต่ขณะที่เขาก้าวไปไม่ไกล มู่หลินกลับคว้าแขนเขาไว้ นางรู้สึกถึงความเครียดที่สะท้อนออกจากการกระทำของเขา เขาสะบัดมือของนางออกไปอย่างแรงจนทำให้นางรู้สึกเจ็บเล็กน้อย
“อย่าทำแบบนี้”
เขากล่าวด้วยเสียงเย็นชา ก่อนที่สายตาของเขาจะสะดุดกับบางสิ่งที่ข้อมือของเธอ เขาสังเกตเห็นกำไลหยกที่อยู่บนข้อมือของมู่หลิน พลังของมันบดบังพลังจากตัวนางไว้อย่างมิดชิด
“นางไม่ใช่คนธรรมดา...หรือมุกพลังจันทราจะอยู่กับนาง?”
เขากล่าวในใจด้วยความสงสัย
เขาหันมามองนางอีกครั้งก่อนเอ่ยเสียงเบา
“ข้ามาที่นี้ไม่มีสหาย เจ้ายอมเป็นสหายข้าจะถือว่าเป็นการตอบแทนที่ดี”
มู่หลินยิ้มบางๆ แล้วกล่าวกลับด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความไม่แน่ใจ
“ไหนเจ้าบอกว่าไม่อยากให้เรามีบุญคุณต่อกัน แล้วไยมาขอเป็นสหาย?”
เขามองเธอด้วยแววตาที่เป็นประกายเล็กน้อย แต่ก็ไม่ยอมตอบกลับ
“งั้นก็สุดแล้วแต่เจ้า ข้าไปล่ะ”
“เดี๋ยวๆ เป็นก็เป็น”
เสียงของมู่หลินเบาลงไปเมื่อเขาจะเดินจากไป แล้วความรู้สึกบางอย่างก็ฝังลึกในใจเธอ จิตใจของเธอรู้สึกได้ถึงความลึกลับของเขา มีบางอย่างที่ไม่เปิดเผย เขาแฝงไปด้วยพลังแห่งมาร ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เธออดกังวลไม่ได้ว่าหากเธอเข้าใกล้เขามากไป อาจจะเกี่ยวข้องกับจอมมาร
ทั้งสองเดินไปตามริมแม่น้ำ พวกเขาถือโคมพร้อมกันแล้วปล่อยให้มันลอยไปในน้ำ ทั้งคู่ยืนข้างกันมองแสงที่ส่องไกลออกไป ความรู้สึกอบอุ่นที่เกิดขึ้น
หลังจากนั้นพวกเขามาถึงตลาดที่มีสินค้าต่างๆ เรียงราย มู่หลินแวะเข้าร้านขายเครื่องประดับที่มีเครื่องประดับมากมาย แต่หนึ่งในนั้นดึงดูดความสนใจของมู่หลินทันที
“เดี๋ยวก่อน ข้าถูกใจปิ่นอันหนึ่งที่เป็นไข่มุกสีขาวประดับด้วยสะเก็ดดาวรายล้อม เปล่งประกายสวยสะดุดตาข้านัก”
มู่หลินพูดพลางจ้องไปที่ปิ่นที่วางอยู่บนแผง
“หากเจ้าอยากได้ ข้าจะซื้อมันให้กับเจ้า”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเอื้อเฟื้อ
มู่หลินส่ายหัวเบาๆ และพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความอารมณ์ขัน
“ไม่ต้อง ข้าซื้อเอง ท่านอย่าใช้ลูกไม้นี้มามัดใจข้าเลย ข้ารู้ทันเจ้า”
เขามองเธอด้วยสายตาเจ้าเล่ห์แล้วกล่าวออกมาทันที
“นี่เจ้าหลงตัวเองมากนัก ข้าไม่ได้คิดเยี่ยงนั้นสักครา”
เขาหยิบปิ่นจากมือมู่หลินแล้วปักมันลงที่ศีรษะของนางทันที ท่าทางของเขาแฝงไปด้วยความอ่อนโยนที่ไม่อาจปฏิเสธได้
ความรู้สึกอบอุ่นที่แผ่ซ่านจากการสัมผัสนั้นทำให้มู่หลินรู้สึกถึงการเชื่อมโยงบางอย่างที่ลึกซึ้ง
เขามองนางด้วยรอยยิ้มที่ไม่ค่อยได้เห็นมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข ที่มาพร้อมกับความทรงจำเกี่ยวกับแม่ของเขา เขาจำได้ดีว่าแค่รอยยิ้มนี้เท่านั้นที่เคยช่วยให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
แต่เมื่อเขานึกถึงชีวิตที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ ความรักที่เขาจะมอบให้กีบสตรีนั้นก็ยังคงเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจสัมผัสได้
“มู่หลิน ข้าจะกลับแล้ว”
เขากล่าวออกมาเสียงเบา และหันหลังเตรียมเดินจากไป
“แล้วเราจะได้เจอกันอีกหรือไม่?”
มู่หลินถามเสียงเบาในขณะที่ใจเธอรู้สึกปั่นป่วน
เขาหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่
“เราคงจะได้เจอกันอีก…”
ไป๋เทียนหลงกล่าวก่อนเดินจากไป ปล่อยให้มู่หลินมองตามแผ่นหลังชายที่เหมือนเคยรู้จักมานานแสนนาน
จวนไป๋เซียง...เสียงในจวนแตกตื่นเมื่อไป๋เทียนหลงลงมาจากฟ้า แสงสีดำอำมหิตจากร่างของเขาปกคลุมไปทั่ว เขามองดูทุกคนที่ยืนนิ่งด้วยความหวาดกลัว คนรับใช้ในจวนตกใจและตะโกนออกไป“ไปตามท่านแม่ทัพมาเร็ว จอมมารบุกจวนแล้ว!”ชายคนหนึ่งวิ่งไปตามหาท่านแม่ทัพไป๋เฉิงหลงผู้เป็นบิดาของไป๋เทียนหลงทันทีไป๋เฉิงหลงยืนนิ่งเมื่อได้ยินคำรายงานจากลูกน้อง กำปั้นของเขากำแน่น“เจ้าหายออกไปจากจวนข้า คิดว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร? ที่แท้เจ้าก็ไปเป็นมารอย่างนั้นหรือ? หึ...ช่างน่าเวทนาเสียจริง”“หุบปาก! คนใจร้ายอย่างท่านก็ไม่ได้ดีกว่าข้านักหรอก! เป็นสามีที่แย่ ปล่อยให้ภรรยาตัวเองถูกรังแกจนต้องตาย! วันนี้ข้าจะล้างแค้นให้กับท่านแม่ของข้า!”ไป๋เทียนหลงพูดด้วยเสียงกร้าวไป๋เฉิงหลงยิ้มเยาะ“หากเจ้าคิดว่าข้าเป็นเช่นนั้น...ก็มาฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่งเลย! ลูกชู้อย่างเจ้าก็ไม่ควรอยู่!”คำว่าลูกชู้นั้นทำให้ไป๋เทียนหลงเจ็บปวดในใจ ดวงตาของเขาร้อนระอุแดงก่ำ มองไปยังบิดาทันที พร้อมใช้วิชามารพลังสีดำพุ่งเข้าใส่ไป๋เฉิงหลงโดยตรง“อ๊าก...เจ้า...”ไป๋เฉิงหลงร้องลั่น ลงไปกองกับพื้นกระอักเลือดทันที“คุณชายใหญ่อย่าทำอย่างนี้เลยนะเจ้าค่ะ...เห็
“เซียวหาน ท่านเห็นศิษย์น้องหรือไม่? นี่ก็นานแล้วที่นางขอไปเดินตลาดคนเดียว ข้าเป็นห่วงนางจริงๆ”ซิวเหยาถามด้วยความกังวล ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความห่วงใย“เจ้าอย่าห่วงนางเลย นางมีวรยุทธและของวิเศษมากมาย ไม่มีใครสามารถทำอะไรนางได้หรอก”เซียวหานกล่าวเสียงเบา แล้วหันมามองนางอย่างอ่อนโยน“ว่าแต่...เจ้าอยากไปที่ใด ข้าจะพาเจ้าไปเอง”ซิวเหยายิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ ที่เขาทำให้รู้สึกอบอุ่นในใจ ทั้งคำพูดและการกระทำของเขากลับทำให้นางรู้สึกเหมือนมีคนที่พร้อมจะดูแลเสมอ“ท่านนี่ก็น่ารักดีนะ ดูใส่ใจข้าดี”ซิวเหยาพึมพำเบาๆ อย่างรู้สึกดี“เจ้าว่าอะไรนะ?”เซียวหานถามกลับด้วยท่าทีแปลกใจ แม้จะพยายามเก็บความรู้สึกไว้ แต่ในใจเขากลับเต็มไปด้วยความสงสัย“ข้าไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”นางรีบยิ้มแล้วหันไปมองร้านผลไม้ที่ตั้งอยู่ข้างหน้า "เอาไม้หนึ่ง"นางสั่งพ่อค้าเสียงดังอย่างร่าเริงเซียวหานไม่ลังเล เขาหยิบเงินจากถุงของตัวเองแล้วยื่นให้พ่อค้าทันที ทั้งสองยิ้มให้กัน ก่อนที่ซิวเหยาจะหันกลับไปหามองเขาอย่างดีใจ"ขอบคุณ!"นางยิ้มหวาน ตาเป็นประกาย พร้อมถือไม้ผลไม้ชุบน้ำตาลในมือไปด้วยอย่างอารมณ์ดีเซียวหานมองนางด้วยความพึงพอใจ
เมืองหย่งกง...ชาวเมืองได้จัดเทศกาลหมื่นโคมวิญญาณซึ่งตรงกับคืนจันทร์เต็มดวงของเดือนสิบ ในค่ำคืนนี้ โคมไฟนับพันลอยล่องเหนือแม่น้ำ เปล่งประกายแสงระยิบระยับ ส่องทางให้วิญญาณที่จากไปได้สู่ภพภูมิที่ดีขึ้น ผู้คนต่างมารวมตัวกันเพื่อร่วมพิธีอุทิศดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้วแต่ไม่ใช่แค่เพียงมนุษย์ที่มาร่วมเทศกาลนี้ มารบางตนก็แฝงตัวมาเพื่อแสวงหาพลังจากดวงวิญญาณที่ถูกอัญเชิญ พวกมันดูดกลืนวิญญาณเพื่อเสริมพลังให้ตนเองข่าวลือกระจายไปทั่วเมืองว่าคืนนี้จะมีหญิงสาวที่มีมุกพลังจันทราเดินทางมาถึงเมืองแห่งนี้ และแน่นอน ไป๋เทียนหลง บุตรจ้าวแห่งจอมมาร ก็จะมาที่นี่เช่นกัน เขามาที่นี่เพื่อแสวงหามุกพลังจันทราไปให้ท่านจ้าวแห่งจอมมาร ผู้เป็นบิดาของเขาไป๋เทียนหลงปลอมตัวมาในชุดสีน้ำเงินลายครามสง่างาม เขายืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ถือโคมไฟที่ส่องแสงระยิบระยับในมือเพื่อลอยไปตามแม่น้ำแต่แล้วเขาก็พบกับหญิงสตรีผู้หนึ่ง นางเดินตรงเข้ามาหาเขา ความงามของนางสะกดทุกๆ สายตา นางงดงามราวกับดวงจันทรา ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนนางคือ มู่หลิน ผู้ที่เขาเคยพบในป่าครั้งนั้น“นี่ท่านคือคนที่ข้าช่วยชีวิตท่านไว้ในป่าใช่หรือไม่?”มู่หลินเอ่ยถามด้ว
เขาไท่ซวน …"มู่หลิน เหตุใดเจ้าถึงไปนอนหมดสติอยู่กลางป่าลึกขนาดนั้น มันเกิดอะไรขึ้น?"ซิวเหยาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย ขณะที่สายตาของนางจ้องไปยังมู่หลินด้วยความสงสัย"ข้าจำได้ว่าข้าช่วยชายคนหนึ่ง แล้วอยู่ ๆ ก็เหมือนมีอะไรสักอย่างทำให้ข้าสลบไป"มู่หลินตอบเสียงเบา สายตาหลบเล็กน้อย ขณะที่ระลึกถึงเหตุการณ์ในป่านั้น"แล้วตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?"เซียวหานถามอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวลที่ไม่สามารถปกปิดได้"ข้าดีขึ้นแล้ว ศิษย์พี่ทั้งสองไม่ต้องกังวล"มู่หลินยิ้มบาง ๆ ตอบรับคำถามนั้น เธอรู้ดีว่าทั้งสองคนห่วงใยเธอมากแค่ไหนเซียวหานและซิวเหยาเป็นศิษย์ผู้ที่ได้รับการฝึกฝนจากนักพรตอี้เซียน ผู้มีวิชา และวรยุทธเก่งกล้า ทั้งสองต่างเป็นผู้ที่มีทักษะในการปราบมารอย่างยอดเยี่ยมโดยเฉพาะเซียวหานที่มีอาวุธคู่กายเป็นกระบี่ปราบมาร "ทยาลกันต์" ซึ่งกระบี่เล่มนี้มีพลังอันแข็งแกร่ง เพราะถูกหลอมด้วยเหล็กกล้าสวรรค์และไฟอเวจี ใช้โลหิตของเซียนทั้งแปดขณะที่ซิวเหยาก็มีอาวุธเป็นพัดเพลงแห่งลม พัดที่มีพลังจากเสียงเพลงของลม เมื่อกางออกเสียงเพลงจากพัดนี้จะสะท้อนคลื่นเสียงที่มีพลังคมดังมีดกรีด
ณ เขาไท่ซวน ภายใต้เงาจันทร์ที่ส่องแสงเย็นตา ลมภูเขาพัดเอื่อยไล้ใบไม้ให้เอนไหวเป็นจังหวะเงียบสงบท่ามกลางสวนดอกโบตั๋นที่ผลิบานในยามราตรีนักพรต"อี้เซียน"ยืนสงบนิ่งอยู่กลางสวนเบื้องหน้าดอกโบตั๋นศักดิ์สิทธิ์ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าผ่าลงกลางดอกโบตั๋นดอกโตเป็นพิเศษ เรือนแสงสว่างจ้ากลีบดอกโบตั๋นสีเงินเรืองรองก็พลิ้วไหว สายลมพัดวนรอบดอกไม้ ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติปรากฏขึ้น ร่างของสตรีผู้หนึ่งปรากฏขึ้นทันใดนั้น นางปรากฏกายขึ้นด้วยใบหน้างดงาม ร่างระหง ผมยาวสลวยไหลลงอาบแผ่นหลัง ดวงตากลมดำใสดั่งดวงดาวบนฟากฟ้าในคืนมืด ผิวพรรณขาวผ่องละมุนราวหิมะ ร่างระหงดูประหนึ่งนางฟ้าจากสรวงสวรรค์นางสวมใส่อาภรณ์สีขาวเงินอ่อน นุ่มพลิ้วไหวไปตามลม ราวกับปุยเมฆที่ล่องลอยในท้องฟ้า"เจ้าคือ...มู่หลิน" นักพรตอี้เซียนเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความเมตตาหญิงสาวกะพริบตา มองเขาด้วยความสงสัยก่อนจะเผยรอยยิ้มสดใสออกมา"ท่านอาจารย์? ข้า...มู่หลินหรือ?""ใช่แล้ว เจ้าถือกำเนิดจากโบตั๋นศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้ที่ถูกลิขิตให้เกิดมา"นักพรตเฒ่ายิ้มบาง ๆ สายตาอ่านผ่านโชคชะตาของนางได้เพียงเล็กน้อย รู้แต่ว่านางมิใช่ผู้ธรรมดานางถือกำเนิดมาพ
จวนไป๋เซียง...แม่ทัพไป๋เฉิงหลง แม่ทัพผู้เกรียงไกรแห่งเมืองหย่งกง มีฮูหยินสองคน ซูเหม่ยหลานเป็นฮูหยินใหญ่ นางได้ให้กำเนิดบุตรชายชื่อไป๋เทียนหลง ทั้งสองแม่ลูกใช้ชีวิตในจวนอย่างโดดเดี่ยว เพราะคำใส่ร้ายของจ้าวหงหลิง ฮูหยินรองแห่งจวนไป๋เซียงเมื่อครั้งที่แม่ทัพไป๋เฉิงหลงมีความรักในตัวซูเหม่ยหลาน แต่ทว่า นางกลับมีใจให้แก่ชายอื่นอยู่แล้ว ทว่า ด้วยคุณงามความดีจากการชนะศึกมาได้ จึงขอพระราชทานสมรสจากฮ่องเต้ เพื่อให้ซูเหม่ยหลานเข้ามาเป็นฮูหยินแห่งจวนไป๋เซียงการแต่งงานจึงเป็นไปตามพระราชโองการโดยมิอาจขัดขืนได้ นางจึงต้องแต่งงานอยู่กินกับแม่ทัพไป๋เฉิงหลงแต่ด้วยการที่แม่ทัพต้องออกไปทำสงครามบ่อยครั้ง จึงมีคนสร้างเรื่องขึ้นมาโดยอ้างว่า บุตรชายของซูเหม่ยหลานไม่ใช่บุตรแท้ของแม่ทัพแต่เป็นบุตรของคนรักเก่าของนาง ซึ่งทำให้แม่ทัพไป๋เฉิงหลงเกิดความไม่พอใจ ทุกครั้งที่มองเห็นบุตรของตน ก็รู้สึกเคียดแค้นในใจ ทำให้ไป๋เทียนหลงต้องกลายเป็นเด็กที่ไม่ได้รับความรักจากพ่อแท้ ๆ สองแม่ลูกใช้ชีวิตอยู่ในจวนอย่างขมขื่นบรรยากาศยามเช้าในจวนไป๋เซียงเต็มไปด้วยความเงียบสงบและความเยือกเย็นที่แผ่กระจายไปทั่ว เสียงนกร้องดังแว่ว
ห้องบรรทมเยว์ซิน เทพแห่งจันทรา“เร็วซือเหยามาช่วยข้า ท่านพ่อ ท่านแม่เรียกหาข้าแล้ว”“เพคะธิดาเทพ”ซือเหยาช่วยเยว์ซินแต่งองค์ให้สง่างามสมกับที่เป็นเทพธิดาแห่งจันทราของสวรรค์ แม้นางจะเป็นหญิงตัวเล็ก ๆ แสนซน แต่หน้าที่ของนางนั้นยิ่งใหญ่นัก คำสั่งของสวรรค์นั้นไม่อาจละเลยได้“ธิดาเทพแห่งจันทราเจ้าไปที่ใดมา ทำไมหมู่นี้ข้าไม่เจอเจ้ามาที่ท้องพระโรงเลย”เสียงท่านเฮ่าเทียนตี้จุนผู้เป็นบิดาดังขึ้นในห้อง ท่าทางตื่นตระหนกเล็กน้อย“ท่านพ่อเพคะ ข้าเป็นเทพธิดาตัวเล็ก ๆ จะไปไหนได้เพคะ อยู่ได้แค่สวนในสรวงสวรรค์เท่านั้นเพคะ”เยว์ซินพูดพลางยิ้ม ตอบคำถามของบิดา“ท่านพี่ก็อย่าว่าลูกเลย นางก็มีกิจของนาง”ตี้หย่งเหอกล่าวปกป้องธิดาของตนทันที เยว์ซินมองตามารดาแล้วยิ้มอบอุ่นที่เห็นมารดาปกป้องนางจนถึงขนาดนี้“ท่านแม่เข้าใจลูกที่สุด”เยว์ซินเข้าไปกอดมารดาของนางอย่างออดอ้อน“ถ้าท่านพ่อไม่มีอะไรจะตรัสกับข้าแล้ว ข้าขอตัวก่อนนะเพคะ”เยว์ซินยกมือประสานคารวะผู้เป็นบิดาและมารดาอย่างนอบน้อม จากนั้นนางหมุนตัวเพื่อเดินจากไปจนถึงประตูแต่ทันใดนั้นก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อคนที่เดินตรงเข้ามาผู้นั้นคือ จิ่นหลิง“ท่านมาที่นี่ได้อย
เยว์ซินได้จัดการปีศาจแมงป่องจนสิ้นซากเป็นที่เรียบร้อย ค่ำคืนนี้ทั้งสองยังคงพักอยู่ที่นี่ ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงรายงานจากซือเหยาดังขึ้นหลังจากไปสำรวจรอบๆ กระท่อม“ธิดาเทพเพคะ ข้างหลังกระท่อมมีโครงกระดูกมนุษย์มากมายเต็มไปหมด คาดว่าผู้คนคงถูกหลอกล่อให้มายังหุบเขานี้เพื่อดูดกลืนพลังวิญญาณบริสุทธิ์ กะโหลกส่วนใหญ่เป็นกะโหลกของเด็กๆ ทั้งนั้น”เยว์ซินโกรธแค้นยิ่งนักเมื่อได้ยินรายงานนี้ ปีศาจชั่วร้ายเช่นนี้ไม่ควรปล่อยไว้“เรื่องนี้ข้าไม่อาจนิ่งเฉยได้! รุ่งสางข้าจะต้องเข้าไปในถ้ำของหุบเขานี้ให้ได้ คืนนี้เจ้าพักผ่อนเสียเถอะ เหนื่อยมามากแล้ว โลกมนุษย์ไม่เหมือนสวรรค์ ทุกการกระทำต้องใช้พลังจากร่างกาย ทำให้เราเหนื่อยล้าได้”รุ่งสางทั้งสองเดินทางเข้าไปในหุบเขาผีเสื้อดำ เส้นทางแคบ ๆ เต็มไปด้วยกลิ่นดอกลมหายใจปีศาจที่ลอยคลุ้งไปทั่วอากาศ ทั้งสองใช้ผ้าปิดจมูกแน่นหนา เพราะหากสูดดมกลิ่นเข้าไปเพียงแค่ครู่เดียว ร่างกายจะค่อยๆ แข็งทื่อ หัวใจเต้นช้าลง จนกลายเป็นร่างไร้วิญญาณ“ดอกไม้ที่นี่ล้วนมีพิษทั้งนั้น ระวังตัวด้วยนะ ซือเหยา” เยว์ซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่กังวลซือเหยาพยักหน้า ก่อนที่ทั้งสองจะเดินลึกเข้าไป
บรรยากาศบนสรวงสวรรค์เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม เหล่าเทพเซียนจากทั่วทุกชั้นฟ้าได้รวมตัวกัน ณ ท้องพระโรงแห่งสวรรค์ เพื่อหารือถึงวิกฤตที่กำลังคุกคามทั้งโลกมนุษย์และแดนสวรรค์เหนือบัลลังก์ทองคำ เฮ่าเทียนตี้จุน จักรพรรดิผู้ครองสวรรค์ ทรงเปล่งสุรเสียงหนักแน่น สะท้อนก้องไปทั่วท้องพระโรง“บัดนี้ หมู่มารได้บังอาจบุกรุก ทำลายและครอบครองโลกมนุษย์ มิหนำซ้ำ ยังลามปามขึ้นมาก่อกวนยังสรวงสวรรค์! พวกเราจะนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้! จะต้องหาทางกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก!”เฮ่าเทียนตี้จุนผู้ปกครองสวรรค์กล่าวเสียงสนทนาอื้ออึงของเหล่าเทพเซียนดังกระหึ่มด้วยความกังวล เทพแห่งสงครามผู้ทรงพลังที่สุดในบรรดาเทพนักรบลุกขึ้น ประสานมือคารวะจักรพรรดิอย่างเคร่งขรึม“องค์จักรพรรดิ ข้าได้ส่งบุตรชายของข้าลงไปสำรวจโลกมนุษย์แล้ว” เสียนเทียนกล่าว“เขาเป็นเทพแห่งสงครามที่เก่งกาจยิ่งนัก ข้ายินดีจะให้เขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพสวรรค์ในการศึกครั้งนี้”เฮ่าเทียนตี้จุนพยักหน้าช้า ๆ ดวงเนตรเปล่งประกายทรงอำนาจ“ดีมาก อย่างไรก็ดี พวกเจ้าจะต้องช่วยกันเฝ้าระวังปกป้องทั้งโลกมนุษย์และสวรรค์ ข้าจะไม่ยอมให้หมู่มารเหิมเกริมไปมากกว่านี้”ขณะที่เหล่าเทพสนทนา