เมื่อรักระหว่างเทพ... กลายเป็นหายนะแห่งจักรวาล เพียงเพราะ “เทพแห่งจันทรา” รักกับ “เทพแห่งสงคราม” รักต้องห้าม... ทำให้จักรวาลพังทลาย! เพื่อชดใช้ความรักต้องห้าม ทั้งสองจึงถูกลงโทษให้เวียนว่ายสามภพสามชาติ สามภพสามชาติ🌕 จาก🌸 “เงามารแห่งดอกโบตั๋น” (ภพแรก) 🖤 “รักนี้...ใต้เงาแค้น” (ภพที่สอง) จวบจน 🧡 “ลิขิตรัก (ยุคปัจจุบัน) ” ที่โชคชะตาจะเป็นผู้ตัดสิน... ว่าทั้งสองจะฟันฝ่าอุปสรรค์เพื่อกลับมารักกันได้อีกครั้งหรือไม่ (ภพที่สาม)
ดูเพิ่มเติมบรรยากาศบนสรวงสวรรค์เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม เหล่าเทพเซียนจากทั่วทุกชั้นฟ้าได้รวมตัวกัน ณ ท้องพระโรงแห่งสวรรค์ เพื่อหารือถึงวิกฤตที่กำลังคุกคามทั้งโลกมนุษย์และแดนสวรรค์
เหนือบัลลังก์ทองคำ เฮ่าเทียนตี้จุน จักรพรรดิผู้ครองสวรรค์ ทรงเปล่งสุรเสียงหนักแน่น สะท้อนก้องไปทั่วท้องพระโรง
“บัดนี้ หมู่มารได้บังอาจบุกรุก ทำลายและครอบครองโลกมนุษย์ มิหนำซ้ำ ยังลามปามขึ้นมาก่อกวนยังสรวงสวรรค์! พวกเราจะนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้! จะต้องหาทางกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก!”
เฮ่าเทียนตี้จุนผู้ปกครองสวรรค์กล่าว
เสียงสนทนาอื้ออึงของเหล่าเทพเซียนดังกระหึ่มด้วยความกังวล เทพแห่งสงครามผู้ทรงพลังที่สุดในบรรดาเทพนักรบลุกขึ้น ประสานมือคารวะจักรพรรดิอย่างเคร่งขรึม
“องค์จักรพรรดิ ข้าได้ส่งบุตรชายของข้าลงไปสำรวจโลกมนุษย์แล้ว” เสียนเทียนกล่าว
“เขาเป็นเทพแห่งสงครามที่เก่งกาจยิ่งนัก ข้ายินดีจะให้เขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพสวรรค์ในการศึกครั้งนี้”
เฮ่าเทียนตี้จุนพยักหน้าช้า ๆ ดวงเนตรเปล่งประกายทรงอำนาจ
“ดีมาก อย่างไรก็ดี พวกเจ้าจะต้องช่วยกันเฝ้าระวังปกป้องทั้งโลกมนุษย์และสวรรค์ ข้าจะไม่ยอมให้หมู่มารเหิมเกริมไปมากกว่านี้”
ขณะที่เหล่าเทพสนทนากันอย่างเคร่งเครียดนั้นเย่ว์ซิน เทพแห่งจันทรา เป็นธิดาแห่งจักรพรรดิผู้ครองสวรรค์ นั่งอยู่เงียบ ๆ
แม้ภายนอกจะดูสงบ แต่ภายในใจของเย่ว์ซินกลับปั่นป่วน เธอหลงใหลโลกมนุษย์เสมอมา ดวงตาของเธอทอดมองลงไปยังเบื้องล่าง ฝ่ามือบีบกันแน่นอย่างลังเล
“เหล่าเทพกังวลเรื่องศึกสงคราม...แต่ไม่มีผู้ใดใส่ใจชะตากรรมของมนุษย์ที่กำลังทุกข์ทรมาน”
เธอรำพึงกับตนเองในใจแม้ว่ากฎสวรรค์จะเข้มงวด ไม่อนุญาตให้เทพลงไปยังโลกมนุษย์โดยพลการ แต่เย่ว์ซินก็ตัดสินใจแน่วแน่ เธอจะต้องลงไปดูด้วยตาของตัวเอง ว่ามนุษย์ต้องเผชิญกับอะไรกันแน่
เธอเงยหน้าขึ้น แอบลอบถอนหายใจ ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นและหายตัวไปจากที่ประชุม
นางกำนัลเดินตามธิดาเทพไปยังห้องบรรทมอย่างเงียบงัน
เยว์ซินเป็นธิดาเทพผู้เลอโฉม ร่างบางของนางงดงามดุจดวงจันทร์ที่ทอแสงเจิดจรัสไร้สิ่งใดเทียบเทียม นางปลดอาภรณ์สีเงินระยิบระยับราวแสงแห่งรัตติกาลออกจากกาย พร้อมถอดมงกุฎประดับมุกจันทราสีเงินเหลือบฟ้า และคู่กำไลเงินสลักลายเสี้ยวพระจันทร์และหมู่ดาว ทุกครั้งที่ธิดาเทพขยับ กำไลเหล่านั้นจะสะท้อนแสงเป็นประกายระยิบระยับดั่งดาวบนฟากฟ้า
นางค่อยๆ ปลดต่างหูคริสตัลจันทราเส้นเล็กที่ดูราวกับดาวตกออกจากใบหู และสวมอาภรณ์สีฟ้าเรียบง่ายแทน สิ่งเดียวที่ยังคงติดกายนางตลอดคือแหวนไข่มุกจันทรา อัญมณีที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เกิด และไม่เคยถูกถอดออก
"ธิดาเทพจะเสด็จไปที่ใดเพคะ?"
ซือเหยา นางกำนัลคนสนิทเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
"ข้าจะลงไปยังโลกมนุษย์ เจ้าจะติดตามไปด้วยหรือไม่ ซือเหยา?"
เยว์ซินถามกลับ สายตานิ่งสงบแต่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน
"ที่ใดที่ธิดาเทพเสด็จ หม่อมฉันย่อมตามไปเพคะ"
ซือเหยาตอบหนักแน่น
เยว์ซินยิ้มจางๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ "ดี ข้าจะไปยังหุบเขาผีเสื้อดำ อยากรู้ว่าที่นั่นมีหมู่มารและเหล่าเซียนชุมนุมกันมากเพียงใดอย่างที่ร่ำลือกันหรือไม่"
"ที่นั่นอันตรายเพคะ! พระองค์สูญเสียพลังไปครึ่งหนึ่งเมื่อลงมายังโลกมนุษย์ พวกมารย่อมไม่ปล่อยโอกาสนี้แน่!" ซือเหยากล่าวเตือน สีหน้าเคร่งเครียด
เยว์ซินหัวเราะเบาๆ "ข้าอ่อนแอเพียงนั้นเชียวหรือ? แม้พลังแห่งดวงจันทร์ของข้าจะใช้ไม่ได้ในยามกลางวัน แต่เมื่อตกค่ำ...มันคือเวลาของข้า เจ้าห่วงอันใดกัน ตัวเจ้าเองก็มีพลังมนตราไม่น้อย อย่าขลาดนักเลย"
กล่าวจบ เยว์ซินหันหลัง ก้าวเดินไปยังประตูสวรรค์ที่ถูกปกปักโดยมังกรเทพ มังกรทองตัวยาวสง่าสะบัดลำตัวราวกับสายลมทองคำ เกล็ดของมันสะท้อนแสงเจิดจ้า แต่นางไม่รีรอ ใช้ม่านพลังรัตติกาลบดบังร่างจนไร้ร่องรอย ก่อนลอดผ่านประตูและหายไปจากสวรรค์ในพริบตา...
ทันทีที่เท้าแตะพื้นโลกมนุษย์ กระแสพลังบริสุทธิ์ของนางแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ เหล่าหมู่มารสะดุ้ง สัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่ไม่เคยมีมาก่อน
หุบเขาผีเสื้อดำ
ท่ามกลางม่านหมอกสีเทาที่ลอยคลุ้งปกคลุมราวกับม่านแห่งความลี้ลับ ลึกเข้าไปในหุบเขาผีเสื้อดำ มีสวนดอกไม้ต้องมนตร์ซ่อนอยู่ พื้นดินเย็นเยียบราวถูกแช่แข็งด้วยไอวิญญาณ และแม้ว่าดอกไม้ที่นี่จะมอดไหม้ในความมืดมิด ทว่าเมื่อเยว์ซินมาถึง...พวกมันกลับเบ่งบานขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์
เหล่าเซียนและหมู่มารสัมผัสได้ถึงพลังบริสุทธิ์จากดวงจันทร์ แต่ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นของผู้ใด
"ที่นี่เงียบจนน่าขนลุก ขนาดตอนกลางวันยังดูอันตราย ซือเหยา...ระวังตัวด้วย"
"เจ้าค่ะ ธิดาเทพ"
"ต่อไปให้เรียกข้าว่า เยว์ซิน เราเป็นพี่น้องกัน จงจำไว้"
"ได้...เยว์ซิน"
"ดีมาก"
ดอกเถาวัลย์วิญญาณเลื้อยทอดตัวไปทั่วหุบเขา หากเข้าไปใกล้จะได้ยินเสียงกระซิบจากวิญญาณที่เวียนว่ายอยู่ในนั้น
"ดอกไม้นี้สวยจังเลย เยว์ซิน" ซือเหยาเดินเข้าไปใกล้ดอกไม้สีฟ้าหม่นที่เปล่งแสงระยิบระยับ นางเอื้อมมือออกไปจะสัมผัส แต่ชะงักเมื่อเยว์ซินกล่าวเตือน
"ห้ามจับเด็ดขาด! นั่นคือดอกครวญคร่ำ ผู้ใดสัมผัสมันจะได้ยินเสียงกระซิบของวิญญาณอยู่ในหูตลอดเวลา จนเสียสติไปในที่สุด"
ซือเหยาหน้าถอดสี "ตายแล้ว! ที่นี่น่ากลัวจริงๆ ขนาดกลางวันยังชวนขนลุก กลางคืนจะรอดหรือไม่ก็ไม่รู้!"
"เราเดินไปอีกหน่อย ข้ารู้สึกถึงกลิ่นอายมนุษย์จำนวนมากที่ต้องการความช่วยเหลือ แต่ข้าไม่แน่ใจว่าพวกเขาอยู่ตรงไหนของหุบเขานี้"
ทั้งสองเดินต่อไปจนพบกระท่อมเก่าๆ หลังหนึ่ง ซึ่งมีหญิงชราและชายชราสองผัวเมียอาศัยอยู่
"ที่นี่มีผู้ใดอยู่หรือไม่? พวกเราหลงทาง ขอความช่วยเหลือด้วย!" ซือเหยาตะโกนเรียก
เสียงแหบพร่าของหญิงชราดังขึ้น "นี่ก็มืดค่ำแล้ว สองแม่นางมาจากที่ใดกัน เวลานี้ไม่มีใครกล้าออกมาเดินเพ่นพ่านในหุบเขาผีเสื้อดำหรอกนะ"
"พวกข้าหลงทางมา ขออาศัยอยู่สักคืนได้หรือไม่?" เยว์ซินกล่าว
หญิงชรายิ้มกว้าง "ได้สิ นังหนู พวกเจ้ามาเหนื่อยๆ เข้ามาพักเถอะ ข้ามีซุปข้าวให้รองท้อง"
หญิงชราเดินออกไปพร้อมรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยลางร้าย ซือเหยาหยิบถ้วยน้ำแกงขึ้นมาเตรียมดื่ม แต่เยว์ซินรีบเอ่ยขึ้น
"หากเจ้าดื่มเข้าไป ร่างกายของเจ้าจะขยับไม่ได้ พิษจะเผาไหม้กระดูกจนแหลกเป็นผุยผงในคืนเดียว... นั่นคือพิษแมงป่องปีศาจ"
ซือเหยาตัวสั่น รีบเทซุปทิ้งทันที
ไม่นาน พ่อเฒ่าแม่เฒ่าเผยร่างแท้จริงเป็นปีศาจแมงป่องหวังดูดกลืนพลังวิญญาณ แต่ทันทีที่พวกมันเริ่มลงมือ แหวนไข่มุกจันทราก็เปล่งแสงสว่างจ้า
"คิดจะดูดพลังจากข้างั้นหรือ? ฝันไปเถอะ!"
เยว์ซินใช้วงเวทย์จันทราสะกดปีศาจทั้งสองไว้ในลูกแก้วทันที ซือเหยาถอนหายใจอย่างโล่งอก...
จวนไป๋เซียง...เสียงในจวนแตกตื่นเมื่อไป๋เทียนหลงลงมาจากฟ้า แสงสีดำอำมหิตจากร่างของเขาปกคลุมไปทั่ว เขามองดูทุกคนที่ยืนนิ่งด้วยความหวาดกลัว คนรับใช้ในจวนตกใจและตะโกนออกไป“ไปตามท่านแม่ทัพมาเร็ว จอมมารบุกจวนแล้ว!”ชายคนหนึ่งวิ่งไปตามหาท่านแม่ทัพไป๋เฉิงหลงผู้เป็นบิดาของไป๋เทียนหลงทันทีไป๋เฉิงหลงยืนนิ่งเมื่อได้ยินคำรายงานจากลูกน้อง กำปั้นของเขากำแน่น“เจ้าหายออกไปจากจวนข้า คิดว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร? ที่แท้เจ้าก็ไปเป็นมารอย่างนั้นหรือ? หึ...ช่างน่าเวทนาเสียจริง”“หุบปาก! คนใจร้ายอย่างท่านก็ไม่ได้ดีกว่าข้านักหรอก! เป็นสามีที่แย่ ปล่อยให้ภรรยาตัวเองถูกรังแกจนต้องตาย! วันนี้ข้าจะล้างแค้นให้กับท่านแม่ของข้า!”ไป๋เทียนหลงพูดด้วยเสียงกร้าวไป๋เฉิงหลงยิ้มเยาะ“หากเจ้าคิดว่าข้าเป็นเช่นนั้น...ก็มาฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่งเลย! ลูกชู้อย่างเจ้าก็ไม่ควรอยู่!”คำว่าลูกชู้นั้นทำให้ไป๋เทียนหลงเจ็บปวดในใจ ดวงตาของเขาร้อนระอุแดงก่ำ มองไปยังบิดาทันที พร้อมใช้วิชามารพลังสีดำพุ่งเข้าใส่ไป๋เฉิงหลงโดยตรง“อ๊าก...เจ้า...”ไป๋เฉิงหลงร้องลั่น ลงไปกองกับพื้นกระอักเลือดทันที“คุณชายใหญ่อย่าทำอย่างนี้เลยนะเจ้าค่ะ...เห็
“เซียวหาน ท่านเห็นศิษย์น้องหรือไม่? นี่ก็นานแล้วที่นางขอไปเดินตลาดคนเดียว ข้าเป็นห่วงนางจริงๆ”ซิวเหยาถามด้วยความกังวล ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความห่วงใย“เจ้าอย่าห่วงนางเลย นางมีวรยุทธและของวิเศษมากมาย ไม่มีใครสามารถทำอะไรนางได้หรอก”เซียวหานกล่าวเสียงเบา แล้วหันมามองนางอย่างอ่อนโยน“ว่าแต่...เจ้าอยากไปที่ใด ข้าจะพาเจ้าไปเอง”ซิวเหยายิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ ที่เขาทำให้รู้สึกอบอุ่นในใจ ทั้งคำพูดและการกระทำของเขากลับทำให้นางรู้สึกเหมือนมีคนที่พร้อมจะดูแลเสมอ“ท่านนี่ก็น่ารักดีนะ ดูใส่ใจข้าดี”ซิวเหยาพึมพำเบาๆ อย่างรู้สึกดี“เจ้าว่าอะไรนะ?”เซียวหานถามกลับด้วยท่าทีแปลกใจ แม้จะพยายามเก็บความรู้สึกไว้ แต่ในใจเขากลับเต็มไปด้วยความสงสัย“ข้าไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”นางรีบยิ้มแล้วหันไปมองร้านผลไม้ที่ตั้งอยู่ข้างหน้า "เอาไม้หนึ่ง"นางสั่งพ่อค้าเสียงดังอย่างร่าเริงเซียวหานไม่ลังเล เขาหยิบเงินจากถุงของตัวเองแล้วยื่นให้พ่อค้าทันที ทั้งสองยิ้มให้กัน ก่อนที่ซิวเหยาจะหันกลับไปหามองเขาอย่างดีใจ"ขอบคุณ!"นางยิ้มหวาน ตาเป็นประกาย พร้อมถือไม้ผลไม้ชุบน้ำตาลในมือไปด้วยอย่างอารมณ์ดีเซียวหานมองนางด้วยความพึงพอใจ
เมืองหย่งกง...ชาวเมืองได้จัดเทศกาลหมื่นโคมวิญญาณซึ่งตรงกับคืนจันทร์เต็มดวงของเดือนสิบ ในค่ำคืนนี้ โคมไฟนับพันลอยล่องเหนือแม่น้ำ เปล่งประกายแสงระยิบระยับ ส่องทางให้วิญญาณที่จากไปได้สู่ภพภูมิที่ดีขึ้น ผู้คนต่างมารวมตัวกันเพื่อร่วมพิธีอุทิศดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้วแต่ไม่ใช่แค่เพียงมนุษย์ที่มาร่วมเทศกาลนี้ มารบางตนก็แฝงตัวมาเพื่อแสวงหาพลังจากดวงวิญญาณที่ถูกอัญเชิญ พวกมันดูดกลืนวิญญาณเพื่อเสริมพลังให้ตนเองข่าวลือกระจายไปทั่วเมืองว่าคืนนี้จะมีหญิงสาวที่มีมุกพลังจันทราเดินทางมาถึงเมืองแห่งนี้ และแน่นอน ไป๋เทียนหลง บุตรจ้าวแห่งจอมมาร ก็จะมาที่นี่เช่นกัน เขามาที่นี่เพื่อแสวงหามุกพลังจันทราไปให้ท่านจ้าวแห่งจอมมาร ผู้เป็นบิดาของเขาไป๋เทียนหลงปลอมตัวมาในชุดสีน้ำเงินลายครามสง่างาม เขายืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ถือโคมไฟที่ส่องแสงระยิบระยับในมือเพื่อลอยไปตามแม่น้ำแต่แล้วเขาก็พบกับหญิงสตรีผู้หนึ่ง นางเดินตรงเข้ามาหาเขา ความงามของนางสะกดทุกๆ สายตา นางงดงามราวกับดวงจันทรา ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนนางคือ มู่หลิน ผู้ที่เขาเคยพบในป่าครั้งนั้น“นี่ท่านคือคนที่ข้าช่วยชีวิตท่านไว้ในป่าใช่หรือไม่?”มู่หลินเอ่ยถามด้ว
เขาไท่ซวน …"มู่หลิน เหตุใดเจ้าถึงไปนอนหมดสติอยู่กลางป่าลึกขนาดนั้น มันเกิดอะไรขึ้น?"ซิวเหยาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย ขณะที่สายตาของนางจ้องไปยังมู่หลินด้วยความสงสัย"ข้าจำได้ว่าข้าช่วยชายคนหนึ่ง แล้วอยู่ ๆ ก็เหมือนมีอะไรสักอย่างทำให้ข้าสลบไป"มู่หลินตอบเสียงเบา สายตาหลบเล็กน้อย ขณะที่ระลึกถึงเหตุการณ์ในป่านั้น"แล้วตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?"เซียวหานถามอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวลที่ไม่สามารถปกปิดได้"ข้าดีขึ้นแล้ว ศิษย์พี่ทั้งสองไม่ต้องกังวล"มู่หลินยิ้มบาง ๆ ตอบรับคำถามนั้น เธอรู้ดีว่าทั้งสองคนห่วงใยเธอมากแค่ไหนเซียวหานและซิวเหยาเป็นศิษย์ผู้ที่ได้รับการฝึกฝนจากนักพรตอี้เซียน ผู้มีวิชา และวรยุทธเก่งกล้า ทั้งสองต่างเป็นผู้ที่มีทักษะในการปราบมารอย่างยอดเยี่ยมโดยเฉพาะเซียวหานที่มีอาวุธคู่กายเป็นกระบี่ปราบมาร "ทยาลกันต์" ซึ่งกระบี่เล่มนี้มีพลังอันแข็งแกร่ง เพราะถูกหลอมด้วยเหล็กกล้าสวรรค์และไฟอเวจี ใช้โลหิตของเซียนทั้งแปดขณะที่ซิวเหยาก็มีอาวุธเป็นพัดเพลงแห่งลม พัดที่มีพลังจากเสียงเพลงของลม เมื่อกางออกเสียงเพลงจากพัดนี้จะสะท้อนคลื่นเสียงที่มีพลังคมดังมีดกรีด
ณ เขาไท่ซวน ภายใต้เงาจันทร์ที่ส่องแสงเย็นตา ลมภูเขาพัดเอื่อยไล้ใบไม้ให้เอนไหวเป็นจังหวะเงียบสงบท่ามกลางสวนดอกโบตั๋นที่ผลิบานในยามราตรีนักพรต"อี้เซียน"ยืนสงบนิ่งอยู่กลางสวนเบื้องหน้าดอกโบตั๋นศักดิ์สิทธิ์ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าผ่าลงกลางดอกโบตั๋นดอกโตเป็นพิเศษ เรือนแสงสว่างจ้ากลีบดอกโบตั๋นสีเงินเรืองรองก็พลิ้วไหว สายลมพัดวนรอบดอกไม้ ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติปรากฏขึ้น ร่างของสตรีผู้หนึ่งปรากฏขึ้นทันใดนั้น นางปรากฏกายขึ้นด้วยใบหน้างดงาม ร่างระหง ผมยาวสลวยไหลลงอาบแผ่นหลัง ดวงตากลมดำใสดั่งดวงดาวบนฟากฟ้าในคืนมืด ผิวพรรณขาวผ่องละมุนราวหิมะ ร่างระหงดูประหนึ่งนางฟ้าจากสรวงสวรรค์นางสวมใส่อาภรณ์สีขาวเงินอ่อน นุ่มพลิ้วไหวไปตามลม ราวกับปุยเมฆที่ล่องลอยในท้องฟ้า"เจ้าคือ...มู่หลิน" นักพรตอี้เซียนเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความเมตตาหญิงสาวกะพริบตา มองเขาด้วยความสงสัยก่อนจะเผยรอยยิ้มสดใสออกมา"ท่านอาจารย์? ข้า...มู่หลินหรือ?""ใช่แล้ว เจ้าถือกำเนิดจากโบตั๋นศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้ที่ถูกลิขิตให้เกิดมา"นักพรตเฒ่ายิ้มบาง ๆ สายตาอ่านผ่านโชคชะตาของนางได้เพียงเล็กน้อย รู้แต่ว่านางมิใช่ผู้ธรรมดานางถือกำเนิดมาพ
จวนไป๋เซียง...แม่ทัพไป๋เฉิงหลง แม่ทัพผู้เกรียงไกรแห่งเมืองหย่งกง มีฮูหยินสองคน ซูเหม่ยหลานเป็นฮูหยินใหญ่ นางได้ให้กำเนิดบุตรชายชื่อไป๋เทียนหลง ทั้งสองแม่ลูกใช้ชีวิตในจวนอย่างโดดเดี่ยว เพราะคำใส่ร้ายของจ้าวหงหลิง ฮูหยินรองแห่งจวนไป๋เซียงเมื่อครั้งที่แม่ทัพไป๋เฉิงหลงมีความรักในตัวซูเหม่ยหลาน แต่ทว่า นางกลับมีใจให้แก่ชายอื่นอยู่แล้ว ทว่า ด้วยคุณงามความดีจากการชนะศึกมาได้ จึงขอพระราชทานสมรสจากฮ่องเต้ เพื่อให้ซูเหม่ยหลานเข้ามาเป็นฮูหยินแห่งจวนไป๋เซียงการแต่งงานจึงเป็นไปตามพระราชโองการโดยมิอาจขัดขืนได้ นางจึงต้องแต่งงานอยู่กินกับแม่ทัพไป๋เฉิงหลงแต่ด้วยการที่แม่ทัพต้องออกไปทำสงครามบ่อยครั้ง จึงมีคนสร้างเรื่องขึ้นมาโดยอ้างว่า บุตรชายของซูเหม่ยหลานไม่ใช่บุตรแท้ของแม่ทัพแต่เป็นบุตรของคนรักเก่าของนาง ซึ่งทำให้แม่ทัพไป๋เฉิงหลงเกิดความไม่พอใจ ทุกครั้งที่มองเห็นบุตรของตน ก็รู้สึกเคียดแค้นในใจ ทำให้ไป๋เทียนหลงต้องกลายเป็นเด็กที่ไม่ได้รับความรักจากพ่อแท้ ๆ สองแม่ลูกใช้ชีวิตอยู่ในจวนอย่างขมขื่นบรรยากาศยามเช้าในจวนไป๋เซียงเต็มไปด้วยความเงียบสงบและความเยือกเย็นที่แผ่กระจายไปทั่ว เสียงนกร้องดังแว่ว
ความคิดเห็น