ภายใต้ผืนฟ้าที่มืดมัวของยามราตรี กระโจมผ้าสีทึบถูกตั้งขึ้นอย่างมั่นคงกลางสนามพักทัพ มีเพียงแสงไฟสลัวจากตะเกียงน้ำมันที่ ไหวตามแรงลมเย็น ทหารองครักษ์ยืนห่างออกไป ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะเพ่งมองตรงไปยังกระโจมหลักขององค์รัชทายาทภายในกระโจม กลิ่นหอมอ่อนของเครื่องหอมจากวังยังติดกายพระชายาเหยียนซือ นางนั่งนิ่งอยู่ข้างเตียงสนาม ก่อนที่องค์รัชทายาทจะเดินเข้ามาช้า ๆ สายตาจับจ้องไปที่หญิงผู้เป็นที่รัก“คืนนี้... ข้าจะนอนกับเจ้า พรุ่งนี้... ข้าต้องออกรบ”เสียงทุ้มแผ่วเบาราวลมหายใจ อบอุ่นแต่หนักแน่น“อีกเจ็ดวัน ข้าจะกลับไปหาเจ้า... เจ้าห้ามดื้อ เข้าใจไหมเหยียนซือ”นางเงยหน้าขึ้น ดวงตาฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำตาที่ยังไม่แห้ง“ขอข้าติดตามท่านไปอีกหมู่บ้านได้หรือไม่... ข้าจะรออยู่ที่นั่น อย่างน้อย... ก็ใกล้ท่านมากกว่ารออยู่ในวังที่ห่างไกล”องค์รัชทายาทนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจยาว“แต่ว่า...”“ท่านพี่...”นางเอ่ยเสียงแผ่ว วางมือแนบอกของเขาอย่างเว้าวอน“ข้าไม่ได้ขอมาก... ให้ข้าอยู่เป็นขวัญกำลังใจแก่ชาวบ้าน และแก่ท่านเถิด อย่าห้ามข้าเลย...”ดวงตาของเขาอ่อนลงทันตา ก่อนพยักหน้าอย่างจำนน“ข้าจะตามใจเจ้า... แต่หาก
รุ่งเช้า ณ ตำหนักหวงอวิ๋นแสงแดดอ่อนจางยามเช้าค่อยๆ สาดส่องผ่านม่านผ้าไหมบางเบา เสียงนกร้องไกลๆ ปลุกให้บรรยากาศเช้านี้ดูอบอุ่นเหมือนทุกวันพระนางขยับตัวเบา ๆ ใต้ผ้าห่ม ลืมตาขึ้นช้าๆ พร้อมรอยยิ้มจางที่ยังหลงเหลือจากความฝันเมื่อคืนความอบอุ่นที่ได้อยู่ในอ้อมกอดขององค์รัชทายาท“ท่านพี่...องค์รัชทายาท”เสียงกระซิบเบา ๆ เรียกชื่อคนรักข้างกายอย่างคุ้นชินแต่สิ่งที่พบ...คือความว่างเปล่าที่ข้างกายของนาง—ไร้เงาขององค์รัชทายาทหมอนเย็นเฉียบ ผ้าห่มถูกพับอย่างเรียบร้อยพระชายารีบลุกขึ้น นัยน์ตาเบิกโพลง หัวใจร่วงหล่นอย่างฉับพลัน“ท่านพี่...! ท่านอยู่ที่ไหน...!”“เสี่ยวเหมยองค์รัชทายาทอยู่ที่ใด เสี่ยวเหมย”นางรีบเดินไปที่หน้าต่าง หวังเพียงจะได้เห็นเงาของทัพที่ยังไม่จากไปแต่สิ่งที่เห็นคือธงหลวงที่ปลิวไสวอยู่ไกลลิบ เหนือแนวต้นสนด้านนอกกำแพงวังเขาไปแล้ว...น้ำตาไหลพรากทันทีโดยไร้เสียงสะอื้น หัวใจของนางเหมือนถูกบีบรัดแน่นจนหายใจไม่ออกฝ่ามือบางสั่นเทา ยกขึ้นแตะขอบหน้าต่างอย่างไร้เรี่ยวแรงบนโต๊ะข้างเตียง มีเพียงแผ่นกระดาษผืนหนึ่งพับวางไว้อย่างเรียบร้อยพระชายาค่อยๆ หยิบมันขึ้นมา มือสั่นระริกจนเกือบหล
เสียงฆ้องเตือนภัยดังสนั่นไปทั่วท้องพระโรง เหล่าขุนนางต่างเร่งรุดเข้ามาประชุมอย่างเร่งด่วน สีหน้าของทุกผู้คนเต็มไปด้วยความตึงเครียด เมื่อข่าวร้ายแพร่สะพัดไปทั่ว—กองทัพศัตรูจากแดนใต้เคลื่อนพลเข้าโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว“ศึกครั้งนี้ไม่ธรรมดา! ข้าศึกนำทัพห้าหมื่นนายบุกเข้าจู่โจมชายแดนด้านใต้ของแคว้นเรา!”เสียงฮ่องเต้ดังกังวานด้วยความเคร่งเครียด น้ำเสียงของพระองค์เปี่ยมไปด้วยแรงกดดันมหาศาลขณะที่ทอดพระเนตรไปยังขุนนางทั้งหลาย“ตอนนี้...กองทัพของเรามีกำลังเท่าไหร่?”พระองค์ตรัสถามอย่างเร่งร้อนแม่ทัพหลวงลุกขึ้นคำนับก่อนกราบทูล“บัดนี้เรามีกำลังพลเพียงสามหมื่นกว่านายพ่ะย่ะค่ะ แม้จะน้อยกว่าข้าศึก แต่หากวางแผนอย่างรัดกุมและใช้ภูมิประเทศให้เป็นประโยชน์ ก็ยังมีโอกาสเอาชนะได้พ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้นิ่งไปครู่หนึ่ง พระเนตรฉายแววกังวล ก่อนตรัสหนักแน่น“แม้มันจะเสี่ยง...แต่เราก็ไม่มีทางเลือกอื่น เราต้องส่งกองกำลังไปต้านทานไว้ก่อน แล้วเร่งขอความช่วยเหลือจากแคว้นเหิงหลางให้รีบยกทัพมาสมทบ”พระเนตรของพระองค์เบนไปยังรัชทายาท พลางเปล่งวาจาอย่างเด็ดขาด“องค์รัชทายาท...ยามนี้แผ่นดินต้องพึ่งพาเจ้าแล้ว ข้าจะมอบหน้าที
องค์หญิงแห่งแคว้นเว่ยหนาน ได้เสด็จมายังแคว้นหวู่หลง พระชายาเหยียนซือ รับเสด็จทันที“ยินดีต้อนรับองค์หญิงหยางจือ เพคะ”“ท่านคงเป็นพระชายาของท่านพี่หลี่หยางเฉิน สินะ”เหยียนซือยิ้มพยักหน้าอย่างเป็นมิตร ทว่าตัวองค์หญิงหยางจือกลับไม่แสดงไมตรีตอบเลยแม้แต่น้อย“ท่านคงทราบข่าวมาบ้างว่าข้าจะแต่งเข้าเป็นชายาอีกคนของที่นี่ เจ้าคงไม่คัดค้านสิ่งใดใช่หรือไม่”องค์หญิงยังคงพูดด้วยน้ำเสียงแน่วนิ่ง แต่เจือความท้าทาย“ก็พอได้ยินมาบ้าง... แต่ก็คงต้องรอให้องค์รัชทายาททรงตัดสินพระทัยเสียก่อน มิใช่หรือเพคะ”พระชายาตอบกลับอย่างสุขุม“ท่านไม่กลัวหรือว่าข้าจะแย่งความโปรดปรานจากองค์รัชทายาทไป?”“หากพระองค์ทรงโปรดปรานท่านมากจริง ข้าก็ยินดีถอยให้เพคะ”หยางจือหัวเราะเบาๆ“เจ้านี่ช่างใจดีเด็ดเดี่ยวเหลือเกิน ข้าชักจะชอบเจ้าแล้วสิ”พระชายาเหยียนซือมององค์หญิงหยางจืออย่างพินิจ ไม่แน่ใจว่านางต้องการจะเป็นมิตร หรือเป็นศัตรูกันแน่ในขณะนั้นเอง องค์รัชทายาทหลี่หยางเฉินก็เสด็จมาพร้อมกับจิ่นหาน สหายคนสนิท“ทั้งสองคุยอะไรกันดูสนุกเชียว”องค์รัชทายาทกล่าวยิ้มๆ“ข้าก็กำลังคุยเรื่องที่ข้าจะมาเป็นชายาอีกคนของท่านไง!”องค์หญิงห
ตำหนักหวงอวิ๋น — ค่ำคืนฝนโปรยสายฝนโปรยปรายกระทบหลังคากระเบื้องอย่างแผ่วเบา กลิ่นอายดินหอมอบอวลไปทั่วตำหนักหวงอวิ๋น ภายในห้องบรรทม องค์รัชทายาทประทับอยู่บนเก้าอี้หยก กำลังทอดพระเนตรคัมภีร์เล่มหนึ่งด้วยสีหน้าผ่อนคลายเสียงประตูไม้เปิดเบาๆ พระชายาในชุดอาภรณ์คลุมบางเบาหลังอาบน้ำเดินเข้ามา ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อเห็นบุรุษผู้เป็นสามีนั่งอยู่ภายในห้อง“เจ้าอาบน้ำเสร็จแล้วหรือ?”เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยถาม พลางวางคัมภีร์ลง ดวงตาจับจ้องเรือนร่างนางไม่วางตาพระชายาสะดุ้งเล็กน้อย กอดอกด้วยความเคอะเขิน “ใช่…ท่านมาหาข้ามีเรื่องใดหรือ ก็ว่ามาเถิด”องค์รัชทายาทยิ้มน้อยๆ“นี่ห้องของข้า เจ้ามาอยู่ก็เพราะเป็นพระชายาของข้า เช่นนั้นข้าจะมาเมื่อไรก็ย่อมได้”นางเม้มริมฝีปากแน่น“เช่นนั้น…ข้าจะไปนอนกับเสี่ยวเหมย ท่านเชิญนอนบนเตียงเถิด”นางก้าวผ่านหน้าเขาไป ทว่าไม่ทันพ้นระยะ องค์รัชทายาทคว้าเอวบางไว้อย่างว่องไว ฉุดนางให้นั่งลงบนตักเขาอย่างแนบแน่น“ปล่อยข้านะ!”นางพยายามดิ้น แต่สัมผัสแน่นหนานั้นกลับทำให้ใจเต้นรัว“เจ้ากลัวข้าขนาดนั้นเลยหรือ”เขากระซิบใกล้หู มือข้างหนึ่งยกปลายนิ้วเชยคางนางให้สบตาเขา“ข้า…ไม่ได้กลัวท่า
องค์รัชทายาทก้าวเข้าใกล้ ดวงตาเต็มไปด้วยความเสียใจ“เหยียนซือ…ข้าไม่เคยรู้…ข้าเข้าใจผิดมาตลอด…”พระชายาเหยียนซือยังคงไม่หันกลับมา นางยืนนิ่งดวงหน้าไร้ความรู้สึก“ต่อให้ท่านรู้แล้วจะอย่างไร?”“แต่ข้ากำลังเสียใจ ข้าผิดไปแล้ว—”“ผิด?”นางเอ่ยขึ้นแทรกเสียงของนางนิ่งราวกับน้ำแข็ง“ท่านแค่เสียใจเพราะความจริงถูกเปิดเผย ไม่เป็นอย่างที่ท่านคิดไว้”องค์รัชทายาทชะงัก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด“ข้า...ข้าแค่ไม่เคยรู้เลยว่าเบื้องหลังของทุกอย่างคือเจ้า…”“ใช่สิ…ท่านไม่เคยรู้ เพราะท่านตัดสินข้าไปแล้ว ท่านเห็นข้าเป็นเพียงเครื่องแก้แค้นพี่ชายข้า”พระชายาหันกลับมามองเขาด้วยแววตาเย็นชา“ข้าเข้าใจว่าจางยู่ช่วยข้า นางไม่เคยบอกว่าเจ้าเป็นคนช่วยข้า ตั้งแต่นั้นมาข้าคิดว่านางคือผู้มีพระคุณของข้า ข้าจึงชอบนาง จนวันหนึ่งพี่ชายเจ้าเข้ามาแย่งนางไปจากข้า”“พี่ชายข้าไม่ได้แย่งจางยู่ไปจากท่าน แต่เขาทั้งสองรักกันถึงได้แต่งงานกัน ท่านต่างหากที่คิดไปเอง”“ใช่ข้าผิดเอง ข้าผิดคนเดียว”องค์รัชทายาทพยายามจะคว้ามือของนาง แต่เหยียนซือขยับมือหนี“อย่าแตะต้องข้าเลย ตอนนี้…แม้แต่คำขอโทษของท่าน ข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะเชื่อได้ห