บทที่ 6 ความสามารถของชิงหลง
เมื่อยามเช้ามาเยือน แสงแดดอ่อน ๆ ส่องทะลุผ้าม่านของรถม้าเข้ามา เจียงหย่าเสวี่ยค่อย ๆ ลืมตาขึ้น นางหันมองไปรอบ ๆ พบว่าท่านแม่เจียงซิ่วเหยายังคงหลับอยู่ในอ้อมกอดของนาง นางจึงค่อย ๆ ขยับตัวออกมาอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ท่านแม่ตื่น นางเดินออกจากรถม้าและสูดอากาศบริสุทธิ์ของยามเช้า หยิบพู่กันชิงหลงออกมาจากเสื้อของนางพลางมองมันด้วยความสงสัย
ตอนนี้พวกเขาพักค้างแรมในป่า เจียงหย่าเสวี่ยค่อย ๆ เดินออกมาจากค่ายพักและบอกกับป้าจวงว่า "ข้าจะออกกำลังเล็กน้อยนะเจ้าคะ ป้าจวงไม่ต้องเป็นห่วง"
ป้าจวงพยักหน้าและยิ้ม "ได้เจ้าค่ะ คุณหนู แต่โปรดระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ ป่าตอนเช้านี้ยังมีหมอกหนาอยู่"
เจียงหย่าเสวี่ยยิ้มและเดินออกไป นางรู้สึกถึงความเงียบสงบของป่าและเสียงนกร้องที่สร้างความสดชื่นให้กับนาง
"เจ้าคือพู่กันลิขิตสวรรค์ ชิงหลงจริง ๆ หรือ?" เจียงหย่าเสวี่ยพึมพำกับตัวเอง ขณะจ้องมองพู่กันในมือ
ทันใดนั้นเอง พู่กันก็ส่งประกายแสงสีฟ้าจาง ๆ ออกมา ราวกับกำลังตอบรับคำถามของนาง เจียงหย่าเสวี่ยมองดูด้วยความตกใจ ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำจะดังขึ้นมาในหัวของนางอีกครั้ง
"ใช่แล้ว เจ้าคือเจ้านายของข้า ผู้ที่ทำพันธสัญญากับข้าแล้ว ข้าคือชิงหลง พู่กันที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้ตามเจตจำนงของเจ้านาย"
เจียงหย่าเสวี่ยฟังเสียงในหัวของนางด้วยความประหลาดใจ นางไม่เคยคิดว่าพู่กันนี้จะมีชีวิตและสามารถสื่อสารกับนางได้
"เจ้าหมายความว่ายังไงที่ว่าเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้? แล้วข้าต้องใช้เจ้าอย่างไร?" เจียงหย่าเสวี่ยถามด้วยความสงสัย
"ชิงหลงมีพลังในการลิขิตสิ่งที่ท่านต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์หรือทำลายล้าง เพียงแต่เจ้านายต้องใช้พลังของข้าด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์และมั่นคง จึงจะสามารถควบคุมพลังที่รังสรรค์ออกมาได้ ข้าคือสัญลักษณ์แห่งพลังของสวรรค์ สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็นจริง ท่านสามารถใช้ข้าเขียนคำลิขิตหรือวาดสิ่งที่ต้องการ ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งมีชีวิต วัตถุ หรือปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ทุกสิ่งที่ท่านรังสรรค์จะก่อกำเนิดขึ้นจากพลังแห่งข้า แต่จงระวัง เพราะพลังของข้าคือการลิขิตชะตา สิ่งที่ท่านวาดไม่ได้เพียงเกิดขึ้นเท่านั้น แต่มันจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในสายธารแห่งชะตากรรมด้วย ดังนั้นจงใช้พลังข้าอย่างรอบคอบและด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์" ชิงหลงตอบด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำและมั่นคง
เจียงหย่าเสวี่ยนิ่งคิด นางรู้สึกทั้งทึ่งและตื่นเต้นกับพลังของชิงหลง แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ นางไม่สามารถใช้พลังนี้ได้อย่างไม่ระมัดระวัง นางรู้ว่าพลังที่ยิ่งใหญ่นี้สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของนางและคนรอบข้างได้ แต่นางก็ไม่รู้ว่ามันจะส่งผลดีหรือผลร้ายอย่างไร
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด ก็เห็นป้าจวงกวักมือเรียกอยู่นางจึงเดินกลับมา ป้าจวงเดินเข้ามาพร้อมกับน้ำชาในมือ นางมองเจียงหย่าเสวี่ยที่ยืนถือพู่กันอยู่ด้วยความสงสัย
"คุณหนูดื่มชาให้อบอุ่นร่างกายของเจ้าค่ะ คุณหนูป่วยมานานอย่าเดินเยอะจนเกินไป ค่อยๆ ออกกำลังและบำรุงนะเจ้าคะ แล้วนั่นคือพู่กันอะไรหรือเจ้าคะ? ป้าไม่เห็นมาก่อนเลย" ป้าจวงถามด้วยความสงสัย นางมองพู่กันในมือของเจียงหย่าเสวี่ยด้วยสายตาที่จับจ้อง
เจียงหย่าเสวี่ยเก็บพู่กันชิงหลงเข้าไปในเสื้อของนางทันที นางยิ้มบาง ๆ ให้กับป้าจวงและตอบว่า "อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกป้าจวง ข้าแค่รู้สึกอยากสูดอากาศยามเช้า ส่วนพู่กันนี่ข้าได้มานานแล้ว ดีที่หยิบมันมาด้วย"
ป้าจวงพยักหน้า แม้จะรู้สึกสงสัย แต่ก็ไม่คิดจะถามอะไรเพิ่มเติม นางยื่นน้ำชาให้เจียงหย่าเสวี่ย "นี่เจ้าค่ะน้ำแกงไก่ร้อน ๆ สำหรับเช้านี้ ท่านต้องบำรุงร่างกายมาก ๆ จะได้ฟื้นตัวไว ๆ บ่าวต้มน้ำแกงไก่ และก็ใส่โสมที่ได้มาลงไป คุณหนูดื่มสักหน่อยร่างกายจะได้ฟื้นตัวเร็วเจ้าค่ะ " ป้าจวงบอกพลางมองดูคุณหนูของนางอย่างพินิจ ....เหมือนว่าจะมีอะไรไม่เหมือนคุณหนูคนเดิมแต่นางก็บอกไม่ได้ว่าเป็นตรงไหน
เจียงหย่าเสวี่ยยิ้มรับน้ำแกงมาดื่ม ขณะที่ดื่มนางได้กลิ่นหอมของโสมที่อยู่ในน้ำแกง พลางคิดว่า การใช้โสมนั้นต้องใช้เงินมาก นางไม่สามารถห้ามความกังวลที่เกิดขึ้นได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้บ้านนางเหลือเงินอยู่เท่าไหร่ ความคิดเรื่องเงินทองที่ลดลงทำให้นางรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่หนักอึ้ง นางหันไปถามป้าจวงด้วยความห่วงใย "ป้าจวง น้ำแกงนี้มีให้ท่านแม่ด้วยหรือไม่? ข้ารู้ว่าท่านแม่เหนื่อยมากที่ต้องดูแลข้าตลอดทาง" ป้าจวงยิ้มและพยักหน้า "มีเจ้าค่ะ คุณหนู ข้าเตรียมไว้ให้ท่านแม่ของคุณหนูด้วยแล้ว" เจียงหย่าเสวี่ยรู้สึกโล่งใจและขอบคุณในใจ นางรู้สึกขอบคุณป้าจวงที่คอยดูแลนางและครอบครัวของเจียงหย่าเสวี่ยอย่างเต็มที่แม้สถานการณ์ทางการเงินจะไม่ค่อยดี แต่เพราะว่าคุณหนูป่วยมานาน หมอที่สั่งยาจึงบอกว่าจำเป็นที่จะต้องให้ดื่มน้ำแกงโสม แม้ว่าเงินที่มีจะไม่เยอะแต่พวกนางก็ซื้อทันทีโดยที่ไม่ลังเลย หลังจากดื่มน้ำชาแล้ว นางก็หันไปมองที่พู่กันในเสื้อของนางอีกครั้ง นางรู้ว่าตนเองต้องเรียนรู้วิธีใช้พลังนี้เพื่อปกป้องครอบครัวเจียงและต่อสู้กับอันตรายที่อาจกำลังจะมาถึง
ช่วงบ่าย เจียงหย่าเสวี่ยตัดสินใจทดลองใช้พลังของชิงหลง นางเลือกที่จะลองใช้พู่กันนี้ในการวาดสิ่งเล็ก ๆ ก่อน เพื่อทดสอบว่าพลังของมันเป็นจริงหรือไม่ นางหากระดาษและน้ำหมึกมา แล้วนั่งลงที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ หยิบพู่กันชิงหลงออกมาจากเสื้อของนาง
"ข้าจะลองวาดไก่และไข่ไก่" เจียงหย่าเสวี่ยพึมพำกับตัวเอง นางค่อย ๆ จับพู่กันชิงหลงและเริ่มลงมือวาดภาพไก่และไข่ไก่บนกระดาษ ทันทีที่เส้นแรกสัมผัสกับกระดาษ แสงสีฟ้าประกายออกมาจากปลายพู่กัน เส้นสายที่นางวาดออกมานั้นเหมือนจะเคลื่อนไหวได้ ราวกับมีชีวิตชีวาและกำลังเต้นรำไปตามจังหวะของพลังวิเศษ เมื่อวาดเสร็จ ไก่ตัวนั้นก็หลุดออกมาจากกระดาษอย่างน่าอัศจรรย์ แสงสีทองกระจายไปรอบ ๆ และกลายเป็นไก่ที่มีชีวิตจริง ๆ พร้อมกับไข่ไก่ที่กลิ้งตกลงมาที่พื้น ไก่ตัวนั้นส่งเสียงร้องก้องกังวาน เสียงนั้นดังก้องไปในป่า และทันใดนั้นเอง พื้นดินรอบ ๆ ก็เหมือนจะตอบรับ พื้นหญ้าสั่นไหวเบา ๆ และลมพัดเข้ามาอย่างอ่อนโยน ราวกับธรรมชาติกำลังยินดีกับการสร้างสรรค์นี้ เจียงหย่าเสวี่ยมองดูด้วยความตะลึง นางไม่อยากเชื่อว่าพลังนี้สามารถทำให้สิ่งที่วาดมีชีวิตได้จริง นางหันมองกระดาษที่วาดและพบว่าภาพไก่ที่นางวาดนั้นหายไป เหมือนกับว่ามันได้ก้าวออกมาจากกระดาษและกลายเป็นสิ่งมีชีวิตจริง ๆ แสงสีฟ้ายังคงเรืองรองรอบ ๆ ไก่และไข่ เหมือนกับสิ่งที่นางสร้างขึ้นนี้ยังคงมีพลังแห่งสวรรค์แฝงอยู่
"มัน...เป็นจริง!" นางอุทานออกมา นางไม่อยากเชื่อในสายตาของตนเอง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นเป็นความจริง นางหันไปมองกระดาษอีกครั้งและตัดสินใจลองวาดรูปนก นางค่อย ๆ วาดรูปนกด้วยความตั้งใจ เส้นสายดูมีชีวิตชีวา และทันทีที่วาดเสร็จ แสงสีฟ้าประกายขึ้นจากกระดาษอีกครั้ง นกตัวเล็ก ๆ ที่นางวาดขึ้นมาด้วยพู่กันชิงหลงก็ค่อย ๆ หลุดออกมาจากกระดาษและกลายเป็นนกจริง ๆ ที่บินออกไปสู่อิสระบนท้องฟ้า นางมองดูนกที่บินออกไปด้วยความตะลึงและตื่นเต้น
เสียงของชิงหลงดังขึ้นมาในหัวของนางอีกครั้ง "เจ้านาย ข้าบอกแล้วว่าข้าสามารถทำให้สิ่งที่เจ้าวาดหรือเขียนกลายเป็นจริงได้ พลังของข้ามีมากมายมหาศาล แต่เจ้านายต้องใช้มันด้วยความระมัดระวังและด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน"
เจียงหย่าเสวี่ยพยักหน้า นางรู้สึกถึงพลังที่นางได้รับมา แต่นางก็รู้สึกถึงความหนักอึ้งของความรับผิดชอบเช่นกัน นางไม่สามารถใช้พลังนี้โดยประมาทได้ นางต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมมันให้ดี เพื่อที่จะสามารถใช้มันในการปกป้องครอบครัวเจียงและช่วยเหลือคนที่ต้องการความช่วยเหลือ
ทันใดนั้น เจียงหย่าเสวี่ยก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา นางหันไปมองชิงหลงแล้วถามด้วยน้ำเสียงคาดหวัง "แล้วข้าสามารถวาดเงินได้หรือไม่? ตอนนี้ข้าคิดว่าเงินที่มีในบ้านน่าจะเหลือน้อยแล้ว..."
ทันใดนั้นเอง ชิงหลงตอบเสียงดังและแข็งกร้าวทันทีแบบไม่ย่อมผ่อนปรนในเรื่องนี้เด็ดขาด
"ไม่ได้!!!!"
น้ำเสียงของชิงหลงทำให้เจียงหย่าเสวี่ยสะดุ้งเล็กน้อย นางมองพู่กันในมือด้วยสีหน้าตกใจ แล้วก็หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ นางพูดกับตัวเองอย่างขบขัน "เอาล่ะ เอาละ!!!ข้าเข้าใจแล้ว ไม่ต้องเสียงแข็งขนาดนั้นก็ได้ ข้าแค่ลองถามดูเท่านั้นเอง ( เผื่อว่าจะฟลุก ) ไม่คิดว่าชิงหลงจะจริงจังขนาดนี้"
นางยิ้มขำกับท่าทีของพู่กันที่ดูเหมือนจะมีบุคลิกของตัวเอง
ขณะเดียวกัน ท่านแม่เจียงซิ่วเหยาก็ตื่นขึ้นมา นางหันไปหาลูกสาวตามปกติ แต่เมื่อไม่เห็นเจียงหย่าเสวี่ยนอนอยู่ข้าง ๆ นางก็รู้สึกใจหาย ความกังวลเริ่มเข้ามาในใจ นางรีบลุกขึ้นและเดินออกจากรถม้าอย่างรวดเร็ว นางมองไปรอบ ๆ ค่ายพักด้วยความเร่งรีบ จนกระทั่งนางเห็นร่างผอมบางของเจียงหย่าเสวี่ยนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ นางถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความห่วงและความกังวลที่มีต่อบุตรสาวค่อย ๆ เบาบางลง
เจียงซิ่วเหยาเดินเข้ามาหาเจียงหย่าเสวี่ยและนั่งลงข้าง ๆ อย่างแผ่วเบา
"มานั่งทำอะไรตรงนี้ลูก เจ้าเพิ่งจะหายป่วยอย่าให้โดนลมมาก "
พูดเสร็จก็ยกมือขึ้นแตะที่หน้าผากของลูกสาวอีกเมื่อเห็นว่าร่างกายของนางไม่ร้อนและหน้าตาก็สดใสขึ้นนางจึงเบาใจ
เจียงหย่าเสวี่ยพยักหน้า นางรู้สึกถึงความห่วงใยที่แท้จริงที่มาจากฝ่ามือที่แตะที่หน้าผากของนาง ...ท่านแม่คนนี้ดีจังเลย เจียงหย่าเสวี่ยคิด เพราะว่าชีวิตก่อนนั้นนางเป็นเด็กกำพร้าที่อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่เกิด เพราะพ่อแม่ของนางเอานางมาทิ้งเอาไว้ที่หน้าประตู นางต้องเติบโตท่ามกลางความโดดเดี่ยวและการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก แต่โชคดีที่นางมีพรสวรรค์ทางศิลปะที่โดดเด่น นางเริ่มวาดรูปตั้งแต่ยังเด็ก ภาพที่นางวาดนั้นเต็มไปด้วยความละเอียดอ่อนและสื่ออารมณ์ได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้นางได้รับความสนใจจากครูผู้ดูแล
ด้วยความสามารถทางศิลปะของนาง นางจึงได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากมูลนิธิเด็กกำพร้า จนกระทั่งได้เข้าเรียนในโรงเรียนศิลปะที่มีชื่อเสียง นางตั้งใจเรียนและฝึกฝนอย่างหนัก นางใช้เวลาส่วนใหญ่กับการวาดภาพจนกลายเป็นอัจฉริยะด้านการวาดภาพ และมีชื่อเสียงมากในวงการศิลปะ แม้นางจะได้รับการยอมรับและมีชื่อเสียง แต่ความรู้สึกโดดเดี่ยวในหัวใจนั้นก็ไม่เคยหายไป จนกระทั่งนางมาอยู่ในชาตินี้ นางเพิ่งได้สัมผัสถึงความรักและความอบอุ่นจากครอบครัวเป็นครั้งแรก ...มันดีจริงๆ เจียงหย่าเสวี่ยคิด
เจียงหย่าเสวี่ยยิ้มและจับมือท่านแม่ นางรู้ว่าหนทางข้างหน้านั้นเต็มไปด้วยความท้าทายและอันตราย แต่ด้วยพลังของพู่กันชิงหลงและความรักที่นางมีต่อครอบครัว นางจะสามารถฝ่าฟันทุกอุปสรรคและปกป้องครอบครัวเจียงให้ปลอดภัยได้ นางจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคนที่นางรักได้อีกต่อไป จากนั้นนางก็หันหลังและร้องขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า…
“ท่านแม่เจ้าคะ!!! ดูนั่น ตรงนั้น….นั่นมันแม่ไก่นี่เจ้าคะ…มีไข่ด้วยเจ้าค่ะ….” จากนั้นรีบวิ่งไปจับมาทันที ( ไก่ไม่บินหนีด้วยนะ )
เนียนๆ เลย…
****ไม่ยอมให้วาดเงิน ไม่งั้นน้องสบายเลย 555 ***
**** สิ่งที่ไรท์ต้องการ....หัวใจสีแดง เพิ่มเข้าชั้นและคอมเมนต์มาเมาท์มอย ชี้แนะค่ะ จะได้อ่านนิยายสนุกด้วยกันทั้งคนเขียนและคนอ่าน *****
ตอนพิเศษ 3 บทส่งท้ายแห่งความสุข EP 2 NC...“…อา อื๊อ อี้หลง”เจิ้งอี้หลงใช้ความจัดเจนดูดดุนปลายลิ้นกับทรวงอกอวบสวยทำให้นางแอ่นหน้าอกขึ้นมาด้วยเสียวซ่าน ขณะที่มืออีกข้างก็เขี่ยคลึงเล่นไปที่ปลายถันที่ยังว่างอยู่จนยอดแข็งชันสู้มือหญิงสาวส่ายร่างบิดไปมาบนที่นอนด้วยด้วยความกระสันซ่าน อารมณ์ปรารถนาของนางถูกปลุกเร้าจนตื่นเพริศ เนื้อตัวเร่าร้อนไปหมดนางปรารถนาเขาจริงๆ ส่วนเจิ้งอี้หลงนั้น เมื่อหญิงสาวตอบสนองและไม่หวงเนื้อหวงตัว เขาจึงจัดเต็มตามอารมณ์ที่เก็บกดไว้ ริมฝีปากของเขาหยอกเย้าดูดดุนอยู่ที่ปลายถัน ส่วนมือก็บีบเค้นปทุมถันอวบใหญ่แรงขึ้นจนผิวขาวๆ เริ่มเป็นจ้ำสีแดงตามรอยมือและปาก จนเมื่อเขาละริมฝีปากจากปลายถันก็เล็มไล้ไต่ลงมาที่เนินหน้าท้อง แล้วซุกไซ้จมูกและปากอยู่ที่สะดือสวย ก่อนจะใช้นิ้วเลื่อนลูบไปที่เนินเนื้อโหนกนูนที่บิดส่ายอยู่ใต้ร่างเขา“อ๊า…อี้หลงค่ะ ฉัน..”หญิงสาวสะดุ้งเฮือกขึ้นมา แล้วจับข้อมือชายหนุ่มไว้ เจิ้งอี้หลงยกยิ้มที่มุมปากและค่อยดึงมือของเขาออก และยกมือของนางมาจูบและรวบดูดปลายนิ้วเล็กเรียวแสนสวยนั้นเสียเลย เฟิงหย่าเสวี่ยตัวอ่อนระรวย ไม่มีแรงที่จะห้ามปรามเขาเสียแล้ว… (เฮ้อช่าง
ตอนพิเศษ3 บทส่งท้ายแห่งความสุข ep 1ค่ำคืนอันสดใสในฤดูใบไม้ผลิ ท้องฟ้ายามราตรีเหนือพระราชวังต้าหมิงสว่างไสวไปด้วยแสงประกายของดอกไม้ไฟที่พุ่งขึ้นสูง สาดส่องท้องฟ้าด้วยสีสันอันตระการตา เสียงเพลงบรรเลงจากเครื่องดนตรีพื้นบ้านผสมผสานกับเสียงปรบมือและเสียงหัวเราะของเหล่าประชาชนที่มารวมตัวกันอย่างคับคั่ง บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุขและความปลื้มปีติภายในพระราชวังงานเฉลิมฉลองครบรอบ 5 ปีแห่งการครองราชย์ของฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงกำลังดำเนินไปอย่างยิ่งใหญ่ ท้องพระโรงอันวิจิตรตระการตาประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสี เสนาอำมาตย์และขุนนางจากทั้งแคว้นต้าหมิงและแคว้นต้าโจวต่างมาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียง เพื่อร่วมแสดงความยินดีและสรรเสริญความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของสองแคว้นฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงประทับบนบัลลังก์แกะสลักมังกร พระพักตร์เปี่ยมด้วยความสุขและความภาคภูมิใจ ขณะที่เฟิงฮองเฮา หรือเฟิงหย่าเสวี่ยนั่งเคียงข้างพระสวามี สวมอาภรณ์สีเหลือทองประดับประดาอย่างงดงามสมเกียรติสะท้อนความงดงามหยดย้อยของนางอย่างชัดเจน แววตาของนางแสดงถึงความมุ่งมั่นและความรักและความเมตตาที่มีต่อแผ่นดินและประชาชน"กระหม่อมขอกราบบังคมทูล" เสนาบดีอาวุ
ตอนพิเศษ 2 สองสุดยอดแพทย์แห่งยุคภายในห้องผ่าตัดขนาดกลางที่ถูกดัดแปลงอย่างพิถีพิถัน แสงจากโคมไฟหลากดวงส่องรวมตรงกลาง เผยให้เห็นเตียงผ่าตัดที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ บนเตียงมีชายชราผู้สูญเสียขาจากสงครามนอนหลับสนิทด้วยฤทธิ์ยาชา รอบข้างเต็มไปด้วยเครื่องมือแพทย์ที่ดูแปลกตาสำหรับแพทย์จำนวนไม่น้อยในยุคนี้วันนี้ถือเป็นวาระสำคัญที่หลายคนต่างพูดถึง เพราะจะมีการผ่าตัดเพื่อใส่ขาเทียมให้กับผู้ป่วยที่ขาพิการโดยผู้นำการผ่าตัดคือนายท่านเฟิงหยวนเจี๋ย คุณชายหมอเทวดาซึ่งกำลังมีชื่อเสียงขจรขจาย และถือเป็นคุณชายเนื้อหอมมากๆ ผู้หนึ่งของแคว้นต้าหมิง และอีกผู้ยิ่งใหญ่อีกผู้หนึ่งก็คือฮองเฮาเฟิงหย่าเสวี่ย ซึ่งแม้ร่างกายเพิ่งฟื้นตัวได้ไม่นาน แต่ความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ของนางก็ไม่เป็นสองรองใคร และการผ่าตัดในครั้งนี้ก็เป็นการที่นางต้องการที่จะทำด้วย และวาระสำคัญเช่นนี้ฮ่องเต้ของทั้งสองแคว้นนั้นไม่รอช้าที่จะส่งนายแพทย์มาเพื่อศึกษาดูงาน ซึ่งฮองเฮาเฟิงนั้นก็ยินดีที่จะให้พวกเขาได้เรียนรู้ในการผ่าตัดครั้งนี้ด้วยเหล่าแพทย์ของจากทั้งสองแคว้นคือแคว้นต้าโจวและต้าหมิงรวมตัวกันอยู่รอบ ๆ ทางด้านหลังเพื่อศึกษาขั้นตอนในก
ตอนพิเศษ ครอบครัวสุขสันต์หลังจากที่เฟิงหย่าเสวี่ยฟื้นคืนสติ ข่าวดีนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็วตอนนี้ทั้งประชาชนแคว้นอวี้ไห่และประชาชนแคว้นต้าหมิงต่างก็ความสุขที่ได้รับรู้ว่าเฟิงฮองเฮานั้นได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เมืองอวี้ไห่ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส ดอกเหมยท้อบานสะพรั่งทั้งสวนส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ภายในสวนที่จัดแต่งเอาไว้อย่างงดงามนั้นมีเสียงหัวเราะและบทบทสนทนาของคนในครอบครัวเฟิงที่นั่งล้อมวงคุยกันอยู่ เฟิงหย่าเสวี่ยหลังจากฟื้นก็ได้รับการดูแลอย่างดีทั้งจากอาจารย์ของนาง ท่านป้าจวงและเฟิงหยวนเจี๋ยที่มักจะนำยาบำรุงชั้นเลิศที่เขาคิดค้นขึ้นมาสำหรับนางโดยเฉพาะมาให้ดื่มเสมอ ทำให้ร่างก่ายของนางนั้นแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว สมกับที่นางนั้นได้ตกอยู่ในมือของเหล่าหมอเทวดาจริงๆ"ท่านแม่" เฟิงหย่าเสวี่ยเอ่ยเรียกเฟิงซิ่งเหยาที่กำลังนั่งปักรองเท้าอยู่ในสวนดอกไม้ "ท่านแม่ดูอิ่มเอิบขึ้นมากเลยนะเจ้าคะ" เฟิงซิ่งเหยายิ้มอายๆ ขณะที่มือลูบท้องน้อยที่เริ่มนูนขึ้น"เสด็จพ่อของเจ้านี่สิ... ตั้งแต่รู้ว่าข้าตั้งครรภ์บุตรคนนี้ก็เอาแต่แพ้ท้องแทนข้า กินไม่ได้นอนไม่หลับวิงเวียนอยู่ตลอดเ
บทที่ 163 จนกว่าจะพบกัน.. (จบบริบูรณ์)แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างโรงพยาบาลในยุคปัจจุบัน เฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวากลับสับสนเล็กน้อย ราวกับจิตวิญญาณของนางยังคงล่องลอย เธอมองเพดานสีขาวสะอาดและพยายามดึงความทรงจำที่กระจัดกระจายกลับคืนมาเธอถูกพาออกจากโลกแห่งยุคโบราณและกลับมายังยุคปัจจุบัน ร่างกายของนางอ่อนแอแต่หัวใจของนางเต็มไปด้วยความทรงจำอันเจ็บปวด นางนึกถึงผู้คนที่นางได้ช่วยเหลือและเสียสละเพื่อพวกเขา นึกถึงท่านแม่และเจ้าเล็กหากว่าพวกเขารู้ข่าวจะเป็นอย่างไรนะ…คงจะเศร้าเสียใจอย่างแน่นอน..ไหนจะป้าจวงที่จะต้องรู้สึกผิดที่ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือนางได้ จากนั้นน้ำตาไหลของนางก็ออกมาเงียบๆ ขณะที่นางพึมพำชื่อคนที่คุ้นเคยจากโลกอีกใบหลังจากนั้น เฟิงหย่าเสวี่ยฟื้นตัวและกลับไปดำเนินชีวิตในฐานะจิตรกร นางใช้ศิลปะในการแสดงความรู้สึกและความทรงจำจากอดีต ทุกภาพที่นางวาดล้วนเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการเสียสละและความหวัง นางกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียง ผู้คนต่างหลงใหลในผลงานของนางโดยไม่รู้ว่านั่นคือเศษเสี้ยวของชีวิตที่นางเคยผ่านพ้นมา แต่ทว่าพู่กันชิงหลงที่เธอใช
บทที่ 162 พี่ใหญ่...ท่านผิดสัญญาเช่นนั้นหรือ?“จบแล้ว...” เฟิงหย่าเสวี่ยพึมพำ เสียงแผ่วบางราวกับสายลมที่พัดผ่านใบไม้ร่วง ร่างบางของนางค่อยๆ ทรุดลงกับพื้นอย่างช้าๆ ราวกับวิญญาณที่กำลังหลุดลอยไปจากโลกนี้“คุณหลีหนิง!” เสียงของเจิ้งอี้หลงดังขึ้นด้วยความตกใจ พระองค์รีบพุ่งเข้ามาประคองร่างของนางไว้ในอ้อมพระกร พระพักตร์ซีดเผือด น้ำพระเนตรเอ่อคลอ “คุณหลีหนิง! ลืมตาขึ้นมา! อย่าทิ้งข้าไปแบบนี้!”ดวงตาของเฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างยากลำบาก เปลือกตาที่หนักอึ้งเผยให้เห็นดวงตาที่แฝงไว้ด้วยความอ่อนล้าและเศร้าสร้อย ริมฝีปากซีดเผือดสั่นระริก “อี้หลง... ข้า... ข้าเหนื่อยเหลือเกิน...”“ไม่เป็นไร ข้าอยู่ตรงนี้” เจิ้งอี้หลงพูดด้วยน้ำเสียงสั่น มือหนาลูบใบหน้าซีดขาวของนางอย่างอ่อนโยน ราวกับพยายามปลอบประโลมความเจ็บปวดของนาง “เจ้าอย่าพูดแบบนี้ เจ้าจะไม่เป็นอะไร ข้าสัญญา...”เฟิงหย่าเสวี่ยพยายามยกมือที่อ่อนแรงขึ้นแตะใบหน้าที่แสนหล่อเหลาของเจิ่งอี้หลง มือที่เย็นเฉียบสั่นระริกจนเจิ้งอี้หลงรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวัง “ข้า... ใช้พลังทั้งหมดแล้ว... ทุกหยด... ตอนนี้ข้ารู้สึกเหมือน... เหมือนวิญญาณกำลังหลุดลอย