ทางด้านเจ้าบ่าวก็ทำหน้าเบื่อโลกเซ็งกะตายอยู่ภายในรถตู้คันหรูป้ายแดง ยานพาหนะที่จะนำพาเขากับครอบครัวไปสถานที่จัดงานแต่งงานกับเจ้าสาวนามว่าแพรวพรรณราย เจ้าสาวที่เขาไม่ปรารถนาจะเข้าวิวาห์ด้วย และที่สำคัญไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน
เวลานี้กรกวินทร์ไม่ได้นึกถึงเจ้าสาวของตนเลย กลับนึกถึงแต่นิสารัตน์ คนรักที่วาดหวังกันว่าจะครองชีวิตร่วมกัน แต่สุดท้ายความฝันของทั้งคู่ต้องพังทลาย เมื่อบิดาบังคับให้ตนแต่งงานกับแพรวพรรณราย หญิงสาวที่กวินทร์หมายมั่นจะให้มาเป็นลูกสะใภ้ เขาอยากจะค้าน อยากจะดึงดั้นยืนกรานว่าไม่แต่งและอยากจะหยุดยั้งความคิดของบิดา แต่ก็ทำไม่ได้ เนื่องจากมารดาขอร้องด้วยเหตุผลที่เขาไม่เข้าใจ
“ทัชยอมแต่งงานกับหนูแพรวนะลูก เห็นแก่แม่ แม่อยากให้ครอบครัวของเราสงบสุขเสียที”
เป็นประโยคที่เรียกความสงสัยให้กับกรกวินทร์เป็นอย่างมาก แน่นอนที่เขาจะปล่อยคำถามเพื่อให้ตนเองคลายความสงสัย ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับเป็นความเงียบ ต่อมาคือเสียงสะอื้นไห้ของมารดา
“ฮือ...ทัชอย่าถามแม่เลยนะลูกว่าทำไมแม่ถึงพูดอย่างนี้ เอาเป็นว่า ถ้าทัชยังเห็นว่าแม่เป็นแม่อยู่ แต่งงานกับหนูแพรวนะลูก”
คำขอร้องแกมอ้อนวอน บวกกับเสียงร้องไห้ของมารดา ทำให้เขายอมแต่งงานกับแพรวพรรณราย หญิงสาวที่เขาเพียงแค่ได้ยินชื่อก็เกลียดเข้าไส้
“ทำหน้าให้มันดีๆ ไม่ได้หรือไงทัช ทำหน้าอย่างกับจะไปตาย”
ภวินทร์หันมาว่าลูกชายคนโตที่ตีหน้าเบื่อโลกแทนที่จะยิ้มระรื่นกับวันชื่นคืนสุขของตัวเอง เห็นแล้วเขาพาลหงุดหงิด คนที่ถูกต่อว่าอยากจะตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด ยังดีเสียกว่าต้องตายทั้งเป็นกับที่ต้องวิวาห์กับหญิงสาวที่ตนไม่รู้จัก
“ทัชไปถึงบ้านของหนูแพรว ทัชก็ยิ้มหน่อยนะลูก วันนี้เป็นวันดีของทัช แม่ไม่อยากเห็นทัชหน้าบึ้งตึง แม่อยากเห็นทัชยิ้ม”
ธาริณีสงสารกรกวินทร์ไม่น้อย บุตรชายคนโตของนางเป็นคนที่น่าสงสาร ความรักที่ได้จากแม่นั้นเต็มเปี่ยม แต่ทว่าจากพ่อนั้นเล่ายังไม่เท่าครึ่งหนึ่งที่ให้กวินภพ ลูกชายคนเล็กของนาง ส่งผลให้วาจาของภวินทร์จึงแล้งไปด้วยน้ำใจ ไม่เพียงไม่เห็นอกเห็นใจ ยังไม่พอใจซ้ำลงไปอีก
ฝ่ายกวินภพน้องชายก็อดที่จะสงสารพี่ชายไม่ได้ เขารู้ความรู้สึกบองกรกวินทร์ดีว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเขาก็ได้แต่เห็นใจ ยื่นมือเข้าช่วยไม่ได้เลย
“ครับคุณแม่ ผมจะพยายามเต็มที่ครับ”
กรกวินทร์ยิ้มเนือย สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย เบือนหน้าไปนอกหน้าต่าง มองดูทัศนียภาพย่ำรุ่งของเมืองกรุง ที่ขวักไขว่ไปด้วยผู้คนที่เริ่มใช่ชีวิตประจำวัน เช่นเดียวกับเขาที่กำลังเริ่มต้นใหม่ในชีวิต
รถตู้คันดังกล่าวแล่นมาจอดหน้าล็อบบี้ของโรงแรมฟลุทาวน์ ก่อนเวลาพิธีการในช่วงเช้าครึ่งชั่วโมง พิธีในช่วงเช้าที่ว่านี้ก็คือทำบุญเลี้ยงพระเก้ารูป เพื่อเป็นสิริมงคลในการครองคู่ จากนั้นเวลา 09.29 น. เป็นฤกษ์งามยามดีมีการแห่ขันหมากสู่ขอตามประเพณี ต่อจากนั้นก็จะเป็นพิธีรดน้ำสังข์ ต่อด้วยการจดทะเบียนสมรส ส่วนช่วงเย็นก็จะเป็นการเลี้ยงฉลองมงคลสมรส
คนที่อยู่ในรถตู้ก้าวลงมาจากรถ ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน ตรงไปยังห้องจัดเลี้ยงริมแม่น้ำ พริ้งเพราเมื่อเห็นเจ้าบ่าวและครอบครัวเดินเข้ามาห้องจัดงาน นางก็รีบกุลีกุจอเดินเข้าไปหา
“สวัสดีค่ะคุณพี่ภวินทร์ คุณพี่ณี”
พริ้งเพราพนมมือไหว้ทั้งสองอย่างนอบน้อม ชื่อของบิดาผ่านปากของพริ้มเพรา เรียกความสงสัยให้กับกรกวินทร์และกวินภพได้มาทีเดียว เนื่องจากบิดาของทั้งสองชื่อกวินทร์ แต่เหตุใดพริ้งเพราถึงเรียกบิดาว่าภวินทร์ แต่ทว่าเวลานี้คงเหมาะที่จะถามในเรื่องที่สองพี่น้องสงสัย เขาทั้งสองจึงวางเรื่องนี้ไว้ก่อน แล้วค่อยสอบถามภายหลัง
“งานเตรียมเรียบร้อยไหมพริ้ง” ภวินทร์เอ่ยถามมารดาเจ้าสาวด้วยน้ำเสียงสนิทสนม
“เรียบร้อยค่ะคุณพี่ พริ้งให้คนไปรับพระสงฆ์มาที่นี่แล้วค่ะ อีกสักครู่ก็คงมา”
อันที่จริงแล้ว นางแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย ทางโรงแรมเนรมิตให้ทุกอย่าง ให้สมกับราคาค่าจัดงานที่แพงสมกับฐานะของคู่สมรส
“ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวได้เลย”
“ค่ะคุณพี่ เดี๋ยวพริ้งจะไปเรียกลูกแพรวมาตักบาตรนะคะ” พริ้งเพราตอบรับก่อนจะเดินไปหาลูกสาวคนโตที่นั่งรออยู่ในห้องแต่งตัวอีกห้องหนึ่ง
แพรวพรรณรายเงยหน้ามองมารดาที่ก้าวเข้ามาในห้องอย่างรู้ในทันทีว่า เวลาที่ตนเองไม่ต้องการให้ถึงมันก็เดินทางมาถึงจนได้
“ออกไปได้แล้วนังแพรว แล้วก็กรุณายิ้มด้วย ไม่อย่างนั้นแกได้เจอดีแน่” พริ้มเพราที่เข้ามาตามเจ้าสาว ไม่วายกำชับแกมข่มขู่
“รู้แล้วค่ะ รับรองว่าจะยิ้มแฉ่งราวกับว่ายินดีปรีดากับการแต่งงานในวันนี้ สมใจแม่ยังไงล่ะคะ”
แพรวพรรณรายย้อนยอกมารดา
“นังแพรว” พริ้งเพราตวาดลูกสาวหัวดื้อ “แกไม่ต้องมาพูดประชดฉันนะ ถ้าไม่ติดว่าแกจะต้องแบกหน้าเป็นเจ้าสาว ฉันตบหน้าแกให้ขึ้นรอยนิ้วมือแน่”
“แม่คะ อย่าอารมณ์เสียสิคะ วันนี้วันแต่งงานของพี่แพรวนะคะแม่ แม่ต้องยิ้มไว้นะคะ”
เดือนดารารีบห้ามทัพศึกย่อยๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างมารดากับพี่สาว ซึ่งมันเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนเธอชาชิน สงสารพี่สาวจับใจที่ถูกผู้เป็นแม่ดุด่า และลงไม้ลงมือเสมอราวกับว่าเป็นลูกที่แม่ไม่รัก ต่างกับเธอที่ถูกประคบประหงมดูแลเอาใจใส่จนบ้างครั้งเดือนดาราก็เกิดความอึดอัดแล้วไม่เข้าใจว่า เหตุใดพริ้งเพราถึงได้ไม่รักพี่สาวต่างบิดาของเธอ
“ก็ดูพี่สาวเดือนสิลูก ทำหน้าทำตาอย่างกับไปตายจะไม่ให้แม่โมโหได้ยังไง”
พริ้งเพราลดระดับน้ำเสียงแข็งกร้าวมาเป็นอ่อนโยน ผิดกับน้ำเสียงที่พูดกับแพรวพรรณรายราวกับฟ้าแลเหว
“โธ่แม่คะ แม่ก็ต้องเห็นใจพี่แพรวบ้างนะคะ จะมีใครบ้างที่ยิ้มออกและดีใจที่ได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่ได้รัก ให้เวลาพี่แพรวทำใจบ้างสิคะแม่”
เดือนดาราเห็นใจพี่สาวเป็นที่สุด แต่ทว่าเธอเป็นลูกคงจะมีปากมีเสียงกับมารดาไม่ได้ อีกทั้งเรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายที่มีนัยยะแอบแฝง
“เดือนเป็นคนดีเหลือเกินลูก รู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่น แม่ภูมิใจในตัวเดือนมากเลยลูก”
พริ้งเพราแสดงความรักที่มีต่อเดือนดาราจนออกนอกหน้า ไม่คำนึงถึงลูกสาวอีกคนหนึ่งที่มองดูมารดาด้วยความเสียใจและน้อยใจ
“พี่แพรวไม่ใช่คนอื่นนะคะแม่ พี่แพรวเป็นพี่สาวของเดือน การที่เดือนจะเห็นใจพี่แพรวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” เดือนดาราโต้กลับ
“ข้อนั้นแม่รู้จ้ะ ลูกสาวแม่น่ารักอย่างนี้แม่ถึงได้รักลูกม๊ากมาก มากที่สุดในชีวิตเลยจ้ะ”
เดือนดาราควรจะดีใจกับคำพูดของมารดา แต่ทว่าเธอกลับมีความรู้สึกตรงกันข้าม เธอเสียใจที่มารดาพูดเช่นนี้ต่อหน้าพี่สาว เนื่องจากความหมายที่พูดนั้นทำให้เข้าใจว่า พริ้งเพรารักเธอคนเดียว แล้วแพรวพรรณรายล่ะ นางเอาไปไว้ตรงในในความรู้สึกและหัวใจ
“ขอบคุณแม่มากนะคะที่รักเดือน แต่เดือนว่าแม่ออกไปรับแขกด้านนอกดีกว่าคะ เดี๋ยวเดือนจะพาพี่แพรวออกไปนะคะแม่”
“จ้ะลูก” พริ้งเพราเอ่ยเสียงหวานกับลูกสาวคนเล็ก ก่อนจะหันไปส่งเสียงเขียวกับลูกสาวคนโต “นังแพรว แกมีปากนะนังแพรว กรุณายิ้มด้วย” พูดจบก็สะบัดหน้าเดินออกไปจากห้องทันที
“พี่แพรวคะ แม่ไม่ได้หมายความว่าไม่รักพี่แพรวนะคะ พี่แพรวอย่าคิดมากกับคำพูดของแม่นะคะ”
เดือนดาราที่มีความห่วงใยทางด้านความรู้สึกของพี่สาวมาโดยตลอด พูดปลุกปลอบให้แพรวพรรณรายคลายจากความหมองเศร้าและความเสียใจที่ได้รับ
“พี่ชินแล้ว พี่โดนแบบนี้มาตั้งแต่เกิด โดนอีกสักนิดจะเป็นไรไป”
ปากก็บอกว่าชาชิน แต่ทุกครั้งที่เห็นและได้ยิน ความเสียใจก็ยังเกิดขึ้นทุกครั้ง เป็นความเจ็บแบบซ้ำๆ ที่เธอก็ไม่รู้ว่า วันใดจะได้รับความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่บ้าง หรือนี่อาจจะเป็นบทลงโทษแทนบิดาที่เคยทำร้ายพริ้งเพราให้เจ็บช้ำน้ำใจ ผลกรรมจึงตกอยู่ที่เธอเพียงคนเดียว
Chapter 8แต่พอเขาเดินเข้ามาในห้องน้ำ ดัตถพงศ์ได้กลิ่นอาเจียนที่ติดเสื้อของตน เขาจึงถอดเสื้อออกรวมทั้งเสื้อกล้าม ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กที่อยู่ตรงชั้นมาชุบน้ำพอหมาด จากนั้นก็เดินกลับออกไป“เฮ้ย! ฟ้า ทำอะไร” เขาอุทานเสียงดังลั่นเมื่อเห็นนิสารัตน์ที่เวลานี้ลุกขึ้นนั่ง และเธอก็กำลังจะถอดเสื้อของตัวเองออก ดัตถพงศ์รีบถลาไปยังร่างสาวทันที“อย่าถอดฟ้า อย่าถอด” เขาร้องห้าม จับมือทั้งสองข้างของเธอไว้แน่น“ปล่อยฟ้านะ ปล่อย ฟ้าจะถอดเสื้อ ฟ้าเหม็น ใครมาอ้วกใส่เสื้อฟ้าเนี่ย” คนที่ร้องโวยวายยังไม่รู้ตัวว่า คนที่อาเจียนนั้นก็คือตัวเธอ“เดี๋ยวฉันเช็ดให้ อยู่เฉยๆ”เขาดุใส่ เธอมีอาการสงบลงเมื่อได้เยินเสียงเข้มๆ ของใครคนหนึ่งที่น้ำเสียงคุ้นๆ หู แต่เนื่องจากความเมาทำให้เธอไม่มีสติพอที่จะนึกว่าเป็นเสียงของใคร อีกทั้งไม่ได้นึกเอะใจเลยสักนิดว่า ตัวเองอยู่ในที่ใด แล้วเหตุใดจึงมีเสียงผู้ชายอยู่ดังใกล้ตัวดัตถพงศ์ใช้โอกาสนี้เช็ดหน้าเช็ดตาให้นิสารัตน์ ลดมือต่ำลงมาเช็ดคราบอาเจียนตามเสื้อผ้าของเธออย่างไม่รังเกียจ เขาจะรังเกียจคนที่ตนเองรักได้อย่างไร ไม่ว่าเธอจะอยู่ในสภาพแบบไหนเขาก็ไม่มีวันรังเกียจดัตถพงศ
Chapter 7เจ้าของรถสปอร์ตเหยียบเบรกรถเมื่อเดินทางมาถึงหน้าบ้านของนิสารัตน์ ไฟในบ้านของเธอมืดสนิท ไม่มีแม้แต่แสงไฟตรงริมรั้วบ้าน มือใหญ่เปิดประตูรถก่อนจะก้าวลงไป ก่อนจะเดินไปกดกริ่งหวังจะเรียกคนในบ้านให้มาเปิดประตู ทว่าเขากดไปหลายครั้งแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าใครจะออกมาสักคน เขาคงไม่รู้ว่าปิ่นกับปักสองพี่น้องคนรับใช้ประจำบ้านของนิสารัตน์ ลากลับบ้านกว่าจะกลับมาก็วันมะรืนนี้ ดัตถพงศ์จึงเดินกลับมาที่รถ เดินไปยังประตูฝั่งด้านข้างคนขับ“ฟ้า ฟ้า ตื่นสิ ฟ้า” เขาส่งเสียงเรียกดาราสาวที่ยังหลับสนิท กลิ่นแอลกอฮอล์หึ่งรถ“หลับเป็นตายเลย” เขาบ่นอุบเมื่อเห็นร่างเล็กไม่มีทีท่าว่าจะตื่น “กุญแจบ้านอยู่ไหนฟ้า ตื่นสิตื่น”ดัตถพงศ์ใช้ฝ่ามือตบใบหน้าของเธอเบาๆ เพื่อเรียกสติ แต่ดูเหมือนหว่านิสารัตน์จะไม่มีสติเอาเสียเลย เรียกเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ เขาจึงถือวิสาสะคว้ากระเป๋าสะพายที่คล้องอยู่บนบ่าของเธอมารื้อค้นหากุญแจบ้าน ทว่าเขารื้อค้นจนทั่วก็ไม่เห็นกุญแจสักดอก“หรือว่าจะทำตกที่ผับ” ชายหนุ่มคิดในใจ และคาดว่าเป็นตามที่ตนคิด “เอาไงดีวะเนี่ย เข้าบ้านก็ไม่ได้ จะปล่อยให้นอนตากยุงอยู่หน้าบ้านก็ไม่ได้ จะทำยังไงดีวะ”ด
Chapter 6 “ฉันเองก็ไม่รู้อะไรมากหรอก รู้แค่ว่าผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายจัดการ”แท้จริงแล้วดัตถพงศ์รู้ดีทุกอย่าง เนื่องจากกรกวินทร์มานั่งปรับทุกข์ในเรื่องนี้กับตน แต่เขาก็เลือกตอบประหนึ่งว่าไม่รู้เรื่องรู้ราว“สมัยนี้ยังมีคลุมถุงชนอีกเหรอเนี่ย ไม่น่าเชื่อ” พิเชษฐ์เปรย“มันก็เหมือนกับเรือล่มในหนองทองจะไปไหนรึเปล่า การแต่งงานเพื่อธุรกิจมีเยอะแยะไป”ศราวุฒิไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแปลก เพราะหลายคนที่เขารู้จักก็แต่งงานเพื่อธุรกิจอยู่หลายคู่ ต่อยอดความร่ำรวย เงินทองไม่รั่วไหล“เฮ้ยๆ ฟ้าลุกขึ้นแล้ววะ สงสัยจะกลับแล้ว แต่ว่าจะกลับยังไงเนี่ยเมาเป๋ซะขนาดนี้”พิเชษฐ์พูดขึ้นเมื่อเห็นว่า นิสารัตน์กำลังลุกขึ้นยืน แล้วกำลังเดินห่างโต๊ะ แต่ทว่าด้วยสภาพเมาจนประคองตัวเองไม่อยู่ ทำให้ร่างระหงเซไปเซมา จนต้องใช้มือจับโต๊ะเอาไว้กันล้ม จากสภาพที่เห็นเธอไม่น่าจะกลับเองได้“ฉันขอตัวก่อนก็แล้วกันนะ”ดัตถพงศ์เห็นสภาพของนิสารัตน์แล้วเกิดเป็นห่วงขึ้นมา หากปล่อยเธอ กลับบ้านเองมีหวังไม่ถึงที่แน่ อาจจะเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง หรือไม่ก็โดนฉุดไปทำมิดีไม่ร้ายกับคนที่ไม่หวังดี“อะไรวะ มาไม่ถึงชั่วโมงก็จะกลับแล
Chapter 5ณ ผับเทอมินอล ผับเทอมินอลเป็นผับหรูระดับเฟิร์สคลาส ลูกค้าที่มาใช้บริการส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกที่ต้องเสียรายปีๆ สามหมื่นห้าพันบาทสำหรับสามชิกระดับโกล์ดคลาส ส่วนสมาชิกทั่วไปเสียรายปีๆ ละหนึ่งหมื่นบาทผับแห่งนี้แบ่งเป็นหลายส่วน จำแนกตามระดับของสมาชิก หากเป็นสมาชิกทั่วไปจะใช้บริการได้เพียงส่วนของผับ จะให้ความบันเทิงเสมือนผับทั่วๆ ไป สมาชิกระดับโกล์ดคลาสจะใช้บริการได้ทุกส่วน ส่วนที่สองจะเป็นห้องรับรองส่วนตัวขนาดห้องก็แตกต่างกันไป ห้องละห้าคนบ้าง สิบคนบ้าง ยี่สิบคนบ้างตามแต่สมาชิกคนนั้นๆ ส่วนที่สามคือวีไอพีที่มีความพรั่งพร้อมครบครัน ไม่ว่าจะเป็นห้องประชุมเล็กๆ ห้องปาร์ตี้ขนาดบรรจุคนได้ราวสามสิบคนและห้องนอนไว้พักผ่อน ในส่วนของผับค่ำคืนนี้คนค่อนข้างหนาตา อาจเป็นเพราะเป็นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เจ้าของธุรกิจรวมทั้งสมาชิกทั่วไปต่างมาผ่อนคลายความตึงเครียดจากงานที่โหมหนักมาทั้งสัปดาห์ หรือจากชีวิตส่วนตัวที่รุมเร้า ต้องการพักให้หายเครียดหนึ่งในจำนวนคนเป็นร้อยที่มาใช้บริการคือดารานักแสดงชื่อดังของเมืองไทย เธอเลือกที่จะนั่งโต๊ะริมในสุดของผับ ใช้แอลกอฮอล์ดับความเสียใจ
Chapter 4งานเลี้ยงช่วงค่ำ ห้องแกรนบอลลูนของโรงแรมฟลุทาวน์ดูเล็กไปถนัดตา เมื่อจำนวนคนที่อยู่ในห้องเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แขกที่มาร่วมงานเลี้ยงฉลองมลคลสมรสในขณะนี้นับคร่าวๆ ทางสายตาก็ร่วมแปดร้อยคน และท่าว่าแขกจะไม่หยุดที่จำนวนนี้ นอกจากจะเป็นญาติสนิทจากทั้งสองฝ่าย แขกที่มาร่วมงานยังมีหลากหลายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง บุคคลที่มีชื่อเสียงทางสังคม นักธุรกิจหลายแขนง รวมทั้งเพื่อนฝูงของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวและที่ขาดไม่ได้เลยคือนักข่าวที่แชะบรรยากาศของงานแทบไม่ทัน ดัตถพงศ์นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงด้านเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านคือหนึ่งเพื่อนสนิทของกรกวินทร์ที่มาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ ซึ่งเขาก็รู้ดีว่า เจ้าบ่าวไม่เต็มใจที่จะร่วมงานวิวาห์ แต่ที่ยอมเพราะขัดบิดาและคำขอร้องของมารดาไม่ได้ เขาเดินมาหาคู่บ่าวสาวที่ยืนอยู่ตรงซุ้มดอกไม้ที่จัดตกแต่งอย่างสวยงามในมือถือกล่องของขวัญที่ตั้งใจนำมาให้ทั้งคู่ “ดีใจด้วยนะทัช”ดัตถพงศ์แม้จะรู้ว่า เจ้าบ่าวไม่เต็มใจแต่งงาน ทว่าตามมารยาทเขาจำเป็นต้องพูดประโยคนี้“ขอบใจเพื่อน” กรกวินทร์รับน้ำใจจากเพื่อนสนิท “แต่ฉันไม่เห็นจะด
Chapter 3“พี่แพรวคะ แม่รักพี่แพรวนะคะ ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้พี่แต่งงานกับพี่ทัชหรอกค่ะ แม่อยากให้พี่แพรวสบาย พี่แพรวเข้าใจแม่นะคะ”เดือนดาราที่ไม่รู้เหตุผลแท้จริงในงานวิวาห์ของพี่สาว จึงพูดปลุกปลอบให้แพรงพรรณรายไม่ต้องคิดมาก และคิดว่ามารดาไม่รัก แต่แท้จริงแล้ว แพรวพรรณรายรู้เหตุผลทุกอย่าง รู้ทุกเรื่องที่เดือนดาราไม่รู้ แม้กระทั่งเรื่องความลับของกรกวินทร์“ออกไปกันเถอะ พี่ไม่อยากถูกแม่ดุเรื่องที่ออกไปช้า”แพรวพรรณรายพูดตัดบท เธอไม่อาจเปิดเผยหรือแพร่งพรายความลับที่เธอรู้ให้ใครได้รับฟังได้ แท้แต่เดือนดารา สองพี่น้องจึงเดินออกจากห้องแต่งตัว เดินเข้าไปในงานสมรสที่จัดอย่างยิ่งใหญ่อลังการทุกคนที่อยู่ภายในห้องจัดเลี้ยงต่างมองมายังร่างของเจ้าสาวที่เดินเคียงคู่มากับหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่มีความงามไม่แพ้กัน ทุกสายตาต่างชื่นชมกับความสวยของแพรวพรรณราย แต่จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มองข้ามความสวยของเธอไป แม้ว่าเขาอดจะตะลึงกับความงดงามของเธอไม่ได้ แต่มันแค่เพียงชั่ววินาทีความงามขอแพรวพรรณรายโดดเด่นมาก ดวงหน้าหวานถูกแต่งแต้มพองาม ไม่มากเกินและไม่น้อยเกินไป อาจเป็นเพราะเธอเป็นคนสวยอยู่แล้วจึงไม่ต้องพึ่ง