ทางด้านเจ้าบ่าวก็ทำหน้าเบื่อโลกเซ็งกะตายอยู่ภายในรถตู้คันหรูป้ายแดง ยานพาหนะที่จะนำพาเขากับครอบครัวไปสถานที่จัดงานแต่งงานกับเจ้าสาวนามว่าแพรวพรรณราย เจ้าสาวที่เขาไม่ปรารถนาจะเข้าวิวาห์ด้วย และที่สำคัญไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน
เวลานี้กรกวินทร์ไม่ได้นึกถึงเจ้าสาวของตนเลย กลับนึกถึงแต่นิสารัตน์ คนรักที่วาดหวังกันว่าจะครองชีวิตร่วมกัน แต่สุดท้ายความฝันของทั้งคู่ต้องพังทลาย เมื่อบิดาบังคับให้ตนแต่งงานกับแพรวพรรณราย หญิงสาวที่กวินทร์หมายมั่นจะให้มาเป็นลูกสะใภ้ เขาอยากจะค้าน อยากจะดึงดั้นยืนกรานว่าไม่แต่งและอยากจะหยุดยั้งความคิดของบิดา แต่ก็ทำไม่ได้ เนื่องจากมารดาขอร้องด้วยเหตุผลที่เขาไม่เข้าใจ
“ทัชยอมแต่งงานกับหนูแพรวนะลูก เห็นแก่แม่ แม่อยากให้ครอบครัวของเราสงบสุขเสียที”
เป็นประโยคที่เรียกความสงสัยให้กับกรกวินทร์เป็นอย่างมาก แน่นอนที่เขาจะปล่อยคำถามเพื่อให้ตนเองคลายความสงสัย ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับเป็นความเงียบ ต่อมาคือเสียงสะอื้นไห้ของมารดา
“ฮือ...ทัชอย่าถามแม่เลยนะลูกว่าทำไมแม่ถึงพูดอย่างนี้ เอาเป็นว่า ถ้าทัชยังเห็นว่าแม่เป็นแม่อยู่ แต่งงานกับหนูแพรวนะลูก”
คำขอร้องแกมอ้อนวอน บวกกับเสียงร้องไห้ของมารดา ทำให้เขายอมแต่งงานกับแพรวพรรณราย หญิงสาวที่เขาเพียงแค่ได้ยินชื่อก็เกลียดเข้าไส้
“ทำหน้าให้มันดีๆ ไม่ได้หรือไงทัช ทำหน้าอย่างกับจะไปตาย”
ภวินทร์หันมาว่าลูกชายคนโตที่ตีหน้าเบื่อโลกแทนที่จะยิ้มระรื่นกับวันชื่นคืนสุขของตัวเอง เห็นแล้วเขาพาลหงุดหงิด คนที่ถูกต่อว่าอยากจะตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด ยังดีเสียกว่าต้องตายทั้งเป็นกับที่ต้องวิวาห์กับหญิงสาวที่ตนไม่รู้จัก
“ทัชไปถึงบ้านของหนูแพรว ทัชก็ยิ้มหน่อยนะลูก วันนี้เป็นวันดีของทัช แม่ไม่อยากเห็นทัชหน้าบึ้งตึง แม่อยากเห็นทัชยิ้ม”
ธาริณีสงสารกรกวินทร์ไม่น้อย บุตรชายคนโตของนางเป็นคนที่น่าสงสาร ความรักที่ได้จากแม่นั้นเต็มเปี่ยม แต่ทว่าจากพ่อนั้นเล่ายังไม่เท่าครึ่งหนึ่งที่ให้กวินภพ ลูกชายคนเล็กของนาง ส่งผลให้วาจาของภวินทร์จึงแล้งไปด้วยน้ำใจ ไม่เพียงไม่เห็นอกเห็นใจ ยังไม่พอใจซ้ำลงไปอีก
ฝ่ายกวินภพน้องชายก็อดที่จะสงสารพี่ชายไม่ได้ เขารู้ความรู้สึกบองกรกวินทร์ดีว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเขาก็ได้แต่เห็นใจ ยื่นมือเข้าช่วยไม่ได้เลย
“ครับคุณแม่ ผมจะพยายามเต็มที่ครับ”
กรกวินทร์ยิ้มเนือย สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย เบือนหน้าไปนอกหน้าต่าง มองดูทัศนียภาพย่ำรุ่งของเมืองกรุง ที่ขวักไขว่ไปด้วยผู้คนที่เริ่มใช่ชีวิตประจำวัน เช่นเดียวกับเขาที่กำลังเริ่มต้นใหม่ในชีวิต
รถตู้คันดังกล่าวแล่นมาจอดหน้าล็อบบี้ของโรงแรมฟลุทาวน์ ก่อนเวลาพิธีการในช่วงเช้าครึ่งชั่วโมง พิธีในช่วงเช้าที่ว่านี้ก็คือทำบุญเลี้ยงพระเก้ารูป เพื่อเป็นสิริมงคลในการครองคู่ จากนั้นเวลา 09.29 น. เป็นฤกษ์งามยามดีมีการแห่ขันหมากสู่ขอตามประเพณี ต่อจากนั้นก็จะเป็นพิธีรดน้ำสังข์ ต่อด้วยการจดทะเบียนสมรส ส่วนช่วงเย็นก็จะเป็นการเลี้ยงฉลองมงคลสมรส
คนที่อยู่ในรถตู้ก้าวลงมาจากรถ ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน ตรงไปยังห้องจัดเลี้ยงริมแม่น้ำ พริ้งเพราเมื่อเห็นเจ้าบ่าวและครอบครัวเดินเข้ามาห้องจัดงาน นางก็รีบกุลีกุจอเดินเข้าไปหา
“สวัสดีค่ะคุณพี่ภวินทร์ คุณพี่ณี”
พริ้งเพราพนมมือไหว้ทั้งสองอย่างนอบน้อม ชื่อของบิดาผ่านปากของพริ้มเพรา เรียกความสงสัยให้กับกรกวินทร์และกวินภพได้มาทีเดียว เนื่องจากบิดาของทั้งสองชื่อกวินทร์ แต่เหตุใดพริ้งเพราถึงเรียกบิดาว่าภวินทร์ แต่ทว่าเวลานี้คงเหมาะที่จะถามในเรื่องที่สองพี่น้องสงสัย เขาทั้งสองจึงวางเรื่องนี้ไว้ก่อน แล้วค่อยสอบถามภายหลัง
“งานเตรียมเรียบร้อยไหมพริ้ง” ภวินทร์เอ่ยถามมารดาเจ้าสาวด้วยน้ำเสียงสนิทสนม
“เรียบร้อยค่ะคุณพี่ พริ้งให้คนไปรับพระสงฆ์มาที่นี่แล้วค่ะ อีกสักครู่ก็คงมา”
อันที่จริงแล้ว นางแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย ทางโรงแรมเนรมิตให้ทุกอย่าง ให้สมกับราคาค่าจัดงานที่แพงสมกับฐานะของคู่สมรส
“ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวได้เลย”
“ค่ะคุณพี่ เดี๋ยวพริ้งจะไปเรียกลูกแพรวมาตักบาตรนะคะ” พริ้งเพราตอบรับก่อนจะเดินไปหาลูกสาวคนโตที่นั่งรออยู่ในห้องแต่งตัวอีกห้องหนึ่ง
แพรวพรรณรายเงยหน้ามองมารดาที่ก้าวเข้ามาในห้องอย่างรู้ในทันทีว่า เวลาที่ตนเองไม่ต้องการให้ถึงมันก็เดินทางมาถึงจนได้
“ออกไปได้แล้วนังแพรว แล้วก็กรุณายิ้มด้วย ไม่อย่างนั้นแกได้เจอดีแน่” พริ้มเพราที่เข้ามาตามเจ้าสาว ไม่วายกำชับแกมข่มขู่
“รู้แล้วค่ะ รับรองว่าจะยิ้มแฉ่งราวกับว่ายินดีปรีดากับการแต่งงานในวันนี้ สมใจแม่ยังไงล่ะคะ”
แพรวพรรณรายย้อนยอกมารดา
“นังแพรว” พริ้งเพราตวาดลูกสาวหัวดื้อ “แกไม่ต้องมาพูดประชดฉันนะ ถ้าไม่ติดว่าแกจะต้องแบกหน้าเป็นเจ้าสาว ฉันตบหน้าแกให้ขึ้นรอยนิ้วมือแน่”
“แม่คะ อย่าอารมณ์เสียสิคะ วันนี้วันแต่งงานของพี่แพรวนะคะแม่ แม่ต้องยิ้มไว้นะคะ”
เดือนดารารีบห้ามทัพศึกย่อยๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างมารดากับพี่สาว ซึ่งมันเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนเธอชาชิน สงสารพี่สาวจับใจที่ถูกผู้เป็นแม่ดุด่า และลงไม้ลงมือเสมอราวกับว่าเป็นลูกที่แม่ไม่รัก ต่างกับเธอที่ถูกประคบประหงมดูแลเอาใจใส่จนบ้างครั้งเดือนดาราก็เกิดความอึดอัดแล้วไม่เข้าใจว่า เหตุใดพริ้งเพราถึงได้ไม่รักพี่สาวต่างบิดาของเธอ
“ก็ดูพี่สาวเดือนสิลูก ทำหน้าทำตาอย่างกับไปตายจะไม่ให้แม่โมโหได้ยังไง”
พริ้งเพราลดระดับน้ำเสียงแข็งกร้าวมาเป็นอ่อนโยน ผิดกับน้ำเสียงที่พูดกับแพรวพรรณรายราวกับฟ้าแลเหว
“โธ่แม่คะ แม่ก็ต้องเห็นใจพี่แพรวบ้างนะคะ จะมีใครบ้างที่ยิ้มออกและดีใจที่ได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่ได้รัก ให้เวลาพี่แพรวทำใจบ้างสิคะแม่”
เดือนดาราเห็นใจพี่สาวเป็นที่สุด แต่ทว่าเธอเป็นลูกคงจะมีปากมีเสียงกับมารดาไม่ได้ อีกทั้งเรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายที่มีนัยยะแอบแฝง
“เดือนเป็นคนดีเหลือเกินลูก รู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่น แม่ภูมิใจในตัวเดือนมากเลยลูก”
พริ้งเพราแสดงความรักที่มีต่อเดือนดาราจนออกนอกหน้า ไม่คำนึงถึงลูกสาวอีกคนหนึ่งที่มองดูมารดาด้วยความเสียใจและน้อยใจ
“พี่แพรวไม่ใช่คนอื่นนะคะแม่ พี่แพรวเป็นพี่สาวของเดือน การที่เดือนจะเห็นใจพี่แพรวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” เดือนดาราโต้กลับ
“ข้อนั้นแม่รู้จ้ะ ลูกสาวแม่น่ารักอย่างนี้แม่ถึงได้รักลูกม๊ากมาก มากที่สุดในชีวิตเลยจ้ะ”
เดือนดาราควรจะดีใจกับคำพูดของมารดา แต่ทว่าเธอกลับมีความรู้สึกตรงกันข้าม เธอเสียใจที่มารดาพูดเช่นนี้ต่อหน้าพี่สาว เนื่องจากความหมายที่พูดนั้นทำให้เข้าใจว่า พริ้งเพรารักเธอคนเดียว แล้วแพรวพรรณรายล่ะ นางเอาไปไว้ตรงในในความรู้สึกและหัวใจ
“ขอบคุณแม่มากนะคะที่รักเดือน แต่เดือนว่าแม่ออกไปรับแขกด้านนอกดีกว่าคะ เดี๋ยวเดือนจะพาพี่แพรวออกไปนะคะแม่”
“จ้ะลูก” พริ้งเพราเอ่ยเสียงหวานกับลูกสาวคนเล็ก ก่อนจะหันไปส่งเสียงเขียวกับลูกสาวคนโต “นังแพรว แกมีปากนะนังแพรว กรุณายิ้มด้วย” พูดจบก็สะบัดหน้าเดินออกไปจากห้องทันที
“พี่แพรวคะ แม่ไม่ได้หมายความว่าไม่รักพี่แพรวนะคะ พี่แพรวอย่าคิดมากกับคำพูดของแม่นะคะ”
เดือนดาราที่มีความห่วงใยทางด้านความรู้สึกของพี่สาวมาโดยตลอด พูดปลุกปลอบให้แพรวพรรณรายคลายจากความหมองเศร้าและความเสียใจที่ได้รับ
“พี่ชินแล้ว พี่โดนแบบนี้มาตั้งแต่เกิด โดนอีกสักนิดจะเป็นไรไป”
ปากก็บอกว่าชาชิน แต่ทุกครั้งที่เห็นและได้ยิน ความเสียใจก็ยังเกิดขึ้นทุกครั้ง เป็นความเจ็บแบบซ้ำๆ ที่เธอก็ไม่รู้ว่า วันใดจะได้รับความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่บ้าง หรือนี่อาจจะเป็นบทลงโทษแทนบิดาที่เคยทำร้ายพริ้งเพราให้เจ็บช้ำน้ำใจ ผลกรรมจึงตกอยู่ที่เธอเพียงคนเดียว
Chapter 112กรกวินทร์ก็ช้อนอุ้มร่างสวยไปวางบนเตียง มือใหญ่ลูบเบาๆ ตรงท้องของภรรยาที่นูนขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเลื่อนใบหน้าไปยังจุดที่ฝ่ามือวางอยู่“พ่อรักลูกนะครับ รักแม่ของลูกด้วย” พูดจบกรกวินทร์ก็จูบเบาๆ ตรงกลางท้อง บอกรักลูกน้อยในครรภ์ ก่อนจะขยับริมฝีปากพรมจูบไปทั่วเรือนร่างของแพรวพรรณราย เริ่มต้นบทรักที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน ทะนุถนอมเพราะยังมีอีกชีวิตหนึ่งฝังตัวอยู่ในร่างกายของเธอ แต่ไม่ละทิ้งความเร่าร้อนชีวิตคู่ของกรกวินทร์กับแพรวพรรณรายเริ่มต้นไม่ดีนัก เริ่มต้นด้วยความเกลียดชัง แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยความรักความเข้าใจกัน ความรักที่จะเคียงคู่ยืนยาวและมั่นคงไปตลอดชีวิตของเขาและเธอห้าเดือนต่อมา“คุณแม่คะ คุณแม่เบ่งค่ะ เบ่งอีกค่ะ อีกนิดเดียวค่ะคุณแม่”เสียงแพทย์หญิงอรทัย แพทย์ทำคลอดเอ่ยบอกแพรวพรรณรายที่นอนขึ้นขาหยั่งอยู่บนเตียงคลอด ซึ่งคนถูกสั่งก็ทำตามแต่โดยดี“อึ๊บบบบบบบบบ”แพรวพรรณรายออกแรงเบ่งมากขึ้นจนหน้าดำหน้าแดง ข้างเตียงมีสามีหนุ่มที่ขออนุญาตทางโรงพยาบาล ขอเข้ามาให้กำลังใจภรรยาและถ่ายคลิปวิดีโอบันทึกภาพนาทีแห่งชีวิตของลูกน้อย เขายืนลุ้น ยืนให้กำลังใจภรรยาสาวไม่ห่าง บางครั้งก
Chapter 111น้ำตาไว้ไม่อยู่ ก่อนจะพยักหน้าและเอ่ยตอบกลับไป “ค่ะ แต่งค่ะ”“เฮ้...” สิ้นเสียงตอบรับของแพรวพรรณราย เสียงโห่ร้องของคนที่อยู่ในงานก็ดังขึ้น กรกวินทร์ถอดแหวนวงเก่าที่สวมอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของเธอออก ก่อนจะสวมแหวนวงใหม่ที่เขาตั้งใจมอบให้เป็นแหวนแทนใจเข้าไปแทนที่ จุมพิตหลังมือของภรรยาสาวตามธรรมเนียมพิธีแต่งงานระหว่างกรกวินทร์กับแพรวพรรณรายดำเนินไปอย่างราบรื่น มีการแห่ขันหมากสู่ขอตามประเพณี นิมนต์พระสงฆ์เก้ารูปมาสวดพระพุทธมนต์เพื่อเป็นสิริมงคล และที่ขาดไม่ได้คือการรดน้ำสังข์ ให้ญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายมากล่าวแสดงความยินดี รวมทั้งเพื่อนๆ พี่ๆ ที่นับถือและบุคคลที่รู้จักชอบพอมาร่วมงาน จากนั้นก็เป็นงานเลี้ยงฉลองแบบเป็นกันเอง กรกวินทร์ไม่เพียงแค่จัดงานช่วงเช้าเท่านั้น ยังมีงานเลี้ยงฉลองสมรสในตอนค่ำที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ เชิญแขกเหรื่อมานับพันคนอีกด้วยงานในช่วงเช้าว่าน่าปลื้มแล้ว งานในช่วงค่ำยิ่งเพิ่มความรู้สึกนั้นเป็นทวีคูณ เมื่อเขาลงทุนร้องเพลงให้เธอกับแขกที่มาร่วมงานฟัง ทั้งที่เขาไม่ถนัดเรื่องนี้เอาเสียเลย แล้วแพรวพรรณรายก็เพิ่งมารู้ว่าเขาลงทุนไปเรียนร้องเพลงเพื่องานค่ำนี้โดยเฉพาะ
Chapter 110สี่เดือนต่อมาหลังจากเสร็จสิ้นงานฌาปนกิจศพของภวินทร์ แก่นกล้าหรือที่รู้จักกันในสังคมว่า กวินทร์ รัตนบดี มีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป เรื่องคดีการเสียชีวิตของภวินทร์ ธาริณีและลูกทั้งสองคนไม่ติดใจ คิดว่าเป็นอุบัติเหตุไม่ได้เป็นการฆาตกรรมหรือว่าอื่นใด ทำให้ตำรวจปิดสำนวนได้อย่างรวดเร็วยังมีอีกเรื่องที่ธาริณีตัดสินใจบอกกรกวินทร์กับกวินภพ เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องปิดบัง เรื่องนั้นก็คือ เรื่องที่ทั้งคู่มีน้องสาว เป็นน้องสาวที่เกิดจากภวินทร์กับพริ้งเพรา ซึ่งทั้งคู่ก็ตกใจในคราแรกที่รู้ว่า บิดานอกใจมารดาแอบไปมีภรรยาน้อย แล้วภรรยาน้อยก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นมารดาของแพรวพรรณราย กรกวินทร์กับกวินภพไม่ถามเรื่องความหลังและความเป็นมาเป็นไป เพราะคิดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะรื้อฟื้นในเมื่อบิดาก็เสียชีวิตไปแล้ว และทั้งคู่ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีน้องสาวหน้าตาสะสวย กิริยามารยาทเรียบร้อยร้านอาหารคุณแพรวกิจการไปได้สวย มีลูกค้ามากหน้าหลายตา ทั้งขาประจำและขาจรมาใช้บริการอุ่นหนาฝาคั่ง ช่วงกลางวันลูกค้าจะแน่นเป็นพิเศษ เนื่องจากอาหารที่จัดเป็นชุด ไอเดียบรรเจิดของดิตถพงศ์เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก อาหารก
Chapter 109“พี่อิฐขา...อา”เสียงเธอแหบพร่า ความรัญจวนเร่งเร้าในจิตใจ ลมหายใจของเธอขาดห้วง เมื่อเขาซุกใบหน้าลงบนสามเหลี่ยมผืนน้อยที่เร้นลับอยู่ในซอกขา ดิตถพงศ์ไม่รอช้า ชิมรสหวานที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงเร็วยิ่งกว่ามีคนมาตีกลองชุดในหัวใจเสียอีก ยอมรับว่าตื่นเต้นและรู้สึกดีทุกครั้งที่ลิ้นได้ไล้เลียกลีบดอกไม้งาม และพรมจูบไม่เลือกที่ปลายลิ้นสากใหญ่ตวัดไปตามกลีบดอกไม้ช่องามที่ฉ่ำไปด้วยรสหวานของหยาดน้ำทิพย์ เขากวาดไล้น้ำทิพย์เหล่านั้นเข้าไปในปาก ก่อนจะประโลมเลียกลางกลีบดอก จากบนสู่ล่างแล้วหดลิ้นสอดเข้าไปในช่องทางสวรรค์เร้นลับ“พี่อิฐ พี่อิฐ อืม...พี่อิฐ”ทันทีที่เขาสอดลิ้นเข้าไปอยู่ด้านใน ดิตถพงศ์ก็เริ่มโบกสะบัดลิ้น ไม่ต่างกับปลาที่กำลังแหวกว่ายในหนองน้ำ เป็นหนองน้ำที่เขาโปรดปรานและต้องการจะแหวกว่ายทุกเมื่อเชื่อวัน อยากจะกระโจนตัวพุ่งใส่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาไม่ได้เพียงโบกลิ้นเท่านั้น บางครั้งก็กระดกลิ้นระรัวเร็วจนเธอแอ่นสะโพกรับปากหนา ส่วนมือของเขาก็ไม่ได้ห่างหายไปไหน นวดคลึงอกอวบสลับกับใช้ปลายนิ้วบดบี้เกสรน้อยไปด้วย เธอส่งเสียงซี้ดซ้าด ครวญครางไม่เป็นส่ำ ความเสียวซ่านแทรกซึมไปทุกผิวกาย ความ
Chapter 107“มีอะไรทัช เคาะประตู เรียกแม่ซะดังเชียว” นางเอ่ยถามหลังจากที่เปิดประตูแต่ทว่าสีหน้าของลูกชายไม่สู้ดีนัก ทำให้นางเกิดความสงสัย “ทำไมหน้าตาทัชเป็นอย่างนี้ล่ะลูก มีเรื่องอะไร”“คุณพ่อครับคุณแม่ รถของคุณพ่อเกิดอุบัติเหตุครับ”คำตอบของกรกวินทร์เรียกความตกใจให้กับธาริณี นางเบิกตากว้าง หัวใจเต้นแรง ตกใจกับข่าวที่ได้รับรู้“จริงเหรอลูก แล้วคุณพ่อเป็นอะไรมากไหม” ธาริณีถามลิ้นรัว ใจสั่น “ตำรวจบอกว่ายังไม่แน่ใจว่า ศพที่อยู่ในรถจะใช่คุณพ่อหรือเปล่า ต้องรอผลตรวจดีเอ็นเอก่อนครับ แต่ที่แน่ๆ รถน่ะใช่ครับ”“ศพเหรอ” นางทวนเสียงสั่น “หมายความว่ายังไงทัชที่ว่าศพน่ะ”“เพื่อนผมที่เป็นตำรวจอยู่ที่ชลบุรีโทรมาบอกครับ พอดีว่ามีรถบรรทุกชนกับรถยนต์คันหนึ่งจนเกิดระเบิด พอตำรวจไปตรวจสอบที่เกิดเหตุก็พบว่าคนขับรถบรรทุกหนีไป ส่วนคนที่อยู่ในรถเก๋งเสียชีวิตคาที่เพราะออกมาจากรถไม่ทัน ไฟคลอกตายครับ แต่ที่ตำรวจรู้ว่าเจ้าของรถเก๋งเป็นใครเพราะทะเบียนรถที่ไม่ได้ไหม้ไปด้วยก็เลยเอาไปตรวจสอบจนรู้ว่าเป็นรถของใครครับ แต่ศพที่อยู่ในรถต้องรอผลพิสูจน์ก่อนครับ ตำรวจยังไม่สรุปว่าเป็นคุณพ่อ”กรกวินทร์ตอบมารดาบังเอิญว่าเพื่
Chapter 106รถกระบะคันนั้นแล่นห่างจากรถของภวินทร์ราวสองร้อยเมตร พริ้งเพรามองดูรถบรรทุกที่วิ่งด้วยความเร็ว 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วิ่งชนรถของภวินทร์เต็มแรงจนรถของชายชั่วครูดไปตามผิวถนนยาวถึงหนึ่งร้อยเมตร แรงชนบวกกับการครูดไปตามผิวถนน ทำให้เกิดประกายไฟตามน้ำมันที่รั่วลงบนพื้น ชั่วอึดใจต่อมา รถหรูก็เกิดไฟลุกท่วมภายในรถยนต์คันนั้นเต็มไปด้วยความร้อน ไฟลุกลามไปถึงห้องโดยสารส่วนหน้า ร่างของภวินทร์ถูกเปลวไฟลามเลียร่างกาย แม้ว่าเขาจะเกิดอาการชาแต่ทว่าเปลวไฟที่มีอานุภาพรุนแรงก็ทำให้เขารู้สึกร้อนไปทั้งตัว ความร้อนแทรกเข้าสู่อวัยวะภายใน ลึกล้ำถึงอณูเนื้อ ผิวกายของเขาเริ่มพุพองจากไฟคลอก ผิวเนื้อค่อยๆ หลุดออกจนมองเห็นผิวหนังชั้นใน เขาเจ็บปวดร้อนรุ่มทุรนทุราย แต่เขาก็ไม่อาจร้องขอความช่วยเหลือ หรือแม้แต่จะขยับมือเปิดประตูรถแล้วนำพาตัวเองออกไปจากรถนี้ได้ เพราะอาการชายังคงมีอยู่ ได้แต่หลุบตามองดูเนื้อตัวของเขาที่แดงขึ้นเรื่อยๆ กลอกตามองรถที่กำลังถูกไฟไหม้ ส่งเสียงร้องอยู่ในลำคอ น้ำตาของคนชั่วหยดไหลเป็นทาง ทันใดนั้นภาพต่างๆ ในอดีตผุดขึ้นมาเป็นระลอกในอนุสติของเขา ทุกการกระทำที่เขาเคยก่อกรรมทำไว้กับผู้อื