“เสร็จแล้วก็กลับไป”
แทนที่ได้รับเอกสารนั้นคืนแล้วจะกลับ ปวริศากลับยังไม่ยอมขยับเท้า ตอนนี้เขาต้องการจะล้มตัวลงนอนเป็นที่สุด เพราะใกล้จะพยุงตัวเองไม่ได้แล้ว
ที่ปวริศายังไม่ไป เพราะใจเจ้ากรรมดันอยากจะถามถึงอาการเขาเสียงนั้นก็ต้องกลืนหายไปในลำคอเพราะมีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา ทำเอาใจเซล้ม
“ใครมาหรือคะธร”
“พนักงานเอาเอกสารมาให้เซ็นครับ” ถึงภาธรจะไม่เอ่ยชื่อ เสียงที่หวานปานระฆังแก้วแบบนี้หล่อนจำได้แม่นว่าคือ มาติกา…อดีตคนที่เขารักและคงยังรักจนถึงปัจจุบัน
เนื้อตัวและหัวใจของหญิงสาวชาไปทั่ว พร้อมกับคำสบถที่ก่อขึ้นในใจ เธอยังเจ็บไม่จำ อยากจะไปห่วงหาเขาทั้งที่เขาไม่เคยต้องการ เธอมันโง่เอง
ไม่ได้เจ็บแค่นั้น สถานะที่เขาให้ก็เจ็บไม่แพ้กัน พนักงานส่งเอกสารหรือ...
“หรืออยากจะเข้ามา” ไม่พูดเปล่า ภาธรยังคว้าข้อมือเล็กทำท่าจะดึงให้เข้าห้อง สีหน้าแววตาของเขาดูกรุ้มกรุ่มด้วยความร้ายอย่างไม่อาจจะคาดเดาได้
“หวานไม่เข้า”
หล่อนสะบัดมือออกแล้วรีบเดินหนี เธอก้าวไปให้ไว้ที่สุดและทันทีที่พ้นจากสายตาเขา หญิงสาวก็เกือบจะทรงตัวไม่อยู่
เจ้าหล่อนก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วบอกตัวเองว่าอย่าให้เขาชนะ เพราะรู้ว่าบุรุษใจร้ายต้องการจะเห็นหล่อนพ่ายแพ้และแสดงความอ่อนแอออกมา
น้ำตาเม็ดกลมใสๆ หยดย้อยมาจากขอบตา แต่ร่างระหงก็ปาดมันออก
หญิงสาวทิ้งก้นลงนั่งที่ป้ายรถเมล์ ใช่เธออ่อนไหว แต่ก็ไม่ได้อยากจะอ่อนแอตลอดไป
หญิงสาวพยายามปรับอารมณ์และสีหน้า เพราะตระหนักดีว่าความอ่อนแอคืออุปสรรคที่จะให้ชีวิตเดินหน้า ที่สำคัญไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วงและมันอาจจะหลุดลอยไปถึงหูของสรวิศ
หญิงสาวกลับมาถึงออฟฟิศได้ไม่ถึงสามชั่วโมงกลับมีสายเรียกเข้าจากใครคนหนึ่ง ทำให้ปวริศาเม้มปากและชั่งใจอยู่นานว่าจะรับสายดีหรือไม่ เพราะสายนั้นคือมาติกา
ยอมรับว่าความรู้สึกที่มีต่อมาติกามีมากหลายหลาก ที่โดดเด่นมากคือความอิจฉาและความละอายที่ทำให้ผู้หญิงดีๆ เดินไปในทางที่เสี่ยงอันตราย
ทันทีที่ปลายสายกดรับ มาติกาก็รีบพูดด้วยความร้อนใจ
“ตอนนี้ธรไม่สบายมากเลยค่ะ ตัวร้อนแล้วก็ปวดหัว”
“ค่ะ” ปวริศาไม่เข้าใจว่ามาติกามีจุดประสงค์ใดกันถึงมาบอกเธอ
“คุณหวานช่วยมาดูธรให้หน่อยได้ไหมคะ”
“คุณป่านดูแลเขาคงจะดีกว่าหวาน” เพราะภาธรคงไม่ได้อยากจะเห็นหน้าเธอ เผลอๆเห็นหน้าจะขับไสไล่ส่งอย่างสาดเสียเทเสีย ทว่าหากเป็นมาติกาเขาคงได้กำลังใจ หายวันหายคืน
“ป่านทำไม่ได้ค่ะ ป่านกำลังกลับไปปางไม้” พอได้ยินคำว่าปางไม้ มันก็ทำให้ใจคนฟังมีความรู้สึกผิด ใครๆก็ว่าที่นั่นไม่ต่างจากขุมนรก
“หวานขอโทษ...” ริมฝีปากสั่นพร่าเอ่ยบอกจากใจ
“ป่านจะยกโทษให้เมื่อคุณช่วยไปดูธรค่ะ”
แม้มาติกาอยากจะสวนค้านไปเรื่องหนึ่งเมื่อล่วงรู้ความคิดของปวริศาว่าโทษตัวเองด้วยเรื่องใด แต่ตอนนี้ตอบออกไปแบบนี้จะดีกว่า
ปวริศาเงียบ หัวสมองกำลังคิดหนัก
“ป่านหวังว่าคุณหวานจะมา”
นี่เป็นประโยคสุดท้ายในการสนทนา เมื่อพูดจบมาติกาก็ตัดสายเพราะเธอจำต้องรีบกลับ ก่อนที่ใครบางคนจะรู้ตัว
หญิงสาวคิดใคร่ครวญหาคำตอบ มีสองสิ่งที่กำลังต่อสู้กันคือสมองและหัวใจ สติที่มีพร่ำบอกว่าอย่าไปเพราะไม่มีทางที่หัวใจจะไม่เจ็บ แต่หัวใจก็ห่วงหาเขาจนใจจะขาด
มากที่สุดคือ การยกโทษของมาติกา เธออยากได้มันมากที่สุด เพื่อให้ความรู้สึกผิดเบาบางไปบ้าง ถึงจะเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็ตาม
ในที่สุดก็ทำให้ปวริศาเลือกที่จะไป สองเท้าเดินออกจากออฟฟิศอีกครั้ง
ในอีกไม่กี่นาทีต่อมาหญิงสาวก็มาหยุดอยู่หน้าห้องเดิมที่แตกต่างไปจากครั้งที่แล้วคือครั้งนี้ไม่ได้เคาะประตูแต่ไขกุญแจเข้าไปโดยกุญแจมาจากมาติกาที่ฝากไว้ที่นิติบุคคล
หญิงสาวมาหยุดที่หน้าเตียงนอน โดยคนที่หลับไม่รู้ตัวสักนิดว่าเธอมา มือบางอังที่หน้าผากแล้วทำให้เกิดความกลัดกลุ้ม เพราะภาธรตัวร้อนจี๋ ปวริศาตั้งใจไปหยิบอุปกรณ์เช็ดตัว พอหมุนตัวไปก็พบว่ามันวางอยู่ที่โต๊ะข้างเตียงแล้ว คงเป็นฝีมือมาติกาและอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่านี่คือสาเหตุที่กระดุมเสื้อเขาหลุด
มันคงไม่ใช่สาเหตุนี้สาเหตุเดียว…แต่หล่อนไม่มีเหตุผลให้ต้องไปคิด…เพราะเขาไม่ใช่ของเธอและไม่เคยใช่มาตลอด
ใจของภาธรไม่เคยโอนเอียงมาหาเธอแม้สักนิด
หญิงสาวตัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว เรื่องเดียวที่สำคัญในตอนนี้คือลดไข้ของเขา
ปวริศาแกะกระดุมชุดนอนออกแล้วค่อยๆไล่เช็ด เธอทำแบบนี้อยู่เป็นระยะๆ พร้อมกับมองกระดาษโน้ตที่มาติกาทิ้งไว้ให้ ‘ป่านให้ธรกินยาไปแล้วตอนเที่ยงตรง’
ตอนนี้ก็ใกล้บ่ายสี่โมงแล้ว โชคดีที่อุณหภูมิร่างกายเขาลดลงจนเป็นที่น่าพอใจ
ถึงกระนั้น หญิงสาวก็ยังทำหน้าที่ต่อไป เพียงเริ่มเช็ดได้ไม่นาน ภาธรก็เริ่มขยับรู้สึกตัวขึ้น ทว่าคำแรกที่เขาเอ่ยก็ทำให้หล่อนใจบอบช้ำแล้ว
“ป่าน” ทุกนาทีเขาคงมีแต่มาติกา
“หวานไม่ใช่คุณป่าน” เป็นจังหวะเดียวกับที่ภาธรลืมตาขึ้นได้
“ไปให้พ้นหน้าซะ”
เขาขับไล่น้ำเสียงแข็ง แววตาเผลอแสดงความหงุดหงิดให้เห็น แถมยังลุกจากเตียง ตอนนี้สีหน้าของเขาดูดีขึ้น ชายหนุ่มกำลังกวาดสายตามองไปทั่วๆห้อง
“คุณป่านไปแล้ว” หญิงสาวตอบให้กระจ่าง
สีหน้าของภาธรจึงเปลี่ยนเป็นดุเข้มกว่าเดิม ก่อนจะเห็นเขาคว้าอะไรบางอย่างขึ้น ทำให้ร้องค้านฉับพลัน
“อย่าสูบมันอีกเลยได้ไหมคะ”
เขาลดปริมาณลงมากแล้ว เพราะอยากจะเลิกได้หลายเดือน เนื่องจากคำขอทั้งพ่อและแม่ สูบไปก็ไม่ได้มีอะไรดีกับสุขภาพ เรื่องพวกนี้จะให้เลิกในวินาทีนั้นมันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันมีสารให้เสพติด ทว่าเหตุใดกันถึงกลับมาสูบหนักอีก
ทั้งที่เขาไม่ควรมีเรื่องให้เครียดแล้ว สิ่งที่ต้องการอย่างใบหย่าเขาก็ได้มันไปแล้ว ธุรกิจก็ดีดั่งเดิม
“เอาหัวใจของฉันคืนได้ไหมเล่า” เขาตอบพลางมองหน้า
“ถ้าทำได้หวานจะเอามาวางแทบเท้าให้เลยค่ะ” หญิงสาวบอกขณะที่ดวงตาวูบไหว ก่อนจะกลั้นใจพูดต่อ
“ในเมื่อเลือกจะทำให้หวานเจ็บแล้ว ก็ช่วยดูแลตัวเองดีๆ หน่อยได้ไหมคะ”
ตอนพิเศษ ภาธรคนดุ ---- “อื้อ..คุณธร” เสียงเล็กหอบกระเส่าแต่ก็พยายามเรียกชื่อคนที่ทำให้หล่อนมีอาการนี้ออกมา แต่ดูท่าภาธรจะไม่ได้สนใจเสียงของเธอแม้สักนิด เพราะนี่คือหนที่สองแล้วที่เธอเรียกเขา ชายหนุ่มเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาขยับสะโพก แถมยังเป็นจังหวะที่เนิบนาบสลับกับดุร้อน “หือ” เขาครางรับแต่ก็ไม่ได้ฟังหรอกว่าคนใต้ร่างกำลังพูดอะไร เพราะสนใจกับสิ่งที่ทำตรงหน้ามากกว่า จนปวริศาโมโหใช้กำปั้นทุบอกแกร่ง แต่ภาธรกลับยิ้มให้ แถมยังยกสะโพกขึ้นสูงแล้วดันเข้าไปสุด ปวริศาเม้มปากแน่น เธอรู้ว่าเขากำลังจงใจกลั่นแกล้ง “หวานบอกว่าหยุดได้แล้ว” หญิงสาวพูดแทบไม่ได้ศัพท์ ศีรษะก็สั่นคลอนไปตามแรงที่ถูกส่งมา ก่อนภาธรจะก้มลงมาซุกที่ลำคอระหง และขยับกายแนบชิดขึ้นกว่าเก่า “อืม” “หยุด” เสียงเล็กสั่งอีกหนน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น คนทำก็ส่ายศีรษะและตอบกลับเสียงดังฟังชัด
บทที่ 13 พิสูจน์ใจ06 ถ้อยคำของหญิงสาวทำให้ภาธรนิ่งแล้วค่อย ๆ ยิ้มออกมา พร้อมกับดึงร่างเล็กเข้ามาใกล้ ดวงตาคมเป็นประกาย เพราะมันตีความได้ว่าเขากำลังได้รับโอกาส “จริงหรือ หวานให้โอกาสฉันหรือ” “โอกาสของหวานไม่ได้ให้ใครง่าย ๆ” ทิฐิที่มีเธอขอวางมันลง เพราะรู้แล้วว่ามีมันก็ไม่ได้ทำให้มีความสุขเลย และเมื่อเขารู้ว่าตัวเองผิดและเลือกที่จะปรับปรุง เธอก็จะยื่นโอกาสให้กับเขา ขอเพียงเขาไม่ทำลายมันพังอีกครั้งก็พอ ที่สำคัญความตายและการพลัดพรากมันน่ากลัว โดยที่เราไม่รู้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นเธอจะไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปโดยไม่ได้ทำในสิ่งที่มีความสุข “ฉันรู้ แล้วจะไม่ทำลายโอกาสนี้อีกแน่ ฉันสัญญา สัญญาครับหวาน” ชายหนุ่มยังพร่ำขอบคุณรวมถึงบอกรักอีกหลายหน “จบเรื่องนี้ ฉันขอนอนกอดหวานนะ” “ค่ะ” เพราะเธอก็อยากกอดเขาให้แน่นกว่านี้เช่นกัน ทางด้านสรวิศพอรู้เรื่องก็ตกใ
แต่สุดท้ายเขาก็ต้องตัดสินใจแย่งมีด จนในที่สุดก็ต้องยอมเจ็บตัวด้วยการคว้ามีดด้วยมือเปล่า ทำให้ถูกบาด เลือดสีแดงฉานไหลทะลักด้วยความคนร้ายตัวใหญ่กว่าจึงมีพลังมาก ทำให้การยื้อแย่งอาวุธในครั้งนี้ ภาธรมีแววแพ้ปวริศาสูดลมหายใจและลุกขึ้นได้ หญิงสาวพยายามที่จะก้าวเดิน แต่หล่อนไม่ได้หนี ปวริศาไปคว้าก้อนหินขึ้นมาหมายจะเอาไปตีหัวคนร้ายที่กำลังยื้อยุดอาวุธกับภาธรด้านคนร้ายกำลังให้ความสนใจกับศัตรูตรงหน้าเท่านั้น ทำให้ละสายตาไปจากหญิงสาว ปวริศาก้าวไปด้วยความรวดเร็วและฟาดก้อนหินใส่ศีรษะคนร้ายแต่ก้อนหินอาจจะเล็กไป และความเจ็บทำให้เธอใช้แรงได้ไม่มาก คนร้ายจึงเพียงร้องลั่น ไม่ได้หมดสติ ก่อนจะหันมามองปวริศาตาวาวอย่างต้องการจะฆ่า“หวาน ฉันบอกให้หนีไป” ภาธรต้องตะคอกบอกและยังยื้อกับคนร้ายไว้ เพื่อให้มันไม่สามารถไปทำร้ายปวริศาได้ แต่ไหงเจ้าหล่อนกลับเอาตัวมาเสี่ยง ที่สำคัญเขาก็ใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว“หวานไม่ทิ้งคุณ”“ไม่ต้องมาห่วงฉัน ไปซะ ไปสิ บอกให้ไปไง”ส่วนปวริศาพอรู้ว่าแผนที่ตีหัวไม่สำเร็จ คราวนี้เจ้าหล่อนจึงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ ซึ่งทำให้คนร้าย
วันรุ่งขึ้น วันนี้หญิงสาวเลือกที่จะออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้า เพราะวันนี้คือวันเสาร์ ซึ่งภาธรจะมาอยู่กับบิดาทั้งวัน เธอจึงหนีมาเพื่อออกไปไกล ๆ ให้ใจห่างแต่ดูเหมือนว่าใจจะไม่ได้ห่างตามที่คิด เพราะตอนนี้เธอก็ยังคิดถึงเขา พร้อมกับไม่เข้าใจว่าทำไมถึงตัดภาธรออกไปไม่ได้เสียที ต่อให้คิดว่าที่ผ่านมาเขาทั้งร้ายและเย็นชา แต่หัวใจดวงนี้มันกลับยังไปรักเขาอยู่ได้หนักไปกันใหญ่ยามคิดถึงที่สิ่งที่เขาทำเพื่อขอคืนดี ทั้งใจและความรู้สึกมันอ่อนยวบอย่างง่ายดายมันตอกย้ำได้ดีว่าทุกคำที่พูดกับภาธรไป หล่อนโกหกทั้งเพ ปวริศาแค่นยิ้มสมเพชตัวเองเวลานี้เกือบจะหนึ่งทุ่มตรง หล่อนยังนั่งอยู่ที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน โดยรู้ว่ามีใครบางคนเฝ้าดูเธออยู่ตลอด นั่นคือทักษ์ดนัย แต่หล่อนทำเป็นไม่สนใจทว่าปวริศาไม่ทราบว่าไม่ใช่แค่ทักษ์ดนัยเท่านั้นที่จ้องมองอยู่ มีชายคนหนึ่งแอบมองปวริศาอยู่นานแล้ว แถมยังมองด้วยสายตาที่ไม่ปกติ มีความหื่นกระหายอยู่ในนั้นยิ่งเวลาค่ำเท่าไร ก็ยิ่งเงียบสงัดขึ้น ไม่นานความเงียบก็ได้กลืนกินไปทั่วพื้นที่ โดยเหลือเวลาอีกไม่นานสวนสาธารณะจะปิดปวริศาจึงลุกขึ้
“อยากได้อะไรอีกไหมหวาน เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะซื้อมาให้” ภาธรถามขณะที่รับรายการซื้อของสดมาจากมือของปวริศาและก็อ่านมันจนครบถ้วนแล้วไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเขาถึงได้รายการพวกนี้มา ทั้งที่เมื่อเช้าถูกปฏิเสธ นั่นก็เพราะบิดายอมพูดให้ ไม่งั้นหญิงสาวตรงหน้าคงไม่ยอมแน่“ถ้าหวานบอกว่า สิ่งที่หวานอยากได้คืออยากให้คุณธรหายไปจากชีวิตหวานแล้วล่ะคะ ทำให้หวานได้ไหม” น้ำเสียงบอกไปจริงจังไม่ต่างจากหน้าตาคนฟังใจวูบไหวและส่ายหน้าฉับไว ความกลัวแล่นจู่โจมหนักขึ้น เพราะน้ำเสียงของปวริศาไม่ได้มีแววล้อเล่นอยู่เลยแถมที่ผ่านมา ปวริศาก็ปฏิเสธความห่วงใยที่เขามีให้ทั้งหมด และรู้ว่าบางครั้งที่ยินยอมให้อยู่ใกล้ ก็เพราะเกรงใจบิดา“ฉันคงทำให้ไม่ได้”“งั้นต่อไปก็ไม่ต้องถามค่ะ ว่าหวานอยากได้อะไร” หญิงสาวบอกพร้อมด้วยสีหน้าที่มีแต่ความว่างเปล่า ยิ่งทำให้ภาธรรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก“หวาน ฉันขอโอกา...” ยังไม่ทันที่ภาธรจะเอ่ยได้จบประโยค ปวริศาก็สวนมาฉับไว เพราะล่วงรู้ว่าชายหนุ่มต้องการพูดสิ่งใด และหล่อนไม่อยากจะได้ยินมัน“หวานยังยืนยัน หวานไม่มีโอกาสให้ ปล่อยมือหวานเถอะค่
“ถ้ายังรักอยู่ ลุงแค่อยากจะให้หวานลองคิดว่าจะให้โอกาสธรได้ไหม ลุงยอมรับการตัดสินใจของหนูเสมอ โดยที่ไม่ต้องเห็นแก่ลุง เพียงแต่ลุงอยากเห็นหวานมีความสุขแบบแท้จริง” ท่านหยุดมอง แล้วก็เห็นว่าดวงตาของปวริศาวูบลง “ที่ลุงเห็นอยู่ทุกวันนี้ มันไม่ใช่ความสุข หวานมีทิฐิ ซึ่งคนที่เจ็บไม่แพ้ธรก็คือหวาน” “หนู...” หญิงสาวพูดไม่ออก เพราะมันคือเรื่องจริงทุกอย่าง “ถ้ายังรักกันก็แสดงมันออกมา อย่าให้เรื่องราวมันลงเอยแบบลุง เพราะลุงไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว” บทเรียนของเขามันน่าจะทำให้ปวริศาคิดได้ ถึงลูกชายจะให้อภัยแล้ว แต่ใจก็ไม่ได้มีความสุขแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะสิ่งที่เคยทำในอดีตมันคอยมาย้ำเตือนอยู่เสมอ “เก็บไปคิดนะหนูหวาน” ปวริศาพยักหน้ารับและถอยกลับมายังห้องนอนของตนเอง เช้าวันนี้ปวริศาก็ยังตื่นเวลาเดิม แม้เมื่