เข้าสู่ระบบไร่สาธุคุณวันนี้ดูเหมือนจะครึกครื้นกว่าปกติ เสียงพูดคุยเสียงหัวเราะดังแว่วมาจากทางบ้านพักส่วนตัวหลังใหม่ของเจ้าของไร่กับภรรยาสาวสวยทำให้เมรีชะงักเท้า แอบถอนหายใจนิดๆ จริงๆ เธอก็ชอบครอบครัวของพี่เขยมากนะ
คุณชาญวิทย์กับคุณมาลินี พ่อแม่ของสาธุคุณนั้นเป็นผู้ใหญ่ใจดี แม้จะเป็นเศรษฐีร่ำรวยจากเมืองกรุงแต่ก็ไม่ได้ถือตัว ทั้งสองรักใคร่เอ็นดูลูกสะใภ้อย่างรจนาจนใครๆ ต่างก็อิจฉารวมถึงเธอด้วย พ่อแม่สามีใจดีแบบนี้ใครๆ ก็อยากได้อยากมี
อันที่จริงเธอก็ควรจะได้แหละ ถ้าไม่เพราะไอ้คนไร้ความรับผิดชอบบางคน ป่านนี้เธอก็คงอยู่ในจุดเดียวกับที่พี่สาวได้รับ
สี่ปีมานี้ทั้งสองเทียวไปเทียวมาระหว่างกรุงเทพกับเชียงรายเป็นว่าเล่น เพียงเพราะอยากอยู่ใกล้ๆ หลานชายฝาแฝดทั้งสอง และยังเผื่อแผ่ความเอ็นดูมาให้เจ้าแสบน้อยของเธอ ที่พลอยได้รับความเอื้อเฟื้อเป็นขนมเสื้อผ้าของเล่นเป็นของฝากไปด้วย
จะมีก็เพียงคนเดียวที่ไม่เคยเหยียบย่างมาที่บ้านไร่แห่งนี้นับจากวันนั้น เขาหายหน้าไปราวกับไม่มีตัวตน
เฮ้อ...คิดอะไรเนี่ย ช่างหัวมันเถอะ ชีวิตตอนนี้ก็ดีถมไปแล้ว จะไปคิดถึงเขาทำไมให้ปวดตับ ไม่มาสิดี จะได้ไม่ต้องเจอให้เจ็บใจ
“น้องเวียงพิงค์อย่าวิ่งสิคะ เดี๋ยวล้มลูก”
เสียงหวานตะโกน คลอไปกับเสียงหัวเราะใสๆ คุ้นหูลอยมาตามสายลมมาต้อนรับ ทำให้เมรีเผลอยิ้มเพราะจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงใคร เธอจึงรีบจอดรถมอเตอร์ไซด์ข้างทาง และมุ่งหน้าไปทางต้นเสียงนั้นแทนที่จะตรงไปที่บ้านใหญ่กลางไร่ของพี่สาว
นั่นไง...เจ้าตัวแสบของเธอกำลังวิ่งเตาะแตะตรงสนามหญ้านั่นกับรจนาพี่สาวของเธอ ดูเถอะ ท่าทางจะเล่นงานคุณป้ายังสาวเสียหอบไปเลย
“ไงเจ้าแสบน้อย ทำป้ารจเสียเหงื่ออีกแล้วเหรอลูก”
ทันทีที่ได้ยินเสียงคุ้นหู เด็กหญิงตัวน้อยก็รีบหันขวับมองมาทันที
“แม่เมจ๋า...”
เสียงใสแจ๋วร้องเรียก พลางรีบวิ่งตุ๊บตั๊บตรงเข้ามาหาอ้อมแขนที่อ้ารอรับของผู้เป็นแม่ทันที
เมรีสวมกอดลูกน้อย พลางจูบที่ข้างแก้มยุ้ยๆ ทั้งสองข้างอย่างมันเขี้ยว
“วิ่งเล่นเพลินจนลืมแม่แล้วใช่ไหมเจ้าลูกขนุนน้อย”
“ไม่ลืมจ้า พิงค์ไม่ลืมแม่เม”
สองแม่ลูกกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันจนกระทั่งมีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น
“คุณเป็นแม่ของน้องเวียงพิงค์หรือคะ”
เมรีเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าคนที่เธอคิดว่าเป็นรจนาพี่สาว แท้จริงแล้วไม่ใช่ แต่กลับเป็นหญิงสาวหน้าตาสวยหวานท่าทางผู้ดีคนหนึ่งที่เธอไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
“ใช่ค่ะ เมรีเป็นแม่เจ้าแสบนี่ แล้วคุณ เอ่อ...”
“นันทิกาค่ะ หรือจะเรียกว่าพี่แนนก็ได้ เพราะพี่น่าจะอายุมากกว่าน้องเมรีหลายปีนะ”
“อ๋อ...ยินดีที่ได้รู้จักค่ะพี่แนน เมรีเป็นน้องสาวพี่รจนา ภรรยาพี่สาธุเจ้าของไร่นี้ค่ะ” สองสาวต่างส่งยิ้มให้กันด้วยความรู้สึกถูกชะตาต่อกัน
“อ้าว! งั้นก็คนกันเองแท้ๆ น่ะสิคะ นี่พี่ก็มากับพ่อแม่คู่หมั้นน่ะค่ะ”
เมรีขมวดคิ้วแต่ไม่ได้ขัดอีกฝ่าย พลางคิดสงสัยอะไรบางอย่างตงิดๆ
“เมื่อกี้พี่แนนบอกว่ามากับพ่อแม่คู่หมั้นเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ ได้ยินว่าบ้านไร่ที่เชียงรายของพี่สาธุทางนี้สวยโรแมนติก มาก แถมอากาศก็ดี เลยอยากจะมาดูให้เห็นกับตาสักครั้ง คือพี่กำลังมองหาสถานที่จัดงานแต่งงานของตัวเองกับคู่หมั้นอยู่น่ะค่ะ”
“แต่งงานเหรอคะ ดีสิคะ เมรีดูแลร้านอาหารที่ไร่นี้ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เลยนะคะ”
“ดีจริง งั้นพี่คงต้องขอรบกวนน้องเมรีไว้แต่เนิ่นๆ แล้วล่ะ เพราะพี่ถูกใจที่นี่มากเลย ถ้าได้แต่งที่นี่คงฟินมาก นี่คุณพ่อกับคุณแม่แฟนพี่ก็ว่าจะหาที่สักผืนไว้สร้างบ้านตากอากาศจะได้อยู่ใกล้หลานนะ”
“หลานเหรอคะ”
“ก็ลูกๆ พี่สาธุกับพี่รจไงจ๊ะ” คนฟังสะดุดกึก คิ้วงามขมวดเข้าหากันทันใด เมื่อสมองประมวลผลในสิ่งที่อีกฝ่ายบอกมานั่นก็แปลว่า...
“พ่อแม่ของแฟนพี่ หรือว่าจะเป็น...”
แต่ยังไม่ทันที่นันทิกาจะได้ตอบในสิ่งที่เธอสงสัย เสียงคุ้นหูของใครบางคนก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“น้องแนน...”
“อ้าว นั่นไงคะ คู่หมั้นพี่มาพอดี แนนอยู่ทางนี้ค่ะพี่ชิษ”
ชื่อนั้นราวกับสายฟ้าฟาดเปรี้ยงแสกหน้า
“มาอยู่นี่เอง พี่ตามหาแทบแย่...”
เมรีสะดุ้งเฮือก ตัวชาวาบ มือโอบกระชับร่างลูกน้อยในอ้อมแขนแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ไม่กล้าหันกลับไปมองทางต้นเสียงที่เธอจำได้แม่น
เพียงได้ยินเสียงฝีเท้าหนักแน่นมั่นคงที่เดินใกล้เข้ามา เธอก็ใจสั่นระรัว
“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ครับ คุณพ่อคุณแม่ให้พี่มาตามไปกินข้าว”
“พอดีแนนมาวิ่งเล่นกับน้องเวียงพิงค์ค่ะ แล้วก็เลยมาเจอแม่ของน้องเข้า คุยกันถูกคอดี นี่ไงคะ แม่ของน้องเวียงพิงค์ ชื่อน้องเมรี”
ไม่มีทางหนี ไม่มีทางเลือก จะให้อุ้มลูกวิ่งหนีไปดื้อๆ ก็ดูจะบ้าบอไปสักหน่อย ไม่ค่อยสมเป็นเธอ จะกลัวทำไมก็แค่เจอโจทก์เก่า แต่ไอ้หัวใจบ้านี่สิจะเต้นแรงทำไมวะ แล้วขอล่ะน้ำตาเอ๊ย อย่าเพิ่งมาไหลตอนนี้ให้ขายหน้าเลย เธอไม่อยากให้ใครดูถูกเอาได้ว่าอ่อน มันไม่คูล!
เมรีสูดหายใจเข้าปอดจนลึก ก่อนค่อยๆ หันกลับไปเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญ
“น้องเมรีคะ พี่ขอแนะนำให้รู้จักนี่พี่ชิษณุกร หรือพี่ชิษ คู่หมั้นพี่เองจ้ะ น้องเมรีรู้จักกันไว้สิจ๊ะ คนกันเองทั้งนั้น”
จ้ะ! คนกันเอง คนที่ทำชีวิตเธอเสียศูนย์อย่างแสนสาหัส ไอ้คนไร้ความรับผิดชอบที่ฟันกันแล้วทิ้ง หายหัวไปตั้งสี่ปีกว่า เพิ่งโผล่หน้ามา
คนใจร้าย!
วันนี้คนตรงหน้าไม่ได้มีความสำคัญใดต่อเธออีกแล้ว ในเมื่อเธอสามารถยืนด้วยสองขาของตัวเองอย่างมั่นคงเป็นหลักให้ลูกน้อยได้อย่างไม่อายใคร หรือจะพูดให้ถูกคือเธอเลยจุดที่อับอายจนกลายเป็นด้านชาเสียแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใครโดยเฉพาะคนที่เคยทิ้งกันแบบไม่มีเยื่อใยอย่างเขาวันนี้ชิษณุกรก็แค่คนแปลกหน้าสำหรับเธอเท่านั้น “เอาล่ะ เห็นแก่ที่คุณเป็นน้องพี่สาธุพี่เขยฉัน พี่สาธุเขาเป็นคนดี แล้วเขาก็ดีกับครอบครัวฉันมาก ดังนั้นฉันจะลืมๆ เรื่องบัดซบในอดีตนั่นไปก็แล้วกัน ถือว่าฉันมันโง่เองที่หน้ามืดตามัวหลงผิด เชื่อใจคนง่ายๆ อยากได้ผัวดีๆ แบบพี่รจ คิดว่าคุณน่าจะใช่เพราะเป็นน้องชายพี่สาธุ ใครจะรู้ว่าพี่กับน้องต่างกันอย่างกับฟ้ากะเหวแบบนี้”ชิษณุกรถึงกับสะอึก เถียงอะไรไม่ออก เมื่อได้ยินคำพูดเหน็บแนมของเธอ ในโพรงอกก็รู้สึกแสบร้อนปนวูบโหวง“แต่เอาเถอะ ตอนนี้ฉันตาสว่างแล้ว เลิกเคี้ยวเอื้องแล้ว และฉันก็มีงานดีๆ มีเงินเก็บมากพอสามารถเลี้ยงดูลูกได้สบายๆ ไม่ต้องหวังพึ่งใครหน้าไหนให้มาช่วยสงเคราะห์หรือเวทนา ส่วนที่ผ่านมาก็ถือว่าซื้อบทเรียนราคาแพง ต่อไปนี้เราก็ต่างคนต่างอยู่ ชีวิตก็ใครชีวิตมัน เหมือนที่คุณทำมาตลอด
จนถึงเดี๋ยวนี้ เวลาผ่านล่วงเลยมาสี่ปีกว่า เมรีกลายเป็นซิงเกิลมัมเนื้อหอมประจำหมู่บ้าน แม้จะมีลูกหนึ่งแล้ว แต่ความสาวความสวยของเธอกลับยิ่งหอมฟุ้งเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว ตอนนี้เธอเรียนจบปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมเหรียญทอง เอาความสำเร็จตบปากคนที่เคยนินทาจนเงียบกริบส่วนรจนาพี่สาวก็เปิดไร่ของสาธุคุณให้คนมาเที่ยวแบบเชิงเกษตรแนวใหม่จนโด่งดังไปทั่ว กลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของจังหวัดไปแล้ว พวกเขาสร้างงานสร้างรายได้ให้คนในหมู่บ้านจนเป็นที่นับหน้าถือตาไปทั่ว พลอยให้คนในครอบครัวพลอยมีหน้ามีตารจนากับสามีลงทุนเปิดร้านกาแฟ กึ่งร้านอาหารที่ใช้พืชผักปลอดสารพิษ ผลผลิตจากในไร่มาทำ โดยให้เมรีเป็นผู้จัดการร้านคอยดูแล เพราะเธอจบมาทางด้านบริหารฯ โดยตรง ซึ่งเมรีก็ตั้งใจทำงานอย่างสุดความสามารถ เพราะไม่อยากทำให้ทุกคนที่เธอรักต้องผิดหวังอีกตอนนี้เธอไม่ใช่เด็กสาวช่างฝันคนเดิมอีกต่อไปแล้ว เธอเปลี่ยนไปเป็นผู้หญิงแกร่งที่ขยันเอาการเอางานจนพ่อแม่และพี่สาววางใจ ทุกอย่างก็เพื่อลูกสาวตัวน้อย ขณะเดียวกันชื่อของชิษณุกรค่อยๆ เลือนลางจางหายไปจากสมองและหัวใจจนกระทั่งเขาปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งในวันนี้ พร้อมคู่หมั้นคนสวย“เฮ
กว่าจะรู้สึกตัวตื่นอีกที เมรีก็พบว่าตัวเองนอนแผ่สองสลึงอยู่ที่ห้างนาน้อยแห่งนั้นคนเดียวในสภาพที่ดูยังไงก็ไม่ปกติ แม้จะใส่เสื้อผ้าไม่ได้นอนเปลือยกายล่อนจ้อน แต่ร่องรอยต่างๆ บนเรือนร่างก็ทำให้รู้ว่าเธอเสียพรหมจรรย์น้อยๆ ที่แสนหวงแหนไปแล้ว แต่คนที่ร่วมก่อเหตุจนห้างนาน้อยสะเทือนเสาเรือนแทบทรุดนั่นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยเขาทิ้งไว้แต่ร่องรอยรักและธนบัตรสีเทาที่ยัดใส่มือเธอไว้ให้ดูต่างหน้าหนึ่งใบ กับความแสบระบมที่จุดกึ่งกลางความสาว บอกให้รู้ว่าที่โดนไปนั่น ของแรงแค่ไหน แล้วไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เท่าที่สติอันน้อยนิดจะจำได้ เขาตอกเสาเข็มอัดใส่ตัวเธอไปตั้งสี่ยกแบบจุกๆ เน้นๆสี่ยกเลยเชียวนะ! เดินขาไม่ถ่างก็บุญหัวแล้วพอได้สติสาวน้อยก็รีบกัดฟันคว้ามอเตอร์ไซด์อีแก่ขี่ไปที่ไร่สาธุคุณ เพื่อตามหาชายหนุ่มผู้ฝากรอยรักสะท้านทุ่งนาเอาไว้ แต่ทว่าพี่สาวเธอกลับบอกว่าเขากลับกรุงเทพไปแล้วเมรีตกใจแทบช็อก และได้รู้ว่าตัวเองโดนฟันแล้วทิ้งเสียแล้วไอ้เสียใจมันก็มีอยู่หรอก นี่เป็นครั้งแรกของเธอ ในนิยายที่เคยอ่านมาเรื่องไหนเรื่องนั้น หากพระนางได้กัน มันต้องจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งสิ แต่กลับไม่ใช่เรื่องนี้เธอมองโลกในแง่
สงครามเย็นยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีใครสังเกต จนกระทั่งอาหารมื้อที่น่าอึดอัดที่สุดในชีวิตของเมรีจบสิ้นลง และแขกทั้งคณะย้ายตัวไปที่ห้องนั่งเล่นพร้อมเด็กๆ ทั้งสามส่วนเมรีนั้นขออาสาช่วยเก็บจานชามในครัวเพื่อหาเหตุหลบเลี่ยงสายตาใครบางคนที่ทำให้เธอหงุดหงิดมาตลอดเช้านี้เขาช่างไม่กลัวว่าหวานใจจะจับได้เอาเสียเลย แต่ก็นั่นแหละ ตั้งแต่พบกันมา เขาก็เป็นแบบนั้นเสมอ คนหล่อที่แสนเย็นชา เข้าถึงยาก แต่กลับทำให้สาวน้อยคนหนึ่งโดนตกเพราะลุคนั้นตั้งแต่แรกพบจนคิดเกินเลยเมรีวางผ้าเช็ดโต๊ะ ก่อนทิ้งตัวลงนั่ง ตามองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยใจให้คิดถึงภาพความหลังตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกันเมื่อสี่ปีก่อน...‘นี่ชิษณุกร หรือ ชิษ น้องชายพี่เอง แล้วนี่ก็น้องเมรีน้องสาวพี่รจเขา สองคนรู้จักกันไว้สิ’เมรียังจำได้แม่นว่าตัวเองใจเต้นแรงแค่ไหนเมื่อได้พบหน้าน้องชายสุดหล่อของพี่เขยครั้งแรก สาวน้อยผู้มีพี่สาวอย่างรจนาเป็นไอดอลในการหาสามีที่แสนดีและเริ่ดสะแมนแตน โดนความหล่อออร่าพุ่งของหนุ่มเมืองกรุงตกเอาตั้งแต่แรกพบสบตา ในเมื่อชิษณุกรเป็นน้องชายแท้ๆ ของสาธุคุณพี่เขยเธอ เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน เติบโตมาด้วยกัน เขาก็ค
“แม่เมจ๋า...”เสียงลูกน้อยช่วยดึงสติกลับมา เจ้าแก้มยุ้ยเอียงคอมองใบหน้าเธอด้วยดวงตาแป๋วแหววไร้เดียงสา นี่คือแก้วตาดวงใจที่ทำให้เมรีต้องอดทน และเปลี่ยนตัวเองให้แกร่งขึ้น ใครจะนินทาว่าร้ายเธอก็ช่าง แต่หากแตะต้องลูกรัก เธอเอาตาย “จ๋า...คนเก่งของแม่”“หนูหิวแล้ว” อารมณ์ที่พุ่งปรี๊ดถูกเสียงออดอ้อนทำให้ใจอ่อนยวบลืมโกรธไปชั่วขณะ เผลอยื่นปลายจมูกไปชนปลายจมูกเล็กๆ อย่างที่เคยทำเวลามันเขี้ยวเจ้าตัวน้อย“งั้นเรากลับบ้านไปกินข้าวกับตากับยายกันดีไหมลูก”“ดีจ้า” เจ้าตัวดียิ้มหวานประจบ ตบมือชอบใจ ก่อนจะยื่นปากเล็กๆ มาจูบแก้มราวกับรู้ว่าแม่กำลังต้องการกำลังใจ“งั้นเดี๋ยวเมรีกลับก่อนนะคะพี่แนน”“เดี๋ยวก่อนสิ! อย่าเพิ่งไป...” ชายหนุ่มเผลอเรียกเสียงดังอย่างลืมตัว หากพอเห็นสายตาวาวโรจน์เอาเรื่องคู่นั้น เขาก็รู้ว่ามีบางอย่างไม่เหมือนเดิม แน่ล่ะ คนตรงหน้าย่อมไม่เหมือนเดิม และเขาก็รู้ด้วยว่ามันคืออะไร“มีอะไรหรือคะพี่ชิษ”นันทิกาหันไปมองคู่หมั้นหนุ่มอย่างแปลกใจ“พอดีเรากำลังจะกินข้าวเช้า แล้วคุณแม่ก็อยากให้น้องเวียงพิงค์ไปกินข้าวด้วยกัน เธอก็ไปด้วยสิ”“นั่นสิคะ น้องเมรี ทานข้าวด้วยกันก่อนนะ” นันทิกาผู้ไม่
“เมรี!”ชิษณุกรถึงกับตกตะลึงจนตัวชา เมื่อได้พบหน้าสาวน้อย ไม่สิ! วันนี้คนตรงหน้าไม่ใช่สาวน้อยวัยใส แต่เธอโตเป็นสาวสะพรั่งและสวยจนเขาแทบจำไม่ได้แล้วต่างหาก แถมโตจนมีลูกอายุไล่เลี่ยกับหลานชายฝาแฝดของเขาเสียด้วย...ชายหนุ่มมองใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักน่าเอ็นดูของคนในอ้อมแขนหญิงสาวตรงหน้านิ่ง รู้สึกร้อนวูบวาบในอกแปลกๆ“อ้าว! นี่พี่ชิษรู้จักน้องอยู่แล้วหรือคะ” นันทิกาหันไปมองคู่หมั้นอย่างแปลกใจ“ไม่รู้จักหรอกค่ะ” เมรีชิงตอบเสียงเย็นชา แอบเห็นหรอกว่าอีกฝ่ายมีอาการอึ้งไป ใจหนึ่งก็อยากตอกหน้าให้สาแก่ใจ แต่อีกใจก็เห็นแก่หน้านันทิกา อีกฝ่ายดูเป็นคนดี ดูซื่อๆ และไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเมรีถือคติ ดีมาดีตอบ จึงไม่อยากทำร้ายใครโดยไม่จำเป็น“ก็แค่เคยเห็นผ่านๆ เห็นไกลๆ ตอนงานแต่งพี่รจกับพี่สาธุน่ะจ้ะ แต่ไม่ได้อยากรู้จัก เอ๊ย! หมายถึงไม่ได้รู้จักหรือสนิทกันน่ะค่ะ” แล้วนั่นจะจ้องอะไรกันนักหนา จ้องกันจนตาแทบถลนแล้วไหมทำไม! หรือกลัวเธอจะเปิดโปงความเลวให้ว่าที่เมียใหม่ฟังหรือไง ดูท่าคนนี้ยังไม่ทันโดนหลอกฟันสิท่า เลยหวงนัก ยิ่งคิดแล้วก็ชักจะเห็นใจผู้หญิงด้วยกัน นันทิกาเองก็ดูหวานๆ ใสๆ ไม่ทันเล่ห์คน ผู้







