로그인ถ้าจำไม่ผิดฉันดื่มไปราวสี่ถึงห้าแก้ว โดยปกติแล้วไม่น่าจะเมาได้ ถ้าถึงกับไม่ได้สติขนาดนั้นสิ่งที่ผู้ชายคนนี้พูดอาจจะเป็นเรื่องจริงแต่ฉันก็ไม่สามารถปักใจเชื่อเขาได้ ก็เพราะว่าเขาเป็นคนแปลกหน้า
ก็จริงอยู่ที่ว่าเขาเป็นเพื่อนของน้องชายแต่ฉันก็จำเขาไม่ได้อยู่ดี
“แล้วใครทำ นายรู้ไหม”
“ไม่รู้ แต่ก็คงเป็นหนึ่งในห้าคนนั้น มีใครชอบหรือไม่ชอบพี่ไหมล่ะ”
ฉันเงียบแล้วคิดตามที่เขาถาม พี่ออย พี่เจนนี่คงไม่ใช่เพราะพวกเธอก็เป็นผู้หญิงด้วยกัน ส่วนพี่แม็กก็มากับแฟนเขาจะมอมฉันทำไม พี่โอ๊ตก็มีแฟนแล้ว คนสุดท้ายคือพี่ต้า หัวหน้าในที่ทำงานเพิ่งเลิกกับแฟน แต่เวลาอยู่ในที่ทำงานเขาก็ไม่ได้ทำตัวน่าสงสัยอะไรเลย
“ไม่น่าใช่...”
คำพูดของฉันหยุดอยู่แค่นั้นเพราะมันมีภาพบางอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนลอยเข้ามา ถ้าจำไม่ผิดตอนที่นั่งดื่มอยู่นั้นฉันรู้สึกได้ว่าสายตาของพี่ต้ามันแปลกไป เขามองฉันตลอด ตอนแรกฉันคิดว่าเขาอาจจะเมา
หรือจะเป็นเขา
“ทำไม ถ้าไม่ใช่พวกนั้น คิดว่าเป็นใคร” เขายืนกอดอกถาม ทำอย่างกับครูที่ยืนเค้นเอาคำตอบกับนักเรียนอยู่หน้าห้อง ส่วนฉันก็เป็นเด็กโง่ๆ ที่ไม่มีความรู้อยู่ในหัวเลย
“ฉันไม่รู้” ฉันตอบไปแบบคนโง่ที่นึกอะไรไม่ออกสักอย่าง “แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าฉันโดนวางยา”
“ก็อาการมันแปลกๆ มันไม่เหมือนคนเมา อีกอย่างพี่เพิ่งดื่มไปไม่กี่แก้ว”
คำพูดของเขาทำเอาฉันนึกสงสัยจนต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน ทำไมเขาถึงรู้เรื่องของฉันขนาดนั้น บางทีคนที่น่าสงสัยที่สุดมันคือเขาต่างหาก ไม่ใช่คนอื่น!
“ทำไมนายรู้เรื่องฉันขนาดนั้น” ฉันถามพลันหัวใจก็รู้สึกชาวาบเพราะความกลัวที่ก่อตัวขึ้น
เขาอาจไม่ใช่คนดี
“ก็ผมร้องเพลงอยู่ร้านนั้น แล้วพี่ก็เป็นคนที่ผมรู้จัก”
“ก็ใช่ ฉันหมายถึง ทำไมต้องสนใจฉันขนาดนั้น”
“ผมเห็นพี่บ่อยนะ แต่พี่จำผมไม่ได้หรอก พอเป็นคนรู้จักก็เลยสนใจไง แล้วเมื่อคืนพี่ทำตัวแปลกๆ ก็เลยไปดู ตอนนั้นพี่น่าจะหนีไปเข้าห้องน้ำมั้ง”
ฉันนิ่งไปครู่หนึ่งเริ่มจำเหตุการณ์เหล่านั้นได้บางส่วนแล้ว ฉันไม่ได้ลุกไปไหนนอกจากห้องน้ำ คนที่นั่งอยู่โต๊ะนั้นก็มีแค่รุ่นพี่ห้าคนนั้น แล้วมันจะเป็นใครล่ะ ต้องมีสักคนในนั้น
อยู่ๆ หัวใจของฉันมันก็เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ กับเรื่องที่เพิ่งได้ยินจากปากของผู้ชายคนนี้ เดาไม่ออกเลยว่าคนที่วางยาฉันคนนั้นมันเป็นใคร
“นายพอจะมีวิธีหาได้ไหมว่าใครเป็นคนทำ”
“ลองขอเจ้าของร้านเปิดกล้องแต่ไม่แน่ใจว่ามุมนั้นมันจะเห็นไหม”
“ฉันอยากได้หลักฐานทั้งหมด ต้องทำยังไง”
“ผมขอให้ได้ แต่...”
“แต่อะไร” ถ้าให้เดาก็คงหนีไม่พ้นเรื่องเงิน
“ผมมีเรื่องจะขอพี่อย่างหนึ่ง”
“อยากได้เท่าไหร่ แต่ฉันต้องได้หลักฐานที่มัดตัวคนคนนั้นได้นะ”
“ผมไม่ได้ต้องการเงิน” เขาบอกเสียงเรียบก่อนจะขยับลูกตามามองสบตากับฉัน
บอกเลยว่ามันทำให้ฉันเสียความมั่นใจเพราะสายตาของเขามันช่าง...
“แล้วนายต้องการอะไร” น้ำเสียงของฉันติดขัดเมื่อเดาไปว่าเขาอาจจะต้องการเรื่องอย่างว่า
บ้า! เมื่อกี้ใครนะที่มันพูดว่าฉันตรงสเปก ว่าฉันแก่ ก็แก่กว่าแค่สามปีเองเถอะ ยังสาวยังสวยอยู่ด้วยซ้ำ เขาก็ต้องมีอารมณ์บ้างล่ะ!
“ให้ผมไปพักที่ห้องพี่สักเดือนได้ไหม ตอนนี้ผมเดือดร้อนมาก”
สรุปที่ฉันเดาไปทั้งหมดนั้นไม่ตรงกับคำตอบเขาสักอย่างแต่คำตอบที่ได้ก็ทำเอาตกใจไม่แพ้กัน เขาบ้าหรือเปล่าถึงกล้าขอแบบนี้ ฉันเป็นผู้หญิงนะ
“ห้องก็มีจะไปอยู่กับฉันทำไม อีกอย่างเราก็ไม่รู้จักกันขนาดนั้น ถึงนายจะบอกว่าเป็นเพื่อนน้องชายฉันแต่ฉันก็ไม่ไว้ใจ”
“พี่เชื่อไหม ว่าถ้าเป็นคนอื่นมันไม่ปล่อยให้พี่มานั่งเถียงแบบนี้หรอก ตอนนี้พี่น่าจะ...”
“พอ ไม่ต้องพูด” ฉันยกมือห้ามปรามเพราะคิดว่าคนอย่างหมอนี่ไม่น่าจะพูดอะไรน่าฟัง
“คงเป็นศพนอนเปลือยอยู่ข้างทาง แล้วตอนนี้คงมี...”
“พอหยุดเถอะ” ฉันบอกเขาอย่างเหนื่อยใจ
“แล้วผมช่วยพี่ขนาดนี้ มันยังไม่ทำให้พี่สำนึกในบุญคุณกันบ้างเลยเหรอ พี่นี่มันโคตรใจดำเลยว่ะ รู้งี้...”
“นี่นาย!”
โอเค ยอมรับเลยว่าไอ้บ้านี่มันมีดีแค่หน้าตา แล้วที่บอกว่าช่วยฉันเหตุผลก็น่าจะเป็นเพราะหวังสิ่งตอบแทน
ฉันไม่อยากจะเถียงกับผู้ชายคนนี้ต่อ เรื่องที่เขาบอกมาอาจเป็นเรื่องที่เขาแต่งขึ้นทั้งนั้น ที่เขาหิ้วฉันมามันต้องมีจุดประสงค์อะไรสักอย่าง เผลอๆ อาจจะวางแผนทำมิดีมิร้าย รีดทรัพย์หรืออะไรก็แล้วแต่
เวลานี้ฉันควรหนี
“พี่ไม่เชื่อเหรอว่าไอ้คนที่มันมากับพี่นั่นแหละที่วางยาพี่ มันอยากแอ้มนั่นแหละ ถึงพี่จะไม่สวยแต่อย่างอื่นมันก็ล่อใจอยู่”
ไอ้เจ๋ง! ฉันอยากชี้หน้าด่าหมอนี่สักที แต่ตอนนี้มันไม่ใช่จุดที่ฉันจะยืนด่าเขาได้ ห้องก็ห้องเขาแถมยังอยู่กันลำพังสองคน แล้วคนแบบนี้เหรอจะขอไปพึ่งพิงฉัน
“...” ฉันหยุดฝีเท้าที่กำลังก้าวลงจากเตียงเพื่อที่จะไปหยิบกระเป๋าของตัวเองซึ่งอยู่ใกล้แค่เอื้อมเพราะห้องพักของเขามันก็ไม่ได้กว้างอะไรนัก เหมือนหอพักราคาถูกๆ
“ถ้าไม่เชื่อผมขอคลิปในร้านให้ก็ได้”
พูดจบเขาก็เอื้อมมือไปหยิบเอามือถือของตัวเองมาโทรหาใครสักคน จับใจความได้ว่าขอภาพจากกล้องมุมที่ฉันนั่งเมื่อคืนนี้ก่อนที่เขาจะวางสายพร้อมกับสีหน้าผิดปกติ
“ว่ายังไง”
“…”
“ทำไม”
“มุมนั้นไม่มีกล้อง” เขาเอ่ยเสียงราบเรียบก่อนจะหันหลังเดินไป
“งั้นนายก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก ขอบคุณนะที่ช่วยฉัน วันหลังถ้ามีโอกาสฉันจะเลี้ยงข้าวสักมื้อ”
“อืม ผมจะจำไว้ว่าเคยช่วยคนใจดำแบบนี้ รู้อย่างนี้ปล่อยให้โดนลากไปข่มขืนก็ดี ตื่นเช้ามาคงเห็นข่าวอยู่ในทีวี เปลือยกายล่อนจ้อนให้พวกกู้ภัยมันไปถ่ายรูปลงกลุ่มอาสา” เจ๋งพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วเขาก็ไม่สนใจฉันอีก
แต่คำพูดที่เขาเพิ่งพูดจบไปแบบไม่มีช่องว่างให้ฉันได้ทำใจนั้นเล่นเอาฉันจุกอก ไอ้บ้านี่!
เจ๋งหันหลังเดินไปที่ระเบียง กลายเป็นฉันที่ทำตัวไม่ถูกเพราะโดนต่อว่าไปอย่างนั้น แล้วเขาเป็นใครมาทำให้ฉันวุ่นวายใจกับคำพูดเชิงประชดประชันแบบนั้นเล่า
ฉันนิ่งไปครู่ใหญ่เพราะไม่รู้ว่าควรจัดการกับตัวเองยังไงแล้วยังสับสนเรื่องของผู้ชายคนนี้ด้วยว่าเขาต้องการอะไรจากฉัน ทว่าทั้งสีหน้าและแววตาของเขาทำให้ฉันรู้สึกได้ว่าเขาจริงใจจนต้องลังเล
“นายไม่ได้โกหกใช่ไหม ที่พูดมาทั้งหมด ทุกเรื่อง” คนเรามันก็ไม่แน่หรอก ไม่มีใครไว้ใจได้ทั้งนั้น ไอ้หมอนี่ที่อยู่กับฉันตอนนี้ก็เหมือนกัน
“ทำไมต้องโกหก” เขาพูดแล้วปรายตามองอย่างหาเรื่อง มองฉันเหมือนตัวน่ารังเกียจ “จะกลับก็กลับไปเลย”
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะหันไปที่กระจกบานใหญ่ติดกับประตูด้านหลังห้อง มองตัวเองที่เปลือยท่อนบน โชว์หุ่นล่ำ สัดส่วนล่อตาล่อใจสาว มือขยับยุกยิกอยู่ที่กางเกง เหมือนจะแกะเชือกเพื่อรูดมันลง
“ดะ เดี๋ยว!” ฉันร้องห้าม ก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมยังยืนมองเขาอยู่ “ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่นายต้องช่วยฉันขนาดนั้น”
“ผมไม่ใช่คนใจดำอำมหิตแบบพี่ไง”
“นี่นาย”
“งั้นเรื่องที่ผมขอ พี่ลืมมันไปเถอะ ผมก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับพี่แล้วนี่ กลับไปได้แล้ว”
ฉันเงียบยืนมองแผ่นหลังของคนที่เพิ่งรู้จักกันด้วยความไม่เข้าใจ สุดท้ายก็ต้องเดินไปหยิบกระเป๋าของตัวเองก่อนจะเดินไปที่ประตู แต่ก่อนที่จะได้เอื้อมมือไปเปิดมันเสียงจากด้านนอกที่เหมือนกับคนทุบประตูก็ดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวายจนฉันต้องก้าวถอยหลังกลับมา
-----------
ก็แกปากหมาแบบนี้ ผู้หญิงที่ไหนเขาจะอยากอยู่ด้วยไอ้เจ๋งเอ๊ย
ตอนที่ 7 หวั่นไหวตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วที่ฉันไม่ชอบเสียงฟ้าร้องและไฟดับแบบนี้ ยิ่งเสียงฟ้าผ่ามันทำเอาฉันกลัวจนต้องวิ่งไปหาสิ่งที่พึ่งพิงได้ แล้วมันก็เป็นสิ่งเดียวที่มีอยู่ในห้องนี้“กลัวอะไรขนาดนั้น”สิบสี่ปีก่อนคุณตาของฉันถูกฟ้าผ่าจนเสียชีวิตเพราะยืนอยู่กลางทุ่งนา เป็นวันที่ฉันตามติดตาไปด้วยเพราะอยากไปเที่ยวเล่นช่วงปิดเทอม นานครั้งถึงจะไปที่นั่นไปอยู่กับตาและยาย ภาพนั้นมันยังจำไม่เคยลืมเลย สายฟ้าที่ฟาดลงมาสู่ร่างของตาวันนั้นจนท่านล้มลง อยู่ในระยะสายตาที่ฉันมองเห็น ความสว่างสไวนั้นทำให้เห็นความเจ็บปวดในเสี้ยววินาทีของคนที่ฉันรักมันกลายเป็นเหตุการณ์ที่ถูกฝังลงในจิตใจ ทำให้กลัวเสียงฟ้าร้อง เสียงฟ้าผ่า มาตั้งแต่ตอนนั้น หัวใจของฉันมันสั่นไหวทุกครั้งที่ได้ยินมันรู้ตัวอีกทีฉันก็นั่งอยู่บนตักเจ๋ง กอดคอซบหน้าลงกับบ่าแกร่งจนลืมทุกความอึดอัดที่เคยมีต่อเขา เวลานี้มันแทนที่ด้วยความกลัวไปแล้ว“กลัว”เจ๋งไม่ได้พูดอะไรอีก เขาใช้แขนแข็งแรงนั้นโอบกอดฉันเอาไว้ มือหนาลูบลงกลางหลังราวกับต้องการให้ฉันรู้สึกปลอดภัยขึ้น แล้วมันก็ได้ผล ไม่รู้ทำไมฉันถึงรู้สึกดีขึ้นได้ขนาดนี้หรือเพราะอ้อมกอดของเขามันกว้างและอบ
บริษัทมีเวลาเลิกงานที่สี่โมงเย็น ฉันใช้รถส่วนตัวในการเดินทางไปกลับ ถึงแม้ว่าจะเจอรถติดบ้างแต่ก็สะดวกกว่า ไม่ต้องไปเบียดผู้คนมากมายระหว่างที่รอรถติดก็เพิ่งเห็นข้อความจากเจ๋งที่ส่งมาเมื่อกลางวัน เพราะไม่ได้เปิดดูเลย มีงานเข้าตั้งแต่ช่วงบ่าย ที่แจ้งเตือนมาก็คิดว่าเป็นครามนั่นแหละ จึงไม่ได้สนใจเปิดอ่าน เดี๋ยวเขาจะรู้กันว่าฉันแอบเล่นมือถือตลอดเจ๋ง : เลิกกี่โมง ผมรอที่ล็อบบี้นะตั้งแต่เมื่อคืนที่เกิดเรื่องฉันก็ไม่ได้คุยกับเจ๋งเลย คิดว่าเขาโกรธฉันเสียอีก เพราะปกติเขาจะส่งข้อความมาวอแวกวนประสาทกันไม่เลิกแม้กระทั่งเวลาทำงานมีนา : ใกล้ถึงแล้วฉันตอบแค่นั้นแล้วก็เคลื่อนรถไปข้างหน้า ใช้เวลาจากบริษัทกลับถึงคอนโดก็คงประมาณหนึ่งชั่วโมง ไม่รู้ว่าเขารออยู่ตรงนั้นตั้งแต่ตอนไหน อาจจะเป็นตอนที่ส่งข้อความาหากัน ถ้าเป็นอย่างนั้นคงเกือบสี่ชั่วโมงแล้วเจ๋งมันบ้าหรือเปล่านะ จะรีบกลับมาทำไมทั้งที่รู้ว่าขึ้นห้องไม่ได้“จะรีบกลับมาทำไม” พอเดินเข้ามาที่ล็อบบี้ก็เห็นเจ๋งนั่งรออยู่พร้อมกับโน้ตบุ๊คค่ใจของเขาที่น่าจะใช้ทำงานไปด้วยระหว่างรอฉันจะว่าไปอยู่ตรงนี้รอมันก็ไม่ได้แย่เสียทีเดียวเพราะมีห้องสำหรับให้นั่งเล่น
ตอนที่ 6 เว้นระยะห่างฉันออกมาทำงานตั้งแต่เจ็ดโมงกว่า ส่วนเจ๋งนั้นยังไม่ตื่น ไม่รู้ว่าเขาหลับอยู่จริงๆ หรือแกล้งหลับเพราะไม่อยากคุยกับฉันกันแน่ เพราะปกติถ้าฉันตื่นมาต้องเห็นเขาตื่นรอแล้ว เท่าที่เห็นเขามาเกือบครึ่งดือน เจ๋งไม่ใช่คนตื่นสายเลย“มีนา”เสียงของใครบางคนเรียกฉันไว้ พอหันไปมองก็ต้องแปลกใจที่เป็นคราม ผู้ชายเมื่อคืนนี้ ทั้งที่ปกติไม่เคยเห็นเขาอยู่ในบริษัทมาก่อน“คราม”“นึกว่าจะลาป่วย” เขาแซว คงเป็นเพราะเห็นฉันกลับดึกเมื่อคืน“ไม่ขนาดนั้น คอเกรดเอ” ฉันตอบพลางขำ ทั้งที่เมื่อคืนก็เมาเอาเรื่องแต่ก็พอมีสติถ้าเป็นเมื่อก่อนเวลาไปดื่มกับเพื่อนรับรองว่าถึงไหนถึงกันแน่นอน แต่มีผู้ชายอยู่ด้วยในห้องอีกคนฉันก็ไม่กล้าเมาขนาดนั้น ถึงแม้ว่าเจ๋งจะเอ่ยปากบอกว่าฉันมันไม่สวย ไม่ทำอะไรฉันก็เถอะ มันก็ไม่แน่หรอกนะ“สรุปเมื่อคืน เพื่อนหรือแฟน” ครามถามกันตรงๆ แต่ก็สื่อทางสายตาว่าเขาแค่แซว“น้องน่ะ”“ใช่เหรอ เขามองเราตาขวางขนาดนั้น แถมยังร้องเพลงให้อีก” ครามหัวเราะเบาๆ“จริงๆ ไม่ใช่แฟน” ฉันตอบแล้วยิ้ม เราทั้งคู่เดินเข้าลิฟต์มาด้วยกันเวลานี้มีคนทยอยเข้ามาเรื่อย จนคุยกันเหมือนเดิมไม่ได้ กระทั่งถึงชั้นสาม
เจ๋งพาซ้อนมอเตอร์ไซด์ออกจากร้านแล้วขับช้าๆ รับลมเย็นยามค่ำคืนบนท้องถนนที่เวลานี้รถราบางตากว่าตอนกลางวัน มีแสงไฟเรียงรายอยู่ด้านข้างเพราะมีร้านข้างทางมาเปิดเพื่อรับลูกค้าที่กลับมาจากการท่องราตรี บางร้านเปิดตั้งแต่ดึกถึงเช้ากันเลย“หิวข้าว ขอแวะซื้อแป๊บนึงได้ไหม”“ทานนี่ก็ได้ เดี๋ยวนั่งรอ”“พี่กินไหม”“ไม่ กินเข้าไปคงอ๊วกแตก”บอกตามตรงตอนนี้ฉันก็เมาแล้วเพียงแต่พยายามทำตัวเหมือนไม่เมามาก ให้เจ๋งต้องเยอะเย้ยกัน ถ้าไอ้เด็กนี่รู้เข้ามีหวังหัวเราะเยาะแน่ แต่จะทำยังไงไม่ให้เขารู้นี่สิ แค่จะก้าวขาลงจากรถก็คิดว่าคงได้ล้ม“ลงมาสิ” เจ๋งยืนมองฉันที่ไม่ยอมลงจากรถมอเตอร์ไซด์เสียที“นั่งรอ ตรงนี้แหละ”“พี่เป็นไร” เจ๋งไม่ยอมง่ายๆ เขาขยับเข้ามาใกล้แล้วขมวดคิ้วมองหน้ากันจนฉันต้องรีบหันหน้าหนีเพราะตอนนี้ตาปรือมาก เรียกสติกลับมาหลายรอบแล้วด้วย“เปล่า ไม่อยากลงไป จะนั่งรอตรงนี้แหละ” ว่าแล้วก็ขยับแขนขึ้นมากอดอก มองนั่นมองนี่เรื่อยเปื่อย แต่ไม่มองหน้าเจ๋งหรอก“เมา?”“บ้า!”“งั้นก็ลงมา ไปนั่งตรงนั้น”“บอกว่าจะนั่งตรงนี้”“ดื้อจังวะ” เจ๋งไม่พูดเปล่า เขาก้าวเท้าเข้ามาใกล้แล้วตวัดแขนรวบเอวฉันก่อนจะอุ้มลงไปยืนบน
ตอนที่ 5 อย่ามายุ่งกับเมียชาวบ้านเจ๋งขึ้นร้องเพลงแล้ว เพิ่งรู้ว่าเวลาเขาร้องเพลงอยู่บนนั้นมันมีเสน่ห์มากมายขนาดนี้ ทั้งหน้าตา ทั้งเสียงร้อง ทำเอาสาวๆ หลงกันทั้งร้าน ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะมีคนชอบมากมาย เดินไปทางไหนกับเขาฉันก็ต้องเจอกับแรงอาฆาตแค้นเจ๋งถนัดร้องเพลงช้า ส่วนมากจะเป็นเพลงเศร้าซึ้งๆ ซึ่งมันยิ่งสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่ชวนให้หลงใหลของเขา ระดับเจ๋งไปเป็นดาราหรือนักร้องได้เลย จะไม่มีแมวมองมาเห็นบ้างเลยหรือ น่าแปลกแต่ความเป็นเจ๋งก็ทำให้ฉันคาดไม่ถึงมาหลายเรื่องแล้ว ตั้งแต่เรื่องเพื่อนที่เยอะมากมาย ไหนจะเรื่องผู้หญิงที่ฉันคิดมาตลอดว่าคนปากหมาแบบนี้คงไม่มีใครคบ สุดท้ายเป็นยังไงล่ะ นี่มันหนุ่มฮอตของมหาวิทยาลัยชัดๆ“ขอโทษนะครับ”“คะ”ขณะที่นั่งมองคนหน้าเวทีกำลังร้องเพลงอยู่ จนลืมสนใจสิ่งรอบข้างเพราะเคลิ้มกับเพลงที่เจ๋งกำลังร้อง ปลายนิ้วของใครบางคนก็มาสะกิดที่ไหล่ซ้าย เล่นเอาฉันตกใจรีบหันไปมอง ก่อนจะพบว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกำลังโน้มหน้าลงมาแล้วส่งยิ้มให้“มาคนเดียวเหรอ”“คือ เปล่าค่ะ มากับเพื่อน”“ออ ขอชนแก้วได้ไหม”ฉันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร ก็แค่ชนแก้ว จึงพย
“หมดธุระมึงยัง” เจ๋งถามต่อ“เออ ไปก็ได้วะ แล้วมึงไม่ไปร้องเพลงเหรอวันนี้” เพื่อนลุกออกไปนั่งโต๊ะข้างกันซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างจากนั่งตรงนี้เลย โต๊ะติดกันจนกระซิบยังได้ยิน“กำลังจะไป”“โอ้ว พาสาวไปเฝ้า” เพื่อนอีกคนแซวอีกสองสามคนก็แซวกันจนฉันเขิน“เรื่องของกู”“เจ๋งมันไม่น่ารักเลยเนอะพี่”เพื่อนเขาคนหนึ่งยื่นหน้ามาคุยกับฉัน ที่เวลานี้แทบจะไม่กล้ากินก๋วยเตี๋ยวแล้ว ก็มาแซวกันขนาดนี้ใครมันจะไปกล้าคีบเส้นแล้วอ้าปากกินได้ ฉันก็อายเป็นเหมือนกัน เลยได้แต่ยิ้มแห้งเป็นคำตอบ รับบทแฟนเจ๋งคนปากหมาไปเลยยายมีนาดีนะที่ฉันกินลูกชิ้นไปแล้วไม่อย่างนั้นคงเสียดายแย่ นี่ไงล่ะคือเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องกินของที่อร่อยที่สุดก่อนเป็นอันดับแรก“กินไหม”เจ๋งไม่สนใจคำพูดเพื่อนเขาอีก คีบลูกชิ้นลูกใหญ่มาตรงหน้าก่อนจะวางมันในชามของฉันที่เหลือแต่เส้นเล็กขาวๆ อืดๆ กับผักใบเขียวที่ถูกเขี่ยไปด้านข้าง สร้างความแปลกใจให้ฉันไม่น้อยเลย“ไม่กินเหรอ”“แลกกัน” ว่าแล้วเจ๋งก็คีบเส้นฉันไปใส่ในจานตัวเอง แล้วคีบลูกชิ้นอีกสองลูกกลับมาให้กันอีก“คนอะไรไม่ชอบลูกชิ้น”เจ๋งไม่ตอบ เขาหัวเราะเบาๆ ในลำคอแล้วคีบเส้นเข้าปากอย่างไม่เกรงใจ แม้แต่ผั







