“พ่อขา”
เสียงเรียกนั้นเบาแผ่วเหมือนลังเล เหมือนไม่แน่ใจ...แม่ไม่ให้ เธอเข้ามาหาเขา แต่เหมือนในจิตใต้สำนึกลึกๆ บอกว่าเธอควรจะเข้ามาที่นี่ มาเพื่อลาเขาให้ถูกต้องหลังจากที่เธอได้เป็นต้นเหตุของเรื่องบ้านแตกหนนี้...เธอเป็นคนเริ่มต้นกระตุ้นแม่ให้เห็นด้วยที่จะให้เธอเป็นนักร้อง ได้อัดแผ่น แม่ผู้เฝ้ารอคอยมานานนักตั้งแต่ในชีวิตของตัวเอง แต่แม่ไม่เคยมีโอกาสดังว่านั้น แม่เคยเป็นนักร้องตามร้านอาหาร...แม่มีเสียงดี แต่แม่ก็โชคร้าย
...พวกเขาบอกให้แม่รอ...รอ...รอ แม่ก็หลงเชื่อแล้วสุดท้าย มันก็ไร้ค่า แม่เจอพ่อของขิมเข้าเสียก่อน แม่ก็เลยแต่งงาน แล้วแม่ก็ไม่มีโอกาสเหลือเลย แม่ต้องมาจมอยู่ที่นี่กับไร่แคบๆ วัวอีกจำนวนหนึ่ง แม่เป็นเมียเกษตรกรจมปลักอยู่กับความยากจน…
“ขิมจะไปแล้ว”
เธอเข้ามาคุกเข่าเบื้องหน้าเขา...จับมือของเขามากุมเอาไว้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อของเธอ ให้กำเนิดชีวิตของเธอ ที่โรงเรียนแม่ชีนั้นสอนเธอในสิ่งดีๆ มากมาย และเธอก็เป็นเด็กเฉลียวฉลาด ผลการเรียนของพิจิกาอยู่ในเกรดสี่เสียเป็นส่วนมาก แต่เรื่องร้องเพลงก็เป็นสิ่งที่เธอ ไม่อยากจะรอคอยอีกต่อไป เธอกระหายสิ่งนั้น...กระหายชื่อเสียงที่จะมีมาเธอไม่ชอบบ้านไร่นี้เลย มันดูเหงาเงียบไม่มีชีวิตชีวา...เธอรู้สึกเหมือน ได้ยินเสียงร้องเรียกให้เธอออกไป...ไปให้พ้นจากที่นี่เสียโดยเร็ว
“พ่อจะไม่อวยพรให้ขิมหรือคะ”
เขาก้มลงมองลูกสาว เธอได้ผิวพรรณขาวสะอาดมาจากเมษา ได้ความเข้มคมจากเขาไป...จึงออกมาเป็นเด็กหญิงที่งดงามมาก ดวงหน้า รูปไข่ปลายคางเรียว มีดวงตาคู่ที่แจ่มใส ดวงตาที่มองแล้วก็ต้องใจอ่อนเสมอ...เขายกมือขึ้นลูบเส้นผมที่รวบเปิดหน้าผากตึงไปทางด้านหลัง ถักเป็นเปียแน่นๆ แล้ววางมือนิ่งกลางศีรษะอยู่เช่นนั้น ลำคอของเขา ตีบตันเกินกว่าจะมีคำพูดใดออกมาได้
“ไปเถอะ”
เขาเค้นคำนั้นออกมา รู้สึกว่าใจโหวงว่างเปล่า เขาอาจจะ ไม่ได้เลี้ยงเธอด้วยมือของเขาเอง ไม่ได้ฟูมฟักเธอเท่าเทียมกับที่เมษาได้ทำแต่เขาก็ได้สำนึกอย่างหนึ่งในตอนนี้ว่าเขาทำผิดไปใหญ่หลวงนัก เมษาได้ปลูกฝังหลายสิ่งหลายอย่างที่ล้วนแล้วแต่แก้ไขได้ยากให้กับพิจิกาประกอบกับการที่เขาส่งเธอเข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุดของเมืองนี้ โรงเรียนที่สอนให้เด็กๆ กล้าหาญ...กล้าแสดงออก...กล้าคิดและ กล้าตัดสินใจ นั่นเป็นช่องโหว่ที่ทำให้พิจิกาเล็ดลอดไป...และเธอก็จะไปพ้นจากบ้านนี้ พ้นจากสายตาของเขาจะมองเห็นได้อีกต่อไป
โอมไม่กล้าสร้างความหวังใดๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงของ
พิจิกาหรือการหวนกลับคืน
แต่หากเขาทัดทาน...เมษาก็จะก่นโทษว่าเขาไปจนชั่วชีวิต และหล่อนก็จะเสี้ยมสอนให้ลูกเกลียดชังเขาอีกด้วย เขาไม่อยากให้มีความเกลียดชังเกิดขึ้นในบ้านนี้ เขาเป็นคนรักสงบ เขาใฝ่หาสันติอยู่เสมอ แม้หล่อนจะจากไป...พิจิกาจากไป แต่เขาก็ยังเหลือลูกชายอีกคน ลูกชายที่จะเป็นของเขา ให้เขาเป็นต้นแบบหล่อหลอมทั้งจิตและวิญญาณ
“ขิมไปนะคะ”
น้ำเสียงนั้นไพเราะแม้ในยามบอกลา...โอมมองดูลูกสาวตัวน้อยของเขา รับรู้แต่ว่ายังเยาว์วัยนัก เธอยังอ่อนเดียงสาเกินไป แต่เด็กหญิงอ่อนเดียงสาเล็กๆ คนนี้แหละที่มีความทะเยอทะยานแรงเหลือเกิน อาจจะเป็นเพราะเมษาได้เสี้ยมสอนปลูกฝังมาตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กทารก
สิ่งใดที่เมษาทำไม่ได้...ลูกของหล่อนจะต้องทำได้
หล่อนคาดหวังเอาไว้ในตัวลูกสาวคนเดียว และโอมก็สำนึกผิดเมื่อสายเกินไป
เขาปล่อยปละลูกสาวของเขามากเกินไป จนพิจิกาไม่เห็นความสำคัญ ของพ่อมากไปกว่าแม่
เธอกราบเขาที่มือ...ดวงตามองสบประสานกัน เขาได้เห็น ความเด็ดเดี่ยวในดวงตาของลูกน้อย วัยสิบสองเท่านั้นแต่ดูเหมือนพิจิกาจะเติบโตเกินวัย เธอได้ความเด็ดเดี่ยวจนเป็นดื้อรั้นมาจากแม่ ผสมผสานกับความมุมานะแรงกล้าของเขาเอง เขากลืนก้อนสะอื้นในอกลงไป เขามีคำอวยพรอยู่ในอก...เขาอยากเห็นเธอไปได้ดีดังใจปรารถนา ลูกเขา เป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูและยังเยาว์วัยเหลือเกิน เขาได้แต่ภาวนาจากพระขอให้เธอไปได้ดี ขอให้เมษาจงเข้มแข็งพอจะปกป้องเธอด้วยเถิด
“ถ้า...มันไม่เหมือนที่คิด ก็กลับบ้านเรา...กลับบ้านนะ...ลูก”
เสี่ยกำลังเติบกล้าไปในเส้นทางของดนตรีทั้งที่เสี่ยไม่รู้เรื่องดนตรีเลยสักนิด เสี่ยร้องเพลงไม่เป็น เล่นดนตรีไม่ได้ และไม่รู้จักเครื่องดนตรี สักอย่าง แต่เสี่ยก็รักเสียงเพลง ชอบฟังเพลง บอกได้ในแรกฟังเพลง ว่านักร้องคนไหนจะอยู่รอดหรือคนไหนจะไป...เหมือนเมื่อแรกที่เสี่ย ได้ยินเสียงใสๆ ของพิจิกาจากตลับเทป...เสี่ยดีดนิ้วแรงๆ แล้วยิ้มแจ่มใส พร้อมกันนั้นเสี่ยก็มีโครงการหลายอย่างสำหรับเด็กหญิงตัวเล็กพร้อมกับทุ่มเทแบบว่าเท่าไหร่เท่ากัน เขาเสียอีกถึงจะมั่นใจก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าเสี่ยเสี่ยงออกจะมากเกินไปกับเงินลงทุน “จะทำการใหญ่ต้องลงทุน ต้องเสียไปบ้าง ก่อนจะได้...ไม่มีใครได้โดยไม่เสียอะไรเลย...แล้วคนที่ไม่เคยเสียอะไรเลยก็ไม่เคยจะได้” พูดจบแล้วเสี่ยก็หัวเราะฮ่าๆ ชอบอกชอบใจ...เสี่ยสนับสนุนเขา ให้เข้ามาทำงานให้เมษาด้วยซ้ำ “ไปทำงานให้คุณเมเถอะ แกเป็นแม่ที่รักลูกมากๆ อั๊วอายุ ปูนนี้แล้ว มีลูกแล้วหลายคนยังรักลูกได้ไม่เท่าแกรักยัยขิม เรื่องเงินเดือนแกให้ลื้อได้เท่านั้น แต่อั๊วจะเพิ่มให้เอง ท่าทางแกชอบลื้อเหมือนกันนะ” นั่นทำให้ทรงวุฒิขวยเขิน เพราะเ
“แม่ขา...บ้านนี้ของเราหรือคะ”เด็กหญิงกระซิบถามเหมือนไม่แน่ใจ...เป็นบ้านที่เธอเคยเห็น จากหนังสือบ้านสวยที่ผิดกันไกลกับบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูงที่ปลูก อยู่กลางทุ่ง...อยู่ท่ามกลางลมแรงแดดจ้า และบางเวลาก็เจิ่งนองไปด้วยน้ำใสยามน้ำหลากมา ต้องอยู่แต่บนบ้านดูสายน้ำหมุนคว้างก่อนจะ ลดแห้งไป เหลือแต่โคลนสกปรก “ก็ของเราน่ะซิ” เมษาตอบ...แต่ใจของหล่อนยังไม่พอใจเท่านี้ บ้านหลังนี้ยังเล็กเกินไป...ยังไม่ใหญ่โตพอ แต่ได้ขั้นแรกเท่านี้ก่อนก็นับว่ายังดี...ดีกว่า ต้องหอบหิ้วลูกไปซุกอยู่ตามห้องเช่า “ชอบไหมล่ะลูก” “เขาให้เราหรือคะ” “ก็ให้เราอาศัยอยู่” หล่อนตอบไม่ปิดบัง “นั่นมันขึ้นอยู่กับว่าลูก จะมีความสามารถทำให้เทปของเขาขายได้ไหม...ถ้าเทปขายได้ เราจะได้มากกว่านี้” “ขิมทำได้” เธอบอกด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่นในตัวเอง เธอร้องเพลงได้ไพเราะ มีเสียงที่เหมือนสวรรค์ประทานมาให้ และเธอก็ร้องได้เข้ากับจังหวะ เธอรู้จังหวะของเพลง รู้ตัวโน้ต...เธอได้เรียนมาบ้างจากชั่วโมงพิเศษ ของโรงเรียน สิ่งเหล่านี้ปลูกฝังซึมซาบอยู่
รถยนต์คันนั้นแล่นจากไป ทิ้งฝุ่นให้ปลิวฟุ้งขึ้นมาจาก ท้องถนนที่เป็นเพียงทางโรยกรวดทับลงไปบนลูกรัง...เมียหนึ่ง ลูกสาวอีกหนึ่งได้ไปจากชีวิตของเขาแล้ว...โอมยังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ริมหน้าต่าง เขาอยากจะลุกขึ้นแต่แข้งขาของเขาก็ไม่ได้เป็นใจ เอาเสียเลย มันยังอ่อนเปลี้ย ต้องรวบรวมกำลังใจอยู่นานก่อนจะลุกขึ้นได้...เขาจะต้องยืนหยัดต่อไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะดี หรือจะร้ายแค่ไหน...เขาก็ยังต้องสู้กับชีวิต การจากไปของ คนสองคนไม่ได้เป็นเครื่องบ่งบอกว่าชีวิตของเขาจะต้องหยุดนิ่ง เพียงเท่านี้ และเมื่อเขาออกมาถึงประตู ก็มีรถอีกคันแล่นสวนเข้ามา เป็นรถสองแถวที่รับเด็กนักเรียนมาส่งบ้าน...ครูสาวท่าทางเรียบร้อย ลงมาจากรถก่อน ดูหล่อนมีจิตวิญญาณเป็นครูตั้งแต่เส้นผมไปจรด ปลายเท้านั่นทีเดียว...ดวงหน้าของหล่อนเกลี้ยงเกลาไร้เครื่องสำอางใดๆ โดยสิ้นเชิง โอมรับลูกชายมาจากวงแขนของหล่อน ลูกชายเขาอายุสี่ขวบกว่าเกือบจะห้าขวบ...อายุเท่านี้แต่ลูกชายเขาได้กำพร้าแม่ไปแล้ว เนื้อตัวตันๆ นั่นทำให้อ้อมแขนของเขาหนักอึ้ง คางสากๆ ของเขาถูไถกับแก้มนิ่มเนื้อของเด็กชายจนแกเบือนหน้าหนี หัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปหมด
“พ่อขา” เสียงเรียกนั้นเบาแผ่วเหมือนลังเล เหมือนไม่แน่ใจ...แม่ไม่ให้ เธอเข้ามาหาเขา แต่เหมือนในจิตใต้สำนึกลึกๆ บอกว่าเธอควรจะเข้ามาที่นี่ มาเพื่อลาเขาให้ถูกต้องหลังจากที่เธอได้เป็นต้นเหตุของเรื่องบ้านแตกหนนี้...เธอเป็นคนเริ่มต้นกระตุ้นแม่ให้เห็นด้วยที่จะให้เธอเป็นนักร้อง ได้อัดแผ่น แม่ผู้เฝ้ารอคอยมานานนักตั้งแต่ในชีวิตของตัวเอง แต่แม่ไม่เคยมีโอกาสดังว่านั้น แม่เคยเป็นนักร้องตามร้านอาหาร...แม่มีเสียงดี แต่แม่ก็โชคร้าย ...พวกเขาบอกให้แม่รอ...รอ...รอ แม่ก็หลงเชื่อแล้วสุดท้าย มันก็ไร้ค่า แม่เจอพ่อของขิมเข้าเสียก่อน แม่ก็เลยแต่งงาน แล้วแม่ก็ไม่มีโอกาสเหลือเลย แม่ต้องมาจมอยู่ที่นี่กับไร่แคบๆ วัวอีกจำนวนหนึ่ง แม่เป็นเมียเกษตรกรจมปลักอยู่กับความยากจน… “ขิมจะไปแล้ว” เธอเข้ามาคุกเข่าเบื้องหน้าเขา...จับมือของเขามากุมเอาไว้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อของเธอ ให้กำเนิดชีวิตของเธอ ที่โรงเรียนแม่ชีนั้นสอนเธอในสิ่งดีๆ มากมาย และเธอก็เป็นเด็กเฉลียวฉลาด ผลการเรียนของพิจิกาอยู่ในเกรดสี่เสียเป็นส่วนมาก แต่เรื่องร้องเพลงก็เป็นสิ่งที่เธอ ไม่อยากจะรอคอ
“แม่จะไปกับหนูจ้ะ” น้ำเสียงนั้นเด็ดเดี่ยวเสียเหลือเกิน แล้ววงแขนเรียวก็โอบรัด ร่างของเด็กหญิงอายุสิบสองเอาไว้...มีความรักใคร่อย่างลึกซึ้งสอดแทรก แต่สำหรับเขาที่มองดูอยู่ห่างๆ รู้ได้ลึกซึ้งและเท่าทันว่าเธอไม่เพียงแต่รัก แต่หล่อนหลงลูก...เหมือนพิจิกาจะเป็นชีวิตจิตใจ และเป็นดวงวิญญาณทั้งหมดของเธอทีเดียว “ไปเสียจากที่นี่...แม่เบื่อที่นี่เต็มทน” หล่อนกวาดตาไปรอบๆ แววตาของหล่อนบ่งบอกและหล่อนก็ทำให้เขาไหวสะท้าน...สิบสองเกือบจะสิบสามปีที่เขาได้เรียนรู้ว่าเมื่อความรักจืดจางลง มันก็นำมาแต่ความเบื่อหน่าย เขายังรักหล่อนเสมอ...ยังรัก ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย แต่หล่อนเหมือนจะไม่เหลือความรักยิ่งใหญ่นั้นเอาไว้อีก “ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้น…บ้านนอกคอกนาแท้ๆ” “เป็นอันว่าคุณจะไป” “ใช่” คางของหล่อนเชิดขึ้น หล่อนเพิ่งจะอายุสามสิบปีนี้ ยังสาวพริ้งสำหรับการมีลูกสาววัยสิบสอง...อีกหน่อยเมื่อพิจิกาเป็นสาว เมษา ก็จะเป็นเหมือนพี่สาวมากกว่าแม่ของเธอแน่นอน “ลูกของเมควรจะได้รับสิ่งดีๆ ลูกมีโอกาสก้าวหน้า