“แฮ่กๆ แฮ่กๆ เหนื่อยชะมัดเลย! อุ๊บ!”
แล้วเสียงอาเจียนก็ดังขึ้นอีกครา เขารอจนอาการหล่อนทุเลา หาน้ำให้ล้างปากล้างหน้า หาน้ำยาบ้วนปากหอมๆ ให้หล่อนได้อมบ้วนปากสักนิด แต่แม่คุณก็ควานหาแปรงสีฟันไปถูฟันแรงๆ เขาอยากจะห้ามละนะ แต่หล่อนบอกว่าถ้ายังได้กลิ่นอาเจียนของตัวเองคงได้กลับมาคุยกับชักโครกอีกรอบแน่
“ฉัน...หมดแรง...”
อารดาครางเสียงอ่อย ทิ้งกายลงนั่งบนเตียงด้วยความช่วยเหลือของสามี เขายังวุ่นวายอยู่กับหน้าของเธอ ทั้งหาผ้ามาช่วยเช็ดหยดน้ำ ทั้งดึงปอยผมไปทัดหูให้ มืออุ่นๆ ของเขายามสัมผัสผิวแก้มกันช่างดีเหลือเกิน
“พักเถอะ พรุ่งนี้ค่อยไปหาหมอกัน คุณอุ่นต้องไม่เป็นไรนะ แค่อาเจียนเดี๋ยวก็หาย”
ศรัณพร่ำพูด ยิ่งเห็นหล่อนอาเจียนอย่างนี้ยิ่งใจคอไม่ดี เขากลัว...กลัวว่าโรคภัยจะมาพรากหล่อนไปอีกคน
อารดาเห็นท่าทีของคนตรงหน้าแล้วเข้าใจในทันที แม้ปากจะบอกเธอว่าไม่เป็นไร แต่ดวงตานั้นส่อแววกังวลจนปิดไม่มิด
“ไม่ต้องไปหาหมอหรอกน่า ก็แค่เวียนหัวอาเจียน พักนี้เป็นบ่อย ฉันชินแล้ว”
“แต่ผมไม่ชินนี่ ผมกลัว...อ
[24]สร้อยข้อมือเชือกกล้วยเสียงกลองเพลจากวัดที่อยู่ไม่ไกล ปลุกอารดาให้ตื่นจากการหลับใหล เธอประหลาดใจที่ตัวเองนอนสบายอย่างนี้ เธอหลับราวกับว่าไม่ได้นอนมาทั้งคืน“เราเป็นอะไรไปนะ ทำไมถึงง่วงนอนไม่หายสักที เอ...หรือจะเป็นเพราะ...” ถามตัวเองแล้วลูบท้องป้อยๆ ยิ้มให้คนในนั้นอย่างสุขใจ ก่อนจะลุกมาล้างหน้าล้างตาเธอแลหาอะไรทำแก้เบื่อ เริ่มต้นด้วยการจัดห้องใหม่แม้ว่ามันจะสะอาดเอี่ยมอยู่แล้ว โต๊ะเครื่องแป้งตัวเตี้ยถูกปัดฝุ่นซ้ำๆ เธอเช็ดถูกระปุกครีมต่างๆ จนเอี่ยมอ่อง ตามด้วยที่นอนหมอนมุ้งที่จัดการเปลี่ยนผ้าปูผ้านวม เอาทุกอย่างที่ถูกเปลี่ยนทิ้ง ลงไปใส่เครื่องซักแล้วกลับมาจัดการกับโต๊ะทำงานของศรัณ มีเอกสารมากมายอยู่บนโต๊ะ เธอไม่รู้ว่าเจ้าของสวนกล้วยต้องทำอะไรบ้างนอกจากงานในสวน แต่เห็นได้ชัดว่าโต๊ะทำงานเขาก็รกไม่แพ้โต๊ะของอดีตสาวธนาคารเลย“เอาละนะ ค่อยๆ เก็บก็แล้วกัน”อารดาเริ่มเก็บเอกสารเข้าแฟ้ม เธอจัดโต๊ะทำงานให้มีพื้นที่ว่างมากที่สุด โน
ยามใกล้ฟ้าสาง อรุณฉายตื่นมาเข้าห้องน้ำ แต่หูแว่วเหมือนมีใครตบยุงเปาะแปะที่หน้ากระท่อม วูบหนึ่งเธอคิดว่าเป็นผี แต่สักพักก็บอกตัวเองว่าผีไม่มีในโลก เธอค่อยๆ แง้มประตูออกดู และแสงไฟที่สาดมาจากหน้ากระท่อมของซอก็ทำให้รู้ว่าคนที่นอนอยู่คือชนนท์ เขาไม่ได้รักเธอหรอก ไม่ได้รักลูกเธอด้วย แต่ดันมานอนเฝ้ากันอย่างนี้ ตลกสิ้นดี!แล้วเสียงตบยุงก็ดังขึ้นอีก อรุณฉายส่ายหัวให้ กลับไปหยิบผ้าผืนบางที่มีสำรองไว้ เอามาโยนใส่ร่างคนที่นอนอยู่ชนนท์สะดุ้งตื่นในนาทีนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะถูกจับได้เสียแล้ว“กระท่อมของฉันไม่ใช่โรงแรมนะ จะได้มานอนค้างทุกวี่ทุกวัน” ประชดเขาอย่างนั้นด้วยมั่นใจว่านี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาชนนท์ยิ้มแก้เก้อ กอดเอาผ้าห่มของอรุณฉายแนบกาย กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ติดอยู่บนผืนผ้า ได้ดอมดมแล้วสุขใจเหลือเกิน“ก็เธอบอกว่าถ้ามาหาอีกจะให้นอนที่แคร่หน้ากระท่อม ฉันก็เลย...”หญิงสาวมองค้อน“ถ้าอยากเป็นไข้เลือดออกตายก็เอาสิ เชิญเลย”เขาทำหน้ายู่จมูกย่น ไม่เถียงหล่อน ไม่หือไม่อือ“บอกแล้วว่าอย่ามารบกว
“แฮ่กๆ แฮ่กๆ เหนื่อยชะมัดเลย! อุ๊บ!”แล้วเสียงอาเจียนก็ดังขึ้นอีกครา เขารอจนอาการหล่อนทุเลา หาน้ำให้ล้างปากล้างหน้า หาน้ำยาบ้วนปากหอมๆ ให้หล่อนได้อมบ้วนปากสักนิด แต่แม่คุณก็ควานหาแปรงสีฟันไปถูฟันแรงๆ เขาอยากจะห้ามละนะ แต่หล่อนบอกว่าถ้ายังได้กลิ่นอาเจียนของตัวเองคงได้กลับมาคุยกับชักโครกอีกรอบแน่“ฉัน...หมดแรง...”อารดาครางเสียงอ่อย ทิ้งกายลงนั่งบนเตียงด้วยความช่วยเหลือของสามี เขายังวุ่นวายอยู่กับหน้าของเธอ ทั้งหาผ้ามาช่วยเช็ดหยดน้ำ ทั้งดึงปอยผมไปทัดหูให้ มืออุ่นๆ ของเขายามสัมผัสผิวแก้มกันช่างดีเหลือเกิน“พักเถอะ พรุ่งนี้ค่อยไปหาหมอกัน คุณอุ่นต้องไม่เป็นไรนะ แค่อาเจียนเดี๋ยวก็หาย”ศรัณพร่ำพูด ยิ่งเห็นหล่อนอาเจียนอย่างนี้ยิ่งใจคอไม่ดี เขากลัว...กลัวว่าโรคภัยจะมาพรากหล่อนไปอีกคนอารดาเห็นท่าทีของคนตรงหน้าแล้วเข้าใจในทันที แม้ปากจะบอกเธอว่าไม่เป็นไร แต่ดวงตานั้นส่อแววกังวลจนปิดไม่มิด“ไม่ต้องไปหาหมอหรอกน่า ก็แค่เวียนหัวอาเจียน พักนี้เป็นบ่อย ฉันชินแล้ว”“แต่ผมไม่ชินนี่ ผมกลัว...อ
[23]กอดด้วยรัก_________ศรัณกลับลงมาที่ชั้นล่าง เขานั่งนิ่งๆ เพื่อพักร่างกายที่กำลังเรรวน พี่พุดซ้อนเปิดประตูเข้ามาหลังจากนั้น มาจัดแจงเอาผ้านวมออกจากตู้ให้“ทำไมไม่นอนห้องเดียวกันคะ พี่เหนื่อยใจกับพวกคุณจริงๆ คิดถึงกันออกปานนั้นจะมามัวทิฐิทำไม”“ผมเปล่าทิฐิ ก็แค่...คุณอุ่นเหมือนอยากอยู่คนเดียว”“ค่ะ ทราบค่ะ เธอลงมาบอกให้พี่จัดห้องให้คุณแท้ๆ แต่รู้อะไรไหมคะ ผู้หญิงน่ะ ปากไม่ตรงกับใครหรอกค่า”ศรัณยิ้มเฝื่อนๆ ให้พี่เลี้ยงของอารดา ก่อนที่กลิ่นบางอย่างจะลอยมาเตะจมูก “พี่...เพิ่งออกมาจากครัวเหรอ”“ค่ะ ทำไมคะ หรือพี่ตัวเหม็น” พุดซ้อนรีบยกแขนเสื้อขึ้นดม กลิ่นที่ติดเสื้อทำเอาเจ้าตัวต้องนิ่วหน้า “ขอโทษทีค่ะ พี่ทำกระเทียมเจียวไว้ให้คุณๆ เขาใส่โจ๊กน่ะ” เอ่ยขออภัยแล้วขยับห่างสามีของนายสาว เจ้าตัวทำหน้าแปลกๆ“ผมเป็นอะไรไม่รู้ ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว จมูกมันแปลกๆ ชอบกล ได้กลิ่นอะไรก็ดู...แปลกประหลาดไปหมด หรือผมจ
เขาอยากถามหาอารดา แต่บิดาหล่อนเหมือนมีเรื่องจะพูดด้วย ท่านพาเขาเข้ามาในห้องรับแขกที่โซฟาส่วนใหญ่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าขาว เหลือเท่าที่เขานั่งอยู่นี้ที่ยังไม่ถูกคลุมให้เรียบร้อย “นี่มัน...อะไรกันครับ”“ฉันต่างหากที่ต้องถาม ทะเลาะกันเหรอ ยัยอุ่นไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟังเลย โทรมาคราวก่อนก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ ให้ฉันขายบ้านนี้”“ขายบ้าน...หรือครับ?”“อือ...เหมือนลูกสาวฉันอยากจะเอาเงินไปใช้หนี้สามีละมั้ง”“โอ...เปล่านะครับ! ผมเปล่า ผมไม่ได้อยากได้เงินคืน”โอภาสนึกระอา เรื่องของหนุ่มสาวช่างเข้าใจยากนัก“ฉันติดต่อเรื่องขายบ้านแล้ว กั้นรั้วแยกโฉนดของป้ายัยอุ่นออกไป จะได้ขายแต่บ้านนี้”“ถ้าจะขายจริงๆ ผมจะซื้อเอง อย่าขายเลยนะครับ คุณอุ่นคงทำไปโดยไม่ทันคิด ผมจะคุยกับเธอเอง นะครับคุณพ่อ”โอภาสชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมา“แต่ไหนแต่ไรมาฉันไม่ค่อยได้เปิดใจพูดคุยกับลูกนัก นั่นทำให้ฉันพลาดหลายๆ อย่างไปในชีวิต และมาถึงตอนนี้ ฉันขอพูดไว้เลย ไม่ว่าลูกสาว
ย่าพร้อมตัดบทด้วยไม่อยากเจรจากับหลานสาว กลัวว่าจะอดใจไม่ไหว ยื่นมือเข้าช่วยหลาน แล้วหลังจากนั้น ชื่อของผู้ชายคนนั้นคงได้กลายเป็นความลับตลอดกาล เขาเป็นพ่อนี่ พ่อก็ควรต้องรับผิดชอบบ้างไม่ใช่หรืออรุณฉายลุกจากไปเมื่ออาการดีขึ้น ความตั้งใจของเธอไม่สำฤทธิ์ผล เรื่องมันช่างน่าเศร้า แต่เอาเถิด เธอมีเวลาอีกสักพักใหญ่กว่าจะคลอดนี่นา เอาไว้จะลองมากล่อมย่าอีกทีวันหลังก็แล้วกัน“แม่คนดื้อ เมื่อไหร่จะยอมละทิ้งทิฐิบ้างนะ”ย่าพร้อมยังมิวายบ่นหลาน พอหลานสาวลงเรือนไป สองหนุ่มก็เผลอพ่นลมหายใจออกมา คงจะอึดอัดกระมัง“เธอใจแข็งมาก ไม่ยอมบอกจริงๆ ว่าใครเป็นพ่อของลูก หรือว่า...เธอจะไม่รู้จริงๆ ครับย่า”“ตารัณ! อย่าพูดแบบนั้นนะ ย่าโกรธจริงๆ”“ขอโทษครับ ผมแค่สงสัย เธอยอมไปลำบาก ทำงานหาเงิน แต่ไม่ยอมพูดชื่อผู้ชายคนนั้น”“รักเขาน่ะสิ โดนปฏิเสธมาก็คงไม่อยากให้เราไปวอแวกับทางโน้น เลยไม่ยอมบอก”“ใช่ว่าย่าจะลุกไปเอาเรื่องเขานี่ครับ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของหนุ่มสาว”“ได้ยังไง