“ก้อนหินก้อนใหญ่แบบนี้บางทีก็สามสีตัว อยู่ที่ว่ามีโพรงใต้หิน พวกกุ้งมักจะ ทำโพรงไว้ เพื่อซุกตัวอยู่นนั้นหากลูบไปใต้พื้นหินแล้วรู้สึกว่ามีโพรงนั่นล่ะที่อยู่ของพวกมัน เสี่ยวซงเจ้ามาลองช่วยลุง งมกุ้งกัน”แป๋มนึกสนุก เดินลงไปรวมกลุ่ม จูจิ้น เดินกลับขึ้นมาเอากุ้งมาเก็บโดยเอาถังใส่น้ำแล้วปล่อยกุ้งที่จับได้ลงไปนอนแช่น้ำเพื่อความสดไม่ให้มันตาย
เสี่ยวซงกับเจ้าบ้านเฉิน ล้วงมือเข้าไป จับกุ้งมาง่ายดาย คนละตัวสองตัว แป๋มอยากลองบ้าง จึงเข้าไปช่วยต้อนกุ้งในโพรงหิน ล้วงมือเข้าไปรู้สึกเหมือนมีตัวอะไรดิ้นตุบตับ ชนเอามือทั้งสองข้าง
“ท่านพ่อ.. ท่านพ่อ..มันอยู่ตรงนี้”เสี่ยวซงลาเข้ารวบกุ้งตัวโตที่ชนมือของแป่มไปมาใบหน้าหล่อเหลาเกือบจะโดนแก้มอวบของแป๋ม เสี่ยวซง ไม่ได้รู้สึกอะไรแต่แป๋มกับอายม้วน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ฉับ”กุ้งตัวใหญ่ที่ถูกต้อนจนมุมใช้กล้ามใหญ่หนีบฉับเข้าที่นิ้วนางของแป๋มระดับความเจ็บประมาณ ลูกหมาฟันคมงับมือ
“อืออออออเจ็บ”ส่ายหน้าไปมาหลับตาพริ้ม ดึงตัวกุ้งที่ไม่ยอมปล่อยกล้ามขึ้นมาด้วยมืออีกข้างคว้าตัวกุ้งไว้แน่น
เสี่ยวซงกับจูจิ้นหัวเราะ ขำกับท่าทีของแป๋ม
“เห็นไหมเล่า ในที่สุดแกก็เสร็จฉัน กุ้งนี่จับไม่ยากเลย ในที่สุดฉันก็จับได้555”รู้สึกภูมิอกภูมิใจอย่างที่สุดแต่เมื่อยกตัวกุ้งขึ้นมาชื่นชม บางอย่างแล่นเข้าไปจับขั้วหัวใจ
“ท่านพ่อ….ข้าไม่กินมันจะได้ไหม”เจ้าบ้านเฉิน จูจิ้นและเสี่ยวซงถามขึ้นพร้อมๆ กัน
“ทำไม”
“ก็มันมีไข่เต็มท้องเลย ข้าสงสารมัน”ใต้รยางค์มีไข่สีเหลืองทองเต็มไปหมดแป๋มเกิดความสงสารขึ้นมาทันที
“555จูเจี่ยเป็นคนขี้สงสารแบบนี้ตลอด เพราะเหตุนี้ข้าถึงไม่ค่อยพาเจ้ามาที่ลำธารไม่ปล่อยกุ้งก็ปล่อยปลาของข้า แล้วแสร้งพูดว่าทำมันหลุดมือ ไม่กินก็ปล่อยมันไปเสียดีเสียอีกมันจะได้แพร่พันธุ์ออกลูกออกหลาน”
แป๋มทำสีหน้างงงันจูเจี่ยคนนี้อุปนิสัยเหมือนแป่มไม่น้อยหรือว่า นั่นคือโลกคู่ขนานกันแน่บางทีตอนนี้จูเจี่ยอาจกำลังใช้ชีวิตอยู่ที่ห้องทำงานนั่งงงงันกับการพิมพ์นิยายที่ไร้คนอ่าน แต่ว่าอยากเขียน อยากเป็นนักเขียน อยากอ่านเม้นท์ อยากมีเพื่อนคุย เลยเปิดให้อ่านฟรี555
แต่จะว่าไปจูเจี่ยจะทำได้เท่าทีแป๋มทำไหมหนอ เขียนนิยายเดือนละสี่เรื่องจบเดือนละสองเรื่อง โดยที่ไม่ลุกไปไหน นอกจากห้องน้ำ เขียนจนปวดหัว ความดันขึ้น จิตตก บางทีก็เกิดอาการดาวน์กับเม้นท์ที่บันทอนกำลังใจ
สุดลมหายใจเข้าไปลึกๆ สู้สู้จูเจี่ย แป๋มก็จะพยายามเป็นเธอให้ดีที่สุด
จับกุ้งได้ไม่น้อยวันนี้แป๋มสามารถจับกุ้งได้ถึงห้าตัว อากาศเริ่มขมุกขมัว หนาวสั่น ปากคล้ำ มือเหี่ยวจูจิ้นก่อกองไฟลุกโชติช่วง
“ไปพิงไฟเสียก่อน ให้หายหนาว แล้วค่อยกลับไปที่บ้านป่านนี้แม่ของเจ้าคงกำลังเตรียมเครื่องแกง มันเทศกับกุ้งวันนี้ได้กุ้งเยอะมากปกติพ่อกับจูจิ้นมาได้น้อยกว่านี้มากวันนี้มีทั้งเสี่ยวซงและจูเจี่ยมาช่วยกัน วันนี้เสี่ยวซงเจ้าจะได้ลองชิมแกงกุ้งฝีมือท่านป้าที่อร่อยที่สุดในสามแคว้น ที่ข้าตกลงใช้ชีวิตกับแม่ของจูเจี่ยก็เพราะนางทำอาหารอร่อยที่สุด”
แป่มอยู่ๆ ก็น้ำตาปริ่มขอบตาคิดถึงคุณพ่อของแป่มที่มักจะมีคำสัพยอกแม่ของแป๋มทำนองนี้เหมือนกัน เสี่ยวซงหันมองหน้าของแป๋ม ก่อนจะยิ้มบางๆ
“เฮ้อ ข้ารึอุตส่าห์เตรียมคำพูดไว้”
“คำพูดอะไรจูจิ้น”
“ข้าตั้งใจเตรียมคำพูดสบประมาทจูเจี่ยว่าไม่อาจจับกุ้งได้ แต่นางกลับจับมันได้ตั้งห้าตัว หรือว่าเป็นเพราะมีพี่ชายเสี่ยวซงมาด้วยจึงตั้งใจจับกุ้งให้ได้มากๆ ”แป๋มเปลี่ยนอารมณ์ทันที จูจิ้นนายนี่สุดยอดเสียจริง
ท่านเจ้าบ้านอมยิ้ม เสี่ยวซงเขย่าหัวจูจิ้นไปมาแป๋มชี้หน้ากลมๆ ของจูจิ้น
“จูจิ้นน้องพี่ อีกหน่อยเจ้าก็คงจะโต เมื่อวันนั้นมาถึงข้าก็คงหาโอกาสเอาคืนเจ้า ให้เจ้าได้ขายหน้าหญิงงามสักคนที่เจ้าพึงใจนาง….”รีบยกมือปิดปากเหมือนกับเป็นการเปิดเผยความในใจ เสี่ยวซงอมยิ้ม
จูจิ้นยักคิ้วแผล็บๆ เมื่อแป๋มขุดหลุมล่อจูจิ้นแล้วตัวเองตกลงไปเอง
ข้างลำธารที่พุ่มไม้หนา
“ไท่จือเป็นไท่จืออย่างแน่นอนเหตุใดถึง มาซ่อนตัวในป่าเขาเช่นนี้”
“รีบกราบทูล แล้วเชิญตัวไท่จือกลับไปวังหลวงเสียเถิด”
“รอให้ปลอดคนจึงจะแสดงตัว ตอนนี้มีแต่จะสร้างความตกใจและเสื่อมเสียหากคนพวกนั้นดีก็คงไม่มีปัญหาแต่หากเห็นว่าเป็นไท่จือแล้วต้องการผลประโยชน์จึงยากจะควบคุม”
เสี่ยวซงเหลือบตาเห็นแล้วว่ามีคนอยู่ที่นั่น
“ท่านลุงรีบกลับกันเถิด”ท่านเจ้าบ้านเฉินพยักหน้า เสี่ยวซงแบกถังใส่กุ้งจูจิ้นกำมือเสี่ยวซงไว้ แป๋มเดินตามหลังรั้งท้ายด้วยท่านเฉิน
“มากันแล้ว”ฮูหยินเอ่ยทักรับเอาถังกุ้งในมือของเสี่ยวซง
“โอ้โห้วันนี้ได้ตัวใหญ่ มากมายเช่นนี้ วันนี้ข้าจะแกงกุ้งกับกุ้งย่าง ให้พวกเจ้าได้กินกัน”
“ท่านแม่แล้วพี่จูเจี่ยกินเยอะๆ ไม่อ้วนหรือไรพี่จูเจี่ยยิ่งชอบกินกุ้งอยู่ด้วย”
“ข้ามีวิธีไม่ให้นางอ้วน จะว่าไปหลายวันมานี้จูเจี่ยยอมกินอาหารที่ข้าทำ ไม่กินหมูกับไก่เหมือนที่เคยทำหมูเค็มเราก็เหลือเก็บไว้กินอีกนาน เจ้าเห็นหรือไม่พี่สาวเจ้าผอมลงไปไม่น้อย”แป๋มอมยิ้ม ก้มหน้าเขินอาย
“ไม่ต้องห่วงนะข้า ไปศึกษาเคล็ดวิชา เกี่ยวกับ..เอ่ออการอุ่นเตียงที่เจ้าจะต้องติดใจ”รวบร่างบางให้อยู่ใต้ร่างเขาก่อนจะกดริมฝีปากอีกครั้งบรรจงจูบอ่อนหวานปลดแกะอาภรณ์ของตัวเองและของแป๋มออกช้าๆ อ่อนโยนจนแป๋มแทบจะล่องลอยโคมไฟหัวเตียงอ่อนแสงลงเมื่อคนทั้งคู่ กำลังมีความสุขภายใต้แสงไฟสลัว เนิ่นนาน ไม่สนใจเวลาที่หมุนผ่านจนโคมไฟอ่อนแสง (ตัดเข้าโคมไฟอย่าด่าไรท์น้าาา555)สามปีผ่านไป“แค้วนเหนือส่งบรรณาการมาที่แคว้นฉินแทนคำขอบคุณที่ ฝ่าบาทส่งท่านเฉินให้ไปเป็นผู้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาในการปลูกผักและถนอมอาหารบัดนี้แคว้นเหนือรุ่งเรือง เป็นบ้านพี่เมืองน้องฮ่องเต้าต้าปอหลันจึงได้มีบัญชาให้นำเครื่องบรรณาการมาที่นี่แทนคำขอบคุณ”ซงหยวนเอื้อมมือกุมมือแป๋มใต้บัลลังก์บีบมือเบาๆ มองสบตา คม อย่างมีความหมาย“กลยุทธ์ของเจ้า เข้าท่าดีไม่น้อยต่อไปบ้านใกล้เรือนเคียงจึงไม่ทะเลาะเบาะแว้งเแย่งชิง ทรัพยากรและดินแดนกันอีกในเมื่อทุกพื้นที่ล้วน ปลูกผักทำสวน พึ่งพาตัวเอง ท่านพ่อตาเก่งเรื่องทำสวน ช่วยดูแลให้ความรู้ชาวแคว้นเหนือได้ดี แม้อยากกลับก็ไม่ได้กลับ ฮ่องเต้แคว้นเหนือแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งราชครูเลยทีเดียว“คิดถึงจูจิ้นเขาไม่อ
พิธีแต่งงานที่ยิ่งใหญ่อลังการ จนแป๋มคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นแล้วยังต้องมาสวมอาภรณ์สีแดงด้วยตัวเอง อาการตื่นเต้นจนทำให้ต้องนึกถึงเรื่องที่ผ่อนคลายกว่านี้จะได้ไม่ทำอะไรเงอะงะ ให้ขายหน้าทั้งๆ ที่เมื่อวานวุ่นวายกับการฝึกซ้อมพิธีการแต่….เมื่ออยู่ในห้องสองต่อสองเมื่อวันก่อน แป๋มนำเอาแครอทหั่นฝอยมาทำเป็นส้มตำให้ซงหยวนกินอดจะขำกับเสียงซุดปากที่ขันทียังตกใจเสียไม่ได้ส้มตำไทยรสเด็ดที่แป๋ม ปรุงเองกับมือ ไม่มีมะละกอก็ใช้แครอทซอย เป็นเส้น พริกสดสีแดงจัดจ้านกระเทียมสีม่วงกลีบเล็ก โขลกรวมกัน ใส่กุ้งแห้งที่ตัวใหญ่ไปหน่อย ถั่วลิสงคั่ว มะนาวซีก น้ำผึ้ง และเห็ดหอมสดต้ม ข้าวโพดหวานต้ม ลงไปคลุกเคล้า ตักยื่นส่งตรงหน้าซงหยวนที่ยืนชื่นชม ท่าทีคล่องแคล่วของแป๋ม แต่ก็แอบกลืนน้ำลาย“เจ้าไปนำวิธีการปรุง อาหารจานนี้มาจากไหน”“พูดไปฝ่าบาทก็คงไม่เชื่อแต่จะบอกอะไรให้ อาหารจานนี้จูเจียชอบที่สุด และหากฝ่าบาทได้ชิมจะต้องซี้ดปากด้วยความสะใจ”“ซุ๊ดด ซี็ดเผ็ดมาก แต่อร่อยลิ้น เสียจริงไม่น่าเชื่อแครอทเอามาทำอาหารแบบนี้ได้ วังหลวงของเราไม่เคยมีอาหารรสจัดจ้านเพียงนี้ ข้าเห็นทีจะจัดให้ห้องเครื่องเป้นอาหารที่ทำห้คนนวังหลวงได้ชิม
“เรื่องอัปยศเช่นนี้ข้าก็ไม่อยากจะรื้อฟื้นเอาเป็นว่าเราทั้งสอง ทำทีเป็นเหมือนคนไม่เคยรู้จักกัน อย่างที่ผ่านมาดีแล้ว”“ท่านก็ยังเหมือนเคย””ตัวท่านเองก็เช่นกัน รักในบัลลังก์มากกว่าสิ่งอื่นใด”ซงหยางยิ้ม“ท่านเองก้คงไม่ปรารถนาให้บุตรีต้องมา ผูกพันกับซงหยวนที่มีหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ต้องรับผิดชอบข้ามองไม่เห็นทางว่า หากซงหยวนแต่งกับบุตรีของท่านเหมือนที่ข้ายอมแต่งกับ พี่รองของท่านแล้วจะนำพาแคว้นฉินให้รอดปลอดภัยจากแคว้นอื่นที่ต้องการรุกรานได้อย่างไรในเมื่อซงหยวนมีว่าที่ไท่จือเฟยเป็นองค์หญิงแคว้นใต้”เฉินเจียจิ้นยิ้มบางๆ แม้จะรู้สึกเจ็บแค้นแทนแป๋มเพียงใด แต่ก็ไม่ได้โกรธเคืองชีวิตในวังหลวงล้วนแตกต่างแป๋มจะทนได้หรือซงหยางก้าวเท้าเข้ามาในตำหนักด้วยสีหน้าแช่มชื่น เฉินเจียจิ้นกลับมาสู่ความเป็นจริงตรงหน้า“ข้ายินดี ให้ฮ่องเต้แต่งบุตรีของท่านเป็นฮองเฮา แม้จะต้องกลับคำพูดจากที่เคยพูดไว้”“กลับคำ”“ในตอนนี้ข้าเห็นแล้วว่าแม้ฮ่องเต้ไม่แต่งองคืหญิงจากแคว้นอื่นเพื่อเชื่อมสัมพันธ์แต่งฮ่องเต้ก็ทรงนำพาแคว้นฉินให้อยู่รอดปลอดภัย ซงหยวนเก่งกว่าข้าภายใต้ความเก่งกาจของเขา มีตระกูลเฉิน โดยเฉพาะเฉินจูเจี่ยเป็นแรงผลักดัน
เพียงครู่เดียวเหล่าทหารของแคว้นฉิน ก็เข้ามา ล้อมบ้านเฉินไปจนสิ้น“เฉินเจียจิ้นรับราชโองการรร” ท่านรเฉินกับฮูหยิน คุกเข่าลงกับพื้นต้าปอหลันเหลือบตามองด้วยความสงสัย“ตามที่บ้านตระกูลเฉินได้ส่งเกาลัดที่ฝ่าบาทโปรดปรานเป็นอย่างยิ่งเข้าไปในวังหลวงบัดนี้ฝ่าบาทได้ให้ข้ามาแจ้งแก่เฉินเจียจิ้นว่าส่งเกาลัดเข้าไปแต่ไม่ยอมส่งคนคั่วเกาลัดเข้าไปด้วยฝ่าบาทจึงจำต้องมาออกมาที่ตลาดมารับคนคั่วเกาลัดคือแม่นางจูเจียด้วยองค์เองเพื่อเป็นการลงทัณฑ์บ้านเฉิน ที่ยังความลำบากให้กับฝ่าบาทเช่นนั้นจึงได้ มีราชโองการ เชิญท่านเฉินและฮูหยินเฉิน ไปที่วังหลวง พร้อมกันนี้ให้นำผักในไร่ไปปรุงเครื่องเสวยถวายฝ่าบาท ทันที เฉินเจียจิ้น รับราชโองการรรร”“น้อมบัญชาฝ่าบาท”เอื้อมมือรับเอาราชโองการมาถือไว้ด้วยมืออันสั่นเทาหันมองหน้าฮูหยินดวงแววตาตื่นตระหนกแม้ข้อความในราชโองการจะฟังดูแปลกๆ แต่ก็อดหวั่นใจเสียไม่ได้เพราะเพิ่งจะเคยได้รับราชโองการจากฮ่องเต้เป็นครั้งแรก“ท่านลุง หากไม่อยากเข้าไปข้ายินดีปกป้องท่าน”ต้าปอหลันประสานมือกล่าวคำห่วงใย“ฝ่าบาท ข้าน้อย แม้จะกลัวเพียงใดแต่เชื่อว่าจะต้องไม่เกิดอันตรายในเมื่อตอนนี้ จูเจียกับจูจิ้นอยู
“ขอบพระทัยเสี้ยนตี้”“อืม ปลาทอดราดซอสขิงรสชาติดีเสียจริง ข้าคงไม่กวนเจ้าแล้ว แต่รู้สึกคิดถึงจูจิ้นเหลือเกิน ไปคุยกับท่านลุงให้หายคิดถึงจะดีไหมที่ตำหนักของข้ามี ขนมหวานน่ากิน มากมาย”จูจิ้นยิ้มหันมองทั้งแป๋มและซงหยวน ซงหยวนพยักหน้ายิ้มๆ รีบลุกจากแท่นนั่งวิ่งเข้าเกาะแขนเสี้ยนตี้ฮองเฮามองด้วยสายตาอ่อนโยนแป๋มถอนหายใจเหมือนกับโล่งอกเสียเต็มทีซงหยวนอมยิ้ม“คืนนี้ จูจิ้นค้างที่ตำหนักเสี้ยนตี้”“ฝ่าบาทรู้ได้อย่างไร”“ก็เสี้ยนตี้จะต้องเห็นอกเห็นใจลูกชายคนนี้ที่นานปีเพิ่งจะได้ชิดใกล้คนที่เขารัก”“ข้า ...ข้า”“อย่าบอกนะว่าจะขอแยกห้อง”“ก็ฝ่าบาท จะรังแกกัน”“ใครกันเรียกว่ารังแก เรียกว่าทนคิดถึงไม่ไหว”ปลาทอดราดซอล ขิงวันนี้แป๋มรู้สึกว่ามันหวานไปหน่อยจะด้วยสายลมแสงจันทร์หรือว่าคำหวานกับสายตารักใคร่ของคนข้างหน้าไม่อาจทราบได้บ้านเฉิน“ท่านลุง จูเจียถูกจับตัวไป”ท่านเฉินลุกพลวดจากเก้าอี้“ใครกันทำเรื่องแบบนั้น”“ฮ่องเต้แคว้นฉิน”“หา ฮ่องเต้แคว้นฉิน แล้วเขาจะจับจูเจียไปทำไมกัน”“ฝ่าบาทคนของเราพร้อมแล้ว”องครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่ ปรากฏตัวออกมาประสานมือตรงหน้า ต้าปอหลันฮ่องเต้ ท่านเฉินกับ ฮูหยินเฉินตาค้างด้
แป๋ม เขย่งเท้าขึ้นจุมพิตที่ปากอุ่นเบาๆ“ขอบคุณที่ทำเพื่อข้า”ซงหยวนกดริมฝีปากกับปากบดขยี้อ่อนหวานก่อนจะถอนริมฝีปากออกช้าๆ“ขอบคุณเช่นกันที่รอข้า”แป๋มยิ้มห้องเครื่องเกาลัดเมล็ดใหญ่ถูกคั่วในเตาด้วยไฟกลาง กลิ่นหอมโชยไปทั่ว ซงหยวนจูงมือแป่มไว้พาเดินเข้าไปในห้องเครื่องขันทีนางกำนัลต่างประสานมือและย่อกายทำความเคารพ“พี่ชายเอ๊ยฝ่าบาท พี่สาวจูเจียข้าคั่วเกาลัดไว้รอพวกท่านกำลังร้อนๆ เนื้อนุ่มหวานอย่าบอกใคร”จูจิ้นวิ่งเข้ามาจับมือข้างที่ว่างของแป๋ม“ปลาสดวันนี้มีมาหรือไม่ ว่าที่ฮองเฮาของข้าตั้งใจจะทำปลาทอดราดซอสขิงทั้งขันทีและนางในห้องเครื่องต่างอมยิ้มกับคำเรียกขานที่ซงหยวนใช้กับแป๋ม“ปลาสดวันนี้ได้มาหลายตัว กระหม่อมทอดเตรียมยกเป็นเครื่องเสวยพอดี”หัวหน้าห้องเครื่องประสานมือพูดขึ้น“ดีมาก ปลาอะไรที่ได้มา”“ปลากะพง สดใหม่จึงทอดเพื่อยกเป็นเครื่องเสวย”“ดีเลย ข้าปรุงซอส ขิงราดคงดีไม่น้อย”ซงหยวนยิ้ม จูงมือ แป๋มให้นั่งลง“แค่เพียงบอกขั้นตอนพวกเขาเจ้าไม่ต้องลงมือให้เปรอะเปื้อน”“ไม่เป็นไรข้าเต็มใจทุกวันก็ทำประจำ”“ไม่ได้ เครื่องเสวยมีหลายสิบตำหนักเจ้าจะต้องเหนื่อยหนักเช่นนั้นนั่งอยู่ข้างข้า คอยสั่งการ