วันแรกของการปิดเทอมใหญ่ฉันตั้งปณิธานกับตัวเองไว้เลยว่าจะต้องทำให้ได้ นั่งมองคนในกระจกพลางสำรวจตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ไหนจะรอยสิวอีก ยอมอดค่าขนมเพื่อเก็บเงินไปซื้อครีมบำรุงผิว อันไหนที่เขาว่าดีอีนี่ก็กวาดมาหมดค่ะ ที่เห็นผลชัดเลยคือรอยสิวรอยแผลเป็นบนใบหน้าที่จางลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงหนึ่งเดือนแรก
เรื่องการลดน้ำหนักก็เหมือนกันกว่าจะหักห้ามใจเลิกกินขนมได้แทบลงแดงเลยทีเดียว จากที่ไม่ชอบกินผักก็ต้องฝืนใจกินโดยเฉพาะมื้อเย็น ไม่กินเลยคืออยู่ไม่ได้ กินน้อยก็ไม่อยู่ท้องอีก ความจริงถ้าน้ำหนักไม่ลดฉันก็ไม่ซีเรียสนะคะ แต่อย่าขึ้นอย่างเดียวก็พอ อ๋อ! แล้วฉันก็เล่นฮูล่าฮูปวันละหนึ่งถึงสองชั่วโมงด้วยนะ ทำแบบนี้ทุกวันจนกระทั่งถึงวันเปิดเทอม... มัธยมศึกษาปีที่สาม “เชี่ย! กูไม่ได้ตาฝาดแน่ ๆ” “สวยขึ้นเยอะเลย” “มึงเป็นใคร! ออกจากร่างเพื่อนกูไปเดี๋ยวนี้นะ” “ยัง... ยังไม่เลิกเล่นกันอีก” ฉันว่าพลางมองหน้าพวกมันสามคนอย่างเอือมระอา “ตาลมึงสวยขึ้นจริง ๆ นะพูดแบบไม่อวยเลย ดูดีขึ้นมาก” ไอ้จูนค่ะ ไม่พูดเปล่ามันยังจับฉันหมุนไปมาอีกด้วย “จริง! คนละคนกันเลย” “ว้าวมากแม่!” ไอ้หมูกับไอ้พลอยเสริมขึ้นมาอีก ฉันก้มมองตัวเองมันก็ปกตินะคะ หรือว่าฉันชินกับตัวเองอยู่แล้วก็ไม่รู้ เป็นการมาเรียนที่ทำให้รู้สึกใจหายไม่น้อยเลยเพราะอีกแค่ไม่นานทุกคนก็ต้องแยกย้ายกันไป รวมไปถึงใครคนนั้นก็ด้วย “มึงคาดหวังให้พี่ทิวสนใจถึงขนาดต้องลดน้ำหนักเลยเหรอ” คำถามนี้ฉันไม่ลังเลที่จะตอบเลยด้วยซ้ำ “เปล่า กูอยากสวยเพื่อตัวกูเองบ้างไม่ได้เหรอน้อง ใคร ๆ เขาก็ต้องดูแลตัวเองกันเปล่าวะ” “เชื่อตายแหละ เฝ้ามองเขามาสองสามปีไม่คาดหวังเลยสิแปลก” “แล้วแต่... กูพูดให้ฟัง ไม่ได้พูดให้เชื่อ” เลิกสนใจมันแล้วพากันเดินเข้าโรงเรียนตามปกติ แต่ระหว่างทางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกจ้องมองอยู่ตลอด หันไปมองรอบตัวก็ไม่มีใครนะคะจนกระทั่งเห็นซุ้มไม้ที่มีคนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ “ลงทุนฉิบหาย” “ฮ่า ๆ คิดว่าทิวจะต้องชอบมึงจริง ๆ ใช่ไหม” น้ำเสียงเย้ยหยันดังมาจากด้านหลังก่อนจะเดินนำหน้าพวกเราไป “คนที่ใช่ไม่ต้องใช้ความพยายาม เนอะ!” ไอ้จูนพูดลอย ๆ ขึ้นมา ฉันรู้ว่ามันจงใจให้ประโยคนี้กระแทกเข้าไปในโสตประสาทของใครบางคน และมันได้ผลค่ะ หันกลับมามองตาแทบปริ้น ฮ่า ๆ “มึงจะออกตัวแรงตั้งแต่วันแรกไม่ได้นะ” “ไม่แคร์โว้ย! เป็นพี่มอสามแล้วจะทำอะไรก็ได้” “อีสัส ห้าวแต่หัววันเลย” ... : ฮ่า ๆ หยอกล้อกันตามประสาเพื่อนจนถึงซุ้มไม้ที่ใครบางคนนั่งอยู่ ฉันทำเป็นไม่เห็นไม่สนใจแล้วพูดคุยหัวเราะกับไอ้จูนต่อ แต่หางตาก็แอบเหล่มองเหมือนกันนะคะ พี่ทิวเขาดูดีขึ้นมากเลย แต่แววตายังนิ่งเหมือนเดิม “กูรู้สึกว่าเทอมนี้ใครบางคนจะงานเข้านะ” “บ่นไรมึงไอ้ริว” “เสือก!” “ไอ้สัส! ถามนิดถามหน่อยก็ไม่ได้” ไม่ได้หยุดฟังนะคะมันลอยเข้ามาในหูเอง แต่ช่างเถอะ! ฉันไม่อะไรแล้วแหละ ถึงเวลาเข้าแถว แน่นอนว่ากรรมการนักเรียน ประธานนักเรียนจะต้องถูกเลือกใหม่ทั้งหมด พี่ริวลงสมัครเป็นประธานนักเรียนด้วยค่ะ ส่วนอีกสองคนเป็นผู้หญิง เขาให้ส่งตัวแทนห้องละหนึ่งคน บรรยากาศมันก็จำเจเหมือนเดิมนั่นแหละ หรือเป็นเพราะฉันไม่ได้โฟกัสตรงนั้นเหมือนเมื่อก่อนแล้วก็ไม่รู้นะ “ตาล ขอเบอร์หน่อยดิ” เกมส์เพื่อนผู้ชายร่วมห้องมันพูดขึ้น “สามแปด” “อะไรวะสามแปด” “เบอร์รองเท้า” “ชั่วร้ายมาก” “ใครขอ?” ฉันถามออกไปตรง ๆ เพราะเป็นเพื่อนกันมานานไม่ใช่มันแน่นอน “บอกก็รู้อะดิ ” “กวนตีน” เลิกสนใจมัน พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีพี่ทิวก็มายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว บัตรที่แขวนคอเขาอยู่บ่งบอกให้รู้ว่านี่คือกรรมการนักเรียน “อย่าคุยกัน” พยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะตั้งใจฟังสิ่งที่อาจารย์ชี้แจงอยู่ พูดโคตรนาน ใจคอจะพูดวันนี้ให้หมดทุกเรื่องเลยมั้ง ไม่ได้ขี้เกียจนั่งฟังหรอกแต่แดดมันร้อนค่ะ อาจารย์จะพูดกี่ชั่วโมงก็ได้เพราะตัวเองอยู่ในร่มไง พอเลิกแถวก็แยกย้ายกันเข้าห้อง แจกตารางเรียนกันตามปกติ วิชาแรกภาษาไทยค่ะ ระหว่างเปลี่ยนคาบเรียนก็เดินผ่านห้องวิชาการที่ตอนนี้กำลังประชุมกรรมการนักเรียนกันอยู่ “แวะมองได้นะเดี๋ยวพวกกูรอ” “มึงก็มองไปคนเดียวดิ” “จ้า ๆ แม่คนเก่ง” “วันนี้มึงกวนตีนกูมากนะจูน” “ก็...” “ ไหนเบอร์อะ” ไอ้แกรมค่ะ หมอนี่มันเป็นนักดนตรีของโรงเรียนอยู่ห้องหนึ่ง ไม่รู้ว่ามันพรวดพราดมาจากไหน “เบอร์เรา?” “เออดิ ให้ไอ้เกมส์มาขอไม่ได้เรื่องเลย” “ยังไม่ให้ได้ปะ” “ได้ดิ แต่แอดHiไปรับเพื่อนด้วยนะ” “อืม” ตอบกลับมันยิ้ม ๆ ก่อนจะแยกกันคนละทาง “กูสัมผัสได้ถึงสายตาอัมหิต” “น่ากลัวฉิบหาย” เสียงไอ้หมูกับไอ้จูนพูดตามหลัง ฉันไม่ได้สนใจฟังค่ะ ก้มหน้าก้มตาเดินขึ้นตึกไป ตัดมาตอนเลิกเรียนเลยแล้วกันนะคะ แยกกับเพื่อนฉันก็เดินออกทางประตูหลังเหมือนเดิม แต่วันนี้เส้นทางเปลี่ยนนิดหน่อยเพราะว่าต้องมาเอาชุดที่แม่ตัดไว้ซึ่งร้านก็อยู่ใกล้ ๆ โรงเรียนนั่นแหละ “ต้องหลบหน้าขนาดนี้เลยหรือไง” น้ำเสียงคุ้นหูเอ่ยขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกมาจากข้างกำแพง “ใครหลบคะ ทำไมหนูต้องหลบหน้าพี่ด้วย” “พี่ถามเราอยู่นะ ไม่ได้ให้เรามาย้อน” “...” “คำพูดคนอื่นมันมีผลต่อความรู้สึกมากขนาดนั้นเลยเหรอถึงต้องทำอะไรแบบนี้” “ใช่ค่ะ! มันมีผลต่อความรู้สึกของหนูมาก พี่ไม่ได้เป็นฝ่ายถูกต่อว่านี่พี่จะรู้สึกอะไร” “...” พี่ทิวถอนหายใจออกมาเบา ๆ คล้ายกำลังระงับอารมณ์ตัวเองอยู่ “แล้วจะไปไหน ปกติรอรถตรงโน้นไม่ใช่เหรอ” “ไปเอาชุดให้แม่ที่ท้ายตลาดค่ะ” “ไปสิ เดี๋ยวเดินไปเป็นเพื่อน” “ไม่เป็นไรค่ะ หนูไปคนเดียวได้” “จะห้าโมงเย็นแล้วนะ มองดูรอบ ๆ ซิว่ามันมีคนหรือเปล่า” “...” กวาดสายตาไปรอบบริเวณมันไม่มีใครจริง ๆ ค่ะ คือโรงเรียนมันติดกับวัดไง ถัดจากวัดก็จะเป็นตลาดแล้วร้านตัดเสื้อมันก็อยู่ในตลาดอีกที แน่นอนว่าบรรยากาศมันวังเวงแม้ว่าฟ้าจะสว่างก็ตาม ระหว่างทางเดินพวกเราเงียบมาก ฉันแอบได้ยินเสียงพี่ทิวลอบถอนหายใจออกมาอยู่หลายครั้งจนต้องหันไปมอง เหมือนว่าเขาจะอึดอัดนะคะ ความรู้สึกมันบอกแบบนั้น “คุยกับใครอยู่เหรอตอนนี้” ตึกตัก! ตึกตัก! “คบกับใครอยู่หรือเปล่า” คำถามตรง ๆ ของพี่ทิวทำเอาใบหน้าฉันร้อนเห่อขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ทำไมต้องรู้สึกหวั่นไหวกับผู้ชายคนนี้ด้วยนะ “ไม่ได้คุยค่ะ ไม่ได้คบกับใคร” พี่ทิวไม่ได้ตอบอะไรแค่อมยิ้มออกมาเท่านั้น ความตั้งใจของฉันจะมาพังไม่เป็นท่าเพียงเพราะรอยยิ้มของผู้ชายคนนี้ไม่ได้นะ เขาไม่ได้บอกว่าชอบเราสักหน่อย อย่าหลงตัวเอง อย่าคิดไปเอง ฉันเตือนตัวเองแบบนี้เสมอชีวิตหลังแต่งงานเป็นอะไรที่มีความสุขมาก ทอฝันเลี้ยงง่ายไม่อ้อนเลย ตอนนี้เพิ่งสิบเดือนเริ่มเกาะยืนแล้ว ดูท่าทางอีกไม่นานคงวิ่งจับไม่ไหวแน่นอน“คนสวย แม่ไปทำงานแล้วนะคะ หนูอย่างอแงกับพ่อนะ” พูดจบก็ก้มไปฟัดแก้มลูกสาวจนหนำใจเลยทีเดียว “หอมแต่ลูก ไม่หอมพ่อของลูกบ้างเหรอครับ”“ไม่ค่ะ!” ปากบอกปฏิเสธแต่ก็หอมครับ ว่านอนสอนง่ายจะตาย วันนี้เป็นวันหยุดผม หลังจากส่งน้องเสร็จก็แวะมาบ้านไอ้ริวต่อเลย รับปากมันไว้ว่าจะเข้ามาไง “เมื่อก่อนพกเมีย เดี๋ยวนี้พกลูก” ไอ้แบคเอ่ยแซวทันทีที่เห็นผมกับน้องทอฝัน“แล้วมึงเมื่อไหร่จะมี”“ทักได้เจ็บใจมาก” มันอยากมีครับ แต่ไอ้เกตุไม่ท้องสักที “น้ำยาไม่ดีก็แบบนี้แหละ”“ขยี้กันเข้าไป ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ”... : ฮ่า ๆ“ไอ้ริว แล้วลูกมึงไปไหน”“อยู่ในเปลโน่น สองขวบกว่าแล้วยังติดเปลอยู่เลย ไปโรงเรียนกูว่าร้องตาย” น้ำเสียงมันเหมือนสิ้นหวังมากเลย“เอาน่ะค่อย ๆ ฝึกให้นอนพื้นทีหลังก็ได้”“ไม่หรอก ลูกกูอารมณ์แปรปรวนเก่งมาก แต่ไม่ซนนะ”“เป็นยังไงวะอารมณ์แปรปรวน”“อยู่ดี ๆ ก็ร้องไห้ ร้อง ๆ อยู่ก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะได้อีกด้วย บางวันเดาอารมณ์ไม่ถูกเลย”“ไม่ลองปรึกษาหมอวะน่าจะช่วยได้
หลายเดือนผ่านไปใกล้ได้เห็นหน้ากันแล้วครับ แอบกระซิบหน่อยว่าท้องใหญ่มาก และด้วยขนาดหน้าท้องที่ใหญ่เกินตัวจึงมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของน้องพอสมควร เหนื่อยง่ายทำอะไรไม่สะดวกเหมือนเมื่อก่อน “หนูลาคลอดเมื่อไหร่”“ยังเลยค่ะ หนูว่าจะทำจนคลอดเลย”“ว่าไงนะ” ไม่ได้หูฝาดไปแน่ ๆ ครับ“หมายถึงทำจนเจ็บท้องใกล้คลอดเลยค่ะ ลาได้เก้าสิบวันหนูอยากอยู่กับลูกนาน ๆ นี่ถ้าลาล่วงหน้าเป็นเดือนกลัวได้ใช้เวลาอยู่กับลูกน้อย” เห็นไหมครับ ไม่ได้มีแค่ผมสักหน่อยที่เห่อลูก“เข้าใจ แต่พี่อยากให้พักเดินจะไม่ไหวอยู่แล้วนะ”“แต่หนู...”“คุณแม่ดื้อเหรอครับ?”“ก็ได้ค่ะ” กำหนดคลอดเดือนหน้าแต่อะไรมันก็เกิดขึ้นได้เสมอ อาจจะคาดเคลื่อนก็ได้ต้องเตรียมตัวเอาไว้ก่อนครับพวกเราย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านใหม่แล้วและรับแม่กับยายมาอยู่ด้วยชั่วคราวเพราะไม่อยากให้น้องอยู่คนเดียวไง ไม่ต้องห่วงนะครับว่าผิดที่ผิดทางแล้วยายผมจะเหงา เพราะเพื่อนบ้านก็มีคุณตาคุณยายอายุไล่เลี่ยกัน คุยกันถูกคอประหนึ่งว่ารู้จักมานานแรมปี“พี่ทิว”“ครับ?”“หนูอยากกินไข่ปลาทอด” ฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความหวังเชียว“มันหาซื้อได้ที่ไหน” ไข่ปลาน่ะรู้จักครับ แต่มันไม่ได้ม
บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ถ้าพ่ออยู่ตรงนี้ด้วยก็คงจะดี... ตอนแรกตั้งใจจะเชิญแค่ญาติคนสนิทแต่ตากับยายคัดค้านค่ะ ให้เหตุผลว่าแม่เป็นลูกคนเล็กญาติทางนั้นก็สำคัญ ญาติทางนี้ก็สำคัญ ป้าบ้านนั้น น้าบ้านนี้ เยอะแยะไปหมด เป็นคนเก่าคนแก่ที่มีคนรู้จักนับถือเยอะก็อย่างนี้แหละ ไม่เป็นไรเอาที่ตากับยายสบายใจเลย พี่แบคกับพี่เต้อาสาเป็นพิธีกรให้ และไม่วายถูกตั้งคำถามประหลาด ๆ ตามเคย“เจ้าบ่าวครับ เห็นคุณผู้หญิงโต๊ะนั้นไหมครับ?” พี่แบคเอ่ยพลางชี้ไปที่คนกลุ่มหนึ่ง เป็นรุ่นน้องที่ทำงานของพี่ทิวนั่นแหละค่ะ“เห็นครับ”“สวยไหม?”“สวย”“คุณ! นี่งานมงคลของคุณนะครับ คุณกล้าชมผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าภรรยาเชียวเหรอ” คำถามกวนอารมณ์ถูกเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม“ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร มองแล้วเห็นว่าเป็นคนสวยปกติก็คือเป็นคนสวยเท่านั้นเอง กลับกันถ้าเราอยู่ใกล้คนที่เราชอบต่อให้หน้าตาธรรมดายังไงในสายตาเราเขาก็สวยที่สุดอยู่ดี” ประโยคหลังพี่ทิวหันมาพูดกับฉันทำเอาผู้คนในงานเอ่ยแซวเสียงดังไปทั่วบริเวณ“เจ้าสาวครับ”“ค่ะ”“คุณผู้ชายโต๊ะนั้นหล่อไหมครับ”“หล่อค่ะ”“แล้วระหว่างทางนั้นกับทางนี้ ใครหล
ก่อนหน้านี้ประจำเดือนฉันมาสามวันค่ะ ปกติจะห้าหรือไม่ก็เจ็ดวัน แต่ไม่ได้คิดอะไรเพราะเป็นคนมีรอบเดือนไม่ปกติอยู่แล้ว แต่คราวนี้คงปล่อยผ่านไม่ได้แล้วแหละเลิกงานฉันซื้อที่ตรวจครรภ์มาด้วยห้าอัน อันละยี่ห้อไปเลยค่ะ มาถึงบ้านอาบน้ำเสร็จก็ตรวจเลย คุณหมอแนะนำมาว่าควรเป็นฉี่แรกของวันเพื่อผลที่แม่นยำ แต่มันตื่นเต้นไงอยากรู้จึงลองตรวจดูก่อนในความคิดฉันถ้าท้องจริงตรวจตอนไหนคงขึ้นสองขีดเหมือนกัน อันนี้คิดเอาเองนะคะลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะจุ่มที่ตรวจลงไป ใจเต้นแรงเป็นบ้าเลยค่ะ วินาทีที่แถบสีชมพูเริ่มเห็นชัดขึ้น ...“สะ สองขีด” เหมือนหยุดหายใจไปชั่วขณะ ขีดที่สองมันจางมากแต่มองผ่าน ๆ ก็คือเห็นว่าเป็นสองขีด ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจนะคะแค่ไม่คิดว่าจะมาเร็วแบบนี้ฉันเพิ่งหยุดกินยาคุมเมื่อสองเดือนก่อนเอง ใครจะคิดว่าจะติดรวดเร็วทันใจขนาดนี้ล่ะ แล้วต้องทำยังไงต่อต้องบอกใครเป็นคนแรก?เช้าอีกวัน ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหิว ใช่ค่ะ! หิวจริง ๆ ลืมตามาก็อยากกินข้าวเลย ทำธุระส่วนตัวเสร็จออกมาข้างนอกเห็นแม่ทำกับข้าวอยู่ก่อนแล้ว“วันนี้ไม่ไปใส่บาตรเหรอ” “หนูตื่นสายเลยไม่ได้ไป แม่...”“ว่า?”“...”“เรียกแล้วไม่พูดนะ” พูด
หลังจากทริปทะเลจบลงพวกเราก็กลับสู่บทบาทหน้าที่ตัวเองกันอีกครั้ง แอบเขินไปหลายวันเลยเรื่องที่เข้าใจผิด อย่างที่บอกเป็นใครก็ต้องคิดจริงไหม? ส่วนไอ้อาการหน้ามืดโลกหมุนของฉันก็ดีขึ้นมากแล้ว พี่ทิวดูแลดียิ่งกว่าหมอซะอีก“พอแล้วมั้งคะ” ถึงกับต้องเอ่ยปรามขึ้นเมื่อเห็นเขาหยิบผลไม้ใส่รถเข็นจนเยอะแยะไปหมด“อันนี้มีประโยชน์”“รู้... แต่หนูไม่ชอบนี่แค่อันนี้อย่างเดียวก็พอค่ะ” ฉันว่าพลางชี้มือไปที่กล่องสตอวเบอร์รี่“ครับ ซื้อเข้าห้องไปเลยแล้วกันเผื่อพรุ่งนี้พี่เลิกดึก”“โอเคค่ะ”ทุกครั้งที่เงินเดือนออกเราจะซื้อของเติมตู้เย็นเสมอ ค่าใช้จ่ายต่อเดือนในส่วนเฉพาะของสดประมาณสองพันบาท ค่าน้ำ ค่าไฟอีกสองพันบาท จิปาถะยิบย่อยรวมทั้งหมดแล้วประมาณห้าพันอันนี้ฉันคำนวณเองนะ ส่วนค่าน้ำมันรถหรือของที่จำเป็นอื่น ๆ ยังไม่ได้คิดค่ะ ที่กล่าวมานี้อยู่ในความรับผิดชอบของพี่ทิวทั้งหมดฉันเคยบอกแล้วว่าเรื่องในครัวฉันรับผิดชอบเองได้แต่เขาไม่ยอมและให้เหตุผลว่าผู้นำครอบครัวเขาไม่มาแบ่งจ่ายกันหรอก ในเมื่อค้านอะไรไม่ได้ก็เลยใช้วิธีแยกซื้อต่างหากโดยที่พี่ทิวไม่รู้ ตั้งแต่คบกันมาสาบานได้ว่าฉันไม่เคยก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขาเ
หมดกันเซอร์ไพรส์ของผม แอบรู้สึกผิดเหมือนกันนะเนี่ยทำน้องร้องไห้ไปหลายวันเลย ผมไม่ได้ตั้งใจ ที่ตั้งใจจริง ๆ คือบ้านต่างหากที่ดินตรงนั้นผมซื้อมันตั้งแต่ก่อนไปญี่ปุ่นหลายเดือนแล้วแต่ไม่ได้บอกน้องเพราะตั้งใจจะปลูกบ้านก่อน บวชแล้วค่อยแต่งไง แต่มันผิดแผนนิดหน่อย ปิดมาได้ตั้งนานดันมาตกม้าตายตอนบ้านเสร็จซะงั้น ครืด...ครืด…“ว่าไง”(จะเพิ่มเติมตรงไหนอีกหรือเปล่ากูจะได้บอกช่างถูก)“แก้ตรงสีไม่เสมออย่างเดียวก็พอ”(เออ ผัวกูถามว่ามึงจะเข้ามาดูไหม)“เข้าแหละ น่าจะพรุ่งนี้บ่าย”(กูถามจริงแฟนมึงไม่สงสัยบ้างเหรอ ถ้าเป็นกูคงจับได้ตั้งแต่ผัวกลับบ้านไม่ตรงเวลาละ)“จะเหลือเหรอ”(ฮ่า ๆ กูว่าแล้วเซอร์ไพรส์ไม่เคยสำเร็จ แล้วเขาว่าไง)“เปล่าหรอก เข้าใจผิดนิดหน่อย”(ไม่ใช่คิดว่ากูเป็นกิ๊กมึงหรอกนะ)“ประมาณนั้น”(ฉิบหาย!)“เกือบได้ฉิบหายจริง ๆ แต่ตอนนี้คุยกันเข้าใจแล้ว ไว้พรุ่งนี้กูพาไปด้วยเลย ไหน ๆ ก็รู้แล้วนี่”(เออ ไว้เจอกัน)ลูกหว้าเป็นเพื่อนร่วมงานครับ เราอยู่ทีมเดียวกันแต่คนละฝ่าย รู้จักกันตั้งแต่ฝึกงานไม่มีอะไรมากไปกว่านี้เลย ส่วนที่น้องคิดไปไกลคงเป็นเพราะพฤติกรรมของผมมากว่า เรื่องนี้แม่กับยายก็รู้นะครั