“เธอ….เป็นแฟนคลับเขาใช่ไหม?”เขาถามฉันพลางมองสำรวจการแต่งกายของฉัน ที่แสนจะบ้านนอกๆก็ฉันชอบแบบนี้ กางเกงขาสั้นและเสื้อยืดมันใส่สบายดี
“หนู…ไม่ได้เป็นแฟนคลับเขาค่ะ…บังเอิญว่าเขาวิ่งชนหนู…และทำให้โทรศัพท์ของหนูพังหนูเลยวิ่งตามเขาเพื่อจะให้เขารับผิดชอบนะคะ” “แต่หนูเห็นเขามีท่าทางแปลกๆ” “ท่าทางแปลกๆ?”ชายคนนั้นว่าอย่างทวนคำพูดของฉันอย่างสงสัย ฉันก็มองหน้าเขาอย่างจริงจัง “ค่ะ…หนูเคยศึกษาเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าเพื่อจะเอามาเขียนนิยาย…และหนูเห็นว่าเขามีอาการแบบนั้น…” “เธอก็เลยกอดเขา?”ชายคนนั้นว่าอย่างพอเดาเรื่องราวได้ “ค่ะ….” “เธอคงจะไม่ได้ชอบเขาใช่ไหม?” “ค่ะ…หนูมีแฟนอยู่แล้วค่ะ…” “งั้นก็ดี…ฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องเธอ….” “ช่วยทำให้เขาหายจากการเป็นโรคซึมเศร้าทีเถอะนะ…” “ช่วยเขาด้วย….” “ค่ะ….แต่หนูก็ไม่มั่นใจว่าหนูจะช่วยเขาได้ไหม…เพราะหนูไม่ใช่หมอที่รักษาเฉพาะทาง…” “หนูคิดว่าคุณควรจะพาไดร์ฟไปพบจิตแพทย์นะคะ…”ฉันเอ่ยอย่างแนะนำ ชายคนนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยท่าทางเคร่งเครียด แววตาของเขาสั่นไหวสื่อว่าเขาเป็นห่วงไดร์ฟจริงๆ “ฉันก็อยากพาไป…แต่ทางเจ้าของค่ายเขาไม่ยินยอม…” “เขาจะรอให้ไดร์ฟตายก่อนอย่างงั้นเหรอคะ?”ฉันว่าเสียงแข็งตอกกลับไป “ไดร์ฟเป็นถึงเลเวลที่สี่แล้วนะคะ…เขาคิดที่จะฆ่าตัวตายแล้ว…” “เขาคิดว่าไม่มีใครต้องการเขา…และคิดว่าตัวเองไม่ดีพอ…” “ให้ค่าตัวเองน้อยลง…”ฉันว่าเสียงเข้มหน้าตาจริงจังอย่างใส่อารมณ์ พรึบ “เพราะอย่างนี้ไง…ฉันถึงอยากจะขอร้องเธอ…ให้เธอช่วยไดร์ฟ…” “ช่วยเขาด้วยเถอะนะ…” “ได้โปรด….” “คุณคะ…อย่าทำแบบนี้..”ฉันนี่แทบจะลุกขึ้นถลาไปรับร่างของชายคนที่แต่งตัวดูภูมิฐานนี้แทบจะไม่ทันเพราะเขาทำท่าจะคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนฉัน “หนูจะช่วย….ให้ถึงที่สุดค่ะ…”ฉันเลยต้องจำใจยอมรับการขอร้องนี้ ฉันจะช่วยเขา ฉันจะช่วยฉุดรั้นเขาให้เขาหลุดพ้นออกมาจากจิตปลุกแต่งของเขา ฉันจะทำให้เขารู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ และทำให้เขารู้ว่าโลกใบนี้ก็น่าอยู่เหมือนกัน พรึบ เพล้ง “ออกไป!!” “ออกไปให้หมด!!!”เสียงเอะอะโวยของผู้ชายและเสียงเขวี้ยงปาข้าวของดังมาจากทางด้านหลังสุดของบ้าน “ไดร์ฟน่ะ…เขาคงจะอาละวาดอีกแล้ว…”ชายคนนั้นตอบฉันมาทันทีที่เขาคงสังเกตเห็นอาการตกใจของฉัน ฉันก็ละสายตาจากต้นตอของเสียงกลับมามองหน้าชายคนนี้ “ฉันชื่อมิตรนะ…เป็นผู้จัดการของไดร์ฟ…”เขาเอ่ยแนะนำตัวให้ฉันรู้จัก “ค่ะ….ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ…หนูชื่อไอริสค่ะ…เรียกว่าไอเฉยๆก็ได้ค่ะ..” “โอเค…หนูไอ…^_^” “นายครับ….คุณไดร์ฟอาละวาดใหญ่แล้วครับ…!”เสียงของการ์ดชุดดำที่รูปร่างไม่ใหญ่โตมากนักเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรนเขาวิ่งมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “เดี๋ยวหนูไปดูเองค่ะ….”ฉันบอกคุณมิตรไป เขาก็พยักหน้าให้ฉันเป็นคำตอบ หน้าตาของเขาดูเคร่งเครียดและเป็นกังวลมากเขาคงจะเป็นห่วงไดร์ฟมากจริงๆ ฉันก็ก้มศีรษะให้เขาก่อนจะเดินตามชายชุดดำไป “ทางนี้ครับ….”ฉันเดินตามแผ่นหลังของชายชุดดำไปเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องบานหนึ่งที่มีสีดำสนิท ฉันก็เปิดประตูหมายจะเข้าไป “ระวังนะครับ…”เสียงร้องเตือนจากการ์ดชุดดำเอ่ยบอกฉันด้วยท่าทางเป็นห่วงสีหน้าของเขาดูตกใจ “ไม่เป็นไรค่ะ…”ฉันยิ้มบางๆให้เขาและเปิดประตูหมุดลูกบิดเข้าไปภายในห้อง ก็ต้องพบกับห้องที่ถูกจัดโทนเป็นโทนสีดำสไตล์เรียบหรูแต่ดูมีระดับทำให้ฉันรู้ได้ทันทีถึงฮวงจุ้ยของห้องนี้ เป็นไปได้ฉันอยากให้เปลี่ยนสีห้องมากเลยนะ เพราะมันดูเหงา ดูเศร้า ยังไงชอบกล “ออกไป!!” “กูบอกให้ออกไปยังไงล่ะวะ!!”เสียงเอะอะพร้อมกับขวดแจกันที่เป็นพลาสติกลอยผ่านหน้าฉันไปแต่โชคดีที่ฉันหลบได้ทัน ไม่งั้นมีหวังฉันเสียโฉมแน่ ฉันก็มองหน้าต้นตอของเสียงที่ห้องมืดทึบไม่มีแสงไฟและแสงแดดให้ความสว่าง และสายตาของฉันก็ไปสบเข้ากับชายรูปร่างสมส่วนที่ท่อนบนเปลือยเปล่าเขามีรอยสักอยู่ที่ต้นคอและต้นแขนซ้ายยาวไปถึงข้อแขนที่กำลังนั่งกอดเข่าเนื้อตัวสั่นเทาอยู่มุมสุดของห้อง ฉันไม่รอช้ารีบเดินไปหาเขาทันที พรึบ “ไม่เป็นไรนะ…ฉันอยู่ตรงนี้…อยู่กับนายตรงนี้นะ…”ฉันนั่งลงและสวมกอดร่างของไดร์ฟและเอ่ยบอกเขาไปด้วยเสียงนุ่มนวล “ไม่เป็นไรนะไดร์ฟ…ทำใจเย็นๆหายใจเข้า….” “หายใจออกอย่างช้าๆนะ….”ฉันเอ่ยต่อไปอีกด้วยถ้อยคำที่นุ่มนวลเพื่อปลอบโยนเขาที่ฉันคิดว่าเขาคงจะกำลังต่อสู้อยู่กับใจของตัวเอง คนที่เป็นโรคซึมเศร้าเหมือนไร้ความเป็นตัวเอง มันจะมาพรากความสุขไปจากเรา ไม่ใช่ว่าคนทุกคนจะไม่เป็น เพราะทุกคนมีสิทธิ์เป็นได้ทุกคน อย่านิ่งนอนใจทำจิตใจของเราให้เป็นหนึ่ง ยิ้มและหัวเราะให้กับปัญหาที่เผชิญเพราะทุกปัญหามีทางออกเสมอ….เซฟเฮ้าส์ของไดร์ฟ…. 20:30น.ไอริส อันฤดี…..พรึบเพลี๊ย“โอ้ย!”ฉันร้องออกมาด้วยความเจ็บและคันขาทั้งสองข้างของตัวเองไปหมด นี่ฉันนั่งตบยุงที่มาดูดเลือดฉันตายไปกี่พันตัวแล้วหนิ!และที่ฉันเจ็บเพราะฉันตบขาตัวเองตรงที่โดนยุงกัดแรงไปน่ะสิ เวรกรรมๆแท้ๆๆเลย“เมื่อไหร่ไดร์ฟจะกลับมานะ….?”ฉันพึมพำขึ้นอย่างสงสัยและค่อยๆชะโงกหน้าเข้าไปมองในกระจกห้องนอนของไดร์ฟที่ตอนนี้ไปในห้องมืดมิดและดูเหมือนจะไม่มีคนอยู่เลย การ์ดชุดดำที่เคยเฝ้าตามจุดต่างๆตอนที่ฉันมาอยู่ที่นี่ครั้งแรกก็ไม่มีแล้ว “หรือ….ไดร์ฟจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วนะ…”ฉันพึมพำอีกครั้งอย่างคนที่ใจเสียเพราะมันเงียบเกินไป ถ้าไดร์ฟอยู่ที่นี่มันต้องมีคนเดินไปเดินมาบ้างแหละ ป้าแม่บ้านไง“เอ่อใช่!”ฉันว่าอย่างนึกขึ้นได้ก่อนลุกขึ้นยืนทันที ฉันมานั่งโง่ให้ยุงกินเลือดอยู่ได้ไงเนี่ยตั้งนานสองนานตึกๆๆๆๆออดดดดดดดดดดเมื่อฉันนึกได้ว่าฉันพอจะรู้จักป้าแม่บ้านและป้าแม่บ้านก็พอจะรู้จักฉันอยู่บ้าง ฉันก็เดินมากดกริ่งหน้าประตูทางเข้าเซฟเฮ้าส์ทันที ตอนนี้ฉันอยู่ในตัวของบ้านหลังใหญ่นี้แล้วนะ ฉันแอบปีนรั้วเข้ามาก่อนน่ะ นึกว่ามีการ์ดชุดดำอยู่เยอะเหมือนเมื่อก่อนที่ไหนกล
2วันต่อมา…. คาเฟ่Aไอริส อันฤดี….พรึบ“ไอ….”“ยัยไอ…”“ไอริส!!!”“ห๊ะ!”ฉันร้องเสียงหลงพร้อมกับสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจที่อยู่ดีๆยัยลูกหว้าก็มาตะโกนใส่หูของฉัน พรึบ“มีอะไรลูกหว้า…?”ฉันหันไปถามเธอพลางยกมือขึ้นมาจับหูตัวเองไปด้วยเพราะฉันรู้สึกแสบเเก้วหูเหลือเกินก็ยัยลูกหว้าเล่นตะโกนใส่หูฉันซะเสียงดังขนาดนั้น“แกนั้นแหละ…เป็นไร….เห็นนั่งเหม่อมาสองวันแล้ว..?”ลูกหว้าทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับฉันพลางมองหน้าฉันและเอ่ยถามฉันด้วยความเป็นห่วง ฉันก็มองหน้าเธอด้วยแววตาสั่นไหวและเศร้านิดๆ ก็ตั้งแต่วันนั้นที่ไดร์ฟมาหาฉันที่คาเฟ่ลูกหว้าเขาก็ไม่เคยโทรหาฉันอีกเลย ฉันทักไลน์ไปก็อ่านแต่ไม่ตอบอะไรกลับมา โทรไปไดร์ฟก็ตัดสายฉันทิ้ง“ทำอย่างกับคนอกหัก…”ลูกหว้าว่าพลางดูดน้ำส้มในแก้วของเธอด้วยท่าทางมีจริต ฉันก็ไว้อาลัยให้กับชุดของเธอวันนี้ ฉันไม่รู้ว่าเป็นชุดหรือผ้าสีที่เขาใช้ผูกกันตามต้นไม้เพื่อขอเลขเด็ดกันแน่ หลายสีซะ“นี่…ตกลงแกกับท่านไดร์ฟเป็นอะไรกัน?”ลูกหว้าเอ่ยถามฉันเสียงเเข็งอย่างคาดคั้นเอาคำตอบจากฉันหลังจากที่เธอดื่มน้ำส้มในแก้วของเธอหมดไปครึ่งแก้วแล้ว ฉันก็มองหน้าลูกหว้าพร้อมกับถอนหายใจ
“มาได้ไงเนี่ย?”ฉันถามไดร์ฟไปอย่างสงสัยในขณะที่เราทั้งคู่กำลังเดินตามหลังของธามไฟท์เพื่อนของไดร์ฟที่อุ้มร่างที่ไร้สติของยัยลูกหว้าด้วยท่าเจ้าหญิงเพื่อพาเธอไปนอนพักยังที่ห้องนอนของเธอ “ตามเสียงหัวใจมา…หาจนเจอ^_^”ไดร์ฟตอบเสียงสดใสพร้อมยิ้มกว้าง ฉันก็ส่ายศีรษะไปมากับความทะเล้นของไดร์ฟ“ฉันถามจริงๆ!”“อ่ะๆๆไม่เห็นต้องอารมณ์เสียเลย^_^”ไดร์ฟว่าพร้อมกับยื่นมือมาลูบต้นแขนของฉันให้ฉันใจเย็นลง“ฉันตามจีพีเอสโทรศัพท์เธอมา^_^”ไดร์ฟตอบเสียงใสพร้อมกับยกหน้าจอโทรศัพท์ของเขาที่มีรูปหน้าของฉันกับรูปหน้าของไดร์ฟปรากฏอยู่บนหน้าจอสาร์ทโฟนเครื่องหรู โดยบอกที่ตั้งตำแหน่งเสร็จสรรพพร้อม“นี่นายแอบเอาโทรศัพท์ฉันไปเชื่อมกับโทรศัพท์ของนายหรือไง?”ฉันถามเสียงเเข็งอย่างไม่ค่อยพอใจไดร์ฟเท่าไหร่ ที่เขาแอบแชร์โลเคชั่นและแอบตามติดว่าโทรศัพท์ฉันอยู่ที่ไหน นั่นก็หมายความว่าไม่ว่าฉันจะไปที่ไหน ไดร์ฟก็สามารถรู้หมดเลย“ก็ฉันเอาไว้ดูเวลาคิดถึงเธอ…จะได้ตามมาหาถูกไง^_^”คำตอบของไดร์ฟทำให้ฉันถึงกับต้องเปลี่ยนสีหน้าทันที หัวใจก็พองโตเต้นตึกตักมาดื้อๆซะอย่างงั้น ความโกรธก่อนหน้านี้หายไปหมดเลย“^_^”ไดร์ฟยิ้มให้ฉันก่อนจะเอื้อมมือมา
16:30น. คาเฟ่Aไอริส อันฤดี……..พรึบ“นี่แก….”“ว่า?”ฉันขานรับพร้อมกับหันไปมองหน้าลูกหว้าที่ตอนนี้เธอกำลังง่วนอยู่กับการเก็บของตรงหน้าเคาน์เตอร์ที่ประจำของเธอเพราะเวลานี้เป็นเวลาเย็นแล้ว ลูกค้าก็ไม่มีแล้วและอีกสักพักก็ถึงเวลาปิดร้านของลูกหว้าแล้วด้วย วันนี้คุณแม่ของลูกหว้าและลูกน้องในร้านไปเปิดบูธที่ห้าง เลยเหลือแค่ยัยลูกหน้าเฝ้าร้านคนเดียว โดยมีฉันมาอยู่เป็นเพื่อนเธอและยังคอยเป็นเด็กเสิร์ฟให้เธออีกด้วย ในตอนที่ลูกค้าเยอะๆน่ะ“แกไม่สบายเหรอ?”ลูกหว้าเดินดุ่มๆมานั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับฉันพร้อมกับใบหน้าที่สงสัยและจับผิดฉันสุดๆที่ฉันใส่ผ้าปิดปากสีชมพูเพราะปกปิดริมฝีปากที่บวมเจ่อของฉันที่โดนไดร์ฟจูบไม่พักไปเมื่อคืนน่ะสิพูดแล้วโมโห!!!“อืม…แค่เจ็บคอน่ะ…ฉันกลัวว่าแกจะติดไปด้วย…”“เลยใส่แมสกันไว้เพื่อความปลอดภัย^_^”“จริงเหรอ?”ลูกหว้ามองหน้าฉันด้วยสายตาไม่เชื่อ เอาแล้วไง ฉันยิ่งเป็นคนที่โกหกไม่เนียนอยู่ด้วย“ก็อีกไม่กี่วันจะคอนเสิร์ตแล้ว….กลัวแกเจ็บคอและไม่มีเสียงกรี๊ดอ่ะ…”ฉันเลยหาข้ออ้างโดยใช้งานคอนเสิร์ตของวงเดอะปรินซ์ที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี่มาเพื่อแสดงความเป็นห่วงเป็นใย
วันต่อมาห้องประชุม ค่ายTEชั้นที่20ไดร์ฟ ดรัณภพ….พรึบ“วันนี้ที่เรียกพวกเรามาประชุม…เพื่อจะจับฉลากกันเหรอครับ?”เอพริ้วที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผมเอ่ยขึ้นหลังจากที่สายตาของเขาเพิ่งจะละมาจากหน้าจอสมาร์ทโฟนเครื่องหรูของเขาเอง“ใช่….”คุณมิตรหรือผู้จัดการประจำวงและมีหน้าที่คอยดูแลพวกเราทั้งห้าคนเอ่ยขึ้น ผมที่นั่งอยู่คนสุดท้ายในโต๊ะประชุมก็มองไปที่หน้าตาของเพื่อนร่วมวงแต่ละคน ทุกคนมีสีหน้าที่ตื่นเต้นและรอลุ้นกันอย่างใจจดใจจ่อตอนนี้ผมกลับไปเป็นปกติเหมือนเดิมแล้ว ไม่ใช่เอาแต่เก็บตัวเงียบและปลีกตัวไปอยู่คนเดียวเหมือนเมื่อก่อน“ตื่นเต้น…จังเลยครับ…ที่ผมจะได้จับฉลาก…”“ว่าแต่….นางเอกของเราเป็นใครกันเหรอครับ?”ธามไฟท์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแววตาเป็นประกาย คุณมิตรก็ยกยิ้มที่มุมปากขึ้นมาอย่างมีเลศนัย“เธอคนนี้กำลังโด่งดังอยู่ในตอนนี้….”คุณมิตรเอ่ยต่อพร้อมกับกดเปิดจอมอนิเตอร์จ่อใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกลางของห้องประชุมด้านหน้าของพวกเราขึ้นมาด้วย ผมก็จ้องมองอย่างไม่ค่อยใส่ใจ เพราะผมคงไม่ร่วมจับฉลากเหมือนเช่นทุกทีนั่นแหละครับ…“ว้าวววววววววว”เสียงของเพื่อนร่วมวงของผมต่างร้องออกมาด้วยความตกใจและตื่น
มีผู้คนอยู่มากมายแต่หัวใจมันกลับเหงาขึ้นทุกทีแต่เมื่อฉันได้พบกับเธอสิ่งที่เธอให้ฉันไม่รู้มันคืออะไรโลกใบใหญ่ใบเดิมกลับไม่เคยต้องเหงาใจแค่ฉันนั้นยังมีเธออยู่ตรงนี้เธอเป็นมากกว่ารักเพราะเธอนั้นคือครึ่งชีวิตฉันใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อตามหาและรอคอยเธอมาแสนนานและสุดท้ายก็เจอว่าเธอคือทุกอย่างที่เติมเต็มหัวใจจากนี้ทุกลมหายใจฉันคือเธอ….ไดร์ฟหันมายิ้มและมองหน้าฉันตลอดเวลาเสียงของเขาที่ขับร้องเพลงนี้ มันช่างเต็มไปด้วยความละมุนนุ่มนวลและความรักที่เขาต้องการจะสื่อความหมายและความรู้สึกที่อยู่ในหัวใจของเขาเพื่อขับร้องออกมาเป็นเนื้อเพลงจริงๆหากว่าเธอนั้นคือความรักก็เป็นรักที่ดีจนไม่มีคำบรรยายฉันโชคดีเหลือเกินที่มีเธอเดินข้างกายชีวิตนั้นได้เติมเต็มสิ่งที่ขาดหายเสียงของเพลงได้เงียบลงไปแต่ไดร์ฟกลับยิ้มให้ฉันและร้องเพลงด้วยเสียงที่ไร้ดนตรีและท่วงทำนองให้ฉันฟังแบบสดๆ“เธอเป็นมากกว่า…เพราะเธอนั้นคือครึ่งชีวิต…”“ฉันใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อรอ…เพื่อตามหาและรอคอยเธอมาแสนนาน”“และสุดท้ายก็เจอว่าเธอคือทุกอย่างที่เติมเต็มหัวใจ”“จากนี้ทุกลมหายใจฉันคือเธอ….”ไดร์ฟร้องจบก็ขยับใบหน้าของเขาเข้ามาหาฉันจ